(ผู้ฟังเทศน์เป็นนักเรียน ๒๒๐ คน ประชาชน ๓๕๐ คน)
เมื่อวานได้เยอะ ดอลลาร์ ๑๑,๘๕๐ ดอลฯ ทองคำได้ ๘ บาท ๕๓ สตางค์ ได้ไปทุกวัน ๆ อย่างนี้เรื่อย ๆ อย่างน้อยกะว่าให้ได้ ๔,๐๐๐ กิโล ที่เคยประกาศประจำวันมาการช่วยชาติคราวนี้ให้ได้ทองคำ ๔,๐๐๐ กิโล สำหรับพี่น้องชาวไทยรวมหมดทั้งประเทศให้ได้ ๔,๐๐๐ กิโลเป็นอย่างน้อย นี่วางพื้นฐานไว้ให้พอเหมาะพอดีกับกำลังวังชาของพี่น้องชาวไทยเรา กะไว้เพียง ๔,๐๐๐ กิโล อีก ๒๐๐๐ กิโลที่ออกจากเงินสด ๘๐๐ ล้านนั้น อันนั้นจะต่อยอดไม่ได้มานับในจำนวน ๔,๐๐๐ นี่นะ อันนั้นสำหรับต่อยอด เศษออกไปเท่าไรเรามีความสงวนไว้ตลอด เงินจำนวนที่เศษออกไปเป็น ๕๐ กว่าล้านนี้ เราจะใช้เวลาจำเป็นเท่านั้น
จำเป็น คือออกเป็นเงินหมุนเวียนช่วยชาติของเราทางรอบ ๆ เรียกว่าทั่วเมืองไทยเรา ถ้าจำเป็นจริง ๆ เราถึงจะถอนอันนี้ออกไปช่วย หากไม่จำเป็นหลักใหญ่เราจะหมุนเข้าหาทองคำทั้งหมดเลย ทั้ง ๘๕๐ กว่าล้านนี้เราจะหมุนเข้าไป สำหรับ ๘๐๐ ล้านแน่แล้ว แต่ ๕๐ กว่าล้านเรายังรอไว้สำหรับความจำเป็นเกี่ยวกับเรื่องเงินหมุนเวียน อะไรที่จำเป็นจริง ๆ เราอาจถอนอันนี้ออกไปช่วยก็ได้ ถ้าไม่จำเป็นที่พอถูไถเราก็ไม่เอาออก จะหมุนเข้าทางทองคำ เงินสดมันค่อยมาของมันเรื่อย ๆ เราก็ช่วยอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้ว่าไง ทองคำก็ได้อ่านทุกวัน ๆ เรามอบไว้และฝากไว้คลังหลวง ๒ ครั้ง ๆ แรก ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ครั้งที่สอง ๑,๐๒๕ กิโล ที่ฝากและมอบไว้แล้วนี้ ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากที่ฝากและมอบไว้แล้วนั้น ๒๑ กิโล ๕๖ บาท และรวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๐๘๔ กิโล
สำหรับดอลลาร์ยังขาดอยู่ ๖๑,๖๐๑ ความจริงขาดน้อยกว่านี้ คือดอลลาร์เข้าอยู่เรื่อย ๆ เรายังไม่ได้ดูสมุด นาน ๆ อ่านสมุดทีนึง ความตายตัวอยู่ที่สมุด อะไร ๆ ได้ไปนี้ก็เข้าธนาคาร ๆ แล้วนาน ๆ ถึงจะมาอ่านยอดสักทีหนึ่ง นี่เราไม่ได้อ่านยอด ได้มาเท่าไร ๆ มันก็ขาดตามเดิมของมัน ที่อ่านยอดออกมาแล้วขาดอยู่เท่านั้น วันหลังก็ขาดเท่านั้น ได้มากี่ร้อยกี่พันดอลฯ ก็ขาดเท่าเดิม ขาดอยู่เรื่อย ๆ ความจริงมันขาดน้อยกว่านั้น ดีไม่ดีอาจจะครบแล้วก็ได้ ตั้งแต่เรากลับจากกรุงเทพฯ มานี้ไม่เคยดูสมุดฝากเลย แต่ดอลลาร์มันก็มาของมันอยู่เรื่อย ๆ ถ้ามาอุดรฯ ไม่ว่าดอลลาร์ ทองคำก็มาขึ้นที่อุดร ฯ เรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ขึ้นมากเหมือนอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดใหญ่ กรุงเทพฯ ทั้งทองคำทั้งดอลลาร์จะได้มากกว่าอยู่ทางนี้
แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไปทางด้านไหนก็ไปขึ้นด้านนั้นแหละ นี่มาอุดรฯ ถึงไม่ขึ้นมากมันก็ขึ้นของมัน กรุงเทพฯ ไม่ขึ้นเห็นไหม เรามาอยู่ที่นี่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยขึ้น กรุงเทพฯ ก็มาขึ้นที่นี่ ออกจากกรุงเทพฯ ก็มาขึ้นที่อุดรฯ โน่นมหาชัยก็ยังมาขึ้นอุดรฯ ไม่ยอมอยู่กรุงเทพฯ นะ เตลิดถึงอุดรฯ มหาชัยเห็นไหมล่ะ ข้ามกรุงเทพฯ มาเลยโดดใส่อุดรฯ เดี๋ยวนี้จวนแล้วที่ว่าดอลลาร์ ๑ ล้านนี่นะ ถึงยังไงมันก็ไม่ไปไหน ขี้เกียจอ่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ มันก็เข้าของมันเรื่อย ๆ
ตอนเย็นวันนี้ฟ้าหญิงคงจะเสด็จละ พอถึงแล้วก็เข้าประทับค้างคืนที่โรงแรมเจริญศรี วันพรุ่งนี้เช้าก็เสด็จเข้าที่นี่ ตอนบ่าย ๒ โมงก็เสด็จไปเป็นประธานในพิธี จากนั้นอาจจะเสด็จกลับละ
เมื่อคืนนี้ฝนตกยิบแย็บ ๆ เราก็เดินจงกรมอยู่กลางคืน ทางจงกรมในป่าเรา กลางคืนมันเห็นนะ คือตีสายขาว ๆ ไว้สองข้างทางจงกรมข้าง ๆ ตีสายไว้สองฟากทาง กลางคืนมืด ๆ ก็มองเห็น พอมองเห็นชัดเจนสายสองข้าง เราเดินตรงกลาง กลางคืนเห็น เพราะฉะนั้นเราจึงเดินได้ทั้งกลางคืนกลางวัน นอกจากฝนตก ถ้าฝนตกก็เดินไม่ได้ สายในป่าถ้าฝนไม่ตกกลางคืนก็เดินได้ธรรมดา ๆ ที่ไม่ให้มุงก็เพราะว่าเวลาฝนไม่ตกตอนกลางคืนมุงแล้วมันมองไม่เห็นข้างล่าง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มุง ยกเว้นแต่เวลาฝนตกเราก็ไม่ไป ถ้าฝนไม่ตกเมื่อไรเราก็ไป
ฝนไม่ตกเช่นกลางคืนอย่างนี้เราก็ไปได้ ไปเดินได้สบาย ถ้าหากว่าเรามุงเสียอย่างนี้ กลางคืนเดินไม่ได้นะมันมืด การมุงนี้เสียมากกว่าไม่มุง เพราะฉะนั้นจึงเอาไม่มุงแหละดี ไม่มุงนี้ฝนไม่ตกกลางวันเราก็เดินได้ กลางคืนเราก็เดินได้ ถ้ามุงเสียอย่างนี้ ฝนตกก็เดินได้เฉพาะเวลาฝนตก ถ้าฝนไม่ตกกลางคืนเดินไม่ได้เลย มองไม่เห็น เลยเอาไม่ต้องมุง สะดวกสบายดี
เดินจงกรมอยู่ในป่ากลางคืน เราก็หาที่อย่างนี้ กลางคืนในป่าในเขาหาที่โล่งแจ้ง คือไปเสาะแสวงหาที่เหมาะ ๆ เอาไว้ อย่างหนึ่งก็ให้เขาไปทำพอเป็นทางจงกรมให้กลางคืนที่โล่ง ๆ ถ้าอยู่ร่มไม้มองไม่เห็น..กลางคืน หากว่าอยู่ที่โล่ง ๆ บ้างกลางคืนมองเห็น แม้แต่งูผ่านมาก็เห็น มันหากมีแปลก ๆ สายตาแหละ เราเคยเห็นงู กลางคืนเคยเห็นอยู่ เดินจงกรม เขาก็มาของเขา ดูเป็นงูก็รู้ คือเราหาที่อย่างนั้น นอกจากมันจำเป็นจริง ๆ พอเดินได้บุกเลย อย่างนั้นก็หากมีแต่เป็นกรณีพิเศษ ส่วนมากเราจะหาที่ที่พอเดินกลางคืนมองเห็นชัดได้
อยู่ในป่าในเขา โอ๊ย ลำบากนะ ทำความพากความเพียรลำบาก กรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมนี้เรียกว่าลำบากมากอยู่นะ ไม่ใช่ธรรมดา สมบุกสมบัน แต่จิตเป็นพื้นฐานอยู่กับธรรม อะไร ๆ จึงไม่ลำบาก ไม่ว่าการอยู่การกินการหลับการนอน ที่พักอาศัยที่ไหน ไม่ลำบากทั้งนั้น ล้มลงที่ไหนหลับเลย เพราะจิตมุ่งต่อธรรม พอตื่นก็ฟัดเลย ไม่ได้อยู่กับที่หลับที่นอนหมอนมุ้งอาหารการบริโภคนะ ไม่ได้อยู่ เพียงแต่อาศัยเท่านั้นละ ที่อยู่จริง ๆ อยู่กับธรรม จิตใจเป็นพื้นฐานอยู่กับธรรมเลย
พอพูดอย่างนี้เรายังระลึกได้ บางทีเราได้พูดกับพระเหมือนกัน เวลาเรานั่งรถไปเห็นพระกรรมฐานท่านสะพายบาตรแบกกลด ลักษณะเหมือนกับเราเวลาเดินธุดงคกรรมฐานอยู่ ท่านเดินอยู่ฟากถนน ถ้าธรรมดาเราก็รับท่านไป แต่นี้เราไม่เคยได้ดิบได้ดีเพราะการขึ้นรถ แน่ะคิด ถ้าเดินอย่างนี้สำหรับเราเองเราเดินจงกรมตลอดนะนั่น ไปทั้งวันก็เดินจงกรมตลอดเลย เลยทำให้ระลึกได้ พระท่านเดินสองฟากทางนี้ท่านจะมีสติเป็นความเพียรหรือเปล่านะ ทำให้คิดนะ เพราะเหตุไร เราไม่ได้ดูถูกไม่ได้เหยียบย่ำทำลายท่านนะ คือเราทำอย่างนั้น เดินทั้งวันเป็นเดินจงกรมทั้งวัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเวล่ำเวลาว่าวันนี้เดินทางไม่ได้ทำความเพียร ไม่มี เป็นความเพียรตลอด ๆ
เพราะฉะนั้นพอมองเห็นพระท่านเดินสองฟากทางอย่างนี้ ท่านเดินนี้ท่านทำความเพียรหรือไม่นา หมายถึงว่ามีสติเรียกว่าเป็นความเพียร เราดู ลักษณะท่าทางการนุ่งห่มการสะพายแบกกลด เหมือนกับเราที่เดินแต่ก่อน สีผ้าก็แบบเดียวกัน กลดก็คล้ายคลึงกันนั่นแหละ กับบาตรสะพาย เราดูท่านเดินอยู่สองฟากทาง นี่ท่านเดินจงกรมหรือท่านเดินแบบไหนนา มันอดคิดไม่ได้นะ
เพราะเราเดินเราเดินอย่างนั้น เราไม่ได้อวดเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ว่าที่ไหนมันก็เป็นความเพียรของมันอยู่งั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่เอาใครไปด้วย เคลื่อนไหวไปมาที่ไหน สติสตังอยู่กับจิต ๆ รักษาไม่ให้มันคิดออกนอกลู่นอกทาง บังคับอยู่ตลอด ทีนี้เวลาออกจากนี้จะไปบ้านนั้น จะไปเขาลูกนั้น พอก้าวปั๊บออกไปนี้ นั่นละคือความเพียรตลอดไปเลยจนกระทั่งถึงที่ เป็นอย่างนั้นนะ เราเดินทำความเพียรตลอด
การรักษาจิตจึงว่ารักษายากมากที่สุดนะ ใครไม่เคยรักษาจิตอย่าเอามาอวดนะ นี่ก็เป็นเวลาหนักธรรมดา มันอาจจะมีเผลอ ๆ ไผล ๆ บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็สุดวิสัยที่ระลึกไม่ได้นะ แต่ปกติจะควบคุมด้วยสติตลอด อันนี้เป็นภาคพื้นความเพียรธรรมดา ทีนี้ความเพียรที่เอาจริงเอาจังจริง ๆ คือวันไหนจะนั่งตลอดรุ่งนั่นละ ตั้งแต่ขณะตั้งสัจอธิษฐานลงกึ๊กนี้จิตจะออกไปไหนไม่ได้เลย หนักมากตรงนี้นะ มันจะทุกข์จะยากจะลำบากขนาดไหนจิตจะไม่ให้หนีออกจากตัว คิดแย็บ ๆ ไปโน้นไปนี้ไม่ได้เลยเด็ดขาด อันนี้เรียกว่าหนักมาก ทั้งบังคับภายใน ทั้งทุกขเวทนาบีบบังคับ ทั้งสติสตังนี้แล้วก็ยังต้องรักษาไว้อีก จะออกไปเพ่นพ่านที่ไหนไม่ได้ วันนี้เป็นวันสละตายแล้ว จะไปออกอย่างนั้นไม่สมชื่อสมนามกับคำว่าสละตาย นั่นละบังคับ
อันนี้หนักมากนะ คือไม่ยอมให้คิดออกข้างนอกเลย ให้อยู่ในวงนี้อย่างเดียวตลอดรุ่งเลย นั่นฟังซิ บังคับหนักไหม นี่ทำมาแล้วนะไม่ได้มาคุย ถ้าวันไหนลงได้นั่งตลอดรุ่งแล้ว วันนั้นจิตจะแย็บออกไปไหนไม่ได้เลย บังคับขนาดนั้น แล้วบังคับอยู่ในวงสัจธรรมทั้งสี่นี่ เอ้า วันนี้ตลอดรุ่งเลย ความเพียรจึงเป็นขั้น ๆ ความเพียรธรรมดาอาจจะมีเผลอมีไผลไปบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อยู่ในเกณฑ์แห่งความเพียร แต่เวลานั่งตลอดรุ่งต้องเป็นความเพียรล้วน ๆ เลย แย็บออกที่ไหนไม่ได้ เรียกว่าหนักมากอันนี้ จึงได้เห็นคุณค่าของสติน่ะซิ บังคับไม่ให้มันออกให้มันอยู่ภายในก็เป็นธรรมตลอดไปเลย แล้วธรรมก็สั่งสมตัวขึ้น ๆ แน่นหนามั่นคงขึ้น ๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าปล่อยให้มันคิดแย็บไปโน้นไปนี้ โอ๊ย ไปเลยแหละไม่ได้เรื่อง ความเพียรมันเป็นชั้น ๆ ถ้าความเพียรได้ลงนั่งตลอดรุ่งแล้วก็เรียกว่า ขณะจิตนี้จะแย็บออกไปไหนไม่ได้เลย บังคับขนาดนั้น เอาเป็นเอาตายเข้าเลย ให้อยู่ในวงนี้ หมุนติ้ว ๆ พิจารณาถึงเรื่องร่างกายเรื่องความทุกข์ความลำบากด้วยสติด้วยปัญญา เป็นความเพียรทั้งนั้น ๆ ไม่ให้คิดออกไปข้างนอกตลอดรุ่งเลย นี่หนักมากเป็นอันดับหนึ่งเทียว ถึงเรื่องความเพียรที่หนักมากที่สุดคือการนั่งตลอดรุ่งแล้วยังไม่แล้ว กระแสของจิตจะคิดยิบ ๆ แย็บ ๆ ไปข้างนอกไม่ได้เด็ดขาด นี่อันหนึ่ง บังคับขั้นนั้นแล้วก็บังคับเข้าขั้นนี้ เป็นขั้น ๆ ทีนี้ที่เราว่าบังคับ ๆ
นี้เราพูดถึงเหตุเราได้รับความทุกข์ความลำบากมาก ผลของมันเกิดความอัศจรรย์ทุกคืน นั่นเห็นไหม วันไหนที่ได้นั่งตลอดรุ่ง ว่าพลาดไปวันนี้จิตไม่ได้ลงถึงฐานที่อัศจรรย์ ๆ ไม่มี นั่นฟังซิ นี่ละผลแห่งการควบคุมจิตใจอย่างแน่นหนามั่นคงด้วยสติ ไม่ให้ออกเลย มันก็ลงในจุดที่ว่า บีบเข้าไป ๆ ซัดเข้าไป เดี๋ยวก็ลง เวลามันลงนี้ โถ อัศจรรย์พูดไม่ได้นะ โลกนี้ดับหมดเลย ที่ว่าจะไม่มีอะไรเลยทีเดียวไม่ได้นะ แต่จะมาพูดเทียบกับอะไรไม่ได้ พอพูดได้เลียบ ๆ เคียง ๆ นิดหน่อยว่า สักแต่ว่าปรากฏ คำว่าปรากฏไม่ใช่สักแต่ว่าธรรมดานะ คือสักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น คือความปรากฏที่ว่าสักแต่ว่านั้น ของอัศจรรย์อยู่ตรงนั้น ความหมายว่างั้นนะ
ลงได้ทุกคืน คืนละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง แล้วแต่มันลงได้นานถอนขึ้นมา ลงอีกที่สองบางที ๒ ครั้งสว่าง ก่อนจะลงนี้ก็ซัดกันเสียจนเต็มเหนี่ยว ๆ ถ้าวันไหนลงได้ง่ายวันนั้นจะลงได้นาน วันไหนลงได้ยาก คือจิตใจมันเกี่ยวข้องกับดินฟ้าอากาศเหมือนกัน ถ้าวันไหนอากาศร้อนอบอ้าว นั่งภาวนานี้เหงื่อแตก วันนั้นทรมานจิตยากมาก ลงช้า เรื่องลงนั้นลงทุกคืนหากมีช้ามีเร็วต่างกันเท่านั้น ถ้าวันไหนจับติดปั๊บ ๆ วันนั้นพุ่งเลย วันนั้นไม่ค่อยยาก ลุกขึ้นมาเดินไปเลย เวลาเท่ากันก็ตาม มัน ๑๒ ชั่วโมง ๑๓ ชั่วโมงมั้ง จนกระทั่งตะวันโผล่บางวันถึงจะลุก ตั้งแต่พอเริ่มมืดก็เอาแหละ บางทีตะวันยังไม่ตกเข้าแล้ว นานไหมพิจารณาซิ นี่ละความทุกข์ทรมานอยู่จุดนี้หมดเลย
ในชีวิตของเราจึงว่าไม่มีอะไรที่จะหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส เห็นประจักษ์กับตัวเองแล้วพูดอย่างเต็มปากซิ เราเป็นเอง ทำเอง รู้เอง ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ตลอดถึงความอัศจรรย์ที่ได้จากผลแห่งการประกอบความเพียร ด้วยความเป็นทุกข์ ทุกข์เพื่อสุขอันนี้นะ มันก็เห็นประจักษ์อย่างนั้น
จิตดวงนี้ละที่อยู่ในร่างทุกคน ๆ ไม่ได้ระมัดระวังรักษาไม่ได้บำรุงมัน มันก็เพ่น ๆ พ่าน ๆ กายทั้งกายทุกสิ่งทุกอย่างเลยกลายเป็นเราไปหมด ความรู้ซ่านไปหมดไม่ได้รวมตัว พอมันรวมตัวแล้วก็มีเท่านั้น ทีนี้เมื่อจับได้นานเข้า ๆ จับติด ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ เลยจับตัวนี้ได้ ฟาดขาดสะบั้นลงไป อะไรสิงอยู่ในนั้น มันแทรกอยู่ภายในนั่น นั่นละตัวภพตัวชาติที่เกิดแก่เจ็บตายไม่หยุดไม่ถอย แต่ใจไม่เคยตาย ธรรมชาติอันนั้นมันแทรกอยู่ในจิต พอถอนอันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นคนละโลกแล้ว โลกสมมุติกับ
ถ้าว่าโลกวิมุตติก็คืออันหนึ่งของวิมุตติ ประจักษ์แล้ว แล้วเราจะไปสงสัยอดีตอนาคตยังไง เวลานี้จิตเป็นอย่างนี้ ต่อไปจิตจะเป็นยังไง จะสงสัยอะไร มันขาดสะบั้นกันแล้วเห็นปัจจุบัน ขาดตลอดอย่างนั้น แล้วจะไปสงสัยอะไร
นี่ละการฝึกฝนอบรมจิตเป็นของสำคัญมาก ทำความพากเพียรทุกข์ยากลำบาก สติอย่าเผลอ สติให้จับติด ๆ สติเป็นสำคัญมากนะ ถ้าขาดสติแล้วเดินจงกรมก็สักแต่ว่าเดิน นั่งสักแต่ว่านั่งนั่นแหละ สติเป็นสำคัญจับติด รู้ตัว สติความรู้ตัว บังคับให้รู้ตัวเด่นขึ้น ๆ พอขั้นปัญญานี้ ปัญญาก็ออกก้าวเดิน ปัญญาคือความเฉลียวฉลาด ไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้ก็เห็นเพราะปัญญา สติจะอยู่กับจิตเท่านั้นไม่กว้างขวางนะ พอปัญญาออกก้าวเดินนี้มันจะกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ เทียวนะ มันเป็นอยู่ในจิตนะ
ปัญญาก้าวเดินนี้คือว่า ปัญญาขั้นแรกไม่อยากทำงาน ติดความสงบคือสมาธิ ไม่อยากทำงาน ถือว่าลำบากลำบนยุ่งเหยิงไม่อยากออก ทีนี้พอออกไปรู้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ทีนี้เพลิน พอเพลินก็ปล่อยสมาธิ ทีนี้ก็พุ่งใส่ทางด้านปัญญา เพราะความรู้ทางด้านปัญญากับความรู้ทางด้านสมาธินี้ผิดกันมาก มาก ๆ โดยลำดับนะ ละเอียดลออก็มาก ถึงขั้นปัญญาที่ละเอียดสุดยอดแล้วซึมเลย นั่นฟังซิ ปัญญาที่ยิบแย็บ ๆ หมุนตัวออกนี้เป็นขั้นหนึ่ง ๆ ขั้นหนึ่งเป็นลำดับ จนกระทั่งไม่หมุน แต่ซึมซาบเลย นั่นปัญญาประเภทนี้ มันเห็นประจักษ์ในหัวใจซิไปทูลถามพระพุทธเจ้าทำไม ก็สอนไว้แล้ว
สติธรรมดา สติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา นั่นท่านบอกไว้แล้ว ทีนี้เวลาดำเนินเข้าไปพอเจอเข้า ๆ สงสัยที่ไหน ก็ท่านสอนไว้แล้วนี่ ถึงมหาสติมหาปัญญาแล้วยังปัญญาญาณซึมซาบเลย อันนี้ซึมซาบเลย นั่นละกิเลสละเอียดขนาดไหนมันตามเผาไหม้แหลกหมดเลย พอถึงขั้นสติปัญญามีกำลังกล้าสามารถแล้ว กิเลสนี้หมอบ โผล่มาไม่ได้เลย โผล่มาก็ขาดสะบั้น ๆ ทันที ๆ มันเป็นเองนะ
เวลากิเลสมีกำลังมากนี้มันก็เป็นเองของกิเลสเหมือนกัน พอตั้งสติพับล้มผล็อย เป็นเอง ตั้งเพื่ออยู่ไม่อยู่ ตั้งพับล้มผล็อย ๆ นี่เป็นเองด้วยอำนาจของกิเลสมีกำลัง ทีนี้พอสติปัญญามีกำลังแล้ว พอกิเลสโผล่มาตรงไหนขาดสะบั้น ๆ เป็นเอง ๆ ต่อไปแย็บปั๊บขาด เป็นเองนะนี่ เป็นเอง ๆ จากนั้นก็ซึมซาบ กิเลสมันซึมซาบ สติปัญญาก็เป็นไฟไหม้ที่ละเอียด ซึมซาบเผากันไปเรื่อย ๆ จนขาดสะบั้นไปหมด นั่นมันเห็นชัด ๆ ในหัวใจซิ ผู้ปฏิบัตินั่นแหละจะเห็น ผู้เหล่านี้แหละผู้จะทรงมรรคผลนิพพานตามทางของศาสดา
เพียงเรียนมาเฉย ๆ โอ๋ย ไม่ว่าท่านว่าเราไม่เกิดประโยชน์อะไร เรียนเพื่อปฏิบัติเป็นความเรียนถูกต้อง ท่านแสดงไว้ในหลักพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แบบว่า ปริยัติ ได้แก่การศึกษาเล่าเรียนแบบแปลนแผนผังแห่งมรรคผลนิพพาน ปฏิบัติ ที่นี่ก้าวเดินทำความเพียร ก้าวเดินตามที่เรียนมา ท่านสอนว่ายังไงให้เดินตามนั้น ปฏิบัติตามนั้น ๆ เรียกว่าภาคปฏิบัติ ผลจากภาคปฏิบัติก็เป็นปฏิเวธ คือรู้ไปโดยลำดับ ๆ เรื่อย ๆ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ศาสนาที่กลมกลืนกันต้องมี ๓ มีแต่ปริยัติ ศาสนาขาดบาทขาดตาเต็ง มีปฏิบัติเข้าแล้วจะเชื่อมไปถึงปฏิเวธ คือความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงรู้แจ้งแทงทะลุหมด ๓ ประเภทนี้เป็นหลักของพุทธศาสนาเรา มีแต่ปริยัติ ศาสนาไม่เต็มบาทเต็มเต็ง ได้แต่ความจำมาเหมือนนกขุนทอง กิเลสก็ได้แต่ชื่อของมัน ไม่ได้ตัวของมัน ธรรมก็ได้แต่ชื่อของธรรม ไม่ได้องค์ของธรรม พอภาคปฏิบัติจับเข้าไป ได้ทั้งชื่อได้ทั้งตัว ได้ทั้งกิเลสได้ทั้งธรรม ไปด้วยกัน ๆ จากนั้นก็สมบูรณ์แบบ ปฏิเวธธรรม รู้แจ้งแทงทะลุหมดเลย เป็นอย่างนั้น ธรรมมีหลายประเภท
ที่พูดทั้งหมดนี้เราถอดออกจากหัวใจมาพูด เราไม่ได้ประมาทปริยัติ เราก็เรียนมา แต่ปริยัติก็ต้องวิ่งเข้ามาหาภาคปฏิบัติในหัวใจเรานี่ ท่านสอนให้เข้ามาที่นี่นะปริยัติ เมื่อเรานำอันนี้ออกไปปฏิบัติแล้ว ผลก็เกิดขึ้นที่ใจ ๆ ทั้งนั้นแหละ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ จำ ก็เราเป็นคนไปจำมา ปฏิบัติก็นำความจำเข้ามา เหมือนกับว่าแปลนมรรคผลนิพพานเอามากาง ปฏิบัติยังไง ท่านสอนว่ายังไงเดินตามนั้น นี่เป็นภาคปฏิบัติ แล้วผลก็ปรากฏขึ้นมา ๆ จนทะลุไปได้เลย นี่ละธรรมะเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่อันใดที่จะมาทำลายมรรคผลนิพพานไม่ให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติ ต้องเกิดวันยังค่ำ ตลอดไปเหมือนกิเลส กิเลสก็เป็น อกาลิโก ของมัน ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดเมื่อนั้น ทำให้เกิดมากเกิดน้อยเกิดตลอด ทีนี้ธรรมะทำให้เกิดมากน้อยเกิดตลอด นั่นมันเสมอกันอย่างนี้
แต่กิเลสมันเอารัดเอาเปรียบซิ ศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ มรรคผลนิพพานจะสิ้นเขตสิ้นสมัย มรรคผลนิพพานไม่มีปฏิบัติเท่าไรก็ไม่ได้มรรคผล ทั้งโคตรทั้งพ่อทั้งแม่มันไม่เคยปฏิบัติมันเอามาอวดหาอะไร เราอยากว่าอย่างนั้น ว่าธรรมดามันไม่ถึง ต้องฟาดมันหมดทั้งโคตรเลย มันไม่เคยปฏิบัติตลอดโคตรของมัน มันเอามาอวดหาอะไร เราอยากว่าเข้าใจไหมล่ะ
อะไรจะละเอียดแหลมคมยิ่งกว่าธรรม อัศจรรย์เลยโลกเลยสงสาร เรียกว่าโลกนี้เป็นโลกสมมุติ ถ้าเทียบกับว่าธรรมธาตุหรือนิพพานแล้ว โลกนี้คือโลกถังขยะว่างั้นเลย พูดอย่างอื่นไม่ถูก ถ้าว่าโลกถังขยะ เต็มไปด้วยความทุกข์ความสุข สุขก็มีเจือปนเล็กน้อยพอล่อใจสัตว์ ทุกข์นั้นท่วมหัว ๆ ไปตลอดเวลา ถ้าจะให้มีแต่ทุกข์จริง ๆ สัตวโลกก็ไม่ติด กิเลสมันฉลาดต้องให้มีสุข เหยื่อล่อปลาล่อให้เพลินไป พอไปติดเบ็ดแล้วนั่นละกองทุกข์ เหยื่อล่อมันอยู่นั่นล่อให้เป็นความสุขแล้วเพลิน ลืมเบ็ดล่ะซิ งับเหยื่อเข้าไปแล้วก็งับเบ็ดเข้าไปพร้อม นั่นละกิเลส
จึงว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งถังขยะ ความทุกข์มากแสนสาหัสกว่าความสุขที่มีไว้เป็นเครื่องล่อสัตว์ สุขมี มันหากมีเป็นเครื่องล่อ ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีเพื่อเป็นความสุขความเจริญจริง ๆ เหมือนความสุขในธรรม ในธรรมนั้นสุขขึ้นไปเรื่อย ๆ หนุนขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีเครื่องล่ออันนี้ พากันจำเอานะ
นี่ละเรื่องมรรคผลนิพพานสมบูรณ์แบบ มีตลอดไปเลย ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีอยู่ผลจะตลอดไปอย่างนี้ละ ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติก็ไม่มีความหมายอะไร กิเลสก็เหมือนกันเมื่อไม่มีผู้สั่งสมมัน มันก็ไม่เจริญในหัวใจของผู้ปฏิบัติที่ตั้งใจจะฆ่ากิเลส กิเลสจะไม่เจริญนะ มีแต่ธรรมจะเจริญขึ้น ๆ กิเลสค่อยเหือดแห้งไป ๆ อับเฉาไปเรื่อย ๆ เพราะธรรมตีเข้าไป ๆ ส่งเสริมแต่ธรรมไม่ได้ส่งเสริมกิเลส ระมัดระวังก็ระวังกิเลสไม่ให้เกิดนั่นเอง เกิดแล้วก็ตีกันทันทีเลย ทีนี้กิเลสมันก็ไม่เกิด ค่อยหมดไปเหือดแห้งไป ๆ ธรรมะสูงขึ้น ๆ เอากันเรียบไปเลย นั่น ทางไหนมีกำลังมากเพราะการบำรุงรักษา ทางนั้นผลก็แสดงขึ้นเต็มเหนี่ยว ทางด้านธรรมะเกิดขึ้นเต็มเหนี่ยว ทางกิเลสก็เกิดขึ้นเต็มเหนี่ยว ถ้าเราสั่งสมทางไหน ให้ยึดอันนี้เป็นหลักไว้นะ
ศาสนาพุทธของเราเรียกว่าธรรมะนี้คือเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลมีเวลา บำเพ็ญเมื่อไรเป็นธรรมเมื่อนั้น ทำบุญเป็นบุญตลอดเวลา ทีนี้ทางกิเลสก็เหมือนกัน อกาลิโก ทำบาปเมื่อไรเป็นบาป ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดตลอดเช่นเดียวกัน ให้จำอันนี้เอาไว้นะ ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันระหว่างกิเลสกับธรรม มันยิ่งหย่อนสำหรับผู้ปฏิบัติเท่านั้นเองจะสั่งสมทางไหนมาก ส่วนมากมันสั่งสมตั้งแต่กิเลสนั่นละ ถึงได้มีแต่ความทุกข์ร้อนยุ่งเหยิงวุ่นวายไปทั่วดินแดน
โลกอัศจรรย์ ๆ มันไม่ได้เห็นนั่นซิ เห็นแต่ถังขยะ ไม่ได้เห็นโลกแห่ง ปรมํ สุขํ น่ะซิ เราเรียกว่าโลกเฉย ๆ นะ อันนั้นไม่ใช่แหละ แต่ทางนี้มีโลกสมมุติ โลกวิมุตติ ก็ได้ว่าเทียบกันไปเฉย ๆ วิมุตติคือหลุดพ้นแล้วจากโลกสมมุตินี้โดยประการทั้งปวง ทีนี้เวลามองดูกันแล้วมันถึงเป็นเหมือนถังขยะ อันนี้เหมือนถังขยะ แต่ถังขยะมันก็ไม่มีกองทุกข์ แต่ถังขยะของสัตวโลกนี้กองทุกข์เต็มไปหมดในนั้น สุขมีนิดหน่อย ๆ ถังขยะนี้เต็มไปด้วยกองทุกข์ ถังขยะที่เขาเอามาเททิ้งตามข้างถนนหนทางไม่มีทุกข์นะ ถังขยะของมนุษย์ของสัตว์นี้ทุกข์เต็มไปหมด ให้ชำระอันนี้ให้ดี วันนี้พูดเพียงเท่านี้ มีลักษณะหนัก ๆ เบา ๆ เบาะ ๆ บ้างซิ วันนี้เอาเบาะ ๆ ไม่เอามากแหละ ให้เป็นคติธรรมนะ
พวกที่มาภาวนาอยู่ในครัวนี่ก็เหมือนกัน ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา อย่ามาเตร็ดเตร่เร่ร่อนใช้ไม่ได้นะ เสียความมุ่งหมายของผู้รับเอาไว้ อยู่ในครัวมีแต่ถังขยะเต็มไปหมด ถังขยะขี้เกียจ ถังขยะขี้คร้าน ถังขยะอ่อนแอ ถังขยะเหลวไหล ถังขยะไม่มีสติ มีแต่ถังขยะ มันมีไหมพวกเรา ถังขยะเหล่านี้มีในพวกเราไหม โอ๋ย อย่าถามว่างั้นเลย ขายที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นไม่มีอัดมีอั้น ขายได้ตลอดเพราะมันมากต่อมากถังขยะอยู่ข้างใน แต่ไม่มีใครซื้อ ทางนี้ก็เต็มด้วยถังขยะเหมือนกัน ถังขยะต่อถังขยะไปซื้อไปขายกันได้ยังไง ซื้อขายไม่ได้ เรียกว่าขายไม่ขาดคือพวกถังขยะ เต็มหัวอกทุกคน เอาละทีนี้ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com