เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
วัดเป็นแบบฉบับของประชาชน
นี่ก็ยังไม่มีเจ้าอาวาสนะวัดโยธานิมิตร วัดโยธานิมิตรเป็นวัดของเรา เราบวชแล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง สองพรรษา จากนั้นก็ไปตลอดจนกระทั่งถึงมาอยู่นี่ ก็ยังถือว่าวัดโยธาเป็นวัดของตัวเองเจ้าของอยู่นั้นแหละ มีลักษณะคอยรับผิดชอบตำหนิติชมอยู่จากวัดนี้ตลอดมานะ นี่ก็จะองค์ไหนมาเป็น ก็จะให้พระท่านเขียนจดหมายหรือให้ท่านไปเองไปหาท่านเจ้าคุณวัดโพธิ ให้พิจารณาพระที่สมควรจะเอาองค์ไหนมาเป็นสมภารวัดโยธานิมิตร เราเป็นคนจัดเอง ก็ให้ท่านได้จัดส่งมา สำหรับพระในวัดโยธานิมิตรพระอายุพรรษาน้อยๆ ยังไม่สมควรจะเป็นเจ้าอาวาสหรือเป็นหัวหน้าวัดนั้นได้
ตอนท่านด้วงยังมีชีวิตอยู่ก็เริ่มจะสร้างโบสถ์ใหม่ โบสถ์หลังเก่ามันเสียเสียมาก พอดีเราเดินเข้าไปก็ไปเห็นกำลังจะเริ่มสร้างโบสถ์ ไม่ว่าซ่อมนะ สร้าง เราก็เลยพูดกับท่านด้วงว่า เอา จะสร้างก็สร้างเสีย ผมจะให้เป็นปฐมฤกษ์ ๑ ล้านบาท ก็มอบให้เดี๋ยวนั้น ๑ ล้านบาท ต่อไปก็เริ่มสร้างไปได้เลย พอดีพระครูด้วงก็เสียไป เรายังไม่เข้าไปถามดูเรื่องโบสถ์ ลงความเห็นกันอย่างไรบ้างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เกี่ยวกับเรื่องสร้างโบสถ์
คือโบสถ์นั้นมันชำรุดมากแล้ว รื้อหมดแล้ว เราไปเห็นรื้อแล้ว เริ่มรื้อ เราก็เลยเสริมเป็นปฐมฤกษ์มอบเงินให้ ๑ ล้านบาทเป็นปฐมฤกษ์ ก็ว่าอย่างนั้น เอาจะทำอะไรก็ทำ ก็เท่านั้น แล้วไม่นานท่านด้วงก็ถูกรถชน น่าจะไม่ไกลบ้านศาลา อำเภอหนองหาน เรื่องโบสถ์ก็เลยยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เจ้าอาวาสวัดโยธาเราก็ไปทาบทามกับท่านเจ้าคุณวัดโพธิไว้บ้างแล้ว ให้ท่านจัดหาพระผู้ใหญ่มีคุณธรรมสมควรที่จะเป็นหัวหน้าวัดโยธานิมิตร เรายังไม่เข้าไปย้ำอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่นอน
เราสองพรรษาล่วงแล้วออก อยู่วัดโยธานิมิตรสองพรรษา พอออกพรรษาที่สองแล้วเลยออกเลย ออกจนป่านนี้ เลยไม่ได้คืนไปจำพรรษาที่วัดโยธาอีกเลย แต่ท่านพระครูท่านก็มาวัดเรา ท่านพระครูวัดโยธานิมิตรที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสตอนที่เรามาสร้างวัดใหม่ๆ ท่านก็มาที่วัดป่าบ้านตาด อะไรๆ มันขึ้นอยู่กับหัวหน้านะ หัวหน้าครอบครัว หัวหน้าบ้าน เช่นผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าตำบลตลอดไปถึงอำเภอ ผู้ว่าเรื่อยไป หัวหน้าเป็นสำคัญ หัวหน้าเหมือนกับเข็ม บริษัทบริวารเหมือนกับด้ายวิ่งตามเข็ม เข็มสอดไปทางไหนด้ายก็ตามไป หัวหน้าเป็นอย่างไรลูกน้องก็ต้องตามไป จึงขึ้นอยู่กับหัวหน้า หัวหน้าเป็นสำคัญมากทีเดียว
แม้แต่พระท่านเข้าไปสู่วัดต่างๆ นี้ ท่านไม่ค่อยมองดูพระลูกวัดมากยิ่งกว่ามองดูหัวหน้าวัดนะ เจ้าอาวาสสมภารวัดท่านจะมองดูจุดนั้นละจุดสำคัญ วัดป่าบ้านตาดเขาจะมองดูหลวงตาบัว แต่เวลาเขาเข้ามาหน้าวัดหลวงตาบัวเขียนประกาศอะไรไว้บ้างมันไม่มองนะพวกนี้น่ะ เข้าใจไหม กูจะฟ้องท่านเปาบ้างอะไรบ้าง เงือดเงื้ออะไรมันไม่ดูนะพวกนี้ มันมีตลกอยู่นั้นละ เขาก็รู้ชัดเจนว่าหัวหน้าวัดชอบตลก เอาจริงเอาจังก็มาเล่นเสีย อย่างมหาสมบัติ บุญเรือง ที่วัดนรนารถ เวลาท่านออกทีวีท่านพูดถึงเรา ท่านว่าการเทศนาว่าการอาจารย์มหาบัวนี้หาที่คัดค้านไม่ได้ พร้อมทั้งข้อเปรียบเทียบได้สัดได้ส่วน สองข้อ ข้อที่สามท่านก็ยกขึ้นใหญ่เลยว่าแต่ท่านมีนิสัยตลก เราก็เป็นอย่างนั้นตั้งแต่ท่านยังไม่ว่า จะว่าอะไร มีนิสัยตลก เขียนอยู่หน้าวัดแทรกอยู่ในนั้นละ
เราไปอำเภอภูเขียวไปเห็นท้ายรถเขา ไอ้นั้นคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเราแหละ เราไปเห็นท้ายรถเขาว่ากูจะฟ้องท่านเปา ว่าอย่างนั้นนะ เขาเขียนไว้ที่ท้ายรถเขาว่ากูจะฟ้องท่านเปา เราก็ได้ต้นฉบับมาต่อท้ายว่ามันมาเที่ยวเพ่นพ่าน เอามาติดไว้นั่นนะ กูจะฟ้องท่านเปาได้มาจากอำเภอภูเขียว ไปได้จากท้ายรถเขา ก็มาต่อท้ายนี่ว่ามันมาเที่ยวเพ่นพ่าน กูจะฟ้องท่านเปาได้มาจากนู้น ก็มาต่อท้ายนี่ว่ามันมาเที่ยวเพ่นพ่าน
เวลาเล่นก็เป็นลักษณะเหมือนเด็กก็ได้ ทำได้ทุกอย่างแหละ เล่นกับโลกสมมุติเขา ทีเล่นก็มี ทีจริงก็มี เวลาจริง จริงจริงๆ นะ เวลาเล่นก็เล่นอย่างนั้นละ เวลาจริงนี้เด็ดขาดเฉียบขาดเลยเชียว ไม่ว่าจะสอนผู้ที่เป็นบริษัทบริวารหรือไม่ว่าจะสอนตนเอง สอนตนเองก็เด็ดอย่างเดียวกัน มาสอนหมู่สอนเพื่อนก็เอานิสัยเดิมนี้ออกไปสอน แต่มีดีอยู่อย่างหนึ่งไปอยู่ที่วัดใดครูบาอาจารย์หัวหน้าวัดมักจะเมตตาสงสาร เรียกว่าทุกวัดไปเลย เราไปอยู่วัดไหนๆ ท่านเมตตาสงสาร เป็นนิสัยตลกอย่างนั้นละ มีตลก
วัดเป็นแบบฉบับของประชาชน เดินไปในบ้านในเรือนก็ทราบ คนในบ้านมองเห็นพระเขาจะมีกิริยาอย่างไรก็บ่งบอกทางวัดเลยละ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าวัดโกโรโกโสชาวบ้านก็รู้สึกจะเป็นไปแบบเดียวกัน ถ้าวัดมีกฎมีระเบียบชาวบ้านไม่ได้มากก็ได้น้อย เอาไปเป็นคติเครื่องสอน อย่างวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นบ้านของเราก็จริงแต่ไม่เคยไปขึ้นบ้านใดเลย จนกระทั่งป่านนี้อยู่วัดนี้เลย ถ้ามีการสวดมนต์อะไรก็ให้พระไป เราไม่ไป จนป่านนี้ละ เลยไม่ทราบว่าใครเป็นลูกเป็นหลานไม่รู้นะ มาก็เข้าวัดเลย บ้านก็เป็นเหมือนบ้านทั่วๆ ไป ไม่ได้ว่านี้เป็นบ้านเรานั้นเป็นบ้านเขา ไม่มี เสมอไปหมดเลย
เรานี้งานมันติดอยู่ตลอดเวลา เช่นฉันจังหันเสร็จแล้วนี้ก็ไปละ เอาของไปโรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้ทุกวัน ของนี้เต็มรถๆ ไป ไปมอบให้โรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้ แล้วก็ให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรงไป เป็นอย่างนั้น ไม่ลงรถนะ นั่งอยู่บนรถ เขามาก็มารุม ก็มีนี่ละต้อนรับเขา ครั้นเขามารุมมากนักๆ นี่ต้อนรับเขา เอาอันนี้ นี่ว่าอย่างนั้น ไม่พูดเฉยเลย เอาของลงแล้วไปละ ไปเลย ไม่ลงรถ ไปที่ไหนก็ไม่ลง มันขี้เกียจเกี่ยวกับผู้กับคนมามากต่อมากแล้ว ไปที่ไหนก็มารุมนี้ไม่อยากพูดละ คือมันเบื่อเสียพอ อย่างนี้ละ นี่ก็มีแต่เราพูดคนเดียว ฟังกันทั่วศาลา ทีนี้ไปไหนเขาก็รุมมา ทีนี้เราก็เบื่อที่จะพูด ไม่พูดนะ ไปก็นั่งอยู่บนรถ ให้เขาขนของลงปุ๊บปั๊บๆ เสร็จแล้วไปเลย ไม่เคยลงรถ เป็นอย่างนั้นทุกโรงพยาบาลไป
สงสาร วัดนี้จึงเป็นวัดเสียสละ มีเท่าไรออกหมดเลย ออกหมดไม่มีเหลือ จนกระทั่งร้องโก้กขึ้นเมื่อสองสามวันนี้ ร้องโก้กว่าเงินหมดแล้ว หมดจริงๆ มีแต่จ่ายตลอดๆ จนเขามาบอกว่าเงินหมดแล้ว เหอ หมดแล้วเหรอ ก็อย่างนั้นละมันไม่ได้สนใจว่าอะไรหมดอะไรยัง มีแต่เอาออกเรื่อย ช่วยเรื่อย เพราะเราไม่ได้สั่งสมอะไร ทุกอย่างในโลกนี้พูดให้เต็มยันก็คือว่าจิตนี้มันเปิดตัวหมดแล้ว ปล่อยหมด สามโลกธาตุไม่มีอะไรมาติดใจเลย เรียกว่าปล่อยหมด ยังเหลือแต่ความเมตตาครอบ ไปที่ไหนจึงไปด้วยความเมตตา ให้ๆ ตลอด ไปด้วยความเสียสละทั้งนั้นละ
นี่ละอำนาจของธรรมมารวมอยู่ที่เมตตา อย่างพระพุทธเจ้าที่ว่ามหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระองค์เป็นผู้มีพระเมตตามหากรุณาธิคุณ ทำประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกไม่มีประมาณ นั่นละพระพุทธเจ้า ขึ้นมหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกไม่มีประมาณ แปลออกว่าอย่างนั้น นั่นละมีแต่เมตตาเต็มหัวใจ อย่างอื่นออกหมด ที่เป็นพิษเป็นภัยออก เหลือแต่ธรรมล้วนๆ กับเมตตาธรรมอยู่ภายในใจ
พวกอยู่ในครัวก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ อย่าไปมองดูแต่คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ส่วนมากผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่มองดูตัว ความผิดถูกชั่วดีอยู่กับใจตัวเอง มันเคลื่อนไหวออกไปอะไรไม่ดูใจตัวเอง ไปดูตั้งแต่คนอื่นก็ได้ตั้งแต่เรื่องแต่ราว ติฉินนินทา ทะเลาะเบาะแว้งกันมา ไม่เกิดประโยชน์อะไร เฉพาะในครัวน่ะสำคัญมีแต่ผู้หญิงทะเลาะกันง่าย ปากเปราะปากบอน เร็วที่สุด เก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ เอะอะก็ออกแล้วๆ
พระท่านไม่มีอะไร เช่นอย่างอยู่ในวัดเรานี้ไม่มี ตั้งแต่สร้างวัดมาวัดนี้ไม่เคยมีทะเลาะเบาะแว้ง เราเป็นผู้ควบคุม ผิดถูกชั่วดี ตาหูจมูกลิ้นกายจะออกไปด้วยธรรมด้วยวินัย มองดูพระดูเณรจะมองดูด้วยความคิดความอ่าน ตาถึงไหนสติปัญญาความคิดอ่านถึงนั้นๆ หูถึงไหนก็เป็นอย่างนั้น พูดจริงๆ ว่าไม่ได้ไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ ภายในจิตนี้มันไม่เป็นอย่างสังขารร่างกาย สังขารร่างกายมันสะเปะสะปะไปอย่างนั้นแหละ ล้มลุกคลุกคลานไป เพียงไปแค่ศาลากลับมาก็เหนื่อยแย่แล้ว แต่จิตไม่เป็น
จิตมันจะเป็นของมันอยู่ในตัวของมันเอง พูดให้มันเต็มยศว่าสง่าอยู่ในนั้น ครอบโลกธาตุจะว่าอะไร ขอให้ชำระจิตดวงนี้ จะมีอะไรเลิศยิ่งกว่าจิตดวงชำระเรียบร้อยแล้วนี้ไปได้ ไม่มี เลวก็อยู่ที่จิตดวงนี้ ดีดีเยี่ยมก็อยู่ที่จิตดวงนี้ ท่านจึงสอนให้ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจให้ดี ทำอะไรๆ ให้ใช้ความพินิจพิจารณาก่อน อย่าพรวดพราดๆ เก็บความรู้สึกไว้บ้างพอประมาณ อย่าเอะอะก็เปาะแปะๆ ออกมา ทะเลาะกันก็ง่าย ถ้าเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ออกทางปากแล้วก็ไปทะเลาะกันไม่ดี
ให้ดูตัวเอง มันคิดเรื่องราวอะไร คิดเรื่องใครไม่ดีอย่างไรให้ดูตัวเองผู้มันคิด มันคึกมันคะนอง มันอยู่เป็นสุขไม่ได้หาคิดเรื่องคนนั้นคนนี้ เรื่องเจ้าของไม่คิด นี่ละเสียตรงนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมเสียตรงนี้ ผู้ที่เขาไม่ปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมควรจะดูหัวใจตัวเอง มันคิดผิดถูกชั่วดีอะไรมันจะออกจากทางใจของเรา ให้พิจารณา จำให้ดีนะทุกคนๆ
เวลานี้เราไม่ได้สอนแล้วละ พระทั้งวัดนี้ก็ไม่ได้สอนเดี๋ยวนี้นะ เลิกหมดแล้ว ก็กลายเป็นแกงหม้อใหญ่ไปเดี๋ยวนี้ สอนเป็นแกงหม้อใหญ่ไปหมด แต่ก่อนสอนแต่พระล้วนๆ เด็ดขาดๆ อยู่บนศาลา เทปที่ได้ฟังเป็นเทปที่เด็ดขาดเผ็ดร้อนก็คือเทปที่สอนพระ จากนั้นมาแล้วก็มีแต่แกงหม้อใหญ่ไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไรเลย อย่างทุกวันนี้เทศน์สอนพระไม่ได้เทศน์นะ มีแต่เทศน์สอนประชาชนอยู่อย่างนี้ละ ก็ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|