ผลของการฝึกตน
วันที่ 26 มีนาคม 2551 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผลของการฝึกตน

          ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง เรียกว่า ๑๑ ตันกับ ๖๓๗ กิโลครึ่ง นี่หมายถึงทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มขึ้นมาอีก ถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม เป็น ๔๘ กิโล ๑๐ บาท ๖ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็น ๑๑,๖๘๕ กิโล ๔๒ บาท ๙๕ สตางค์ พาพี่น้องหาสมบัติเข้าคลังหลวง ได้เยอะนะ

          เราจะทำห้องล่างเป็นที่พัก ไม่ขึ้นข้างบนเหน็ดเหนื่อย เราก็ไม่เคยคิด กุฏิหลังนี้สร้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ อยู่มาถึงวันนี้แหละนานเท่าไรไม่เคยคิดว่าจะขึ้นลงลำบาก ทีนี้มาเป็นแล้วขึ้นลงลำบาก สุดท้ายเลยจะเอาที่ข้างล่างพื้นล่างเป็นที่พัก ทีนี้มันเลยดังว่าสร้างกุฏิกุแตะอะไร เราก็จะทำห้องข้างล่าง ต่อไปจะไม่ขึ้นข้างบนแล้วละ ขึ้นลำบาก ไม่เคยคิดนะ อยู่มาเท่าไรปี ตั้งแต่ ๒๕๐๕ จนมาถึงระยะนี้มันกี่ปี (๔๕ ปี) เออนั่นละ ปีนี้มาปรากฏแล้วขึ้นไปกุฏิขึ้นบันไดขึ้นไปถึงพื้นแรกก็เหนื่อย พื้นที่สองหอบๆ เรื่อย พื้นที่สามที่สี่เลยจะสลบไสล พื้นที่ห้าตายอยู่ห้องนอน นี่จะทำที่พักข้างล่างเข้าเลยออกเลยไปเลย

          วันนี้ก็ไม่สบายเป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ ตั้งแต่ตื่นนอนมาลุกโซซัดโซเซ เดินไปข้างนอกก็เหมือนกัน ตั้งแต่ตื่นนอนลุกขึ้นโซซัดโซเซ วิงเวียน อย่างนั้นละคนแก่เวลามันจะเป็นมันบอกใครเมื่อไร มันเป็นของมัน เมื่อเช้าพอตื่นนอนลุกโซซัดโซเซ มันจะหกล้ม เป็นอย่างนั้นละ จากนั้นเลยขึ้นรถเล็กไปดูอะไรต่ออะไรทางนู้นแล้วเข้ามา วันนี้ธาตุขันธ์อ่อนมาก มีวิงเวียนมีอะไรรวมอยู่นี้หมด

          นี้เราพูดเฉยๆ เราไม่เห็นยุ่งกับมัน มันจะวิงเวียนก็วิงเวียนไปซิ เราไม่เห็นว่าอะไร เดินลงจากกุฏิมาพอเดินลงมาวิงเวียนปั๊บล้มตูมเลย แน่ะเป็นอย่างนั้น แต่มันสำคัญที่สติ มันวิงเวียนปุ๊บปั๊บหมุน ล้มลง คว้าต้นไม้ได้ไม่ลงแรง มือคว้าต้นไม้เล็กๆ ต้นเกือบเท่านี้แหละจับ ยับยั้งไว้ได้ ไม่รุนแรง บทเวลามันจะเป็นวิงเวียนปุ๊บเดียวเท่านั้นลงเลย

          แต่ว่าสติมันดีเท่านั้น้ พูดเรื่องสตินี่พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีเวลาเผลอเลยว่าอย่างนั้นนะ มันเป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนี้ เผลออะไรไม่เคยมี เรียกว่ามันเต็มของมันอยู่ในจิตนั่นละ จะว่าพร้อมหรือไม่พร้อมมันจะไต่ถามกันอีกนะ มันเต็มอยู่ตลอดอยู่ในหัวใจนี่ นี่ก็จากการบำเพ็ญภาวนาจะเป็นอะไรไป บำเพ็ญภาวนามาตั้งล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมาๆๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ว่าวัดดอยธรรมเจดีย์ มันก็มาตัดสินกันลงประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม

จากนั้นมาสติกับจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นหลักธรรมชาติ คือประเภทธรรมธาตุ ถ้าว่าธรรมธาตุภายในจิตนี้สนิทดี พอจิตออกไปแล้วก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ จิตดวงนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่มีคำว่าจิตสูญ ตายแล้วสูญไม่มี พอตายแล้วจิตก็เป็นธรรมธาตุไปเลย การฝึกตนเราก็ได้ฝึกเต็มกำลังความสามารถ ตั้งแต่เริ่มไปบวชทีแรกเราก็ไม่ลืม เริ่มออกไปบวชทีแรก

พ่อขึ้นมาจากวัดร้างแต่ก่อน ทางบ้านนิมนต์ท่านพระครูมาทำบุญบ้านตาด พอตายบ่ายท่านจะกลับ พ่อก็มาจากท่านพระครู เราเตรียมพร้อมแล้วจะออกไปบวช บอกว่าท่านพระครูท่านเตรียมพร้อมไว้แล้ว เราก็เตรียมจะลุก แม่ก็มานั่งปั๊บเลย แม่จะพูดนะ อย่างอื่นอย่างใดแม่ไม่มีที่ต้องติ บอกตรงๆ แม่ตายใจทุกอย่างสำหรับลูกคนนี้ แม่ไม่มีที่ต้องติ แต่ที่แม่วิตกวิจารณ์มากที่สุดก็คือการนอนนะลูกนอนนี่เหมือนตาย ว่าอย่างนั้น

เวลาบวชแล้วหมู่เพื่อนไปบิณฑบาตในบ้านในเมืองที่ไหนกลับมา แล้วไปปลุกท่านบัวมาฉันจังหัน อย่าให้แม่ได้ยินนะ แม่จะเอาหัวมุดดินเลย แม่วิตกจะตาย แต่แม่ไม่รู้เรื่องภายในใจของเรา คือถ้าเราได้สั่งแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปธุระอะไรแต่เช้าให้แม่ปลุกหน่อย พอแม่รับทราบแล้วทีนี้ทอดธุระนะว่าแม่ทราบแล้ว ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง นี้ก็เหมือนว่าตายทั้งเป็น ไม่มีที่จะลุกเอง คือทอดธุระ ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง มือสะกิดนิ้วเท้าดีดผึงไปเลย

ส่วนพี่ชายบอกแม่ แต่ถึงเวลาเขาตื่นแล้วเขาไปของเขาเองก็มี ไม่ต้องได้ปลุก เรานี่ต้องทุกครั้ง เพราะอะไร แม่ไม่รู้ความภายในของเรา คือเราทอดธุระว่าได้บอกแม่แล้ว ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง ทีนี้ก็เอาตายเข้าว่าเลย แม่วิตกกับการนอนของเรา เราไม่บอกละ พอออกจากบ้านไปถึงวัดเท่านั้นละสอนตนทันทีเลย แต่เราสอนเด็ดขาดนะ สอนเจ้าของก็แบบเดียวกัน คนอื่นยังสอนย่อหย่อนกว่านี้ สอนเจ้าของเอาเด็ดขาดเลย ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น

ทีนี้แม่ไม่ได้มาปลุกนะ เราต้องเป็นตัวของเราทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่นั้นมาพับตื่นนอนดีดผึงๆ เลย นอนนี้เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพราน ดีดผึงเลยนอน เป็นเวลา ๑๘ พรรษาตั้งแต่เข้านาค ถึง ๑๘ พรรษา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปหมดแล้ว กิเลสกับหัวใจก็ฟัดขาดสะบั้นลงไปตั้งแต่พรรษา ๑๖ แล้วไปถึงพรรษา ๑๘ มารำพึง เออ การฝึกตนเองเรานี้ก็ได้ฝึกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีที่ต้องติในการฝึกตน

ทีนี้พรรษา ๑๖ เรื่องราวก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ถึงพรรษา ๑๘ การตื่นนอน ตื่นแต่ก่อนตื่นเรื่องของนักรบยกให้ คือนักรบตื่นดีดผึงๆ เลย ทีนี้อะไรๆ ก็ผ่านไปหมดแล้วให้ตื่นนอนเป็นธรรมดา รู้ทิศรู้ทางเรียบร้อยแล้วค่อยลุกไปด้วยความมีสติธรรมดา สอนเจ้าของ แม้เช่นนั้นพอรู้สึกพับดีดเลยนะ ดีดเลย มันเคย เคยฝึกนาน มันจึงฝึกได้ พอตื่นนี้ดีดผึงเลย นี่ความฝึกเจ้าของฝึกอย่างนั้น

พรรษา ๑๘ จึงฝึกใหม่ ตั้งแต่ไปบวชถึงพรรษา ๑๖ กิเลสกับจิตกับธรรมฟัดกัน ๑๖ ปีขาดสะบั้นลงไป พรรษา ๑๘ ได้พลิกการหลับการนอนเสียใหม่ อย่างนั้นแหละ แม้แต่อย่างนั้นมันยังดีดก่อนนะ พอรู้สึกดีดผึงๆ เลย นี่ละการฝึกเราเราฝึกมาอย่างนั้นเป็นต้นมาเลย เราได้พิจารณาย้อนหลังไม่ได้มีที่ต้องติการฝึกฝนเจ้าของ เรื่องศีลเรื่องธรรมทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ พรรษา ๑๘ จึงได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงการนอนเสียใหม่ พอนอนรู้สึกทิศทางเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้นมา ด้วยความมีสติงามตางามใจธรรมดา

พรรษา ๑๘ เปลี่ยนการนอนใหม่ ตั้งแต่พรรษานี้ไปถึงพรรษา ๑๘ เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพราน พอตื่นนอนดีดผึงๆ ตลอด จากนั้นมาแล้วก็ปล่อยละ ตั้งแต่พรรษา ๑๘ ฝึกเจ้าของฝึกการนอนให้ตื่นขึ้นธรรมดา อย่าให้ตื่นขึ้นแบบนักรบ คือนักรบนี่พอตื่นดีดผึงเลย นักรบเป็นอย่างนั้น นี่เราก็เป็นมาอย่างนั้น ถึง ๑๘ ปี แบบนักรบ พอจากนั้นมาก็ฝึกใหม่

ทีนี้พอฝึกได้แล้วทุกวันนี้พอตื่นขึ้นมาพลิกทางนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วพลิกทางนี้ ถึงเวลาหมู่เพื่อนปลุกมาฉันจังหัน เรียกว่าฝึกได้ว่าอย่างนั้นเลย มันฝึกได้อย่างนั้นแล้ว หมู่เพื่อนปลุกมาฉันจังหันแล้วทุกวันนี้ เรียกว่าฝึกได้ แต่ก่อนฝึกอย่างนั้น ตอนนี้ฝึกแบบนี้ ให้ได้ทุกแบบ ไม่ให้ผ่านพ้นการฝึกของเราไปได้ เพราะฉะนั้นการฝึกตัวเองจึงไม่มีที่ต้องติ การฝึกของเราอย่างนั้นจริงๆ เอาจริงเอาจังมากทุกอย่าง ว่าอะไรเป็นอันนั้นๆ ขาดสะบั้นๆ ไปเลย ไม่มีอ่อนแอท้อแท้ ถ้าลงตัดสินใจลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย เจ้าของเองก็แก้ไม่ได้ เหตุผลที่ว่าลงแล้วนะ ถ้าเหตุผลเจ้าของเองไม่เหนือกว่าเหตุผลที่ตั้งไว้ก่อนแล้วแก้ไม่ได้ ต้องให้เป็นไปตามนั้น ถ้าเหตุผลเจ้าของตั้งขึ้นมาใหม่เหนือกว่าแล้วก็แก้ได้ เป็นอย่างนั้นความสัตย์ความจริง

การฝึกนี้ได้ฝึกมาทุกแบบตั้งแต่เข้าบวช แต่ก่อนไม่ได้ฝึก ตั้งแต่เป็นฆราวาสญาติโยมไม่เคยฝึก พอไปบวชทีนี้ก็พลิกแพลงเป็นใหม่หมดเลย เป็นชีวิตของพระไปเลย ของธรรมของวินัยไปเรื่อยตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งบัดนี้ ชีวิตเปลี่ยนจากสภาพแห่งความเป็นฆราวาสมาเป็นพระร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอด อะไรที่เคยที่ปฏิบัติมามันขัดข้องต่อธรรมวินัยของนักบวชต้องแก้ทันทีเลย แก้ๆ ตอนมาแก้กิเลสนี้มันยากนะ แก้นิสัยเจ้าของอะไรๆ แก้ได้ๆๆ แต่มาแก้กิเลสนี้ โถ ไม่ใช่ของเล่นนะแก้กิเลส

ตั้งแต่บวชมา ๑๖ พรรษา วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละวันแก้กิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ เป็นฟ้าดินถล่มวันนั้นเอง วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นวันแก้กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจ ไม่มีอะไรๆ เหลือเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้คาดได้คิดว่าตายแล้วจะไปเกิดไหนไปยังไงมายังไง สถานที่อยู่ที่ไปไม่มี ขาดไปหมดจากสมมุติทั้งปวง ไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ก็เหลือแต่กิริยามารยาท กิริยามารยาทมันอยู่ในสมมุติ อยู่ในโลกธรรม มีติมีชมได้เป็นธรรมดา สำหรับจิตผ่านหมดแล้ว ไม่มีที่ตำหนิติเตียนตรงไหน พอแล้วด้วยความอัศจรรย์

นั่นละการฝึกจิตฝึกให้ถึงขั้นอัศจรรย์ พอแล้วด้วยความอัศจรรย์ ทีนี้จะไปแก้อะไรอีก ไม่มีทางแก้แล้ว หมด แต่กิริยาอาการนี้จะต้องแก้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่-บุคคล-สังคม นิยมอย่างไรก็แก้ไปเรื่องธรรมดา ส่วนใจกับกิเลสไม่ได้แก้กันอีกเมื่อขาดออกไปแล้ว อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า อันนี้ก็ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว เหมือนกัน เราไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้านะ เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนตนจนได้ผลแล้วกราบทูลท่าน พูดง่ายๆ ว่าผลได้อย่างนี้

ทีนี้เวลามันแก่เข้ามา มาอยู่กับหมู่กับเพื่อนต้องใช้แบบหูหนวกตาบอดนะ เราพูดจริงๆ ถ้าดูสายตาของคนทั้งหลายดูก็ว่างามตาอยู่ดูพระดูเณรในวัดนี้ เราเองถ้าจะดูแบบโลกเขาดูก็งามตาอยู่ตลอด แต่ดูแบบธรรมภายในจิตใจเป็นอย่างไร มันเซ่อซ่าหรือว่ามีสติ ตั้งท่าตั้งทางอย่างไรบ้าง นักรบต้องเป็นผู้มีสติติดตัวตลอด นั่น เอาตรงนั้น การฆ่ากิเลสฆ่าแบบนั้น เพียงธรรมดากิริยานี้ฆ่าไม่ได้ฆ่ากิเลส ต้องเอาสติเข้าไปฆ่า

นี่ก็พูดได้อย่างชัดเจนให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ในผลงานของตัวที่ปฏิบัติตั้งแต่เริ่มบวชเป็นพระมา นั่นละเปลี่ยนแปลงชีวิตความประพฤติทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรขัดข้องต่อความเป็นนักบวชต่อธรรมวินัยตัดขาดหมด เอาชีวิตของพระมาใช้ตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ชีวิตของฆราวาสที่เคยใช้มานั้นปัดออกๆ เพราะขัดข้องต่อธรรมวินัยขัดข้องต่อเพศของนักบวชแก้ให้หมด ให้เหลือแต่เพศของนักบวช การประพฤติตัว ปฏิบัติตามเพศของนักบวชเรื่อยมาจนชิน

มันชินเป็นอย่างไร เราเดินไปนี้นะคือความชิน ถ้าธรรมดามันเหยียบดะไปเลย สัตว์ตัวใดก็ตามเป็นมดเป็นแมลง ที่เราไม่ได้ฝึกนะมันเหยียบดะไปเลย ทีนี้ชีวิตของความเป็นพระมันเคยต่อการให้อภัยสัตว์ ขาดไปหมดเลยเรื่องการฆ่าสัตว์ด้วยเจตนานี้ เราไม่เคยมีตั้งแต่บวชมาที่ฆ่าสัตว์ จะตัวเล็กขนาดไหนก็ตามที่เราจะเจตนาฆ่ามัน มีเจตนานี้ไม่มี ส่วนความผิดพลาดเหยียบมันไปบ้างเป็นธรรมดานะ แต่ที่จะเป็นไปด้วยความจงใจไม่มี นี่ละการฝึก ทีนี้พอเดินลงไปจะเหยียบมดนะ ก้าวลงไปกำลังจะเหยียบมดโดดผึงเลยนะ มันไม่เหยียบ กำลังก้าวลงไปจะไปเหยียบมดพอเห็นปั๊บนี่โดดไป ข้าม ไม่เหยียบ มันเป็นนิสัยอย่างนั้นแล้ว

แล้วการฝึกมาก็เป็นที่พอใจ ให้พี่น้องทั้งหลายเอาไปเป็นคตินะ เราบวชมาในชาตินี้ได้ทำประโยชน์ ส่วนเราก็เต็มเหนี่ยว หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะแก้ คำว่ามลทินที่จะเป็นเชื้อต่อโยงของวัฏฏะไม่มีในจิต ขาดสะบั้นไปหมดเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็นำธรรมนั้นมาสอนพอเป็นคติเครื่องเตือนใจได้ (เสียงสัญญาณกันขโมยรถดังขึ้น) มันมีทุกแบบวัดนี้ พูดก็เลยขาดนิทานไป ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไร อันนั้นแก๊กๆ ขึ้นก็เลยตัด ลืมแล้วพูดเรื่องอะไร เรื่องการฝึกอย่างนั้นละฝึกได้

ธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลกสอนได้พระองค์จึงนำมาสอน ศาสดาของโลกสอนโลกได้ พระพุทธเจ้าเป็นอันดับแรก อันดับสองก็พระสาวกที่ฝึกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เป็นผู้สิ้นกิเลส คำว่าสาวกสิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้ว ทีนี้นำมาฝึกเจ้าของก็หายสงสัย ไม่มีที่ต้องติว่าเรายังบกพร่องตรงไหนในจิตของเรา ยังไม่บริสุทธิ์ตรงไหนไม่มี อยู่อย่างนั้น จะพูดถึงว่าสง่างามตลอดเวลาก็ไม่ผิด เพราะจิตดวงนี้มันจ้าอยู่ตลอดภายในหัวอก เดินไปไหนนั่งนอนมันเป็นอย่างนั้นอยู่โดยหลักธรรมชาติของมัน จะเดินจะเหินไปไหนเจ้าของจะโซซัดโซเซไปตามวัยก็ตามแต่อันนั้นไม่เป็น สง่าอยู่ภายในจิต

ฟังเอานะนี่ ผลของการปฏิบัติฝึกหัดตนเป็นอย่างนั้น ภายในมันสง่าอยู่งั้นตลอดเวลา ทีนี้ตายแล้วจะไปเกิดไหนมันบอกชัดๆ แล้ว นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว บอกชัดเจน สิ่งที่พาให้เกิดคืออะไร ก็คือกิเลส กิเลสขาดสะบั้นลงแล้วอะไรจะมาพาให้เกิดอีก ไม่เกิดแล้วจะไปไหนไม่สงสัย สนฺทิฏฺฐิโก คือผลงานของตนสมบูรณ์แล้ว ไม่เป็นกังวลที่จะไปเกิดไปตายที่ไหนอีกแล้ว นั่นเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผลงานสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปเกิดไปตายที่ไหนอีก

นี่ก็พูดได้อย่างชัดๆ บอกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราในการที่จะมาเกิดมาตายอีกต่อไป ในใจของเราถึงขั้นนั้นแล้ว พูดให้มันชัดเจน ฟังผู้ปฏิบัติ การพูดโกหกพกลมกันทั่วโลกทั่วสงสารเพลินเป็นบ้ากัน การพูดอรรถพูดธรรมนี้หาว่าโอ้ว่าอวดนะ พวกบ้าเป็นอย่างนั้น ของดีมันไม่เอา ถ้าเป็นของชั่วมันคว้ามับๆ ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้

นี้เรากำลังพูดธรรมจากผลงานที่เราปฏิบัติมาได้เต็มหัวใจแล้ว เราไม่มีอะไรสงสัยในโลกอันนี้ วัฏวนเกิดมาตายมาพอแล้ว คราวนี้จะไม่มาเกิดมาตายอีกด้วยความบริสุทธิ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างไร เดินตามร่องรอยที่ศาสดาสอนไว้ได้เต็มที่อย่างนั้นนะใจ จึงหมดเรื่องภพเรื่องชาติที่จะมาเกิดมาตายที่ไหนอีก หายสงสัยในจิตดวงนี้ จึงว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่กลับมาเกิดตายกองกันอยู่อีก นี่ละการประพฤติปฏิบัติฝึกหัดตนเป็นอย่างนี้ผลงาน

สำหรับกิริยาภายนอกนั้นเป็นสมมุติด้วยกัน ธาตุขันธ์กิริยาอาการเคลื่อนไหวไปมามันเป็นสมมุติด้วยกัน มันอยู่ในสนามแห่งโลกธรรม ๘ ตำหนิติเตียนชมได้อันนี้นะ แต่ธรรมชาตินั้นเหนือแล้ว หมด อย่างพระสารีบุตรท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าแล้ว นิสัยท่านเคยเป็นลิงมาแต่ก่อน ท่านคิดสนุก สนุกในขันธ์นะ ไม่ได้สนุกในจิต ท่านสนุกในขันธ์ของท่าน

พอข้ามคลองเล็กๆ ท่านโดดข้ามทางนั้นแล้วโดดข้ามมาทางนี้ บรรดาพระทั้งหลายที่เดินตามหลังยกโทษท่าน เอ๊ ทำไมพระสารีบุตรก็ว่าเป็นทั้งพระอรหันต์ด้วย เป็นทั้งอัครสาวกข้างขวาด้วย แล้วทำไมจึงมาทำตัวเหมือนลิง ว่าอย่างนั้นนะ พระสงฆ์ทั้งหลายยกโทษพระสารีบุตร ท่านคิดสนุกในขันธ์ของท่านต่างหากนะ ไม่ได้เป็นในจิต คิดสนุกในขันธ์ที่เป็นนิสัยเดิมมาตั้งแต่เป็นลิงเข้าใจไหม โดดข้ามนั้น โดดข้ามมานี้

พระยกโทษท่าน ไปก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า นั้นมีพระพุทธเจ้าตัดสินให้ไม่มีอะไร อย่างพวกเราทุกวันนี้ไม่มีใครตัดสินให้ คดีมันก็ค้างอยู่ตลอดไปละ พระพุทธเจ้าตัดสินให้ขาดสะบั้นไปเลย ไปฟ้องว่าพระสารีบุตรมาทำอย่างนั้นๆ ทำตัวเหมือนลิง ว่าอย่างนั้นนะ ฟังว่าดูไปฉันมาหรือไปอะไรมา เราจำได้ตั้งแต่ท่านโดดกลับไปกลับมาเป็นนิสัยที่ท่านเคยเป็นลิงแต่ก่อนมา แล้วไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงรื้ออดีตชาติของท่านมาให้ฟัง พระก็หายสงสัย

คือเป็นแต่ขันธ์ที่มีนิสัยติดมาเท่านั้นที่แสดงอย่างนั้น ความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วนั่น ความบริสุทธิ์ไม่มีอะไรจะตำหนิ ในสามแดนโลกธาตุผ่านหมดแล้ว ส่วนธาตุขันธ์หรือกิริยาอาการนี้อยู่ในวงสมมุติก็ต้องถูกตำหนิติชมเป็นธรรมดาละ

(กิเลสอาสวะกับอวิชชาเป็นไวพจน์กันได้ไหมค่ะ) ไม่ทราบอะไรละ ไปหามาจากไหนก็ไปพิจารณาเถอะ เรามันเรียนน้อยไม่รู้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ก็มีอันเดียวละเป็นตัวเหตุ พออวิชชาขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว สงฺขารา อะไรๆ ไม่มี ถ้าจะพูดถึงขันธ์ที่คิดที่ปรุงนี้ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไปเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไปเสียเมื่อกิเลสสิ้นจากใจแล้ว

ถ้ากิเลสยังมีอยู่ขันธ์เป็นพิษตลอด เป็นคุณตลอด ทำให้เป็นคุณเป็น ทำให้เป็นพิษเป็น ถ้าจิตสิ้นกิเลสแล้วขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไป กิริยาอย่างพระสารีบุตรโดดข้ามคลองเล็กๆ นั่นขันธ์ล้วนๆ จิตของท่านบริสุทธิ์แล้ว นิสัยเดิมที่ท่านเคยเป็นลิงมันติดอยู่ในนั้น ท่านโดดข้ามไปข้ามมา คิดสนุกในขันธ์เฉยๆ ไม่ได้สนุกในจิต สนุกในนิสัยของขันธ์ เป็นอย่างนั้นละ เอาละพอ

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก