เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
ฆ่ากิเลสแบบไหน
( ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๕๐๐ คน)
กุฏิสร้างไว้ในวัดนี้ ใครจะมาถือสิทธิ์ไม่ได้นะ ให้เป็นสาธารณะไปหมด ในวัดนี้ไม่มีใครจะถือสิทธิ์ในกุฏิหลังนั้นหลังนี้ ไม่ได้เป็นอันขาดเลยนะ ให้เป็นประโยชน์ทุกคน ว่างพอจะรับประโยชน์ได้จากใครให้อยู่ ๆ ได้เลยตลอดอย่างนั้น นี่เห็นว่าขนาดนั้นก็พอแล้วเราเลยไม่ทำอีก การสร้างทั้งหลายเราเป็นคนสั่งเอง ส่วนมากการจ่ายเงินทางวัดจ่ายทั้งนั้น ถ้าลงเราได้อนุญาตให้สร้างหลังไหน ๆ แล้วเราจัดการหมดเลย สร้างเท่าไร ๆ เราจ่ายหมดเลยทันที ๆ
( หลวงพ่อเจ้าขา วิทยุนี้อาจารย์
ถวายทำบุญให้กับน้องสาวค่ะ) อะไร (วิทยุค่ะ วิทยุที่จะใช้ฟังเทปเทศน์หลวงพ่อเจ้าค่ะ) ใช้อย่างอื่นไม่ได้นะ (เดี๋ยวจะให้ท่านปัญญาตัดวิทยุออกเจ้าค่ะ) ถ้าใช้ในทางธรรมได้เราถึงเอานะ ถ้าเป็นแบบโลกล้วน ๆ โห ไม่ได้ว่างี้เลย ตัดขาดสะบั้นไปเลยไม่ใช่ธรรมดานะ ถ้ายิ่งเป็นพระหามาแล้วไล่ออกจากวัดทันทีนู่น ของเล่นเมื่อไร กิเลสเด็ดธรรมะไม่เด็ดไม่ได้ จะไม่มีเหลือธรรมค้างโลกแหละ จะปล่อยให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายหมด เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องเด็ดไม่เด็ดไม่ได้ พระมานี่ ยกเทปมาทางนี้ เป็นเทปหรืออะไรดูซิ (วิทยุเทปครับ) เออ ตัดวิทยุออก ใช้เป็นเทปไปเลย
ขนาดนั้นนะสงวนศาสนารักศาสนา เราพูดจริง ๆ เราเทิดทูนสุดยอดเลย เรื่องพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ชีวิตของเราไม่มีความหมายนะ เราจะเห็นชีวิตเรามีคุณค่า แล้วปล่อยให้เขาทำลายธรรมของพระพุทธเจ้า ต่อหน้าต่อตาเรานี้ไม่ได้เลย คอขาดทันทีเลย ขนาดนั้นนะความรักความสงวน คือไม่มีอะไรเหนือในโลกธาตุนี้ ธรรมเท่านั้นว่างั้นเลย ถ้าลงได้เข้าถึงใจแล้วลงหมดเลย พระพุทธเจ้าจะได้พบองค์ท่านหรือไม่ได้พบไม่สำคัญ อันนี้คือนั้นเอง คือองค์ศาสดาเอง อย่างนั้นแหละ
อย่างที่เราเคยพูดไว้ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่ละองค์แท้ คือธรรมธาตุด้วยกันหมดเลย ที่ว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ คือต่างคนต่างสร้างคุณงามความดี เท่ากับแม่น้ำสายต่าง ๆ ครั้นเวลารวมถึงจุดแล้วลงจุดเดียวกันหมด เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ นั่นละท่านเรียกว่า นิพพานก็เรียก ธรรมธาตุก็เรียก หรือมหาวิมุตติก็เรียก เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ แต่ให้ถนัดใจจริง ๆ นั้นเราว่า ธรรมธาตุ เท่านั้นครอบหมดเลย เจอนี่ปั๊บไม่ต้องตีความหมาย นี้คือนิพพาน นี้คือมหาวิมุตติ ขึ้นได้มันเป็นธรรมธาตุเลยทันที เรียกว่าธรรมธาตุล้วน ๆ นี่ละยอดในสามแดนโลกธาตุนี้เรียกว่าธรรมธาตุของพระพุทธเจ้า ที่ไหลรวมลงเป็นมหาสมุทรทะเลหลวงแล้วก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ พระสาวกทุกองค์ พระพุทธเจ้าทุกองค์ เป็นธรรมธาตุด้วยกัน เป็นมหาสมุทรด้วยกันหมดเลย
เพราะฉะนั้นจึงได้พูดว่า อุทานนั้นไม่ใช่ธรรมดานะ ก็เราไม่เคยคาดเคยคิดนี่ ปฏิบัติมาตั้งแต่รู้จักเดียงสาก็กราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้มันก็ติดหัวใจของคนสามัญธรรมดาเราทั่ว ๆ ไป ติดในหัวใจว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคยคิดว่าที่รวมของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คืออะไร เราไม่เคยคิด แต่เวลาไปเจอเข้าอย่างจัง ๆ นั่นซี ไม่ต้องไปถามใครเลย เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง คือเปิดทางเข้าตรงนั้น
คำว่าธรรมะนี่ก็เป็นสายทางหนึ่ง อันนั้นธรรมธาตุ อันนี้ธรรมะเป็นสายทางอันหนึ่ง ประตูเข้านั้นเข้าใจไหมล่ะ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี้ประตู ประตูใหญ่เข้าธรรมธาตุ พอลงถึงนี้แล้ว เป็นธรรมธาตุแล้วประตูก็หมดความหมาย เหมือนเราเข้าห้องแล้วประตูก็หมดความหมายทันที พอก้าวเข้าห้องปั๊บประตูหมดความหมาย อันนี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ รวมเป็นอันเดียวกันแล้ว เข้าในนั้นหมดเลย ให้มันเห็นอย่างนั้นซี นี่มันเห็นอย่างนั้นจะให้ว่ายังไง
สอนโลกใครยังจะมาว่าโอ้ว่าอวดอยู่เหรอ พวกปากหมาเราอยากว่าอย่างนั้นนะ หมามันก็ยังเห่าเป็นนะ เช่นไอ้ปุ๊กกี้เรานี้มันเห่าว้อก ๆ มันหากมีอะไรมาผ่านมัน มันเห่า อันนี้เห่าดะ โหย สู้ไอ้ปุ๊กกี้เราไม่ได้ ไอ้ปุ๊กกี้เราเห่ามีสาระนะ ไอ้ปากถังขยะนั้นมันไม่เป็นท่า นี้ละปากกิเลส มันไม่คำนึงคำนวณ มันเอาตามความเห็นของมันแล้วตีแหลกไปเลย นี่ละปากกิเลส ปากถังขยะ ปากสกปรก ไม่ได้เหมือนปากธรรมนะ ผิดกันมากทีเดียว
นี่ละธรรมแท้ ที่ท่านว่าธรรมมีอยู่ในโลก หมายถึงธรรมธาตุนี้เองจะเป็นอะไรไป พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่พระองค์ แล้วพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มีจำนวนเท่าไรคิดดูซิ บรรดาท่านผู้ถึงวิมุตติหลุดจากกิเลสแล้วเข้าเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงเลย แม่น้ำสายไหน ๆ หมดความหมาย เข้าเป็นมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ ลงในนั้นหมด พระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มีจำนวนมากขนาดไหน พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีสาวกขนาดไหนที่เป็นอรหันต์ ๆ ลงในนั้นหมด จึงเรียกว่าธรรมธาตุ ที่รวมแห่งธรรมทั้งหลายก็เรียกว่าธรรมธาตุ นี่ละธรรมมีอยู่-มีอยู่อย่างนี้
เราเคยคิดเคยคาดที่ไหน ไม่เคยคิดนะ ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ฝังหัวใจมาตลอด แม้ขณะที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่นี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็ติดอยู่ตลอดเลย พอผางเข้าตรงนี้แล้ว หือ ขึ้นทันทีเลย สะดุ้งเลยไม่ใช่ธรรมดานะ สะดุ้ง กายไหวไปทันที พอผางเข้าตรงนั้นแล้ว นั้นละเข้าธรรมธาตุ เข้ามหาสมุทรทะเลหลวง พอผางเข้าตรงนั้นแล้ว เหอ ขึ้นเลยทันที ใครก็ตามถ้าลงได้เจอเข้าไปแล้วเป็นอย่างนั้นแหละ ธรรมจึงว่าเลิศเลอซิ
นี่ละธรรมชาติที่เลิศเลอมีอยู่จึงพอมีคัดค้านต้านทาน ความดีมีอยู่ ไม่มีแต่ความชั่วตีตลาดแหลกเหลวไปถ่ายเดียว ความดียังมีอยู่ก็ต้องมีการต้านทานกัน เพื่อรักษาสาระสำคัญเอาไว้ ความดีนี้เป็นสาระสำคัญที่จะให้โลกได้อยู่ร่วมกันสงบร่มเย็น ส่วนกิเลสเป็นไฟทั้งนั้น ไปที่ไหนเป็นไฟไหม้ไปตลอดเลย ต่างกันอย่างนี้ เมื่อมีดีมีชั่วก็มีการคัดค้านต้านทานกัน ปะทะกันเป็นธรรมดา ถ้ามีแต่ชั่วเสียอย่างเดียวก็แหลกไปเลย อันนี้มันมีดีอยู่มันก็มาปะทะกับความดี ความดีนี้ต้านทานเอาไว้ พอยังเหลือไว้สำหรับโลกได้อาศัย ถ้ามันเลวไปด้วยกันหมดแล้ว มันหมดความหมายทุกอย่างนั่นแหละ
คำว่าความชั่วมันก็อยู่ในหัวใจของสัตวโลกนะ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ความชั่วมันอยู่ที่หัวใจ มันผลักดันออกมา การพูดก็พูดไปทางกิเลสความชั่วเสีย การทำก็ทำทางความชั่วเสีย ขนแต่ความชั่วเข้ามาสู่หัวใจ เพิ่มเข้า ๆ อยู่งั้น แล้ววัฏวนความสิ้นทุกข์จะสิ้นได้ที่ไหน เมื่อโกยเอาตั้งแต่สายทางแห่งความเกิดตาย เป็นทุกข์ในที่ต่าง ๆ ตลอดมาและจะตลอดไปอย่างนี้ สายทางที่จะสิ้นสุดความทุกข์สิ้นสุดได้ที่ไหน ถ้าไม่มีความดีเข้าตัดทอนกัน ไม่มีทางนะ สร้างตั้งแต่ความชั่ว ๆ เห็นความชั่วเป็นของดิบของดีไปหมด เห็นไหมกิเลสหลอกสัตวโลก เห็นความชั่วเป็นของดีไปหมดเลยนะ ถึงขนาดนั้น คนที่ชั่วมาก ๆ นี้จะไม่เห็นของดีเป็นสาระแม้นิดหนึ่งเลย จะเห็นตั้งแต่ความชั่วเป็นของดีทั้งนั้นแทนที่ ๆ เพราะฉะนั้นจึงทำความชั่วได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเวลาได้ผลก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างเดียวกัน
เพราะผลนี้ไม่เหนือกรรม คือการทำนี้ไม่เหนือกรรม ผลของกรรมติดไปเลยเป็นอำนาจ ๆ ตลอด ใครจะลบล้างยังไงไม่มีความหมายทั้งนั้น คนที่ได้ทำความชั่วเท่าไรไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ ความชั่วถือเป็นของดิบของดี เป็นสารประโยชน์ไปหมด ทีนี้มันก็แผลงฤทธิ์มันออกไปซิความชั่ว ออกไปจากหัวใจแต่ละคน ๆ ก็แสดงออกไปเผาไหม้กันไปเรื่อย เห็นความชั่วเป็นของดี ๆ เรื่อยไปเลย นี่ที่มันน่าสลดสังเวชนะเรา
เราสอนโลกคราวนี้เป็นคราวที่สอนมากสุดหัวใจของเรา ชีวิตของเราก็มีคราวนี้ ซึ่งไม่เคยคิดเคยอ่านเลยว่า เราจะได้ช่วยโลกแบบนี้ก็ได้พบได้เห็นจนได้ ได้สั่งสอนจนได้นั่นแหละ ชั่วก็เห็นเต็มที่ ดีก็เห็นประจักษ์เหมือนกัน เพราะดีก็มี ชั่วก็มี อยู่ในโลกอันนี้ อยู่กับคนกับสัตว์กับกิริยาแสดงออก มันแสดงคละเคล้ากันตลอดเวลา ไม่ใช่มาสอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ดีก็เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจ ชั่วก็ประจักษ์อยู่นี้แล้ว มันก็พูดได้ทั้งดีทั้งชั่วเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยกัน ถ้าหากว่าแบบลูบ ๆ คลำ ๆ อย่างนั้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี้ไม่ได้สอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ บอกชัดเจนขนาดนั้นนะ เพราะรู้ในหัวใจนี้ก็ไม่ได้รู้แบบลูบ ๆ คลำ ๆ มา รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ ไม่ได้เอาใครมาเป็นสักขีพยานว่าความรู้นี้จริงหรือเท็จไม่มี จริงตลอดเลยเทียว หายสงสัย ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน
นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละพระองค์ สาวกตรัสรู้แต่ละองค์ เป็นอย่างนั้น คือไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน ท่านตรัสรู้แล้วสอนโลกทันที สามแดนโลกธาตุใครสอนได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านสอนได้หมดเลย ผู้ที่อยู่ในวงคำสอนตาข่ายของพระพุทธเจ้า ก็ทรงสอนรื้อขึ้นมา ๆ ที่มันจะจมไปถ่ายเดียวก็ปล่อยไป ๆ อย่างนั้น แล้วท่านไปหาใครมาเป็นสักขีพยานในความรู้นั้น นี่ละถ้าลงรู้จริงไม่ใช่รู้ปลอม รู้จำ-จำได้หลงแล้วก็หลอกตัวเองตลอดเวลา ความจำได้มีแต่หลอก ส่วนมากหลอก ความจริงไม่หลอก เจอเข้าตรงไหน อ๋อ ทันทีเลย
ยกตัวอย่างอย่างที่พูดนี่แหละ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ฝังหัวใจมาตั้งแต่รู้จักเดียงสาภาวะ ไม่คิดว่าจะมีความแปลกจากนี้ไปเลย แต่เวลามาเจอเข้าอย่างจัง ๆ อุทานขึ้นมาด้วยร่างกายที่ไหวเลยเทียว โถ ๆ ขึ้นมาเลย เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ไม่ได้ถามใครเลยนะ มันขึ้นในความจริงที่รู้จริง ๆ อย่างนั้น แล้วจะหาใครมาถาม เป็นอย่างนี้ เจอปั๊บเข้านี้ยอมทันทีเลย นั่นเป็นอย่างนั้น เรียกว่าความจริง รู้จริง เห็นจริง ไม่ได้แบบปลอม ๆ นะ
ใครจะสร้างใครจะทำให้ฝืนนะ ไม่ฝืนไม่ได้นะจะบอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ไม่เป็นอย่างอื่น บอกอย่างอื่นไม่ได้ ความชั่วนี่มันหนาแน่นจริง ๆ จะออกช่องเพื่อความดีนี้มันจะฝืนกัน ต้านทานอย่างเหนียวแน่นนะ ดีไม่ดียินดีไปกับมันเลยเทียว ไม่ยอมฝืนเลย นี่ละคนเราที่ล่มจม สัตวโลกที่ล่มจมเพราะไม่ฝืนเลย เห็นไปตามมันทั้งนั้น มันหลอกยังไงเชื่อไปหมด ๆ ความดีเลยไม่มีแล้วก็จมไป ๆ เกิดมาชาติหนึ่งภพหนึ่ง กี่ภพกี่ชาติแต่ละคน ๆ นับได้เมื่อไร แต่ละสัตว์นี่นะ ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์จิตวิญญาณดวงนี้ เกิดตาย ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ มาอย่างนี้ตลอด ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องตัดทอนสิ่งเหล่านี้ออกแล้ว จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่เพียงแต่ว่าตลอดมานะ แล้วยังจะตลอดไปอย่างนี้ไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้เลย ท่านถึงให้ฝืน ต้องฝืนไม่ฝืนไม่ได้
เวลามันหนาแน่นนี้ฝืนกันอย่างหนัก แทบจะสลบไสลนะ เวลามันบางลงไปแล้วทีนี้ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว กิเลสหนา แล้วกับธรรมะที่มีกำลังมาก มันก็เหมือนกันเลย ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน ได้ทุกกระเบียดเทียบกันแล้วนะ เวลากิเลสมันหนานี้ ดีดไม่ได้นะ มันบีบบังคับ ดีดหาความดีไม่ได้นะ มันบีบมันบังคับอยู่นั้นแหละ มันไม่ให้ออกไม่ให้ทำขึ้นชื่อว่าความดี ต้องให้อยู่ในเงื้อมมือของมันหมด เอ้าที่นี่สะดวก สะดวกก็สะดวกไปทางมันเพื่อล่มจม เป็นอย่างนั้นนะ ความสะดวกไปกับกิเลสสะดวกเพื่อความล่มจม ความฝืนกิเลสออกทางด้านธรรมะนี้ ฝืนมากขนาดไหนนี่เพื่อความฟื้นฟูของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องฝืนไม่ฝืนไม่ได้
เวลามันหนาแน่นมันหนาจริง ๆ โฮ้ มันประทับใจเอาเหลือเกินนะเรื่องความหนาแน่นของกิเลสนี่ ในคนคนเดียว หัวใจดวงเดียวนี้ เอาใจเรานี้เทียบเลยเทียว เวลามันหนามันแน่นนี้โถ ทั้ง ๆ ที่เราก็มุ่งต่อธรรมอยู่อย่างแรงกล้านะในหัวใจ แต่ขณะนั้นกิเลสมันก็รุนแรงของมันเต็มเหนี่ยว ถึงขนาดสู้มันไม่ได้ มันเห็นชัด ๆ อยู่ในหัวใจ จึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจ ใจดวงนี้แหละเวลามันหนาแน่นด้วยกิเลส กิเลสมีอำนาจมันบีบบังคับไว้อย่างนี้ จนกระดุกกระดิกไม่ได้เลย นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา โอ๊ย เราไม่ลืมนะ
ทั้ง ๆ ที่เราก็ตั้งใจจะไปฟัดกับกิเลส ฟังซิน่ะ ความตั้งใจของเราก็ขนาดนั้น ครั้นไปแล้วอำนาจของกิเลสมันเหนือกว่าเราขนาดไหน ตั้งสติเพื่อความเพียรไม่อยู่เลย ตั้งพับล้มผล็อย ๆ ตั้งเท่าไรล้ม ตั้งเพื่อล้ม ๆ ไม่อยู่ จนงงในความเพียรของตัวเองว่า เอ๊ นี่มาทำความเพียรยังไง นี่ไม่ได้เป็นความเพียร มีแต่เรื่องของกิเลสเรื่องโลกเรื่องสงสารกิเลสตัณหาเต็มหัวใจ คิดแง่ไหนกิเลสดึงเอาเป็นของมันหมด ๆ เลย สู้มันไม่ได้น้ำตาร่วง ใจดวงนี้นะ ทั้ง ๆ ที่เราก็มุ่งต่อธรรมอย่างแรงกล้าอย่างนี้ แต่เวลาเข้าไปมันเก่งกว่าเรา มันลบทีเดียวหมดเลย ๆ นี่ก็ไม่ลืม
จึงได้บอกว่าเคียดแค้น เคียดแค้นถึงขนาดทีเดียวไม่ใช่เคียดแค้นธรรมดานะ ความเคียดแค้นแห่งธรรมต่อกิเลสมันก็ทำให้มุมานะล่ะซี ถึงขนาดกูมึงฟังซิน่ะ โถ ไม่ลืมนะ มันถึงใจจริง ๆ เพราะฉะนั้นจึงเอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลากิเลสมันหนา-หนาอย่างนี้นะ ทั้ง ๆ ที่เรามุ่งจะฟัดกับมันอยู่นั้นแหละ มันจะเอาต่อหน้าต่อตาให้น้ำตาร่วงจนได้นั่นแหละ ถึงขนาดว่า โถ มึงขนาดนี้เทียวเหรอ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ คือมึงกูอยู่ภายในนะไม่ได้ออกมาข้างนอก ก็อยู่คนเดียวจะไปมึงกูกับใคร เคียดแค้นให้กิเลส โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ กูตั้งหน้าตั้งตามาฟัดกับมึง มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ ๆ สู้มันไม่ได้นะ บอกว่ายอมแพ้ราบเลยเทียว เอ้า ยังไงกูก็ไม่ถอย ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่งว่างั้นนะ เคียดแค้น กูไม่ถอยละ
กลับไปอีกไปหาครูบาอาจารย์ ก็หาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานั่นแหละ มันไม่ลืมนี่ พอไปมันก็ตามไป มันก็ไปอยู่ขอบรั้วนั่นแหละ เราเข้าอยู่ในรั้วร่มโพธิ์ร่มไทรของพ่อแม่ครูอาจารย์ มันก็อยู่ขอบรั้วไม่ตามเข้ามาตีละ ตีแบบนั้นนะ ถ้าออกไปมันก็ฟัดเลย เวลาเข้ามานั้น กิเลสก็ตัวเก่านั่นแหละ ความเพียรก็อันเก่า ก็ไม่เห็นว่าดุดันขนาดไหนความเพียร แต่กิเลสมันก็ไม่ดุดันเหมือนกัน มันก็อยู่ขอบรั้วโน้นเสีย เราก็อยู่ในรั้ว เทียบกันอย่างนั้นละนะ
พอออกไปก็ฟัดกันอีก หงายมาอีกอยู่อย่างนั้น แต่สำคัญที่ใจมันไม่ถอย แพ้มันเท่าไรยิ่งเคียดแค้น ยิ่งมุมานะที่จะฟัดกันให้มันขาดสะบั้นลงไป นี่อันหนึ่งที่มันหนาแน่นอยู่ในใจเรานะ ถึงจะแพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ คราวนี้สู้ไม่ได้ แต่แพ้-แพ้เพื่อจะสู้ นี่ละพูดให้ฟัง ใจดวงนี้ละ เอาใจของตัวเองออกมากางให้พี่น้องทั้งหลายฟังเลยนะ นอกจากนี้แล้วเราไม่พูด คือมันเลยเหตุเลยผลไปแล้ว ไม่ทราบเลยชั่วเลยดีไปไหนก็ไม่รู้แหละ ที่เรายังไม่ได้เข้ามากรอบแห่งความเพียรที่จะฟัดกับกิเลสนะ เวลาเราเข้ามานี้มันจึงเห็นความรุนแรงของกิเลส แต่ก่อนมันไม่รู้ ก็เรียกว่าเป็นปลาเน่าให้มันต้มตลอดเวลา ไปสู้มันแล้วสู้มันไม่ได้กลับมา เอาอีก ๆ ไม่ถอย
ความมุมานะ ความเคียดแค้นนี้แหม มันถึงใจจริง ๆ นะ หาทางที่จะฟัดกับกิเลส ทีนี้พอได้ช่องแล้วก็เอาใหญ่เลย สมเคียดสมแค้นนะ เวลามันได้ที่แล้วเอากันอย่างหนักเลย บางครั้งประหนึ่งว่ากิเลสมันยอมเรา เหมือนเราขึ้นบนตะพองช้าง ขอกระหน่ำลงเลยเทียว มันร้องโอ้ก ๆ มึงร้องก็ร้อง มึงเอากูขนาดนั้น ฟัดลงเลย ขอกระหน่ำลงเลย นั่นน่ะซีสุดท้ายก้นแตกเห็นไหม ที่เคยเล่าให้ฟัง นั่นละเวลามันได้ที่เอากันอย่างนั้นละ ถึงขนาดก้นแตกไม่รู้ตัวเลย จากนั้นมาก็ตั้งหลักได้ สิ่งเหล่านั้นที่มันเคยฟัดเราแต่ก่อนจางหายไป ๆ มีแต่ธรรมเป็นหลักเป็นเกณฑ์ภายในใจ
ความสงบร่มเย็นปรากฏเด่นขึ้น ๆ ทีนี้ขนาบใหญ่เลยนะ ไม่ถอย ๆ เลย นี่ถึงขั้นธรรมมีกำลังเพราะการฟิตตลอดไม่ถอย มุมานะ จากความเคียดแค้นให้กิเลส พอได้ที่แล้วก็เอากันใหญ่ไม่มีปรานีปราศรัยกันเลยนะ ฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวให้สมความเคียดแค้น นี่ละใจดวงนี้ พอตั้งหลักได้แล้วทีนี้ก็เอาใหญ่ นี่ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าธรรมมีกำลัง เรียกว่าพอต้านทานกันได้ก็อยู่ได้สบาย ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเหมือนแต่ก่อนที่กิเลสเหยียบย่ำตลอดเวลา ทีนี้พอได้หลักได้เกณฑ์แห่งธรรม มีความสงบร่มเย็นเป็นฐานที่อยู่แล้ว ความเพียรก็เน้นหนักเรื่อย ๆ นี่มันเห็นกันชัดก็ตอนก้าวออกสู่ทางด้านปัญญาล่ะซี สมาธิวางฐานเอาไว้ ใจสงบร่มเย็นตลอด พอก้าวขึ้นสู่ปัญญา ฆ่ากิเลสละที่นี่
เราไม่ได้คาดได้คิดนะ ฆ่ากิเลสฆ่าแบบไหน แต่เวลาธรรมมีกำลัง หากเป็นอุบายของธรรมเอง ฆ่ากิเลสฆ่าแบบไหน เหมือนว่าธรรมพาฆ่าว่างั้นเถอะ เราเดินตามธรรม ลักษณะอย่างนั้น มันหมุนติ้ว ๆ ฆ่ากิเลสฆ่าแบบไหน ๆ นี้ฟัดกันลง ๆ ต่อจากนั้นกำลังของธรรมกล้าขึ้น ๆ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ สติเป็นเอง ปัญญาเป็นเอง หมุนติ้ว ๆ ทั้งวันทั้งคืนถึงขนาดที่ได้รั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด มันผาดโผนโจนทะยานทางด้านความเพียรมากไป ต้องได้รั้งเอาไว้ให้มีการพักผ่อนนอนหลับ พักเข้าสมาธิความสงบร่มเย็นเพื่อเอากำลัง แล้วก็พักผ่อนนอนหลับ นี่ก็เพื่อเอากำลังทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจด้วย เน้นหนัก ๆ
ที่นี่เราจะเห็นได้ชัดว่า เมื่อธรรมมีกำลังแล้วธรรมจะทำงานของตัวเอง แต่ก่อนกิเลสมีกำลัง กิเลสทำงานบนหัวใจเราเป็นอัตโนมัติ หมุนตลอด เป็นวัฏจักรตลอด ทีนี้พอธรรมมีกำลังแล้วธรรมก็วิวัฏจักร หมุนกลับตลอด ๆ มันเห็นชัด ๆ ในหัวใจดวงนี้ ทีนี้เวลาธรรมะมีกำลังกล้าแล้ว ทีนี้หมุนเป็นอัตโนมัติด้วย เฉียบแหลมด้วย คล่องตัวด้วย ทุกอย่างละเอียดลออเข้าไป กิเลสหมอบลง ๆ หลังจากนั้นแล้วกิเลสผ่านไม่ได้เลย นั่นเห็นไหมเวลาธรรมมีกำลังกล้าแล้วกิเลสผ่านไม่ได้ ผ่านขาดสะบั้นทันที ไม่ทราบทำกันแบบไหน แต่มันก็รู้อยู่ชัด ๆ นำเอามาพูดไม่ถูกเท่านั้นเอง พอแย็บนี้ขาดสะบั้นแล้ว ๆ
ต่อจากนั้นไปนิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม ๆ
|