ประดับใจด้วยธรรม
วันที่ 4 มิถุนายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

ประดับใจด้วยธรรม

พระกรรมฐานไปที่ไหนสร้างที่นั่นที่นี่เราฟังไม่ได้นะ ไม่มีในแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ยันกันอย่างนี้เลย ไปไหน รุกฺขมูลเสนาสนํ นั่นคือที่พักแล้ว หลักใหญ่อยู่ตรงนั้นเป็นอันดับหนึ่ง ต่อมาก็ที่อยู่ที่ไหนพอเป็นพอไปแล้วก็ให้อยู่ อย่าดิ้นอย่าดีด เรื่องการก่อการสร้างไม่มี เรียนมาเหมือนกันนี่นะ ก็มีเห็นปรากฏอยู่บ้างก็แต่ที่ว่า นางวิสาขาสร้างวิหารที่บุพพาราม นี่ก็นายช่างเขามาทำ พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระโมคคัลลาน์มาคอยเตือนคอยบอกเขา พระโมคคัลลาน์ก็เป็นพระอรหันต์ นี่หลักเกณฑ์มีอยู่อย่างนั้น ไปที่ไหนเอาศาลาเอาอิฐเอาปูนเอาหินเอาทรายออกอวด ๆ

ศาสนามีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทรายเวลานี้นะ ไม่มีธรรม ข้อปฏิบัติเป็นยังไงพระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่เห็นเอาขึ้นมาดูบ้าง มีแต่อิฐแต่ทรายทับหัวศาสนาตลอดเวลา เราไม่อยากฟังนะเรื่องการก่อการสร้าง มีเหตุมีผลเราไม่ว่า ส่วนมากมันไม่ได้มีนะเหตุผล ถ้ามีจะไปตำหนิกันอะไร ธรรมคือเหตุผลล้วน ๆ อยู่แล้วตำหนิกันหาอะไร ถ้าถูกกับเหตุกับผลเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว นี่มันไม่ถูกนี่นะ มันมีแต่เรื่องของกิเลส ๆ ไปที่ไหนมีแต่เรื่องการก่อการสร้าง เอาวัตถุอิฐปูนหินทรายมาอวดกัน เป็นยังไงศาลา ขึ้นแล้ว วิหาร ศาลาอะไร ทุกอย่างเต็มอยู่ในนั้น

เป็นยังไงสมาธิฟาดกันเข้าไปตรงนั้นซิ ไปที่นั่นภาวนาจิตเป็นยังไง รู้อะไร ๆ บ้างสมาธิ สมาธิพระพุทธเจ้ารู้ยังไง ๆ สมาธิของเรามันรู้อะไร ๆ หรือรู้แต่เสื่อแต่หมอน ให้จี้เข้าไปอย่างนั้นค่อยยังชั่วหน่อยนะ นี่มันไม่มีนี่วะ พูดแล้วโผงผางเลย มันหากมีอะไรมายุ่งเรานะ เราอยู่ธรรมดา ๆ หากมีละเรื่อง มีแต่เรื่องทำลายศาสนานะทุกวันนี้ การส่งเสริมมีน้อยมาก ๆ ทำแต่ผิวเผิน ๆ อวดกัน อย่างว่าสร้างศาลานี้ก็ส่งเสริมศาสนา ตัวผู้ปฏิบัติผู้ที่เป็นเจ้าของสร้างศาลามันสนใจกับศีลกับธรรมที่ไหนล่ะ นั่นที่ตรงมันเสียเสียตรงนั้นซิ (มีผู้ถวายทองคำ) อันนี้พอใจ ๆ เรื่องการสร้างนั้นสร้างนี้อย่ามายุ่ง สู้ทองนี้ไม่ได้ ทองนี้หนุนชาติเราให้เจริญรุ่งเรือง

ในวัดในวาถ้าลงได้ก่อได้สร้างแล้ว เรื่องหนี้เรื่องสินมันจะพันเข้ามานะ เราอย่าว่าแต่ทางโลกเขาเกี่ยวกับเรื่องการก่อการสร้าง นั้นคือบ่อแห่งหนี้แห่งสินเต็มอยู่กับสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เต็มไปหมด ระโยงระยางเหมือนตาข่ายตาแห ติดหนี้ติดสินกันพะรุงพะรัง กับการก่อการสร้างการดีดการดิ้น อยากดีอยากเด่นอยากดัง ใครก็อยากดัง ๆ เอามาประดับร้าน แล้วหนี้สินมีเท่าไรที่เอาของมาประดับร้านนั้น หนี้สินมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในร้านเข้าใจไหม มีแต่ขี้หมูขี้หมาอยู่ข้างในเป็นไฟเผาตัวเอง ข้างนอกก็เอามาอวดโลกไปอย่างนั้น คนนั้นมีตึกอย่างนั้นอย่างนี้ มีบ้านอย่างนี้อย่างนั้นกี่หลัง ๆ ว่ากันไปอวดบ้ากันไปอย่างนั้น

กิเลสมันชอบอวดชอบยอ เจ้าของจะตายขอให้เขาได้ชมที่หน้าร้านก็พอ นี่เรื่องของกิเลส แต่เรื่องของธรรมมันต่างกัน เพราะฉะนั้นมันถึงได้ดูกิเลสถนัดชัดเจนล่ะซิ ธรรมดูกิเลสดูจริง ๆ เราอย่าว่าแต่การก่อการสร้าง แม้แต่ภายในวัดในวาก็มีการติดหนี้ติดสินจนได้นั่นแหละ เพราะเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรื่องก่อความเดือดร้อน มันจะก่อไปเรื่อย ๆ ของมัน มันไม่มีใครสนใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีนะ มีแต่เรื่องภายนอกเรื่องของกิเลสที่จะสร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ทั้งนั้น พูดแล้วสลดสังเวชนะเรา พูดคนเดียวเหมือนกับเป็นพระขวางบ้านขวางเมือง กิเลสมันขวางบ้านขวางเมืองเขาไม่พูด เขาเป็นคลังกิเลสอยู่แล้วจะเอาอะไรมาขวาง เขาก็เลยว่าธรรมนั่นแหละขวางบ้านขวางเมือง เพราะเขาไม่สนใจในธรรม เลยถือธรรมเป็นข้าศึกไปได้

หมดไป ๆ ศาสนาจะไม่มีเหลือนะเวลานี้ มีแต่เครื่องประดับร้านทั้งนั้น ศาสนาประดับร้านนะเวลานี้ ไม่ได้ประดับตัวบุคคลผู้นับถือและปฏิบัติศาสนา มันไปประดับร้านไปอย่างนั้น ศาสนาเวลานี้เป็นของเศษของเดนเป็นเครื่องประดับร้านไป เป็นดอกไม้ลายครามไปอย่างนั้น ประดับร้าน อย่างนั้นละศาสนา คือคนมันหมดคุณค่าจริง ๆ แล้วศาสนาก็เลยมาประดับร้านให้คนหมดคุณค่าพอเหมาะสมกัน ถ้าธรรมแล้วเอาอะไรมาประดับ สร้างเข้าไปซิสร้างธรรม เอาอะไรมาประดับวะ ไม่มีอะไรสวยงามเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมประดับใจ ประดับกายวาจาความประพฤติหน้าที่การงาน ธรรมประดับที่ตรงไหนสวยงามไม่มีการกระทบกระเทือน แม้แต่เป็นงานส่วนหยาบก็ไม่กระทบกระเทือน ธรรมไม่กระทบกระเทือน ถ้ากิเลสไปไหนก็เหมือนเข็มเล่มหนึ่ง แทงเข้าไปดูซิน่ะ

กิเลสมันชอบยอ ต้องมีเครื่องประดับประดาตกแต่งให้สดสวยงดงามอยู่ตลอดเวลา เพราะภายในมันหิวมันโหยมันจะตายกิเลส ต้องได้อาศัยความยกยอปอปั้นเข้ามาประคับประคอง กิเลสอยู่ได้ด้วยความประคับประคองหนา ไม่ได้อยู่ได้ด้วยความเป็นตัวเองเหมือนธรรมนะ ธรรมอยู่ที่ไหนอยู่ได้เป็นตัวเอง ไม่ต้องหาอะไรมาประดับ ศีลธรรมเป็นหลักธรรมชาติแห่งการประดับสมบูรณ์แบบทุกขั้นของศีลของธรรมแล้ว จำเป็นอะไรจะต้องหาอะไรมาประดับที่ว่ายิ่งกว่าศีลกว่าธรรมไปไม่มี มีแต่ศีลธรรมเท่านั้น ประดับตัวเองให้มันดีซี หาแต่เรื่องภายนอกมาตกมาแต่งมาประดับประดา โหย ทุเรศนะ

เอะอะก็กิเลสเข้าเหยียบแล้ว กิเลสเข้าเหยียบ ๆ อย่างน้อยแทรก ๆ ไปเสียก่อน พอแทรกโผล่ไปอย่างนั้นแล้วเหยียบ ๆ กิเลสเหยียบธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ตกแต่งสดสวยงดงาม อะไร ๆ ก็ตามถ้าเป็นด้านวัตถุแล้วเอาอวดกัน เอากิเลสมาอวดวิ่งแข่งกับกิเลสก็วิ่งตามกิเลสล่ะซี จะวิ่งแข่งกิเลสได้ยังไง วิ่งแข่งกิเลสต้องปฏิบัติธรรม วิ่งตามกิเลสก็อย่างนี้ละ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี สดสวยงดงาม ประดับประดาตกแต่ง เริ่มไปตั้งแต่กุฏิ หาดอกไม้ลายครามมาประดับประดาตกแต่งไปเรื่อย ๆ เป็นกุฏิแล้วยังหาสีต่าง ๆ มาทาให้สดให้สวยงดงามไปอีกเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นศาลาหรือวิหารหลังใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งหาเครื่องประดับประดาตกแต่ง เช่น โบสถ์หลังหนึ่งราคาเท่าไร ตกแต่งหาอะไรประสาอิฐปูนหินทราย เป็นที่อยู่สังฆกรรมของพระ ตามหลักธรรมวินัยเท่านั้น

เรียนมาด้วยกันมันก็เห็นด้วยกัน มาเถียงกันที่ตรงไหน สิ่งภายนอกมองไปนี้ โหย สง่างาม แล้วกิเลสมันบอกด้วยนะว่าน่าเกรงขาม เกรงขามขี้หมาอะไรประสาอิฐปูนหินทราย เกรงขามธรรมต่างหากนี่นะ มีธรรมในใจแล้วอยู่ที่ไหนพอ หาอะไรมาประดับประดาตกแต่ง พอพูดถึงเรื่องประดับประดาตกแต่งนี้ก็ทำให้เราระลึกได้ พี่น้องทั้งหลายฟังก็แล้วกัน เรายืนเป็นพยานเลยเทียว

วันนั้นกำลังลงอุโบสถตอนเย็น อยู่ ๆ เขาก็เอารถกระบะใหญ่ขนดอกไม้ใส่เป็นกระถาง ๆ มาเต็มรถเลย แบบจู่โจมว่างั้นเถอะ เอาแบบจู่โจมเลยให้ตั้งตัวไม่ทัน พระอยู่ข้างบนกำลังจะเริ่มอุโบสถ รถกระบะใหญ่มา มองดูในรถมีแต่ต้นไม้ในกระถาง ๆ เต็มเลย โห ทำไงนี่ จะเอามาประดับศาลา ว่างั้นนะ ผู้ใหญ่เสียด้วยไม่ใช่ธรรมดา เป็นผู้ใหญ่เสียด้วย ข้าราชการผู้ใหญ่ด้วย เอามาประดับประดาหน้าศาลานี่ ยังไม่มีอะไรประดับเลยเขาว่างั้น มึงตาบอดเหรอ พระกูประดับทั้งวัดมึงไม่ดูเหรอ อยากว่าอย่างนั้นนะเรา มึงเอาอะไรมาอวดกูประสาดอกไม้อยากจะว่าอย่างนั้น แต่ไม่พูด ทางนี้มันขึ้นแล้วนะฟาดหัวกิเลสซีเข้าใจไหม กิเลสมาแบบนั้นต้องเด็ดแบบนี้ถึงทันกัน

แต่ธรรมไม่ออก ก็ต้องเอากิเลสต้อนรับกิเลส เออ เอาไว้เสียก่อน วันนี้มันค่ำแล้ว นั่นขึ้นแล้วนะกิเลสต้อนรับกิเลส เอา ๆ ไว้นั้นก่อน ค่ำแล้วจะทำอะไรไม่ทัน เอาขนลง ๆ เขาว่าจะเอามา ไม่จำเป็น พวกญาติโยมประดับประดาตกแต่งสู้พระไม่ได้เราว่างี้ เอ้า ขนลง ๆ เขาก็ขนลงปึ๊งปั๊งก็พอดีค่ำเขาก็ไป พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้เอาล้อเอาอะไรมา ล้อมีกี่คันเอามาให้หมด ไม่ได้บอกแต่ว่าให้ไปสั่งกรุงเทพมา ล้อเอามาด่วน ไม่ได้บอกเท่านั้นเอง เอาล้อมาขนใส่ล้อ ๆ ไปฟาดเข้าป่าหมดเลย

อีกสักสี่ห้าวันเขาก็มาดู ไปไหนหมด กระถางดอกไม้ไปไหนหมด อ๋อ พระท่านเก็บเรียบร้อยแล้ว ที่นี่มันเพ่นพ่านด้วยฝูงคนเดี๋ยวเขาทำอันตราย พระท่านเอาไปเก็บเรียบร้อยแล้วปลอดภัย เขาก็มองนั้นมองนี้เขาไปซิ เขาไปเที่ยวตามกุฏิล่ะซิ เที่ยวกุฏินั้นกุฏินี้มาไม่พูดว่าไงเลย เราก็ไม่ถาม สักเดี๋ยวเขาก็ว่า โอ๊ย คงเข้าป่าหมดแล้วแหละ ความจริงมันเข้าแล้วตั้งแต่เย็นวันนั้น เข้าหมดเลยจริง ๆ ฟาดเข้าป่าหมดเลย เอามาอวดอะไรประสาดอกไม้

ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศลั่นโลกมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปี ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าดอกไม้นี้เหรอ อย่างนั้นนะ ใส่เปรี้ยง ๆ นี่ละธรรมเป็นอย่างนี้ฟังเอาพี่น้องทั้งหลาย เราเปิดเผยเต็มเหนี่ยวเพราะเราจวนจะตายแล้ว เอาธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็กรรมของสัตว์เท่านั้น เราไม่มีอะไรรายได้รายเสียเกี่ยวกับเรื่องสั่งสอนสัตวโลกด้วยความเมตตา เราไม่มีอะไร สอนเพื่อให้เป็นคติเครื่องเตือนใจทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งทำลาย ไม่มีในหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านะ เอามาโอ้มาอวดกันต่างหาก กิเลสมันออกหน้าออกตา มันเป็นเจ้าคัมภีร์เวลานี้ ธรรมไม่มี คัมภีร์มีก็จับซุกจับซ่อนไว้ในตู้ในหีบ ล็อกกุญแจไว้เลยไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ให้กิเลสออกตลาด เวลานี้เป็นอย่างนั้นนะ

โถ มันยิ่งสลดสังเวชนะมองดูเท่าไร ๆ คือตากับใจมันไปด้วยกันจะว่าไง สติปัญญาไม่ต้องพูดว่าอย่างนี้เลย มันเปี่ยมตลอดเวลาไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา อกาลิโก คือสติปัญญาในหลักธรรมชาติ ไม่มีคำว่าตั้งว่าอะไรต่ออะไร ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น เรียนให้ถึงซิเรียนธรรมพระพุทธเจ้า มาพูดมาโม้เอาดอกไม้เอาอิฐเอาปูนเอาหินเอาทรายมาอวดพระพุทธเจ้าอยู่ทำไม สิ่งที่เลิศเลอทำไมไม่เอามาดู เอามาประดับในหัวใจมันจะเห็นหมดสิ่งต่าง ๆ ที่โลกไม่เห็น เราไม่เคยเห็นก็เห็นถ้าลงใจเปิดจากกิเลสความมืดดำออกมากน้อยเพียงไร มันจะเห็นมันจะกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ ๆ

เมื่อเต็มหัวใจแล้วใครเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ต้องหาพยาน สอนโลกได้สามโลกธาตุพระองค์ไปหาพยานที่ไหน ฟังซิ ของจริงเต็มส่วนแล้ว ไม่ว่าบรรจุธรรมในจิตดวงใดเป็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าหญิงว่าชาย นักบวชฆราวาส ถ้าลงได้เต็มหัวใจแล้วไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ดีดผึงออกมามีแต่ของจริงล้วน ๆ เลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะธรรม อันนี้มันมีแต่ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนมีแต่ของปลอม อย่างลูกศิษย์หลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด ไปที่ไหนชอบสร้างนะ เราขนาบอยู่เรื่อยมันก็ดื้อด้านนะ ลูกศิษย์มันเก่งกว่าครู หากมีนั่นแหละ เอ๊ มันอะไรก็ไม่รู้ มันไม่สนใจเรื่องการที่จะเข้าไปทำลายกิเลส อันนี้เราจับได้หมดนะ เพราะเราเคยผ่านมาแล้วเราจับได้หมดเลย

จับได้หมดยังไง คือกองไฟอันใหญ่หลวงมันอยู่ที่หัวใจ มันแสดงเปลวตลอดเวลา ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ขึ้นชื่อว่าคลังกิเลสอยู่ในหัวใจทั้งหมด ไม่มีตู้มีหีบคัมภีร์ใบลานข้างนอกเป็นที่ใส่ มีก็มีแต่ชื่อเท่านั้น ตัวกิเลสจริง ๆ อยู่ที่หัวใจ มันเผาที่หัวใจ พอหยั่งสติปัญญาเข้าไปปั๊บมันตีปั๊วะนี่หงายเลย ๆ เราอยากพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยว่า หงายหมาเลย หงายไม่เป็นท่าเขาเรียกหงายหมา หงายเป็นท่าคือหงายแมว ตบได้นะ แมวนี้ล้มทั้งหงายตบได้นะ แต่หมาล้มทั้งหงายมีแต่ร้องแง้ก ๆ เท่านั้น นี่เขาเรียกหงายหมา

ทีนี้พอจ่อสติปัญญาคือเป็นความเพียรเข้าไปสู่สติ มันตีทีเดียวหงาย ๆ ส่งแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญให้ไปหากว้านเอาโลกธาตุไหนก็มาเถอะ เอาไฟเข้ามาเผา มันไล่ออกไปหามา ที่จะไปปราบมันนี้ไม่ได้ เข้าทีไรก็เป็นอย่างนั้น ๆ ก็อ่อนใจซิ อ่อนใจไม่อยากภาวนา ครั้นภาวนาเข้าไปทีไรก็ไปเจอแต่กองไฟหงายออกมา ๆ แล้วทำยังไงหงายออกมา ก็ต้องทำตามกิเลส มันไล่ออกไปกว้านเอาฟืนเอาไฟเข้ามาเผาหัวใจเรา ไปทำอันนั้นดีทำอันนี้ดี ก่อนั้นสร้างนี้แก้รำคาญ มันเพิ่มรำคาญมันก็ไม่รู้ กิเลสให้เพิ่มรำคาญหารู้ไม่ ธรรมรู้ทันที นั่น แล้วไม่ทำอยู่ไม่ได้ที่นี่ ดีดนั้นดิ้นนี้ อยากทำนั้นสร้างนี้แล้วก็กวนญาติกวนโยม กวนห้ากวนสิบไปเรื่อย ๆ นะ นี่ละมันกวนไปหมด สุดท้ายติดหนี้ติดสินไปเรื่อย ๆ นี่ละธรรมเป็นโลกเป็นอย่างนี้

คือมันเข้าภาวนาไม่ได้ เราดูกรรมฐานเรานี้ไม่ต้องดูที่อื่น เพราะกรรมฐานเป็นผู้จะเข้าแนวรบ จะต้องเห็นเรื่องข้าศึกภายในสนามรบคือหัวใจของเรา ไปเจอนั้นแล้วก็หงายล่ะซีสู้ไม่ได้ นี่ฟัดมาแล้วถึงได้เอามาพูดนะ ถึงขนาดน้ำตาร่วง พี่น้องทั้งหลายฟังซิ เราเอามาอวดหาอะไร ความจริงเอามาล้วน ๆ เลยไม่สะทกสะท้าน ไปนั่งอยู่บนภูเขาภาวนาจะฟัดกับกิเลส กิเลสฟาดเอาหงายหมา ๆ น้ำตาร่วง โถ ๆ ขึ้นขณะนั้นนะ แต่เคียดให้กิเลสมันเคียดเป็นธรรม โถ ถึงขนาดกูมึงนะ เป็นอยู่ในใจเพราะความเคียดแค้นให้กิเลสสู้มันไม่ได้ มันซัดทีไรหงายเลย ๆ ไม่เป็นท่า ตั้งสติตั้งพับล้มผล็อย ๆ จนกระทั่งงงตัวเอง หือ มาทำความเพียรยังไง ตั้งสติยังไงถึงเป็นอย่างนี้ นั่นขนาดนั้น นี่ละกระแสของกิเลสเวลามันรุนแรง สติตั้งไม่อยู่เลยล้มผล็อย ๆ ตลอด จำได้เข้าถึงขั้วหัวใจ

จนขนาดกูมึงเทียวนะ น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา แต่ยังไงให้กูถอยกูไม่ถอย มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอา ๆ ถึงเวลากูแล้วยังไงมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย ถอยกลับออกมาก็ไปหาโรงงานใหญ่คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปศึกษาเล่าเรียนพอสมควรมาอีก หงายหมาอีก สู้มันไม่ได้นะแต่ไม่ถอย กลับไปอีกเอาอีก มาอีกซัดอีก หลายครั้งหลายหนก็มีหงายแมวบ้าง ได้ตบบ้างไม่ร้องแหง็ก ๆ ทีเดียว จากนั้นก็ขยับ ๆ เข้า หลายแมวเข้าก็แมวเต็มตัว จากนั้นเสือโคร่งเริ่มขึ้นแล้ว ที่นี่อรรถธรรมขึ้นแล้วนะ เสือโคร่งเริ่มขึ้นลวดลายแล้ว กิเลสเริ่มล่าถอย ๆ ทีนี้ตามต้อนกัน มันเห็นอยู่ในหัวใจนี้

ทีแรกมันเป็นไฟเลยนะ เข้าไม่ได้หงายเลย ๆ จำได้ขนาดนั้นน้ำตาร่วง นี่เรียกว่าหงายเลยไม่เป็นท่า เมื่อหลายครั้งเข้าไป ๆ มันก็มีกำลัง เพราะเราฟิตตลอดนี่ ฟิตด้วยความโกรธแค้น เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดถึงว่า ความโกรธแค้นนี้ทางโลกทั้งหลายถือว่าเป็นกิเลส แต่เมื่อเวลาขึ้นภาคปฏิบัติแล้วความโกรธแค้นไม่ได้เป็นกิเลสเสมอไปนะ เป็นธรรมก็มี เช่น ความโกรธความแค้นให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่ความโกรธความแค้นให้กิเลสภายในใจตัวเอง เพื่อจะแก้จะถอดถอนมันนี้เป็นธรรม ความโกรธแค้นนี้แหละให้มุมานะเต็มที่เต็มฐานไม่อ่อน ฟิตมาอีกเอาอีก สู้ไม่ได้กลับไปอีกฟิตมาอีก ความเคียดแค้นเต็มหัวใจ สุดท้ายก็อย่างว่านั่นแหละ หงายแมว จากนั้นก็เป็นเสือไปเลย จากนั้นก็เป็นราชสีห์ เอาให้มันเต็มเหนี่ยว

สติปัญญาตั้งแต่สมาธิตั้งตัวได้แล้ว ทีนี้พออยู่พอกินพอเป็นพอไปคนเรา อยู่ไหนอยู่ได้สบายถ้าจิตเป็นสมาธิ ตีฟืนไฟที่กิเลสมันแสดงเปลวออกมานี้ให้สงบตัวลง ความฟุ้งซ่านของจิตนั้นแลคือฟืนไฟเผาหัวใจเรา ทีนี้เวลาเราจ่อเข้าไปหลายครั้งหลายหน เป็นน้ำดับไฟ ๆ ด้วยความเพียร มันก็ค่อยสงบลง ๆ จิตก็เป็นสมาธิ พอเย็นสบาย อันนี้อยู่ได้สบาย อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดเมื่อจิตเป็นสมาธิ คนเราถ้ามีสมาธิสมบัติอยู่ไหนอยู่ได้ ถ้าไม่มีอันนี้ร้อนเป็นไฟ พระก็พระเถอะน่ะ มีแต่หัวโล้นผ้าเหลืองไม่มีความหมายอะไรแหละ ถ้าสมาธิคือความสงบใจไม่มีในใจแล้วหาความหมายไม่ได้นะ

นี่พูดเป็นขั้น ๆ ของธรรม พอขั้นของสมาธิ สมาธิก็แนบแน่น ๆ แน่นเข้าไปจนเป็นหินฟังซิน่ะ นี่ละสมาธิเต็มภูมิ เหมือนว่าเป็นภูเขาทั้งลูก ไม่หวั่นไม่ไหวเลย ทั้ง ๆ ที่มันหวั่นอยู่นั้นแหละ แต่ขั้นนี้เรียกว่ามันเต็มเหนี่ยวของมันในขั้นสมาธิ ประหนึ่งว่าเป็นภูเขาทั้งลูกไม่หวั่นไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่มันจะไหวอยู่ คือกิเลสที่เหนือกว่านั้นยังไหวได้ นู่นเราเข้าหาปัญญาถึงจะรู้ พอได้ปัญญา นั่นละนิวเคลียร์นิวตรอนมันอยู่ตรงนั้นจะมาฟาดสมาธิให้แหลก ซึ่งมันเคยทำเราแหลกหนหนึ่งมาแล้ว จิตเสื่อมปีหนึ่งกับสี่ห้าเดือน แหม เราไม่ลืมนะ เสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกา จนกระทั่งเดือนเมษา ปีหน้า เข็ดตั้งแต่นั้นมา ความทุกข์ใดไม่มีเกินความทุกข์ที่จิตเสื่อม ทุกข์แสนสาหัส เป็นฟืนเป็นไฟเหมือนไฟไหม้กองแกลบเผาลนอยู่นี้ พออันนี้ลงได้แล้วทีนี้จิตเข้าเป็นสมาธิ เข้าสมาธิได้แล้วเป็นเหมือนหิน เราก็ไม่เชื่อมันง่าย ๆ เพราะเคยเข็ดมาแล้ว ทีนี้ก็ซัดสมาธิให้แน่น

สมาธิเต็มที่แล้วเหมือนน้ำเต็มแก้ว ไม่เลยนั้นนะ อย่างนั้นซีรู้สมาธิ ให้มันเห็นประจักษ์หัวใจซิ เมื่อสมาธิเต็มภูมิแล้วเหมือนน้ำเต็มแก้ว เอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทลงมันก็ไหลออกหมด มันล้นแก้วไปหมดไม่อยู่ เพราะสมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้ว ทีนี้พอออกทางด้านปัญญา ทีนี้น้ำล้นแก้วที่นี่นะ นี่ละตอนที่เตลิดเปิดเปิง สมาธิออกเป็นทางด้านปัญญานี้กว้างขวางมาก ความรู้ทางด้านปัญญาอย่าเอามาเทียบ เรื่องขั้นสมาธิเหมือนน้ำเต็มแก้วเท่านั้น อันนี้ว่าท้องฟ้ามหาสมุทร ว่าอย่างนั้นถูกกัน ถึงเรื่องของปัญญาที่ออกก้าวเดินแล้วก้าวออกหมด สิ่งที่ไม่เคยรู้-รู้ ไม่เคยเห็น-เห็น

พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นี้ผิดที่ตรงไหน สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาตรัสไว้สอนไว้นี้ มีเป็นแบบเป็นฉบับร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เหมือนกันหมด ตั้งแต่บาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลก เปรตผีประเภทต่าง ๆ มีร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เหมือนกันหมด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ทีนี้เวลาปฏิบัติเข้าไป ๆ ทางด้านปัญญามันจะสอดจะแทรกนะ มันจะรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้มันก็รู้ ที่ไม่เคยเห็นก็เห็น พร้อมกับการฆ่ากิเลสไปด้วยกัน อะไรมาเกี่ยวโยงกันมันแทรกเข้าไปมันก็รู้ ๆ เรื่อย ๆ ไป

นี่ธรรมพระพุทธเจ้า รู้ที่ใจนะไม่รู้ที่อื่น รู้ที่ใจ แล้วกระจ่างออกไปเรื่อย ๆ รู้ที่ตรงไหนรู้ทางภาคปฏิบัติไม่เหมือนปริยัตินะ ปริยัติรู้ตรงไหนสงสัยตรงนั้น รู้บาปสงสัยบาป เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสวรรค์นิพพาน เปรตผีประเภทต่าง ๆ สงสัยไปหมด แต่ภาคปฏิบัติจับเข้าปั๊บนี่จะ อ๋อ ๆ ยอมเลย ก็มันจัง ๆ อยู่ในหัวใจแล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าทำไม ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้อง เราเห็นแล้วสิ่งที่สอนด้วยความถูกต้อง โดยไม่สงสัยในหัวใจเราแล้วเราจะไปถามท่านหาอะไร ก็มีแต่จริงจังเข้าไปเรื่อย ๆ

นี่ละความรู้ถ้าเกิดขึ้นจากความจริงทางภาคปฏิบัติแล้วจริงจังมากนะ แน่นหนามั่นคง มีรสมีชาติ มีน้ำหนักมากทีเดียว ไม่หวั่นไม่ไหวอะไรง่าย ๆ ไม่เหมือนความจำ ความจำเรียนไปเท่าไรไหวตลอด ไม่มีเนื้อมีหนังเป็นตัวของตัว จับหลักไม่ได้ พอเข้าภาคปฏิบัตินี้จับปุ๊บ ๆ แน่นหนามั่นคงเรื่อย ๆ นี่ละถึงขั้นปัญญา ปัญญามีหลายประเภท ปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากที่สุดในสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีปัญญาใดเกินปัญญาที่ฆ่ากามกิเลส ปัญญาที่ฆ่ากามกิเลสเป็นปัญญาผาดโผนโจนทะยานมาก เหมือนน้ำไหลโจนลงมาจากภูเขาซ่า ๆ บางทีกายไหวเลย นี่ละปัญญาขั้นนี้กับกิเลสขั้นนี้มันรุนแรง

มันหากเป็นของมันเอง ต่างอันต่างฟัดกันมันหากเป็นของมันเอง เหมือนนักมวยต่อยกันบนเวทีเข้าวงในกันนั่นแหละ ไม่มีใครรอใครแหละ อันนี้กิเลสกับธรรมก็ไม่รอกัน ซัดกันอย่างนั้น อันนี้ผาดโผนโจนทะยานมากไม่มีอะไรเกินในบรรดากิเลสครอบโลกธาตุนี้ มีกามกิเลสที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจสัตว์ทั้งหลายมากที่สุด แล้วสัตว์ทั้งหลายชอบมากที่สุดคือตัวนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงมีอำนาจครองหัวใจสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ตัวใดก็ตามตัวนี้ต้องครอง มีอำนาจ เรียนรู้มาสูงต่ำขนาดไหนก็ตาม มาจากประเทศไหนก็ตาม ประเทศใดก็มีแต่คลังกิเลส ๆ สอนออกมาจากคลังกิเลสด้วยกัน มันจะเป็นธรรมความเฉลียวฉลาดเหนือกิเลสไปได้ยังไง กิเลสก็ต้องครองอำนาจไว้เอาความรู้นั้นมาปฏิบัติต่อโลกต่อสงสาร สุดท้ายก็เอาความรู้นั้นแหละมาทำลายตัวเองและทำลายสังคม ตลอดชาติบ้านเมืองให้จมไปหมด ด้วยอำนาจของกิเลสนั้นแหละมันเหนืออำนาจอยู่นั้น

ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกความรู้ที่เรียนมามากน้อยนี้ เป็นข้าศึกได้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว เมื่อมีธรรมเข้าแทรกความรู้นี้จะพลิกแพลงเป็นความดิบความดีมาประดับบ้านเรือนตัวเองให้สดสวยงดงาม และชุ่มเย็นเป็นสุขไปได้ นี่เรื่องธรรม กิเลสตัวนี้รุนแรงมาก พอผ่านตัวนี้ไปได้แล้วทีนี้มันก็หมุนของมันเอง ไม่มีใครบอกมันหมุนของมันเอง เอ้าที่นี่บอกเลย เอ้า กิเลสตัวไหนเก่งให้มาคำว่าถอยจะไม่มีเลย ไม่มีคำว่าถอยกัน มีแต่ขาดสะบั้น ๆ ให้มันเห็นอย่างนั้นซินักปฏิบัติ นี่ละธรรมเมื่อมีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น

ที่น้ำตาร่วงกับกิเลสนี้ กับที่ว่ากิเลสตัวไหนเก่งให้มา มันประจักษ์แล้วนะ ตอนนั้นน้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ ตอนนี้กิเลสมีน้ำตาหรือไม่มีก็ไม่รู้แหละ ฟาดมันแหลก ๆ แพล็บเข้ามาซัดกันเปรี้ยง ๆ เลย เป็นอย่างนั้นนะ จนกระทั่งมันหมดเหตุหมดปัจจัยที่มันเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงวุ่นวายให้เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติเข้าไปหามหาสติมหาปัญญานี้ มันจะชุลมุนวุ่นวายด้วยอำนาจของมรรค มหามรรคที่จะฟาดกิเลสขั้นสุดยอดให้ขาดสะบั้นหั่นแหลกลงไป อันนี้ต้องทำงานตลอด เมื่อธรรมชาตินั้นม้วนเสื่อลงไปแล้ว เหล่านี้มันจะยุติของมันเองไม่ต้องบอก มันจะเร่งมาขนาดไหนก็ตาม เหมือนจะกินไม่ได้นอนไม่หลับจะเป็นจะตายก็ตาม เมื่อข้าศึกม้วนเสื่อลงให้เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว ไปต่อยลมต่อยแล้งหาอะไร นักมวยเขาต่อยกันใช่ไหมล่ะ

อันนี้ธรรมต่อยกิเลส เมื่อกิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วไปต่อยหาอะไร มันก็รู้เองหยุดเอง ถ้าเวลากำลังเป็นบ้าอยู่ให้รู้เจ้าของว่าเป็นบ้านะ ให้รู้ เวลาพักผ่อนหย่อนตัวก็ให้พัก เวลาก้าวเดิน-ก้าวเดิน เวลาให้น้ำต้องให้ นักมวยเขาต่อยกันบนเวทีเขายังมีการให้น้ำว่าไง ความแพ้ความชนะเขาเอาไว้ข้างหน้า แต่การต่อยกันนี้เอาสุดเหวี่ยง ๆ ทุกคน ถึงเวลาแล้วเขาก็ให้น้ำเห็นไหม เขาไม่ได้ต่อยกันจนตายตกเวทีทั้งสอง เขาไม่ได้ว่านี่นะ ถึงเวลาเขาก็ให้น้ำแล้วก็ต่อยกัน ๆ สุดท้ายก็ได้รับความแพ้ความชนะออกมาจากเวที นักปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้วมีแต่ชนะลงมา ที่จะแพ้ไม่มี นอกจากลูกศิษย์หลวงตาบัวมันจะเป็นบ้าล้มไม่หยุดไม่ถอย ไม่ทราบว่าล้มคว่ำล้มหงายให้กิเลสเหยียบหัวมัน เราช่วยมันไม่ได้ประเภทนี้มีแต่ กิเลสมึงเอาเลยจะบอกอย่างนั้นนะ เราช่วยคนไม่ได้เราจะช่วยกิเลส มึงเอาเลย ๆ มันโง่จะตาย กูสอนมันพอแล้วนี่ มึงเอาเลย ๆ ให้มันขี้แตกเยี่ยวราดว่างั้นนะ เอาละพอ

เป็นไงฟังเทศน์วันนี้ เห็นไหมล่ะเวลาขึ้นเวทีหมุนติ้ว ๆ พอลงจากเวทีแล้วก็เป็นคนธรรมดา วันนี้ไม่ทราบว่าเทศน์เรื่องอะไรเลยไปใหญ่ โห พุ่งใหญ่ พูดไปพูดมาเหนื่อย พอพูดจบลงแล้วจึงรู้สึกเหนื่อย นี่ละเวลาเขาต่อยกันบนเวทีเขาไม่คำนึงคำนวณถึงเรื่องความเหน็ดเหนื่อยนะ มีแต่ฟัดกันตลอด พอลงเวทีไปแล้วต่างคนต่างจะสลบ ผู้ชนะเสียเองบอบช้ำยิ่งกว่าผู้แพ้ก็มี เวลาขึ้นมันไม่ได้มองดูนะ

อันนี้ก็เหมือนกัน ธรรมะเป็นอย่างนั้นนะ เวลาได้ขึ้นเวทีแล้วธรรมะจะไม่มีรอเลย ยิ่งให้ธาตุขันธ์พร้อมแล้วนี้พุ่งเลยเทียวนะ ธาตุขันธ์เครื่องใช้ของธรรม ธรรมกับใจเมื่อพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยของธรรมแท้แล้ว ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน แยกไม่ออกเลย ธรรมคือใจ ใจคือธรรม รวมแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ ถ้าลงเป็นอันนี้แล้วไม่มีรอเลย สามแดนโลกธาตุนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่ละธรรมประเภทนี้ที่ครอบโลกธาตุเวลานี้ ว่าพระธรรมท่านช่วยหรือธรรมมีอยู่ๆ คือธรรมอันนี้เอง จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายมากี่กัปกี่กัลป์ ที่ตรัสรู้แล้วพระจิตกลายเป็นธรรมธาตุ ๆ รวมมาสักกี่กัปกี่กัลป์แล้ว ถ้าเป็นสมมุติก็เรียกว่าเป็นธรรมทั้งแผ่น ครอบโลกธาตุนี้หมด คือธรรมประเภทนี้

ธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมธาตุ ๆ แต่ละพระองค์ๆ แล้วก็บวกบรรดาสาวกเข้าอีก พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีสาวกมากน้อยเพียงไรนี้เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด รวมเข้า ๆ แล้วก็เป็นธรรมทั้งแผ่นครอบโลกธาตุ นี้ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ให้จำเอานะ จะไม่มีใครพูดอย่างนี้ หลวงตาบัวพูดอย่างอาจหาญเลยนะ นี่ละธรรมแท้ไม่มียังไง กิเลสมันแผ่กระจายอยู่ให้โลกเป็นฟืนเป็นไฟมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เราได้เคยถามไหมกิเลสมีมาแต่เมื่อไร ไม่เห็นถามวะ แล้วกิเลสจะสิ้นซากเมื่อไรไม่เห็นถาม แต่พอเวลาจะปฏิบัติธรรม ธรรมหมดเขตหมดสมัยแล้ว ฟังซิน่ะ มันเป็นอย่างนั้นนะให้กิเลสตีปากเอาทันที

ตีปากคือว่าถ้าว่ามรรคผลนิพพานไม่มีกิเลสเปี๊ยะเลยนะ ถ้าว่ามรรคผลนิพพานมีไม่ได้กิเลสตีปากเปี๊ยะเลย ถ้าว่ามรรคผลนิพพานหมดแล้วจะทำยังไงทำไปเถอะกิเลสเปิดปากอีกเข้าใจไหม กลับไปบ้านก็ด่าผัวด่าเมียยุ่งกันไปเลยละ กิเลสเปิดปากไปอย่างนั้นนะ เมื่อคืนนี้ไปไหน อ๋อ ไปฟังเทศน์ ความจริงมันไปหาอีหนูเข้าใจไหม มันเป็นอย่างนั้นนะ นี่ละเสมอกันอย่างนี้แหละธรรม แล้วทีนี้ข้อเปรียบเทียบนะ อย่างที่แม่น้ำมหาสมุทร ฝนตกทีละหยดละหยาดลงท้องฟ้ามหาสมุทรทั้งหมด แม้แต่ไหลมาจากสายคลองต่างๆ ก็ลงแม่น้ำมหาสมุทร ตกมาอย่างนี้ไหลลงมาอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์มากน้อยเพียงไร จนกลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทร ทีนี้เวลาเป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันแล้ว หยิบน้ำขึ้นหยดไหนก็คือน้ำมหาสมุทร จะไปหยิบหยดไหนที่ไหนมุมใดก็ตามเป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด

นี้จิตของท่านผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ทีแรกก็เป็นเหมือนน้ำทีละหยดละหยาดไหลมาจากสายต่างๆ ด้วยการบำเพ็ญของตน ๆ พอเข้าถึงธรรมธาตุด้วยกันแล้วก็เป็นน้ำมหาสมุทร แตะตรงไหนเป็นธรรมธาตุทั้งนั้น ๆ นี่ละเทียบกันได้ น้ำมหาสมุทรยังเล็กไปนะ ถ้าเราจะมาเทียบกับธรรมธาตุ อันนี้ใหญ่โตมากกว่านั้นเป็นไหนๆ แต่ที่จะเอาอะไรมาเทียบไม่มีทาง ก็เอามหาสมุทรเท่านั้นพอเทียบกันได้ จึงยกมหาสมุทรมาเทียบ ขอให้พิจารณาอย่างนั้นนะ นี่ละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น

ธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดมีความรักใคร่ใฝ่ธรรมตั้งใจปฏิบัติตัวดีอยู่แล้ว ตัวคนเดียวก็เป็นสุขอยู่ภายในใจชุ่มเย็น ในครอบครัวต่างคนต่างมีอรรถมีธรรมด้วยกันแล้วก็ต่างคนต่างสงบร่มเย็น ๆ สังคมต่างๆ ต่างคนต่างได้รับการอบรมนี้จะสงบทั่วหน้ากันไปตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ แต่นี้มันไม่ปฏิบัตินั่นซี สั่งสมแต่ฟืนแต่ไฟ พอหันหน้าเข้าหากันกัดกันแล้ว ๆ ไม่กัดก็แวกๆ ใส่กันแล้ว มันอย่างนั้นละ มันมีแต่หมูแต่หมาเต็มบ้านเต็มเมืองทั้งๆ ที่ไม่มีหาง ถ้าคลำดูหางก็อายหมา ถ้ามาทางปากหมาสู้ไม่ได้ เข้าใจ ถ้าคว้าไปหางยอมหมา กราบหมา หมาเขามีหาง แม้แต่ไอ้หมีเรายังมีหาง ๒ ข้อมือเราก็สู้มันไม่ได้เหมือนกัน

โห เทศน์เต็มเหนี่ยวนะ คือถอดออกมาจากของจริงจริงๆ มาเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีอะไรสงสัยแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ สาธุ เราไม่ได้ไปทูลถามพระพุทธเจ้านะ ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร เท่านั้นพอ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั่นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเองแล้วเป็น สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดแล้วถามใครก็เท่านั้น พระพุทธเจ้าก็สุดยอดสาวกทั้งหลายสุดยอดเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เดียวกันแล้ว ต่างองค์ต่างแบบเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร ก็เท่านั้นเอง

เวลานี้ก็ออกทางอินเตอร์เน็ตทุกวันแหละ ออกทุกวัน นี่อย่างนี้พูดสะเปะสะปะพูดเรื่องหมูเรื่องหมาเรื่องเป็ดเรื่องไก่เรื่องอะไรก็ตาม มันเป็นธรรมทั้งนั้นนี่นะ เราพูดนี้เราไม่พูดแบบเล่นๆ เหลาะๆ แหละๆ นะ ถึงพูดเรื่องหมาก็ตามธรรมจะแทรกอยู่ในนั้นตลอดๆ นะ เพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เราไม่ได้พูดแบบเถลไถลเหมือนหัวใจที่เคยเป็นโลกโลเลมาแล้วพูดก็ออกโลเลทั้งนั้นนะ แต่นี้มันไม่เป็น จะพูดแย็บออกไปทางไหนทางโลกทางสงสารก็มีธรรมแทรก ๆ ตลอดไปเลย เพราะฉะนั้นการพูดของเราจึงไม่เคยสะทกสะท้านหวั่นไหวว่าจะผิดไป แม้ที่สุดพูดเรื่องหมูเรื่องหมาเรื่องเป็ดเรื่องไก่เรื่องไอ้หมีไอ้หยองไอ้ปุ๊กกี้ก็ตาม มีธรรมอยู่ในนั้นแทรกๆ เราพูดได้อย่างสบาย

นี้เขาก็ออกอินเตอร์เน็ต ออกทั่วโลกเขาคงจะว่า อู๊ย หลวงตาองค์นี้พูดไปทุกแบบเลย พวกแกจนหูก็อย่างนั้นซี ข้าพูดได้ทุกแบบ พวกแกมีหูเดียวฟังไม่ได้ทุกแบบใช้ไม่ได้พวกนี้ ไล่ไปหาหูใหม่มา เราจะบอกอย่างนั้นเข้าใจไหม ดีไม่ดีไล่ไปหาหูใหม่มา ตัวจนตรอกมาว่าให้เราได้เหรอ

วันที่ ๓๐ คนนี้มาแน่น ท้องนาเต็มหมดเลย ฝนตกกลางคืนเปียกแฉะหมดเขาไม่สนใจเลย เต็มหมดจริงๆ ท้องนาเต็มหมด แล้ววันนั้นทองคำได้ ๖ กิโลกว่า ดอลลาร์ได้ ๕,๕๐๐ ดอลล์ คนก็มาก งานนี้งานแผ่ส่วนกุศลแก่สัตวโลกทั่วแดนโลกธาตุ โดยถือเอาโยมแม่เป็นต้นเหตุเท่านั้นเอง

ออกจากนี้ส่วนมากจะไปส่งสิ่งของตามโรงพยาบาลต่างๆ นะ ปกติโรงพยาบาลต่างๆ มาที่นี่มาโกดังใหญ่นี้ เราสั่งของไว้เต็มเอี๊ยดๆ นะโกดังใหญ่ โรงพยาบาลไหนมาๆ เราให้ครบคือเสมอกันหมด เราเป็นคนสั่งลงบัญชีไว้เรียบร้อย โรงนั้นอันนั้นเท่านั้นๆ รวมแล้วเป็นเท่านั้นต่อโรงๆ ไปเลยให้เสมอกันหมด เวลาไปก็ตบท้ายเติมน้ำมันให้หมดรถทุกคันๆ นี้เป็นประจำ

ส่วนที่เราไปเองนี้ ถ้าเราไปเองก็ได้พิเศษหน่อย คือส่วนมากเป็นอาหารสดบ้างอะไรบ้าง ถ้าเขามารับโดยลำพังนี้เขาจะได้เสมอกันแต่ไม่ได้อาหารสดของพิเศษ ถ้าเราไปได้พิเศษ เช่น กล้วยก็ได้ อาหารสดแปลกๆ ต่างๆ ก็ได้แล้วพวกผ้าขาวก็ได้ คือผ้าขาวถ้าเราจะให้ทุกโรงนี้มันไม่พอ เช่นอย่างเราไปกรุงเทพฯ นี้นะบอกตัดขาดสะบั้นเลย บอกว่าวัตถุสิ่งของไทยทานทั้งหมดที่เขามาถวายที่สวนแสงธรรมนี้ ห้ามนำเอาไปวัดป่าบ้านตาดทุกชิ้นเลย จะทำประโยชน์ให้ทางนี้ทั้งหมด เว้นแต่ผ้าขาว คือผ้าขาวมีมากน้อยเราจะริบรวมเก็บมาเข้าโรงพยาบาล คือเอามาโกดัง ทีนี้เราไปโรงพยาบาลไหนเราจะเอาผ้าขาวนี้ไปโรงพยาบาลนั้นๆ เพราะผ้าขาวมันไม่ทั่วถึง โรงไหนที่เราไปจึงได้แต่ผ้าขาวๆ ไป ด้วยเหตุนี้เองผ้าขาวจึงต้องเอามาจากกรุงเทพฯ ทางนี้ไม่พอ ผ้าขาวมีเท่าไรเอามาหมดเลยเพื่อโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งนั้นแหละ

สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวานนี้วันที่ ๓ มิ.ย. ทองคำได้ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕๘๕ ดอลล์ นี่ก็ได้ทุกวันๆ หัวหน้าไปทางไหนก็ขึ้นทางนั้นแหละ ขึ้นมากขึ้นน้อยขึ้นอยู่ตลอด เช่น มาทางนี้ก็ขึ้น ถึงน้อยก็ขึ้นตลอด ไปกรุงเทพฯ ก็ขึ้นทางนู้น มันขึ้นอยู่กับหัวหน้านะ ที่ปลงใจวางใจก็อยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นหัวหน้าไปทางไหนจึงต้องขึ้น ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงที่ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบตลอดมานั้นเป็น ๔,๐๐๐ กิโล อันนี้เราก็ได้ประกาศให้ทราบเรียบร้อยแล้วนะ ๔,๐๐๐ กิโลนี้เป็นอวัยวะของพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยมารวมกันแล้วเป็นรูปร่างขึ้นมา

ส่วนเงินสดที่เรากำหนดไว้ตายตัวแล้วนั้น ๘๐๖ ล้าน เงินจำนวนนี้เราจะเอาซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด นี้เราได้ประกาศแล้ว เราตายแล้วก็ต้องก้าวเดินตามนั้นเคลื่อนไปไม่ได้เลย นี่รอจังหวะตั้งแต่วันทองคำจะขึ้นจะลงขนาดไหนพอที่เงินเหล่านี้จะซื้อทองคำได้ เราตกลงกับลูกศิษย์แล้วให้ลูกศิษย์พิจารณาทางโน้น สมควรแล้วบอกเราจะจ่ายทันทีเลย ๘๐๖ ล้านนี้จะเข้าซื้อทองคำต่อยอดนะ คืออวัยวะของพวกเรา ๔,๐๐๐ กิโล ส่วน ๘๐๖ ล้านนี้จะขึ้นต่อยอด อันนี้มานับเข้าในนี้ไม่ได้นะ ๔,๐๐๐ กิโลนี้ต้องเป็นอวัยวะของชาติไทยเราทั้งชาติเลย ส่วนทองคำที่จะต่อยอดนี้เอาออกจาก ๘๐๖ ล้าน นี้ขึ้นต่อยอด ให้พากันเข้าใจตามนี้นะ

ทองคำที่ได้มอบเรียบร้อยแล้วเวลานี้ทั้งหมด ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากฝากและยังไม่ได้หลอมเวลานี้ ๔๑๗ กิโล ๔๒ บาท ๘๔ สตางค์ อันนี้เราคาดว่าอาจจะได้หลอมในเวลาไปกรุงเทพฯ คราวนี้ เพราะทองคำมัน ๔๐๐ กว่ากิโลแล้ว เมื่อหลอมแล้วต้องไม่ให้ต่ำกว่า ๔๐๐ กิโล กว่าจะถึงวันเราหลอมคงจะได้มากกว่านี้อีก รวมทองคำทั้งหมด ๒,๔๘๐ กิโลพอดี พากันจำเอาไว้นะยังขาด ๔,๐๐๐ กิโลอีก ๑,๕๒๐ กิโลให้พากันทราบไว้ทั่วหน้ากัน

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก