เสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้รับกัน
วันที่ 22 เมษายน 2550 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

เสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้รับกัน

 

        (ลูกศิษย์เอาน้ำปานะมาถวายหลวงตา) ไม่เอาทั้งนั้น เอ๊ะอะๆ มาเหมาท้องเดียว มันพิลึกนะ ท้องก็มีท้องเดียวเหมือนคนทั้งหลายนะทำไมกำเริบเสิบสานเอานักหนา เหมือนที่เทศน์มีเมีย ๙ คน ๑๐ คนมันพิลึกกึกกือนะพวกนี้ วันนี้เอาเสียบ้าง ให้ระวังให้ดีนะนี่น่ะ โลกธาตุนี่ไม่ได้หวั่นกับอะไรนะ ให้เข้าใจนะ ว่างหมดเลย เห็นแต่ขวากแต่หนามเต็มบ้านเต็มเมืองตีเข้าไปล่ะซิ มันโมโห เข้าใจไหม ไม่มีก็ไปหามาซิ มีดไม่มีคว้าไปเอามาฟันก็ได้นี่นะ เจ้าของไม่มีอยู่ในตัวไปเอามาทางอื่นมาฟันก็ได้นี่ มันยากอะไร

          วันนี้ไปเลี้ยงปลาไม่ค่อยสะดวกจิตเท่าไร มันขัดๆ อยู่ในจิต เลยเลิกมาเลย ปลาน่ะเข้าใจไม่ใช่หรือว่าไม่สะดวกอะไร ก็อย่างนั้นแล้ว เราไม่ใช่เป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ไปด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้น จะเอาโลกมาขวางเราปั๊บรู้ทันทีนะ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เล่นด้วย ปล่อยเลย ที่ไหนไม่ควรเล่นด้วยไม่เล่นด้วยเลย เป็นอย่างนั้นนะ นี้ธรรมเป็นอย่างนั้น

          คุณไวมาลูกศิษย์ก้นกุฏิ พอมองเห็นคุณไวนี้ไม่จืดไม่จางคุณเพาพงา คุณเพาพงาเสียไปภรรยาของคุณไว มาพบกันแล้วนะ ดีแล้วลูกศิษย์ก้นกุฏิ นานๆ พบกันก็ยังดี เรายังไม่ได้ตาย มันต่างคนต่างแก่ มองกันด้วยความเสี่ยงทายนะ ไม่ได้มองด้วยความแน่ใจนะ หันหลังให้กันตายแล้ว มันเผลอไม่ได้นะสองคนนี้ มาเจอกันปั๊บมันเจอไม่ได้ แบบเสี่ยงทาย หันไปแล้วใครจะตายก่อนตายหลัง

คุณเพาพงาที่ได้หนังสือเทศน์มาศาสนาอยู่ที่ไหน ธรรมะชุดเตรียมพร้อม นี่ละเทศน์สอนคุณเพาตั้งแต่ไปถึง เพราะเราพูดมีความหมายมาในจดหมายเสร็จ แต่เขาตีความหมายได้ดีนะ เขาบอกว่าเป็นมะเร็งในกระดูก หมอเขาบอกว่าอย่างนานไม่เลย ๖ เดือน ทีนี้ก็หมดหวังแล้วอยู่กับธาตุขันธ์อันนี้ก็อยู่มานาน ไม่มีวี่แววเลยว่าจะหวังกับมันได้ต่อไป มีแต่กุดลงด้วนลง มีหวังตั้งแต่ธรรมเท่านั้น เพราะอย่างนั้นจึงอยากออกจากบ้านมาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด ทางธาตุทางขันธ์ทางโลกทางสงสารมันหมดหวังแล้วแหละ ทางธรรมยังมีหวังอยู่

จดหมายมาหาเรา เราก็ตอบไปเป็นขั้นๆ มาขั้นเอาจริง พอจดหมายขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ จดหมายเขามาขั้นที่ ๓ ขั้นเด็ดขาดหวังพึ่งธรรมอย่างเดียว พอเขารับจดหมาย จดหมายไปถึงตอนเย็นนั้นแหละ ตอนเช้าเขามาถึงแล้ว อ้าว ได้รับจดหมาย แล้วยังนี่ รับตอนเย็นเมื่อวานนี้ ว่าอย่างนั้นนะ พออ่านจดหมายจบเตรียมของมาเลย มาถึงนี้ตอนเช้า เอ้อ แน่ะรับกันแล้วนะ กุฏิสองหลังสิงคโปร์ในสิงคโปร์นอกเวลานั้นว่างทั้งสองหลังให้คุณเลือกเอา จะเอาหลังไหนก็ได้มันว่างทั้งสองหลัง สิงคโปร์นอก สิงคโปร์ในอุไรห้วยธารอยู่ สิงคโปร์นอกหญิงก้อยอยู่ ให้เลือกเอา แกเลือกเอานี่ละหลังหญิงก้อยอยู่

ตั้งแต่วันนั้นนั่นเห็นไหมล่ะไปเทศน์ให้ฟังทุกวันๆ พอตกเย็นขณะนี้ไปแล้วเทศน์แล้ว พอจวนมืดเข้าในครัว ท่านปัญญาเป็นผู้ติดตามอัดเทปๆ ท่านปัญญาอัดเทปเป็นมือหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราไปเทศน์ที่ไหนเอาท่านปัญญาไปด้วยเลย เว้นแต่ไปไกลๆ ท่านไปลำบาก เอาเทปไปอัดตลอด พอตกเย็นก็เข้าละ บอกให้เลือกเอาสองหลังนี้ นี่แกมาด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่แล้วทางนี้ก็รับกันอย่างลึกๆเลยละ ตั้งแต่วันนั้นไปพอตกเย็นๆ หกโมง อย่างทุกวันนี้จะหกโมงกว่าๆหรือหกโมงครึ่งยังไม่มืด ก็พาท่านปัญญาไป ไปเทศน์

ผลพลอยได้ก็คือโยมแม่ แต่ก่อนไม่มีแขกคนเราก็ไม่ได้ไปเทศน์นะ ปล่อยไว้อย่างนั้นละ ทีนี้เมื่อมีคุณเพาพงามาตั้งใจจะสงเคราะห์คุณเพา เพราะหมดหวังแล้วทางโลก เขาก็ปล่อยแล้วเขาไม่หวังแล้ว หวังแต่ธรรมอย่างเดียว เราก็พุ่งใส่เลย เอาธรรมรับกันเลย ไปเทศน์ให้ฟังทุกค่ำทุกตอนเย็น เทปอัดไว้ๆตลอด ถ้าวันไหนเราจะมีการประชุมพระเราก็บอก วันพรุ่งนี้ไม่ได้มา มีการประชุมพระ หรือวันพรุ่งนี้มีธุระอย่างนู้นอย่างนี้บอก ถ้าวันไหนไม่ได้บอกไปทุกวัน เทศน์ดูเหมือนสัก ๙๐ กว่ากันละมัง ไปอยู่ ๓ เดือนกว่าเทศน์ทุกคืนเลย

เวลากลับมานี้หมอเขาบอกอย่างนานไม่เลย ๖ เดือน แกมาอยู่ได้ปีกว่า พลังของจิตอยู่ได้ปีกว่าแล้วก็ล่วงลับไป ที่เทศนาว่าการให้แกฟังตั้งแต่ไปถึงวัดป่าบ้านตาดมันสัก ๙๐ กว่ากันละมัง เราก็อัดเทปเอาไว้ถอดจากเทปไปเป็นหนังสือธรรมะชุดเตรียมพร้อม หนึ่ง ศาสนาอยู่ที่ไหน หนึ่ง เล่มหนานะ นั่นละที่เทศน์สอนคุณเพาพงา แกไปด้วยความสงบเรียบร้อยนะ จนวาระสุดท้าย เพราะเราติดตามถามกันอยู่ตลอด ถึงเวลาสุดท้ายไปเรียบเลย

ทีนี้โยมแม่ก็ได้อาศัยนั้นละ เพราะไปเทศน์ทุกค่ำๆ โยมแม่มานั่งฟังเทศน์อยู่ตลอด โยมแม่ก็ได้ผลจากการเทศน์คุณเพาพงาฟัง จนกระทั่งว่าคุณเพากลับไปแล้วไม่มีแขกมีคนก็ตามถ้าอาจารย์ว่างเมื่อไรก็ขอนิมนต์อาจารย์มาเทศน์สอนแม่ด้วย ว่าอย่างนั้นเลย แต่ก่อนเรียกมหา แต่ก่อนที่เรายังไม่เป็นมหาเราไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับทางนี้นะ  ไปเรียนตลอด จนกระทั่งได้เป็นมหาถึงกลับมา เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ามหา โยมแม่เรียกหลวงตาเรียกมหา ครั้นต่อมาเรียกอาจารย์แล้วค่อยเลื่อนชั้นขึ้น จนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกอาจารย์เลย ลง แม่ลงลูกโยมแม่ ลงจริงๆ นะ

วันไหนไม่มีแขกคนมาอาจารย์ว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์อบรมสอนแม่บ้างนะ คือเวลาฟังเทศน์อาจารย์นี้ไม่มีเคลื่อนคลาด กัณฑ์ไหนได้กัณฑ์นั้นเลย ไม่ต้องบังคับ พอทางนั้นเริ่มธรรมะสติก็เริ่มจับจิตปั๊บเกี่ยวโยงกันโดยลำดับ ความรู้กล่อมลงๆ ธรรมเทศนากล่อมใจแน่วลง ทุกกัณฑ์ไม่มีเว้น แล้วไม่บังคับยากด้วย พอทางนั้นเริ่มเทศน์ทางนี้เริ่มตั้งสติปั๊บเทศน์ก็ไหลเข้ามาๆ เหมือนว่ากล่อมใจ สงบแน่วๆ ๆ ทุกกัณฑ์เลย ถ้าทำโดยลำพังตนเองจนหลังจะหักมันก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าได้ฟังเทศน์นี้ไม่ต้องบังคับ ก็ถูกต้อง

คือเสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้นี่มันรับกัน เกี่ยวเนื่องกันโดยลำดับ ทีนี้ความรู้มันก็ไม่ส่ายแส่ไปรับที่ไหนได้ มันรับแต่เสียงธรรมอย่างเดียวๆ ติดต่อสืบเนื่องๆ แล้วลง พูดเปิดอกเลยละแม่ แม่พูดเปิดอกให้ลูกฟังเลย แสดงว่าลงลูกเต็มสัดเต็มส่วน หลังจากนั้นแล้วก็บอกว่าแม่นี้ฟังเทศน์ใครมันก็ไม่เหมือนเทศน์อาจารย์นะ ฟังมามากยอมรับ โยมแม่เป็นนิสัยใจนักบุญอยู่แล้ว ไม่เคยลดละเรื่องวัดเรื่องวานี่เอาถึงไหนถึงกันมาตลอดตั้งแต่เรายังไม่บวช เวลาเราบวชแล้วยิ่งหนาแน่นเข้ามาๆ จนกระทั่งได้ออกบวช มีความแน่นหนามั่นคงมากในใจมากตลอดมา

พอฟังเทศน์นั้นแล้วก็นิมนต์ให้เราไปเทศน์ให้ฟังตอนค่ำ เราก็ไม่มีเวลาไปนะ ตกลงไม่เป็นไปตามความหวังของโยมแม่ละ เพราะงานของเรามาก เราไม่ค่อยไปล่ะ ไปเฉพาะที่เทศน์สอนคุณเพา นั่นละโยมแม่ได้กำลังใจมาตั้งแต่บัดนั้นเรื่อย แล้วพูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการนี้มันหากเป็นเอง ใครเทศน์ก็ตามไม่ได้ดูถูกครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เทศน์นั้น แต่อาจารย์เทศน์ไม่เหมือนใครเทศน์ บอกตรงๆเลย คือท่านเทศน์ท่านก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยิ่งทางเทศน์ปริยัติท่านก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตใจมันก็เพลินไปข้างนอก มันไม่เข้า ว่าอย่างนั้นนะ แต่เวลาอาจารย์เทศน์นี้ไม่ได้ไปไหน ตีเข้ามา ตีเข้ามา ลง รวมได้ทุกกัณฑ์ ไม่มีผิดมีพลาด

เพราะฉะนั้นเวลาว่างๆ อยากให้อาจารย์มาเทศน์สอนแม่ นั่นละเรื่องราว ลง แม่ลงลูกก็คือโยมมารดาลงเรา ไม่ต้องบอกต้องสอนอะไร เราไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวกับโยมแม่ฟังนะตั้งแต่ออกไปบวชจนกระทั่งโยมแม่จากไป ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวที่จะไปพูดในฐานะแม่กับลูกให้กันฟังนะไม่มี แม้แต่กุฏิโยมแม่ก็ไม่เคยเข้าไปนั่งนะ กุฏิเล็กๆ ถ้าไปก็มีแต่ลูกเต็ม เราก็ไปยืนอยู่ข้างนอก ยืนอยู่พื้นถามโยมแม่อย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้นไปเลย

แล้วฟังเทศน์โยมแม่บอกว่าฟังเทศน์อาจารย์นี่ไม่เหมือนเทศน์ เทศน์ตีเข้ามา ตีเข้ามา ตีเข้ามา ลงได้ทุกกัณฑ์บอกว่าทุกกัณฑ์ ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย นั่นละคือจิตถ้าลงสงบได้แล้วได้รากได้ฐาน ถ้าจิตไม่สงบเร่ๆ ร่อนๆ ยังไม่ดี ผู้ฟังธรรมจิตมีความสงบแล้วเริ่มแล้วนะนั่น คำว่าธรรมะนี้มีอยู่สองภาค ภาคปริยัตินี้จะไม่รวม ท่านจะเทศน์เรื่องราวไป เรื่องนั้นเรื่องนี้ นิทานบ้างอะไรบ้าง ไปนอกๆ พูดให้เต็มยันก็คือว่าผิวๆ เผินๆไป แต่ภาคปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านปฏิบัติมาท่านเอาจริงเอาจัง เวลารู้ท่านก็รู้จริงๆ รู้จริงๆ เห็นจริงๆ พูดออกมามันก็มีแต่ของจริงออกมาละซิ มันจะไปเร่ร่อนไปที่ไหน จิตไม่เร่ร่อน

เวลาโยมแม่ฟังเทศน์ก็ได้กำลังใจตอนนั้นละ ตอนที่เพาพงาไปอยู่เป็นเวลา ๓ เดือนกว่า ลง ลงลูก บอกว่าลงชัดเจนเลย ไม่ต้องบอก เรื่องที่เราจะไปเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้โยมแม่ฟังในฐาะแม่กับลูกไม่เคย เป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไป ไปนั่งคุยกับโยมแม่ไม่เคย ถ้าไปก็ไปอย่างว่าละ ไปครัวมีแขกคนไปนั่งเทศน์ให้แล้วเกี่ยวกับแขกคนไปด้วยกัน เสีย ที่จะให้เราไปคุยกับโยมแม่ในฐาะแม่กับลูกไม่เคยมี และการปฏิบัติของเราเป็นอย่างไรๆ ตั้งแต่ออกจากบ้านไปปฏิบัติจนกระทั่งเป็นอาจารย์สอนโยมแม่นี้ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังนะ พูดตั้งแต่หลักความเป็นจริงอย่างไรๆ เล่าให้ฟังเทศน์ให้ฟังหมดเลยละ

แต่โยมแม่นี้ดีละแน่ใจ จิตใจแน่นหนามั่นคงมากอยู่ ตอนวาระสุดท้ายเราเข้าไปก็ไปยืนอยู่หน้ากุฏินั่นละ กุฏิเล็กๆ มีแต่ลูกเต็ม โยมแม่อ่อนลงๆ ๆ ตั้งใจไปถามจริงๆ แล้วเป็นอย่างไรละโยมมารดา ดูอาการอันนี้จะไม่นานนะนี่น่ะ บอกตรงๆเลยแหละ ดูอาการของโยมมารดานี้จะไม่นานนะ แล้วจิตใจเป็นอย่างไร อาการนี้อ่อนมากนะ ส่วนด้านจิตใจเป็นอย่างไร จิตใจแม่ดี ขึ้นเลยนะ จิตใจแม่สง่าผ่องใสตลอดเวลา ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายเลย เท่านั้นเราก็ได้ความ หลังจากนั้นมาได้สองวันหรือสามวันแม่ก็เสีย ตื่นเช้าขึ้นมาบอกลูกๆ ว่าเออแม่จะไม่พ้นวันนี้แหละ แม่คงจะไปวันนี้แหละ ตอนเช้า พอ ๘ โมง ๔๕ นาทีโยมแม่ก็เสียในเช้าวันนั้น ไปอย่างสงบเงียบเลย

นี่แหละจิตเมื่อได้รับการอบรม จิตจะมีหลักยึด คือธรรมเป็นหลักยึดแล้วจะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับสิ่งของเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ สิ่งใดก็ตามที่เคยพัวพันกันมาด้วยความดีอกดีใจว่าเจ้าของมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เวลาธรรมเข้าสู่ใจพลังของธรรมหรือคุณค่าของธรรมนี้จะครอบหมดๆ สิ่งเหล่านั้นจะจางไปๆๆ จิตเลยเข้ามาสู่ธรรม เมื่อเข้ามาสู่ธรรมแล้วก็หนุนกันอยู่นี้ เย็นสบาย อะไรจะขาดจะเหลืออะไรจะหมดไปสิ้นไปไม่สนใจ อันนี้ไม่หมด สง่างามอยู่ภายในใจ นี้ละเรียกว่าใจเป็นธรรม ใจมีธรรมเป็นที่เกาะ สบายอย่างนั้น

การอบรมจิตใจจึงเป็นของสำคัญมากนะ ถ้าไม่อบรมเลยนี้ตายไปไม่มีหลักมีเกณ์ฑนะ ใครให้จำให้ดีคำนี้นะ จิตใจว้าวุ่นขุ่นมัวตลอดเวลาไม่มีที่เกาะ เกาะตรงไหนมีแต่เรื่องของกิเลสซึ่งเป็นเรื่องฟืนเรื่องไฟไปเสีย หาความสุขตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายไม่เจอถ้าไม่หาด้วยธรรม ถ้ามีธรรมหาเท่าไรก็ค่อยเจอไปๆ อย่างโยมแม่ แต่ก่อนโยมแม่รู้ภาษีภาษาอะไร จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายถามอาจหาญมากนะ โห จิตใจแม่สว่างไสวดีอยู่ แม่ไม่วิตกวิจารณ์ นั่นขึ้นทันทีเลยนะ เรียนหนังสือก็ไม่เคยเรียน แต่ก่อนผู้ใหญ่มีใครได้หนังสือไม่ได้ละนะ ขนาดโยมแม่เรานี้ไม่ได้หนังสือนะ มาเรียนทีหลัง เขาบังคับให้ผู้ใหญ่เรียนหนังสือ ได้เท่านั้นละ ก็ยังรู้เรื่องรู้ราวทางด้านจิตใจ นี่ละเพราะการอบรม

เราไม่วิตกวิจารณ์สำหรับโยมแม่เสียไป แล้วบอกชัดเจนบอกโยมแม่ โยมแม่ไม่ต้องวิตกวิจารณ์การเป็นการตาย เผาโยมแม่เผาที่ไหนๆ อย่าไปกังวล เราบอก เราเป็นเจ้าภาพทั้งหมด เป็นเจ้าของศพโยมแม่ เราบอก เราจะจัดการทั้งหมดเลย พอโยมแม่เสียแล้วเอาไปเผาที่หน้าศาลา นั่นเห็นไหม เอาไปเผาที่หน้าศาลาเลย อัฐิของโยมแม่ก็ไปฝังไว้ที่ต้นโพธิ์ ลูกเขาจะแบ่งไปไหนก็ไม่ทราบ หากว่าเหลือบ้างไปฝังที่ต้นโพธิ์ เพราะเราเป็นคนสั่งฝังที่ต้นโพธิ์ในกลางวัดนั่นละ

โยมแม่ไปด้วยความผาสุกเย็นใจเพราะการอบรม เราเป็นผู้อบรมเอง แนะนำสั่งสอนทางด้านจิตตภาวนาเสียด้วย จิตเข้าสู่ความละเอียดขนาดไหนเราสอนหมดเลย ไม่มีแง่สงสัย เพราะอย่างนั้นโยมแม่จึงไปด้วยความสะดวกสบายใจทุกอย่าง เวลาถามก็ตอบออกมาด้วยความกล้าหาญ คนไม่มีความรู้อย่างนั้นตอบออกมาอย่างนั้นไม่ได้ แล้วเป็นอย่างไรละโยมแม่ดูอาการเวลานี้มันเพียบมากแล้วนะ จะไม่อยู่กี่วัน เราว่าอย่างนั้น ภาษาธรรมต้องพูดตรงไปตรงมา ดูอาการของโยมแม่นี้อ่อนลงจะอยู่ไม่กี่วัน แล้วจิตใจเป็นอย่างไร จิตใจแม่ดีขึ้นทันทีเลย สง่างามผ่องใสตลอดเวลา แม่ไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตายของแม่นะ นั่นฟังซิ

ลองว่าไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตายคือว่าได้ที่พึ่ง คือธรรมะอย่างแน่นหนามั่นคง เป็นที่อบอุ่นพอแล้วนั้นเอง ถ้าหากว่าอันนี้ไม่พอมันจะว้าวุ่นขุ่นมัวคนเรา ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ อะไรๆ ก็ตามจะเป็นที่เกาะที่ยึดที่อาศัยจริงๆ ไม่ได้นะ เวลานี้จิตจะหมุนเข้ามาสู่ธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมยิ่งไหลเข้ามาธรรมทั้งนั้นแหละ มันจะไหลเข้ามาเองนะ อำนาจของธรรม คุณค่าของธรรม ความเลิศเลอของธรรม ไม่มีอะไรเสมอ พอธรรมเข้าสู่ใจใจกับธรรมได้ที่ยึดที่เกาะแล้วทีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะจางไปหมด จางไปๆ สุดท้ายมาเกาะอยู่ที่นี่ อบอุ่นอยู่ภายในจิตใจ ตายไปอย่างสบายๆ เลย

นั่นละการอบรมจิตใจขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสอนโลกนี้ไม่ผิดพลาดที่ตรงไหน มันผิดพลาดตั้งแต่พวกไม่ปฏิบัติตาม ดื้อด้านหาญธรรม ผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมได้เป็นขั้นๆ ถึงวิมุตติพระนิพพานตามที่พระองค์สอนไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะธรรมนี้เป็นธรรมไม่บกพร่อง สอนแต่พื้นถึงพระนิพพานเป็นธรรมพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ธรรมอื่นไม่มี ใครจะมาสอนให้สัตว์โลกได้ถึงพระนิพพานไม่มี เราก็ได้ตรวจได้ตาดูตามศาสนาต่างๆ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม เอาหลักความจริงมาพูดกัน พูดไปตามภาษาของกิเลส เพราะผู้เป็นเจ้าของศาสนาก็เป็นคลังกิเลส เมื่อเป็นคลังกิเลสเวลาแสดงออกกิเลสก็ต้องออกละซิ มันไม่มีธรรมออก

ถ้าพูดถึงธรรมของพระพุทธเจ้าพุทธศาสนาปฏิบัติธรรมๆ จิตใจกับธรรมมันอยู่ด้วยกันแล้วเวลาแยกแยะออกไปไหนมันก็เป็นธรรมไปเรื่อยๆๆ ก้าวไหนออกไปก็เป็นธรรมไปหมด มันไม่ได้เป็นกิเลสตัณหาเหมือนคลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนานะ มันต่างกันตรงนี้นะ จึงว่าเลิศเลอแล้วเราเกิดมาพบพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว นี่เป็นศาสนาที่คู่โลกคู่สงสาร หาศาสนาใดมาเสมอไม่มี บอกตรงๆ เลย เราพูดได้อย่างยันตัวจากภาคปฏิบัติของเราไม่สงสัย

เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วไม่ใช่เหรอ เราไม่เคยคิดเคยคาดว่ามันจะพูดมาได้อย่างนี้ เวลาปฏิบัติไปๆ เมื่อเข้าถึงขั้นเต็มภูมิแล้วนี้ไม่ทราบว่ามันเข้าไปอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมด แดนนิพพานได้อย่างไร มันเข้าไปอยู่แล้วนั่น เป็นอันเดียวกันเรียบร้อย เราไม่เคยคาดเคยคิด เมื่ออันนี้เป็นกับอันนั้นเป็นอันเดียวกันแล้วมันเข้ากันได้ปั๊บติดกันเลย ดังที่เคยยกตัวอย่างให้ฟังว่าน้ำมหาสมุทรเป็นพื้นฐานแห่งน้ำทั้งหลาย ฝนตกมาจากเมฆก้อนต่างๆ นี้ตกมาเม็ดไหนๆ ลงถึงมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรหมด จะแยกเป็นน้ำไหนอีกไม่ได้

อันนี้ก็เหมือนกันอรรถธรรมเวลาเข้าสู่ใจ เข้าสู่ใจ เข้าเต็มที่แล้วนี้ละลงผึงแดนมหาวิมุตติมหานิพพานเป็นอันเดียวกันหมด แล้วจะไปถามใคร พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ถามท่านหาอะไร พระสงฆ์สาวกมีกี่องค์ถามอะไร อันเดียวกันแล้วนี่ถามหาอะไร มันไม่สงสัยมันอยู่ในท่ามกลางกันแล้ว เหมือนที่ว่าฝนตกลงมาท่ามกลางมหาสมุทรมันเป็นอันเดียวกันแล้วจะไปถามหาน้ำหยดไหนๆ มาจากเมฆก้อนไหน นี่เป็นอย่างนั้นละจิตเมื่อปฏิบัติไม่ได้คาดได้คิดละนะ ธรรมของพระพุทธเจ้านั่นละพาเป็น เราปฏิบัติตามสายธรรมที่ท่านสอนมันจะก้าวเข้าๆ ก้าวไปด้วยความถูกต้องๆ เพราะธรรมนั้นสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วไม่ผิด เอาก้าวเดินไปก้าวไหนก็ถูกทุกก้าวๆสุดท้ายถึง เมื่อมันถึงแล้วจะถามหาใคร จะว่ามันอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทั้งหลายได้อย่างไร ท่ามกลางพระนิพพาน นิพพานเท่านั้นพอหมดแล้ว

นั่นละการอบรมจิตใจตัวเอง อย่าปล่อยปะละเลยนะ จิตใจเป็นของสำคัญมากนะ เรื่องโลกสงสารทุกวันนี้เรื่องใหญ่โตไปจากอะไร ไปจากหัวใจของสัตว์แต่ละรายๆ เกิดไม่หยุดไม่ถอย ตายไม่หยุดไม่ถอย สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เป็นอย่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วตกแต่งให้ไปเกิดสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ อวิชชาพาให้เกิดแน่นอนเรื่องอวิชชาพาเกิด แต่สูงต่ำอันนั้นเป็นเรื่องของบุญของกรรม ท่านจึงสอนให้ทำความดีงามมาก ให้เกิดให้ไปทางดี หากยังไม่พ้นจากการเกิดตายก็ให้ได้ไปเกิดในสถานที่ดีด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่เราสร้างมา

ทีนี้เวลาบุญกุศลที่สร้างมาๆ พอตัวแล้วทีนี้เข้าถึงอวิชชา นี่ละกองทัพใหญ่ที่จะรื้อวัฏฏะสงสารออกจากใจ กองทัพใหญ่อยู่ที่อวิชชา นี่ละธรรมชาติพาให้สัตว์เกิดสัตว์ตาย กองมหากุศลอันยิ่งใหญ่ของเราที่สร้างมาฟาดทำลายอวิชชาขาดสะบั้นลงไป นิพพานจ้าขึ้นมาเลย ถามหาอะไร ถามหาพระพุทธเจ้าถามหาพระสงฆ์สาวกถามหา ถามหานิพพานถามหาอะไร ก็มันเป็นนิพพาอยู่แล้วในหัวใจ

นี่ละภาคปฏิบัติ จึงว่าพุทธศาสนาขอให้พี่น้องทั้งหลายตายใจเถิด เราบอกว่าเราตัดคอรองเลย พุทธศาสนานี้เราตัดคอรอง เพราะเราได้ปฏิบัติมาแล้วเต็มสัดเต็มส่วน การเรียนมาก็ยกไว้เสีย ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่จะเอาจริงเอาจัง ที่จะรู้เหตุรู้ผลตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์รู้เหตุรู้ผลจนกระทั่งได้เป็นพระพุทธเจ้าได้เพราะภาคปฏิบัติ พระองค์ปฏิบัติจนเต็มภูมิแล้วตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาไม่ถามใคร เป็นศาสดาเอกของโลกมาตลอดมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ สาวกทั้งหลายปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็เป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมา อันนี้ก็ธรรมอันเดียวกันเราก้าวเดินไปตามสายทางเดียวกันจะไปไหน ถ้าไม่ไปจุดหมายปลายทางที่ทรงชี้บอกไว้เรียบร้อยแล้วนั้น

ให้พากันตั้งอกตั้งใจ อย่าเห็นแก่ความขี้เกียจขี้คร้าน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ใช่ของดีนะ เวลานี้กิเลสมันกำลังหึกกำลังเหิม อะไรๆ กิเลสต้องออกหน้าๆ ทั้งหมดเลย ธรรมออกไม่ได้ โลกจึงเดือดร้อนวุ่นวาย ใครอยู่บ้านใดเมืองใดว่าที่ไหนเจริญที่ไหนไม่มีคำว่าเจริญ มันมีแต่ไฟเผาหัวใจของสัตว์โลกทั้งนั้น ธรรมจับปุ๊บรู้หมดเลย จะว่าอะไร อะไรจะเกินธรรม ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าโลกุตรธรรมเหรอ โลกุตรธรรมแปลว่าธรรมเหนือโลก มองเห็นหมดเลย

โลกดูธรรมดูไม่ออก แต่ธรรมดูโลกดูออกชัดเจน พระพุทธเจ้าท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วดูโลกดูอย่างชัดเจน เห็นหมดเลย ใครถูกๆ มันไม่มีในโลกอันนี้นะ ถ้าไม่มีธรรมในใจหาความสุขไม่มี อย่าไปหานะ หาที่ไหนก็ไปหา ตื่นนอนขึ้นมาหาวันยังค่ำจนกระทั่งถึงนอนหลับมันก็หมดหวังตลอดมาจนกระทั่งถึงหลับ ถ้าหาด้วยอรรถด้วยธรรมนี้ได้ ไม่สงสัย เสาะแสวงหาความดี เอา ทางโลกทางสงสารเราก็วิ่งเต้นขวนขวาย เพราะธาตุขันธ์เป็นของจำเป็นที่จะต้องเยียวยารักษาเขาหามาขวนขวายมา มันจำเป็นก็ให้รู้ว่ามันจำเป็นในขั้นของขันธ์ แต่ความจำเป็นของจิตที่จะก้าวเดินไปโลกหน้านั้นมันยิ่งจำเป็นยิ่งกว่านี้  ดูอันนี้ให้ดีอีก ถ้าไม่ดีแล้วอันนี้จะพลาด อันนี้พลาดจมหมดนะ ถ้าจิตใจพลาด

เพราะฉะนั้นจึงบำรุงจิตใจให้ดี เรื่องศีลเรื่องธรรมอย่าห่างจากใจนะ ถ้าห่างจากใจใจไม่มีที่ยึดที่เกาะลง ถ้าใจมีที่ยึดที่เกาะพอเป็นพอไป พอซุกหัวนอนได้ทุกแห่งนะคนเราถ้ามีธรรมนะ มีธรรมมีบุญมีกุศล การทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาเป็นการสร้างกุศลทั้งนั้นเพื่อเป็นการพยุงใจ ขอให้พากันบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นการพยุงใจเรานะ เราเกิดกับพุทธศาสนาแท้ๆแล้วทำไมจึงมีตั้งแต่ลมๆแล้งๆ ถามใครก็ถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ มันมีลูกกี่คนอยู่ในท้องแม่มันจะดันกันออกมา แย่งกันพูดว่าถือศาสนาพุทธๆ มันไม่ได้เรื่องนะเวลาเอาจริงเอาจัง มันมีแต่คำพูดเฉยๆ

ทีนี้โลกมันก็ไม่จืดจาง โลกกิเลสตัณหาโลกฟืนโลกไฟเผาไหม้หัวใจ มันก็ไม่มีวันจืดจางเพราะมีคำว่าถือพุทธเฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อการแก้สิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจคือกิเลสออก ถ้าแก้นี้แล้วถามหาอะไร อย่างที่พระมาพูดเมื่อสองสามวันนี้ว่าเขาจะออกรัฐธรรมนูญบ้างอะไรบ้าง ประกาศออกมาให้ศาสนานี้เป็นศาสนาประจำชาติ มันก็พูดไปอย่างนั้น ประจำชาติประจำแชดอะไร ถึงจะตีตราไว้สักเท่าไรเมื่อมันไม่นับถือในหัวใจมันก็ไม่มีคุณค่าหมดราคา ประกาศไว้สักเท่าไรก็เป็นกระดาษเศษไปอย่างนั้นละ

ถ้าเจ้าของตั้งใจจริงๆ ปึ๋งเลยทีเดียว ไม่ต้องไปหาอะไรมาประกาศ มันประกาศขึ้นกับหัวใจของผู้บำเพ็ญเอง ถึงขั้นใดภูมิใดของธรรมมันจะรู้เองๆ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น พ้นปึ๋งไปเลย ประกาศหรือไม่ประกาศเป็นของแปลกประหลาดอะไร จิตใจได้หลุดพ้นแล้วจากภัยทั้งหลาย นี่เอาตรงนี้ซิ ไปหาประกาศนู้นประกาศนี้มีแต่เสียงลมๆ แล้งๆ ความจริงไม่ได้ติดตัวเลย มันมีแต่ลมๆแล้งๆ ไปที่ไหนศาสนาก็เป็นศาสนาลมๆ แล้งๆไป หาความจริงของผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ มันไม่มีซิ แล้วจะหาความสุขความเจริญมาจากที่ไหน ที่ให้เป็นไปตามกิเลสนี้ตายทิ้งเปล่าๆ ที่จะให้ได้รับความสุขความเจริญอย่าหวัง พูดให้ชัดเจนเลย ยันเลยเรา ถ้ามีธรรมแทรกเข้าไปมากน้อยนั่นละความหวังอยู่ที่นั่น ขอให้มี

การทำบุญให้ทานอย่าตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อมีพอสมควรที่จะให้ทานแบ่งสันปันส่วน อันนี้แยกทาน อันนี้แยกรักษาโรคประเภทนั้น อันนี้แยกด้วยความจำเป็นอย่างนี้ๆ ผู้เป็นเจ้าของสมบัติให้แยกเอง ใช้ความฉลาด อย่าสุรุ่ยสุร่ายเห็นมาอะไรก็ซื้อคว้ามับๆ ซื้อไว้ๆ จมนะ ต้องพินิจพิจารณา เราเป็นเจ้าของสมบัติเรามีสิทธิที่จะต้องพินิจพิจารณาสมบัติให้มาเป็นประโยชน์แก่เรา เป็นประโยชน์ทางไหนบ้างให้แยกไปๆ นั่นมันถึงถูกต้อง แล้วไม่ค่อยผิดพลาด คนได้พิจารณาอย่างนี้แล้ว ความดิบความดีการทำบุญให้ทานเราก็แยกไว้แล้ว แล้วจะทำประโยชน์แก่โลกส่วนรวมประเภทไหนบ้างเราก็แยกไว้แล้ว ไม่ผิดพลาด ได้มาๆ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี่จม มีเท่าไรก็ไม่มีความหมาย มันจมอยู่กับหัวใจที่มันต่ำทราม ดึงเจ้าของลงไป สุดท้ายเจ้าของก็จม พากันจดจำเอานะ

เรื่องพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราอ่านในหัวใจของเราเอง ได้นำมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลาย ตัดคอขาดเลยหลวงตาบัว เรื่องของพุทธศาสนาจริงหรือไม่จริงร้อยทั้งร้อยบอกอย่างนั้นเลย ไม่มีใครละจะมีวาสนามาได้รับนับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว นี้เราเกิดมาได้พบพุทธศาสนาอย่าปล่อยอย่าวางนะ เรื่องกิเลสตัณหามันจะหลอก อันนั้นก็ดีอันนี้ดี ดีกว่าศาสนา พวกมูตรพวกคูถๆ ดีกว่าทองคำทั้งแท่งๆ ไปล่ะ กิเลสมันเสกตัวของมันไป กิเลสคือตัวมูตรตัวคูถมันยกตัวเข้ามาเหยียบทองคำทั้งแท่งๆ ทองคำคือศาสนาไม่เป็นท่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ สู้ความอยากความทะเยอทะยานไม่ได้ มันก็ไปตามความทะเยอทะยาน จม ให้จำเอานะทุกคน

เอาล่ะพอ วันนี้ไปเทศน์ที่ราชวิถีก็ดูมีธรรมะแปลกๆ อยู่นะแทรกเข้า ให้ได้เป็นข้อคิดบ้างสำหรับผู้ใหญ่ ผู้น้อยเขาคิดพอแล้วเขาอิดหนาระอาใจ ผู้ใหญ่คิดหรือไม่   ให้ได้ความคิดอันนี้ขึ้นมาบ้างนะ

เทศน์เหล่านี้มันมีตั้งแต่คือมันเลือกได้ในธรรมทุกขั้นๆ ถึงที่สุดเลย ธรรมเราไม่มีบกพร่องนะ ธรรมขั้นที่สำคัญที่สุดก็คือเราเทศน์สอนพระในวัดป่าบ้านตาดโดยเฉพาะ คือแต่ก่อนไม่มีคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ถึงวันเวลาที่เราจะประชุมแล้วสั่งปั๊บเลยวันนี้ประชุม เอาล่ะเทศน์เต็มเหนี่ยว เทศน์ตั้งแต่ธรรมะเผ็ดๆ ร้อนๆ ดุเดือดถึงจุดหมายปลายทางๆ ตั้งแต่อยู่วัดป่าทีแรกเทศน์อยู่บนศาลา ไม่ได้เทศน์อยู่ชั้นล่าง ชั้นล่างแต่ก่อนมันเตี้ย  เทศน์อยู่บนศาลา อันนั้นละที่ธรรมะถึงเหตุถึงผล ถึงอรรถถึงธรรม พูดให้เต็มที่ถึงนิพพานว่าอย่างั้นเทศน์สอนพระ พระที่มานี้มีแต่ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมเต็มหัวใจ เวลาเทศน์นี้ก็ไหลเลยพูดตรงๆ เลย เพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ มันเทศน์ง่ายนะ พุ่งๆ ๆ เลย  

ต่อจากนั้นคนก็เข้ามาเกี่ยวข้องมากเข้าๆ ค่อยกลายเป็นแกงหม้อใหญ่ สุดท้ายมีแต่แกงหม้อใหญ่เดี๋ยวนี้นะ ไม่มีแกงหม้อเล็กนะ นานๆ จะมีทีหนึ่ง เช่นอย่างไปเทศน์ทางเขาน้อยสามผานมีพระปฏิบัติมากมายตั้งหน้าตั้งตาไป นั้นแกงหม้อเล็กแทรก นอกจากนั้นไม่ค่อยมี นี่เราจะได้ยินได้ฟังตั้งแต่สมัยก่อนที่ตั้งแต่เทศน์สอนพระล้วนๆ จากนั้นมามีแต่แกงหม้อใหญ่ๆ

การเทศน์ของเราเราพูดเปิดอกพูดนะ เราไม่มีข้อข้องใจสงสัยในธรรมทุกขั้นที่เทศน์ไปว่าจะผิดไป ออกจากนี้ทั้งหมดเลย ว่าถูกต้องแล้วนี้ออก ไม่ว่าธรรมะขั้นใดๆ เป็นขั้นที่ถูกต้องๆ ตามขั้นตามภูมิของธรรมเป็นลำดับจนกระทั่งทะลุถึงนิพพาน เราไม่สงสัยในการเทศน์ของเรา เพราะมันเปิดอ้าอยู่นี่ เปิดๆ ไม่มีที่ใดจะปิดบังลี้ลับหรือมัวๆ หมองๆ ในใจพอจะให้ขัดตรงนี้ขัดตรงนั้นไม่มี โล่งหมดเลยเวลาเทศน์ ยิ่งผู้มาฟังมีแต่พระล้วนๆ ตั้งหน้าตั้งตามาฟังเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆแล้วพุ่งใส่นิพพาน เทศน์นี้ตั้งแต่สมาธิขึ้นเลย เรื่องศีลไม่พูดละ เพราะต่างคนต่างรักสงวนศีลของตัวเองเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีที่ต้องติ ที่บกพร่องคือพวกสมาธิพวกปัญญาวิชชาวิมุตตินี้บกพร่อง เทศน์ตรงจุดนี้เลย เอาเต็มเหนี่ยวๆ เลย

(จดหมายฝากมากราบเรียนหลวงตา เขาบอกเขาชื่ออนุสรณ์ ตรีโสภา ชื่อเล่นโจโฉ เป็นนักร้องศิลปินจากค่ายเพลงบ้านลำดวน ขอกราบขอขมาองค์หลวงตาเพราะเคยล่วงเกิน ติเตียนและดูถูกรู้สึกไม่ดี) ล่วงเกินอะไรบ้างว่ามา (ได้ก่อกรรมไว้ทางกาย วาจา และใจพอสมควร ขอหลวงตาโปรดอโหสิกรรมด้วยครับ) ยังไม่โปรด เพราะยังไม่ทราบสาเหตุว่ามาอะไรๆ เอะอะจะไปโปรดๆ พวกนี้มันอยากว่าอะไรมันก็ว่าไปเพราะโปรดได้ง่าย ยังไม่โปรด มันต้องเอาอย่างนั้น มัดไว้ก่อน เข้าใจไหม มันแก้ออกมาเราค่อยแก้ตามมันไป ถ้ายังไม่แก้ก็ไม่แก้ มัดมันไว้อย่างนั้นละ อย่างนั้นซีแก้ปัญหา

พูดอย่างนี้เราทำให้ระลึกได้ สมัยท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นอุปัชฌาย์ของเรา พูดตรงๆ เลยว่าเราพูดตามอรรถตามธรรม ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เย่อหยิ่งจองหองนะ เจ้าคุณธรรมเจดีย์ที่เป็นอุปัชฌาย์เราลงเราสุดขีดเลย บอกว่าลงสุดขีด ใครไปเทศน์ที่ไหนมันก็ไม่เหมือนเธอเทศน์นะบัว บางทีเราโมโห เทศน์อืออาๆ กูคิดถึงมหาบัว ท่านพูดเองนะนี่น่ะ กูคิดถึงมหาบัว นั่นไม่มีอะไรพุ่งๆ เลย อันนี้อือๆ อาๆ อยากพูดเมื่อไรก็พูด มันโมโห จะไปเทศน์แทนก็ไม่เห็นไปนะ นี่ละอันหนึ่ง

ทีนี้มาเกี่ยวกับเรื่องปัญหานะ เทศน์นี่อยู่กันสองต่อสองนะท่านจะซักแหลกนะซักเรา มองดูกันเฉยๆ ดูหน้าจ้อบัวๆ อย่างนี้ก็เป็นนะ มองดูหน้าเราบัวๆ คือการเทศน์เราฟังมาพอแล้วนะ ว่าอย่างนั้นนะ บอกว่าทั่วประเทศไทย ท่านพูดอย่างนี้ละ เพราะท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลท่านจะไม่ฟังทั่วไปอย่างไร ฟังมาแล้วไม่มีใครเทศน์เหมือนเธอ เทศน์ใส่ตรงไหนขาดสะบั้น ขาดสะบั้น ไม่มีอือๆ อาๆ ท่านว่านะ อันนี้อันหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีปัญหานะบัวนะเทศน์เธอเป็นที่หนึ่ง แต่ถ้ามีปัญหาการเทศน์ของเธอเป็นที่สองของปัญหาที่เธอตอบ คือการตอบปัญหาเร็วมากที่สุดปั๊บๆ เลย แหม เรานี้อยากถามทั้งวัน ท่านพูดขันๆ นะ เราอยากถามทั้งวันแต่ไม่มีปัญหาจะมาถาม คือท่านลงจริงๆ ลงกับเรา

ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรื่องทางกรรมฐานท่านเก่งมากนะ ทางกรรมฐาน ท่านไม่เคยยุ่งเจ้าคณะนั้นคณะนี้ท่านไม่พูดถึงเลยนะ ไปปั๊บเข้าแต่เรื่องวงกรรมฐานอย่างเดียว ๆ นั่นละที่ท่านถามอยู่ๆ บัว ตาจ้อง บัว เวลามีคนมาถามปัญหาเธอน่ะเธอได้คิดไว้ไหม เพราะท่านฟังเราตอบปัญหามามากต่อมากแล้ว ท่านหาอุบายให้เขาถามปัญหา เวลาเขาถามมาปั๊บเอาบัวตอบ ท่านจะแอบฟัง ท่านว่าอย่างนั้น เราเป็นคนตอบๆ ทีนี้นานเข้าๆ ดูหน้าบัว เวลามีคนมาถามปัญหานี้เธอได้คิดไหม ปัญหามามากต่อมากมาถามปั๊บๆ ตอบปุ๊บๆ นี้เธอได้คิดไว้ไหม เราก็นิ่งเฉย บทเวลาท่านจะตอบ ไม่คิด ขึ้นเลย อย่างเด็ดนะ ไม่คิด ถ้าคิดตอบไม่ทัน เท่านั้นพอ ท่านเลยตอบเองพูดเอง เราไม่พูด สิ่งเหล่านั้นมันก็รู้ควรไม่ควร เป็นเรื่องของท่าน

ท่านเป็นธรรมทั้งแท่งเลยนะเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรา เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ท่านฝากให้เข้าไปเรียนหนังสือวัดเทพสิรินทร์ ท่านบอกว่านี่เณรจูมนี่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ดูมันหูกางๆ ลักษณะมันจะเป็นผู้ใหญ่ได้ เอาไปเรียนหนังสือเสีย ให้มันได้มาเป็นผู้ใหญ่ให้ความร่มเย็นแก่ผู้น้อย แล้วท่านก็ไปฝากที่วัดเทพสิรินทร์ เป็นมหาจูม สอบเท่าไรก็ตก สอบเท่าไรก็ตก เขาเรียกมหาจูมหนังสือเน่า พอได้มาเป็นเจ้าคณะมณฑลนั่นละ อยู่มาตลอด เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

ท่านเป็นธรรมล้วนๆเลยนะ ไม่มีที่ต้องติเรื่องโลก เป็นเจ้าคณะภาคอะไรๆ ท่านไม่พูดถึงเลยนะ เวลานั้นมาสั่งเลขาของท่านจัดปุ๊บๆๆ ท่านจะไม่เกี่ยวข้อง ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมะภาคปฏิบัตินี้หมุนติ้วเลย ท่านไม่ออกนะออกทางปริยัติหรือเรื่องอะไรไม่ออก ภาคปฏิบัตินี้ถ้าไปนั่งแล้ว โอ๋ย มันจะตายหลังจะหักเรา ท่านถามไม่ถอยคุยไม่ถอย ด้วยความพอใจของท่านนั่นน่ะ ถ้าไปหาท่านทีไรเราหลังจะหัก ท่านเอาจริงๆ สนใจภาคปฏิบัติสนใจมากทีเดียว    

มีหนหนึ่งแต่ท่านก็ล่วงไปแล้ว แล้วมันมาสัมผัสที่จะให้เป็นข้อคิดในกาลต่อไป เราจึงเอามาพูด นี้พึ่งพูดเป็นครั้งแรกเลยนะ เราไม่เคยพูด เราเก็บตลอดนะ ท่านเทศน์อยู่ศาลาวัดโพธิสมภรณ์ เราก็ไปนั่งฟังอยู่นั่น ท่านเทศน์เอง พอเทศน์ไปถึงนิพพานเป็นอนัตตาเราสะดุดใจกึ๊กเลย พอลงจากธรรมาสน์เราจะเดินตามท่านไปเลย พอดีเรายังไม่ได้เดินตาม ไปบัวไปด้วยกัน ไปก็ซัดกันเลยระหว่างพ่อกับลูก ต้องขอประทานโอกาสพระเดชพระคุณ ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตาเพราะบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา ท่านนิ่งเลยนะ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา อนัตตาอะไร อนัตตาเป็นทางเดินของพระนิพพานต่างหาก จะมาเรียกพระนิพพานได้อย่างไร ท่านนิ่งเลยนะ

นี่ละอุปัชฌาย์กับลูกศิษย์เอากันคราวนี้ละ เด็ดนะ เราเด็ดด้วย เพราะมันผิดมากนี่ มันต้องเอาอย่างเด็ด นิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊ก ทำไมท่านพูดอย่างนี้ พอลงไปเราจะตามท่านไป ยังไม่ตามท่าน ไปบัวไปด้วยกัน ไปก็ซัดกันเลยพ่อกับลูก ขอประทานโอกาสเหตุใดพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตาเพราะบังคับไม่ได้ ก็นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา เอาแล้วนะซัดกันเลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน นิพพานจะมาเป็นอนัตตาอะไร ถ้านิพพานเป็นอนัตตานิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ นิ่งเลยนะ เงียบเลย เพราะมันออกจากนี้จริงๆ เด็ดขาดนะ

คือมันผิดต่ออันนี้อย่างมากมาย เพราะฉะนั้นถึงเบิกออกทันที เปิด อย่าให้ปรากฏขึ้นมาธรรมประเภทนี้ ความหมายว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม คือนิพพานเป็นอนัตตา มันฟังไม่ได้ ก็มันเป็นอยู่นี้ มันผ่านไปหมดอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานไหนจะมากอด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา คือบันใดอยู่มันมีอย่างเหรอ ท่านนิ่งนะ ท่านไม่ว่าอะไร นิ่งเลยนะ เพราะเอาหนักอยู่นะ อย่างนั้นละพ่อกับลูกเอากัน แต่มีสองต่อสองนะ ไม่มีใครล่ะ ติดตามไปเลยเชียว

เพราะบังคับไม่ได้ เหอ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา จะมาบังคับกันหาอะไร ซัดกันเลย จากนั้นเราก็ไล่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ถ้าอันนี้ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงพระนิพพาน อันนี้สมบูรณ์แบบแล้วสลัดปั๊วะถึงนิพพานเลย นี่เราแก้ไว้หมดเลย มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้แล้วมันจะผิดไปไหนพูดน่ะ ทางก้าวเดินเหล่านี้เราก้าวมาพอแล้วพูดออกมันจะผิดไปไหน พูดด้วยความรู้จริงๆ มันไม่ได้มีสะทกสะท้านนะ ของจริงอยู่นี่ ใบละห้าบาทก็ห้าบาทจริง สิบบาทสิบบาทจริงมันจะปลอมไปไหน เข้าใจไหมล่ะ ยอมรับ เด็กก็ว่าเด็กผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ก็คนเหมือนกัน นั่น อันนี้ธนบัตรใบห้าบาทยอมรับห้าบาท สิบบาทยอมรับสิบบาท จะมาลบล้างไม่ได้ นั่นละความหมายว่าอย่างนั้น นิพพานเป็นอนัตตา วะ มันก็โมโห

คือทีแรกไม่ว่าอะไรนะ ท่านก็นิ่งทั้งนั้นละ พอเที่ยวหลังยอมทุกทีไม่มีค้านนะ ไม่มีค้านเรา นี่ก็เหมือนกันไม่ค้าน ยอมรับเลย ประการสำคัญระหว่างเรากับอุปัชฌาย์นี้ท่านก็คงจะเป็นที่ระลึกว่าเป็นลูกกตัญญู ความหมายนะ ท่านนิมนต์เราไปในงานไหนก็ตามเกี่ยวกับท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์เราจะมอบถวายหมดเลย เรียกว่าทุกครั้ง จนกระทั่งท่านค้านมา อ้าวเธอเอามาให้แล้วเธอจะไปเอาอะไร โอ้ยมี เราว่าอย่างนี้เลย ให้ตลอด อันนี้เรียกว่าตลอด

เราไม่เคยแตะนะ เทศน์ที่ไหนๆ ไม่ว่าปัจจัยเงินทองข้าวของอะไรมอบหมดๆ เราไม่เคยแตะนะ ที่ไหนเหมือนกัน ไปเทศน์จังหวัดไหนๆ มอบถวายท่านหมดเลย นู่นนครพนงพนมที่ไหนท่านเอาเราไปเทศน์มอบหมด ให้คนรถของท่านจัดการ เราเป็นคนสั่งเสียคนรถของท่าน เราไม่ไปยุ่งนะ เฉย ไม่ให้รู้เลยนะ เราเป็นคนจัดการๆๆ เอง จตุปัจจัยมีเท่าไรๆจัดการส่งหมด เราไม่เอาแม้บาทหนึ่งไม่เอา คือเราตอบแทนคุณท่าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เท่าคุณของท่านที่เป็นพ่อของเรา เราเป็นพระทั้งองค์ได้เพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ นั่นหลักใหญ่อยู่ตรงนั้นนะ

ท่านเมตตามากนะกับเรา เมตตามากจริงๆ แต่เวลาเถียงก็เอากันเก่งนะ เถียงท่านเป็นฝ่ายยอมนะ แปลกอยู่ เวลาเถียงนี้ท่านเป็นฝ่ายยอมเรา ท่านไม่เคยค้านเรา ถ้าลองได้เถียงกันปึ๋งแล้วนั่นละพ่อกับลูกซัดกันแล้วนะ เงียบ คราวหลังมายอม เอ้อบัวเธอพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง เรายอมรับนะ ท่านมาเอาทีหลังนะทุกครั้งเลยนะ ตอนนั้นท่านจะนิ่งเลย ท่านพูดอะไรๆไปเราคอยฟัง เช่นอย่างนิพพานเป็นอนัตตาอย่างนี้ เวลาไปก็ตามตีเอาเพราะบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา นั่นขึ้นแล้ว นิ่งเลย พอคราวหลัง  เอ้อเธอพูดนี้ถูกต้อง นิพพานผ่านหมดแล้วไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ นั่นเห็นไหมล่ะ ก็ทางเดิน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานมากอดบันใดอยู่อย่างไร ท่านมายอมรับนะ เอ้อเธอพูดได้ถูกดีนะบัว ยอมรับ ไม่รับไม่ได้ มันพิจารณาโดยอรรถโดยธรรมทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นการนำพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เราจึงไม่เคยได้ปรึกษา หารือกับใครเลย ไม่มี เราจะปรึกษาหารือกับธรรมชาตินี้อย่างเดียว พูดให้มันชัดเจน สามโลกธาตุเราไม่ไว้วางใจอะไรยิ่งกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันนี้ ปรึกษาอันนี้ได้ความออกมาออกเลยๆ นอกนั้นเราไว้ใจไม่ได้นะ เราไม่ได้ดูถูก มันหากเป็นอย่างนั้น เช่นอย่างเรานำชาติบ้านเมืองไปอย่างนี้เราจะทำอย่างไรๆ นี้เราจะพิจารณาของเราๆ ควรจะออกแคบออกกว้างออกอะไรเราพิจารณาหมดแล้วพาก้าวเดินไม่มีผิด ธรรมเป็นอย่างนั้นละธรรม ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า ทำอะไรทำตามชอบใจ โอ๋ย ไม่ได้ ขัดกับธรรมเมื่อไรเป็นไม่ฝืนนะ ถ้าขัดกับธรรมถอยกรูดเลย ถ้าธรรมโล่งแล้วออก ออกแคบออกกว้างออกเลย ไม่ผิด

อันนี้พูดให้ใครฟังไม่ได้นะ คือธรรมชาตินี้มันเป็นธรรมชาติจำเพาะตัวจริงๆ ผิดถูกชั่วดีมันจะทราบอยู่ในนี้หมดเลย เรียกว่าบวกลบคูณหารลงตัวอยู่ในนี้หมดเลย ผิดจากนี้ไปไม่ได้มันก็รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ฝืน ถ้าว่าถูกแล้วออกเลยๆ ๆ พิจารณาหรือถามปรึกษาหารือใครไม่สนิทใจ ถ้าได้พิจารณาในนี้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว้างแคบหนาบางขนาดไหนอันนี้พาออกแล้วโล่งไปเลย โล่งไปเลย อย่างนั้นละ

วันที่ ๒๒ เมษา ทองคำตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ได้ ๑ กิโล ๒๙ บาท ๓๙ สตางค์ สำหรับวันนี้นะตั้งแต่เช้า ทองคำตั้งแต่วันที่ ๖ เมษาถึงวันนี้ได้ ๒๔ กิโล ๖๐ บาท ๗๔ สตางค์ ไม่น้อยนะ เรากะว่าต่อจากนี้ถึงกลับอุดรต้องได้ ๒๐ กิโล นี่ฟาด ๒๔ กิโลแล้วนะ สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ทองคำที่หลอมแล้วได้ ๓๘๗ กิโลครึ่ง (เป็น ๓๑ แท่ง) ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๓๘ กิโล ๕๒ บาท ๗๑ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอมเป็น ๔๒๖ กิโล ๑๙ บาท ๘๒ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งเข้าแล้วก็เป็น ๔๖๓ กิโล ๕๒ บาท ๗๑ สตางค์ นี่จาก ๑๑ ตันนะ คือเรามอบแล้ว ๑๑ ตัน แล้วจาก ๑๑ ตันนี้ละเศษมาเป็นทองคำ ๔๖๓ กิโล ๕๒ บาท ๗๑ สตางค์

ได้เรื่อยๆ อย่างนี้ละ จะพยายามให้ได้ทองคำเหลืองอร่ามในคลังหลวงของเรา ก่อนเราตายว่าอย่างนั้นเลย ให้เป็นที่พึ่งที่เกาะที่ยึดเป็นที่อบอุ่นของลูกหลานไทยเราต่อไป เรานี้พอทุกอย่างแล้ว พูดให้ชัด เราพอทุกอย่างไม่เอาอะไร สามโลกธาตุแดนสมมุตินี้หมดโดยสิ้นเชิงในหัวใจ ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ พอลมหายใจฝอดๆนี้หมดสภาพแล้วหรือดีดผึงเลย ไม่ต้องนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา ไม่ต้อง เราชัดเจนในนี้พอแล้วเข้าใจไหม

เราบอกแล้วว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ที่จะมาเกิดมาเกิดซ้ำอีกไม่มี อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดอีก เราบริสุทธิ์สุดส่วนนี้แล้ว พอทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจึงได้ช่วยพี่น้องทั้งหลายเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยความเมตตา ไม่แตะแม้บาทหนึ่ง เพื่อโลกทั้งนั้น สมบัติทั้งหลายเหล่านี้มาเพื่อโลก เราไม่เอาเลยจริงๆ ว่าไม่เอาไม่เอา เสียงธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคมเรื่องของธรรม เรื่องกิเลสนับไม่ได้นะ เรื่องของธรรมตรงไปตรงมา นี่ก็บอกว่าพอทุกอย่าง ได้มาเท่าไรจะออกช่วยโลกทั้งหมดเลยนะ

ลองคิดดูซิตั้งแต่เราจะตายยังเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบมาแล้วนี่ เวลาเราตายนี่น่ะมีลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาทั้งหลายมาบริจาคทาน เพื่อเผาศพเรา เราตั้งคณะกรรมการขึ้นเก็บรักษาไว้ทั้งหมดเงินจำนวนนี้ จะไปสร้างหรูๆหราๆ ประดับศพหลวงตาบัวที่เน่าเฟะอย่ามายุ่ง เราว่าอย่างนั้นนะ แล้วเงินจำนวนนี้เราจะรวมแล้วเข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด ไม่ให้มีเหลือไว้เลย เงินที่เขามาบริจาคเพื่อเผาศพหลวงตาบัวจะนำไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด หลวงตาบัวจะเผาด้วยไฟถ้าจะเผา ไม่เผาโยนเข้าป่าก็แล้วแต่ หลวงตาบัวไม่อาลัยเสียดายอะไรทั้งนั้นในโลกอันนี้ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง

ให้พากันเข้าใจนี่นะ การพาดีดพาดิ้นนี้ดิ้นด้วยความเมตตาสงสารพี่น้องทั้งหลายเท่านั้น เราไม่ได้ดีดได้ดิ้นเพื่อเรา แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มี หมดโดยประการทั้งปวง ช่วยพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้นละ เงินได้มาเท่าไรๆ เป็นออกโลกทั้งนั้น ไม่มีที่จะอยู่กับเรา เวลานี้เงินในบัญชีมีอยู่บ้างเราก็บอกว่ามีอยู่ มีอยู่อย่างไรคือเงินในบัญชีนี้สำหรับช่วยโลกมาตลอดๆ เวลาเราตายแล้วมันยังมีอยู่นี้มันก็จะช่วยโลกต่อไป ที่จะให้มาเป็นของเราบาทหนึ่งไม่มี ให้พากันจำเอาไว้นะ

มีเงินในบัญชีวัดยังมีอยู่ เรายังมีเผื่อหากมีความจำเป็นเราจะเอาอันนี้ออกช่วยนั้นๆ เราคิดไว้เรียบร้อย ถ้าหากว่าเราตายไปยังไม่มีอะไรจำเป็นเงินจำนวนนี้ก็จะเดินตามหลังเราไป ช่วยโลกทั้งหมดเหมือนกัน เข้าใจไหมล่ะ เราไม่เอา ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้สำหรับคำพูดหลวงตาบัวตรงเป๋ง เป็นอันว่าเข้าใจกันแล้วนะ เสร็จแล้วจะให้ศีลให้พร มีอะไรอีกเอามาอีก รู้สึกว่าเหนื่อยมากวันนี้ เราก็ทนเอา ทนก็ทนเพื่อโลกนั่นแหละไม่ใช่ทนเพื่ออะไร

เมื่อเช้านี้คนมารับเท่าไร ๘๑๕ คนมารับ บาตรเดียวเรานี้ถ่าย ๒๕๐ ถ่ายเมื่อเช้านี้นะ เรามาวันสงกรานต์นั้นถ่าย ๒๕๒ ถ่าย มาคราวนี้ ๒๕๐ เอานี้แจกทานเต็มไป ตอนเช้าเต็มไปหมด เราสงสารนะ มานี้เต็มเลย ได้มานี้ก็หนุนครอบครัวพอถูไถกันไปได้วันหนึ่งๆ คิดขนาดนั้น แล้วกระทิงแดงของเราทั้งคุณเฉลียวทั้งคุณภาวนาเอามาแจก เงินวันหนึ่งไปหลายหมื่นๆ นะ ให้คนละ ๒๐ บาท ๒๐ บาท คนจำนวนเท่าไรเอามาแจกอยู่เป็นประจำนะนี่ คุณภาวนา-คุณเฉลียวเอามาแจกตอนเช้าเป็นประจำๆ ทุกเช้านะ หลายหมื่นๆ

ท่านนี้ก็ช่วยกันอย่างเต็มเหนี่ยว เงียบๆ ถ้าเราไม่พูดจะไม่มีใครรู้นะ เราพูดเสียบ้าง ตั้งแต่ทางคุณเฉลียว-คุณภาวนาทำยังทำได้เราพูดทำไมเราพูดไม่ได้ เราก็พูดได้ล่ะซี ทางนั้นทำแทบเป็นแทบตายจนไม่มีเงินเหลือในกระเป๋ายังพูดไม่ได้มีอย่างเหรอ พูดได้ว่าอย่างนั้นเลย เอาล่ะให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 

         


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก