เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ชมคนดีให้มีกำลังใจ
วันที่ ๘ เมื่อวานได้ทองคำ ๔ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๔๕ ดอลล์ ได้ทุกวัน ๆ รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๗๕๙ กิโลครึ่ง ได้มาอีกแล้วจากคณะคุณสุพรรณี นิลเพชร จากชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ๓,๕๐๐ เหรียญ ทอง ๑๐ บาท วันนี้ได้เยอะ พวกทางสหรัฐเขาก็นิมนต์เราให้ไปรับผ้าป่า ผู้อยากเห็นตัวจริงก็มี เขาเห็นทางทีวีบ้างอะไรบ้าง อยากนิมนต์เราไป เราก็พูดตามความสัตย์ความจริงของเรา เราเห็นใจพี่น้องชาวสหรัฐ แต่เราจะไปไม่ได้เราบอกตรง ๆ เพราะพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าทางโน้น เราบอกตรง ๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงบอกว่าเราขอตายในเมืองไทย ไม่ไปตายเมืองนอก คือไปนี้ต้องเตรียมหีบเตรียมโลงไปพร้อม ไปแล้วไม่ได้กลับ เราก็ว่าอย่างนั้น ทางนู้นนิมนต์ให้ไป
พวกคนไทยเราที่อยู่นู้นมีเยอะ อยากได้เห็นได้ยินได้ฟังต่อหน้าต่อตา คือท่านเหล่านี้ได้ความหวังจากหนังสือหรือเทป อินเตอร์เน็ตเรานี้มากมาย เขาบอกตรง ๆ อย่างนั้นละ ถึงขนาดหมดหวังแล้วก็มีเกี่ยวกับเรื่องศาสนา มรรคผลนิพพานในพุทธศาสนานี้ เขาถึงขนาดว่าหมดหวัง เขาพูดเท่านั้นเราก็รู้หมด ก็ไม่มีใครเอาตัวจริงมายืนมายัน มีแต่รูปแต่ร่างที่ถ่ายไว้อย่างนั้นเท่านั้น ตัวจริงไม่เห็นมี ความหมายว่างั้น คัมภีร์ใบลานมีเต็มตู้เต็มหีบ ไม่ว่าที่ไหนในเมืองไทยและเมืองนอก เรื่องคัมภีร์พุทธศาสนานี้ไม่อัดไม่อั้นนะ แต่ผู้ที่จะปฏิบัติเอาตัวจริง ๆ ออกมานี่ซิ มีแต่ภาพไม่มีตัวจริง เพราะฉะนั้นเขาจึงว่าหมดหวัง
ทีนี้เวลาได้อ่านหนังสือของทางเรา ทั้งทางอินเตอร์เน็ตด้วย ทั้งทางอื่นด้วยหลายทาง ทำให้เกิดความสะดุดใจ ๆ ฟื้นจิตกลับมาสู่ธรรมที่แสดง ๆ แล้วผลสุดท้ายออกมาว่า เรียกว่าความหวังนี้มีเต็มที่แล้ว แต่ก่อนหมดหวัง ๆ ทีนี้ความหวังฟื้นขึ้นมาเต็มที่แล้วจากธรรมทั้งหลายเหล่านี้ นี่ละทางคนไทยเราที่อยู่สหรัฐนิมนต์เราให้ไป อยากได้ยินได้ฟัง อยากพบเห็นต่อหน้าต่อตา แล้วก็จะพร้อมกันถวายผ้าป่ามา อะไร ๆ ก็ตามสรุปแล้วเราบอกเราไปไม่ได้แล้ว เราก็บอกไม่ไป เขายังจะตีตั๋วเครื่องบินส่งมาให้ ส่งมาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าลงว่าไม่ไปแล้วไม่สำเร็จเราว่า เพราะไม่ไปด้วยเหตุผลนี่นะ มีเยอะทางสหรัฐว่างั้น อยู่ในที่ต่าง ๆ มีเยอะ เวลาเราไปเขาจะรวมกันมา แต่เรานี้ก็อย่างว่าไม่ได้ไป
อังกฤษก็เหมือนกัน อังกฤษระยะแรกที่เราไปปีแรก เขาติดตามมานิมนต์ทุกปี ๆ เราก็บอกยันเราไม่ไป ๆ เขาก็ไม่ถอย เขามานิมนต์สองสามปีสี่ปีติดกัน จากนั้นมาเขาก็เลยหยุด เพราะเราบอกเราไม่ไป เขานิมนต์ทั้งนั้น ทางออสเตรเลีย สหรัฐ หลายเมือง ฝรั่งเศสเดี๋ยวนี้จางไปแล้ว แต่ก่อนมานิมนต์เหมือนกัน มันไกลไปไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ไปอังกฤษมายังเข็ด ระยะที่ไปอังกฤษเรากำลังเจ็บหลังเจ็บเอวเราตอนนั้น ระยะนี้เรื่องเอวไม่ค่อยเจ็บ แต่ความแก่ความทุพพลภาพนั่นซีมันเด่นขึ้นไปได้ยังไง เพราะฉะนั้นจึงบอกไม่ไป เราสอนเต็มภูมิของเราแล้ว แล้วธรรมนี้ก็ออกกระจายทั่วโลกได้แล้ว จำเป็นอะไรจะต้องแบกร่างไป อรรถธรรมของพระพุทธเจ้าแสดงทั่วไปหมด เป็นประโยชน์ทั่วไปหมด
เดี๋ยวนี้คงจะเบาบางแล้วมั้งทางครัว คนไปกันเมื่อวานนี้ดูจะหมดเลย เบาบางไปหมด ช่วงนี้เป็นช่วงเขาหยุดเทศกาลเข้าพรรษา คนจึงได้ไปทุกอย่างนั่นแหละ ผู้ที่ตั้งใจเสาะแสวงหาบุญหากุศลก็มี พวกที่เป็นโอกาสท่องเที่ยวตามจังหวัดต่าง ๆ และภาคต่าง ๆ ก็มี เพราะหยุดตั้ง ๔ วันเป็นโอกาส เมื่อวานตอนเย็นพวกเชียงรายก็มา ประมาณสัก ๓๐ กว่าคน ออกจากนี้เขาก็จะกลับเลยกลับเชียงราย นู่นน่ะเขาไปเที่ยวทางนู้นทางนี้ไปอย่างนั้นนะ ไปวัดไหนที่ควรจะเข้าเขาก็เข้า พวกนี้เขาพวกแบบนั้น เที่ยวไป พวกที่ตั้งหน้าตั้งตาไปทำบุญให้ทานจริง ๆ ก็มี พวกนี้ตั้งใจเข้าวัดเข้าวาสถานที่ต่าง ๆ พวกที่เป็นนักท่องเที่ยวเขาก็ถือโอกาสว่างไปเที่ยว เวลาไปเจอใกล้วัด ก็มีเพื่อนฝูงชวนบ้างอะไรบ้างขัดไม่ได้ก็เข้าก็มี มันหลายแบบนะ
ธรรมเราพูดตามส่วนแล้วออกกว้างขวางมากนะ คนไทยเราอยู่ทุกเมืองในเมืองนอกได้ทราบทั่วถึงกัน ออกทางอินเตอร์เน็ตนี่ละมาก ทางเทปก็ไปนานแล้วสำหรับผู้สนใจ เทปนี้ไปนาน หากไปอย่างเงียบ ๆ ที่เขาขอมาส่งไป ส่งไปหลายเมือง ๆ มาเป็นเวลานานแล้ว ที่มากว้างขวางและรู้กันมากก็ตอนออกช่วยชาติ จากนั้นก็ออกทางอินเตอร์เน็ต แล้วอินเตอร์เน็ตยังขยายออกจนกระทั่งเห็นภาพด้วยเหมือนทีวี เราไปเห็นที่สวนแสงธรรม เราเดินไปเงียบ ๆ ตอนบ่าย ๆ ไม่มีคน เห็นเขากำลังถอดเทปอะไรอยู่ มีทีวีอยู่นั้น เรามองเห็นภาพเราอยู่ เราเดินมาข้างนอก เขาทำงานอยู่ข้างในสองสามคน พอเห็นเรามาเขาก็ลงจากเก้าอี้ปุ๊บปั๊บ มันอะไร เขาก็บอกกำลังออกอินเตอร์เน็ต
มันเป็นยังไงลองดูซิ อินเตอร์เน็ตที่ออกทั่วโลกหรือ นั่นแล้ว เอ้า ถ้าอย่างนั้นเปิดออกดู เราก็ยืนอยู่ข้างนอกให้เขาเปิด อ้าว ชัดเจน เห็นรูปเราเลยเหมือนทีวีนั่นแหละ เวลาพูดก็ได้ยินเสียงชัดเจน ๆ ทั้งมือชี้นั้นชี้นี้เห็นหมดนะ อ๋อ อย่างนี้เอง แต่ก่อนฟังว่ามีแต่เป็นตัวหนังสือออกมาทีแรกนะ ต่อไปเขาก็พยายามแก้ไขภาพ ภาพก็เป็นไปจากใคร ก็ไปหาคุณทักษิณเรานั่นแล้วหลักใหญ่ใช่ไหม ติดต่อคุณทักษิณ จัดการให้ทันทีเลย รวดเร็วไหมดูซิ นี่ได้ฟังทั่วโลกของเล่นเมื่อไร ทำประโยชน์หรือทำโทษเอามายันกันนี่ซิ พอทราบเท่านั้นผึงผังจัดให้ทันทีเลย เอาจนได้อย่างรวดเร็วด้วยนะ กระจายทั่วโลกเวลานี้ไม่ได้เนิ่นนานอะไรเลย เวลานี้ทั่วโลกไปจากไหน ก็ไปจากคุณทักษิณเรานี่
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้เราพูดจริง ๆ เอาคอเราไปตัดเรายอมให้ตัดเลย ขอให้คุณทักษิณยังอยู่ได้ช่วยโลกช่วยสงสารต่อไป เอาคอเราไปตัด ว่าไปนับถือคุณทักษิณนี้เอาคอเราไปตัด เอ้า ตัดเลย นู่นน่ะฟังซิน่ะ เข้าใจไหมล่ะ เด็ดขนาดไหนหลวงตานี่ถ้าลงถึงไหนแล้ว นี่เราได้พิสูจน์แล้วทุกอย่างก่อนที่เราจะออก เราไม่ได้พูดแบบโกหกมายาอย่างนั้นอย่างนี้ ธรรมไม่มี เป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย นี่เราก็เห็นได้อย่างชัดเจน อินเตอร์เน็ตเวลานี้ออกทั่วโลกไปจากใคร นั่นเอาซิ หามาต้นตอ ก็มาหานายกเรานี่ นั่นเราจะหาคนดีที่ไหนอีก
เราพูดตรง ๆ ตั้งแต่หลวงตาเกิดมายังไม่เคยเห็นนะ ผู้นำ ๆ ผู้นำของชาติ ๆ ตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.เท่าไร เราก็เห็นเป็นธรรมดาเรียบ ๆ เป็นธรรมดา แล้วก็ทรุดลงก็มาเรียบ ๆ ทรุดลง ๆ จนกระทั่งถึงทรุดจนเมืองไทยจะจมให้เห็นอย่างชัดเจนอย่างนี้ ตามีหูมีทุกคนทั่วประเทศไทยจะไม่เห็นได้ยังไง พอผู้นี้ขึ้นมาดูซิทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นหมด เห็นด้วยหูด้วยตา รวดเร็วทันใจเสียด้วย เห็นใจประชาชน ที่เราถึงใจมากคือพวกคนจน เข้ากันได้ปึ๋งกับธรรมเลยนะ ไปนี้ไปหาคนจน ๆ คนมีพออยู่พอเป็นพอไปแล้วก็ให้พักให้อยู่เสียก่อน
คนจนกำลังรอแหวกว่ายที่จะหาที่ยึดที่เกาะมีอยู่มากมาย ไปช่วยยึดเหล่านั้น นี่สำคัญมากนะ เวลานี้คุณทักษิณดำเนินอย่างนี้ แหมเราถูกใจเหลือเกินนะ ไปนี่วิ่งเข้าไปหาคนทุกข์คนจน ซึ่งเป็นจุดหมายของธรรมที่ช่วยคนจน คนจนตรอกจนมุมตรงเป๋ง ๆ เลย พูดอะไรทางโน้นเคลื่อนไหวยังไง ทางนี้จะพิจารณาโดยอรรถโดยธรรมประกอบกันตลอดเวลา ๆ ถ้าควรติที่ไหนเราติทันที ถ้าควรชมเราก็ต้องชมทันทีเหมือนกัน นี่ละธรรมตรงไปตรงมาอย่างนี้
หลวงตาบัวจึงได้ออกมาประกาศพี่น้องทั้งหลาย เอาธรรมของจริงออกมาประกาศ ให้พิจารณาตามที่พูดไปนั้น อย่ามาสนใจในกิริยาท่าทางคำพูดคำจาว่านิ่มนวลอ่อนหวานหรือเผ็ดร้อนดุเดือดต่าง ๆ อย่ามาเอานี้ ให้เอาเนื้ออรรถเนื้อธรรมที่ออกมา สิ่งเหล่านี้ออกมานี้ออกมาจากเนื้ออรรถเนื้อธรรม ถ้าเนื้อธรรมเน้นหนักที่ตรงไหนพุ่งออกมา อันนี้มันก็พุ่งออกตาม ๆ กัน ไม่ได้พูดออกมาด้วยความพอใจไม่พอใจแบบโลก ๆ เขานะ โลกถ้าว่าดุเดือดนี้เอากันเป็นเถ้าเป็นถ่านไปนะ ธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟ ๆ ออกแรงเท่าไรยิ่งเป็นน้ำดับไฟออกมา นี่ละอำนาจของธรรม
เพราะฉะนั้นเราถึงกล้าพูดได้ชัด ๆ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่นะ ไม่ได้มาหาเอาตามคัมภีร์โน้นคัมภีร์นี้ สาธุ คัมภีร์ออกมาจากพระพุทธเจ้า เรายกให้สำหรับพระพุทธเจ้า แต่เวลาออกมาแล้วคัมภีร์ก็คนไปจดจารึกออกมา ก็คนมีกิเลส พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์ ออกมาจากคนมีกิเลส กิเลสก็ต้องแฝงไปตามนั้น ๆ แต่เรายึดเอาหลักสำคัญ ๆ ออกมา ทีนี้เวลาออกจากหัวใจจริง ๆ นี้ ร้อยทั้งร้อย ๆ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ร้อยทั้งร้อยทั้งนั้นไม่มีเคลื่อนคลาดเลย เพราะท่านถอดออกมาจากหัวใจของท่าน ไม่ได้ถอดออกมาจากที่นั่นที่นี่ แบบลูบ ๆ คลำ ๆ บ้างอะไรบ้าง อย่างนี้ไม่มี
ด้วยเหตุนี้เองกิริยาท่าทางที่ออกมาสู่พี่น้องทั้งหลาย เรายันเลยเพราะเราจวนจะตายแล้ว ให้ได้เห็นของจริงประจำชาติไทยของเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธเสียบ้างนะ อย่าได้เห็นตั้งแต่เงาเฉย ๆ จึงได้พูดออกมา ใครดีเราชมว่าดีทันที ใครไม่ดีตำหนิว่าไม่ดี โลกเขาก็ถือกันอย่างนี้ โลกก็รู้คนดีคนชั่ว ของดีของชั่วรู้ ทำไมศาสนาซึ่งเป็นของละเอียดยิ่งกว่าโลกสงสารจะไม่รู้สิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้เลย นี่ละการตำหนิติชมนี้เราเอาธรรมออกมา ตำหนิตรงไหนคือหมายความว่าสกปรกตรงนั้น ชะล้างตรงนั้น การตำหนินั้นคือการชะล้างของสกปรก ที่ชมก็หนุนกันขึ้น ๆ ให้มีแก่ใจบำเพ็ญ อันไหนที่ตำหนิว่าไม่ดี ให้รีบพากันชะกันล้างแก้ไขดัดแปลง ธรรมะก็เป็นอย่างนั้น
นี่เราก็พูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ตที่ออกเวลานี้ ออกไปจากใคร ก็นายกคนปัจจุบันนี้ จะไม่ให้ยกยอยังไง คนที่ควรยกยอสรรเสริญต้องยกยอ จะไปหายกยอคนในตะรางในเรือนจำอย่างนั้นเหรอ นักโทษคนนี้มันเก่งนะ มันไปฆ่าเขามากี่คนมาถูกติดคุกติดตะราง ใครเอานักโทษนี้เป็นตัวอย่าง จะได้ฆ่าคนทั้งโลกให้ฉิบหาย จะให้เราไปชมเชยอย่างนั้นเหรอ มีใครไหมเอาเฉพาะในเมืองไทยเรานี้ ไม่ต้องเอามากเอาคนไทยของเรา มีคนใดบ้างไปชมเชยนักโทษ ไปนำโทษอันมหันตโทษมหันตทุกข์มาประกาศโลกว่าเป็นของดิบของดี ให้โลกทั้งหลายได้ถือเป็นคติตัวอย่าง แล้วจะได้ฆ่าฟันรันแทงกันให้เป็นเถ้าเป็นถ่านทั้งโลก หมดทั้งเมืองไทยเรานี้ มีคนไหนไปชมอย่างนั้นไหมพิจารณาซิ ใครไปชมนักโทษในเรือนจำว่าเขาเก่งกล้าสามารถ เอาเขาเป็นคติตัวอย่างมีไหม ไม่มี นั่นฟังซิน่ะ
คนชั่วก็ต้องรู้ว่าคนชั่ว คนดีต้องรู้ว่าคนดี ใครเป็นคนดีจะไม่ให้ชมเชยว่าดียังไง คนไหนดีก็ต้องชมเชยว่าดี คนไหนไม่ดีก็ต้องตำหนิว่าไม่ดี อย่างที่เราพูดตะกี้นี้เอง มีใครไปชมเชยนักโทษเอามาเป็นคติตัวอย่าง กฎหมายปกครองประเทศชาติบ้านเมืองก็ให้ไปเอามาจากนักโทษ กฎข้อบังคับทุกอย่างให้ไปเอามาจากนักโทษ ๆ อยู่ในเรือนจำ อยู่ในส้วมในถาน ออกมาประกาศให้เป็นความเจริญของโลก ด้วยอำนาจแห่งโทษมหันตโทษของมันนั้นมีไหม เฉพาะเมืองไทยเรานี้ก็ไม่เห็นมี แล้วหลวงตาบัวไม่ใช่คนตาบอดจะให้ไปชมนักโทษ หลวงตาบัวไม่ชม คนชั่วหลวงตาบัวจะชมว่าดี ชมไม่ได้นะ ดีต้องบอกว่าดี ชั่วต้องบอกว่าชั่ว เพราะธรรมเป็นธรรมสอนโลก ต้องบอกตรงไปตรงมา
พูดถึงเรื่องความหาคนดีต้องหา ต้องช่วยกันพยุง ต้องช่วยกันรักษา ทุกสิ่งทุกอย่างช่วยกันพยุงช่วยกันรักษา และช่วยกันปฏิบัติตามความดีคนดี จะได้เป็นคุณงามความดีขึ้นมาแก่ชาติไทยของเรา จะไปชมคนชั่วไม่ได้นะจม จมไม่มีเหลือเลย ต้องชมคนดีให้มีกำลังใจ ทำดีแล้วมีผู้ชมเชยก็เป็นการเสริมความถูกต้องของตนที่ทำลงไป แล้วก็มีแก่ใจที่จะทำไป ปรกติก็มีแก่ใจทำแล้ว ยิ่งได้รับการส่งเสริม เหมือนกับว่ายอมรับหรือยินดีว่าถูกต้องแล้ว มันก็ต้องมีกำลังใจคนเรา
เช่นอย่างเดินทางไปนี้ ทางนี้ไปบ้าน กอ ใช่ไหม ใช่แล้วเส้นนี้ อย่าปลีกทางนี้นะ เขาก็มีกำลังใจ แน่ใจแล้วเขาก็พุ่งเลย เขาสงสัยทีแรก ทางสองแพร่งสามแพร่งจะไปเส้นไหน พอว่าไปเส้นนี้ใช่ไหม ใช่แล้ว พุ่งเลย อันนี้ก็เหมือนกันการดำเนิน กำลังก้าวเดินไปอยู่ตามทางสายนี้ พอมีคนบอกว่าถูกต้องแล้วทางสายนี้ก็พุ่งเลย ไม่ต้องดูทางสายนั้นสายนี้ให้เสียเวล่ำเวลา นี่คนดีทำความดีต่อโลกก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อมีผู้ส่งเสริมว่าดิบว่าดี ก็เป็นการว่าถูกทางที่ดำเนินแล้ว มันก็มีแก่ใจก้าวคนเรานะ
ทำดีเท่าไรมีแต่คนตำหนิ ๆ แล้วทำชั่วเท่าไรมีแต่คนชม ๆ โลกแตก เอ้า เอาไปพิจารณาซิ เวลานี้เราจะชมใครเราจะตำหนิใคร ตาเรามีหูเรามี ใจเรามีทุกคน สมบูรณ์แบบเหล่านี้นอกจากคนตาบอดหูหนวก เราต้องรู้ของดีของชั่วด้วยกัน จึงควรชมเชยต้องชมเชย ควรตำหนิต้องตำหนิคนเรานะ นี่เราพูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ตออกทั่วโลก นี่ก็เพราะคุณทักษิณเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอันใหญ่โตมากทีเดียว พอทราบเข้าเท่านั้นกระจายออกมาทันที จัดการทันที ๆ ออกเลย นั่นชักช้าเหรอ ไม่ได้ชักช้านะ นี่ละโลกได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไรฟังซิ
เข้าพรรษาก็เคยได้พูดแล้ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี ผู้มีศีลธรรมละผู้จะทำตัวเองและส่วนรวมให้มีความร่มเย็น หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ แต่เวลานี้โลกกิเลสมันเหยียบเอา ๆ ไม่ให้ศีลธรรมโผล่ขึ้นมาได้แหละ อำนาจของกิเลสตัณหาอยู่บนหัวใจ ธรรมก็อยู่บนหัวใจ แต่ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรม ธรรมไม่ค่อยงอกเงย คนจึงหาความสุขไม่ได้ กิเลสออกเพ่นพ่านตรงไหน นั้นละเอาไฟไปพร้อม ๆ เผาไปเรื่อย มากน้อยตามกำลังของกิเลสที่มีในใจ ถ้ามีมากมันก็เอาโลกให้พินาศฉิบหายได้ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตัวนี้เป็นไฟกองใหญ่ที่สุด การระงับก็คือระงับเหล่านี้ ดับมันไม่ได้ก็ระงับมันให้มันอ่อนตัว อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานเป็นน้ำล้นฝั่ง ตัวของเราจะจมทะเล ให้ระวังให้ดี ต่างคนต่างปฏิบัติ
ดูซิพระท่านมานี่ ท่านมาฉันจังหัน องค์ไหนที่จะฉันอิ่มนี้รู้สึกจะไม่ค่อยมี ดูเอาซิดูกิริยาของท่านมันเป็นอย่างนั้น บางองค์หนุ่มฟ้อ กำลังวังชาทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะกินจะดื่มจะหลับจะนอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ท่านก็ดัดของท่านลงไป ไม่ให้กินเต็มสัดเต็มส่วน การหลับการนอนทุกอย่างบังคับไว้ ๆ เพื่อธรรมจะได้งอกเงยขึ้น บังคับตัวนี้ คือเรื่องของธาตุของขันธ์กินมากนอนมากขี้เกียจก็มาก กิเลสเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นถึงดัดตัวนี้ลงไม่ให้กินมาก กิเลสจะไม่ได้เพิ่มขึ้น ไม่ให้นอนมากมันจะไม่ได้ขี้เกียจมาก ความเพียรจะได้ก้าวเดิน
นี่ละพระองค์ไหนที่ไม่รักสงวนตัวตามแบบของวัฏจักรวัฏวนของคนเราสามัญทั่ว ๆ ไปไม่มี ต้องรัก มันอยากอะไรต้องหามาให้กิน อยากนอนต้องนอน อยากกินต้องกิน อยากไปต้องไป นี่เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ของกิเลสของวัฏจักรมันเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องของธรรมแล้วไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรื่องของกิเลสเป็นไปเพื่อความเสียหาย ถ้าปล่อยตามมันแล้วเสียหายไม่สงสัย ท่านจึงเอาธรรมมาหักห้ามกันไว้ ระงับดับกันไว้ อยากกินมากเท่าไรก็ให้กินแต่น้อย พออยู่ได้เอาแหละ เพื่อธรรมจะได้ก้าวเดิน ทีนี้เวลาคนเราไม่กินมาก นอนก็ไม่มาก ขี้เกียจขี้คร้านก็ไม่ค่อยมาก สติสตังค่อยมี
ทุกอย่างเราขึ้นทดสอบกันหมดแล้วบนเวที ที่เอามาแสดงนี้จึงไม่สงสัยในการแสดงว่าผิดไป ไม่ผิด เพราะเราดำเนินทุกอย่าง เช่น อาหารการบริโภค การฉันนี่สำคัญ อายุยังหนุ่มน้อยมันดูดมันดื่มไปหมด อะไรอร่อยไปหมด ใบไม้แห้งมันก็เข้าใจว่าผักไปเสีย มันเก่งนะธาตุขันธ์ บีบไว้ไม่ให้กินมาก ถ้ากินมากเป็นยังไงผลของมัน ก็อย่างที่ว่า ผลของมันเป็นเรื่องกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟ ทุกสิ่งเพิ่มพูนขึ้น ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องระงับ อยากมากเท่าไรก็ไม่ให้มาก ลิ้นปากมันอยากมันจะตาย ใจหักเอาไว้ ๆ บังคับเอาไว้
นู่นไปดีในภายหลัง พอหยุดจากการฉันนี้แล้ว การขบการฉันขนาดนี้พอหล่อเลี้ยงร่างกายได้พอดีอยู่แล้วไม่ตาย ทีนี้ธรรมจะได้ก้าวเดิน ความเพียรก็ดี สติตั้งก็ดี ดีขึ้นไป ๆ นี่การบังคับ ดูซิดูพระเณรในวัดนี้ ฉันจังหัน มาทีหลังหมู่จนหมู่เพื่อนฉันจะเสร็จแล้วด้อม ๆ มาฉันไม่กี่คำหยุดแล้ว และหยุดก่อนหมู่เพื่อนก็มี เราสังเกตดูตลอดมานะ นี่ละหัวหน้าหมู่เพื่อนต้องดูตลอดเวลา สอดดูนั้นดูนี้ดูพระดูเณร ดูก็เป็นที่น่าเลื่อมใส สมกับท่านที่ตั้งหน้าตั้งตามาอบรมศึกษาอรรถธรรมจริง ๆ ไม่ได้มาทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ นี่เราก็ชมเชย
สำหรับพระวัดนี้เราดูมาตลอดนะ ไม่ค่อยจะมีองค์ไหนที่ว่าฉันให้เต็มเป้งให้ท้องป่องเลย ฉันพอประทังให้พออยู่ได้ ๆ แต่ความเพียรของท่านเด็ด การฉันมันออกหน้าออกตาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เวลาฉันเอาเต็มเหนี่ยวแล้วมันก็ไม่ได้เรื่อง เพราะเรามันเคยทุกอย่างแล้ว ฝึกหัดเสียจนจะตายฝึกหัดเจ้าของ แล้วเวลามานำหมู่เพื่อนจะเดินไปไหน ก็ต้องเดินตามแถวทางอันเดียวกัน เราเดินมายังไง ๆ หมู่เพื่อนเดินยังไงเราก็สังเกต เพราะเราสอนอย่างนั้นตลอดมา ทีนี้ธรรมก็ค่อยงอกเงย ๆ บางองค์กี่วันถึงมาฉันก็ไม่รู้ แต่ความเพียรของท่านยิ่งเด็ด
คือตามธรรมดาของความเพียรนี้ การขบการฉันนี้เป็นข้าศึกต่อความเพียร ถ้าการขบการฉันอิ่มหนำสำราญ ความเพียรไม่เป็นท่า ต้องหักอันนี้ตัดอันนี้ลง ความเพียรค่อยก้าวเดิน ๆ เพราะฉะนั้นเราดูพระในวัดนี้ท่านจึงฉันจังหันไม่ค่อยมาก นิดหน่อย ๆ นี่มันก็เข้ากันได้กับเราผ่านมาแล้วและนำมาสอนหมู่เพื่อน
การหลับการนอนก็ไม่ง่วงเหงานะ ถ้าฉันน้อยความง่วงเหงาเวลากลางค่ำกลางคืนหรือเวลากลางวันก็ตาม เฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนซึ่งเป็นเวลาหลับนอน มันต้องอยากหลับอยากนอน ถ้าผ่อนอาหารมาก ๆ ความง่วงเหงาไม่ค่อยมี ความเพียรก็ก้าวเดิน ๆ ฉันแต่น้อย ๆ ความง่วงเหงาไม่ค่อยรบกวนนะ สติดี ๆ ยิ่งอดปั๊บลงไปด้วยแล้วยิ่งเด่น แต่นี้ก็สอนให้พอดีกับธาตุขันธ์ของใครจริตนิสัยของใครในการประกอบความพากเพียร ถ้าอดนั้นดี เรื่องดี-ดี แต่ความเพลียมาก ผ่อนให้ฉันพอประทัง ๆ นิดหน่อยดี แต่ทีนี้ผลนี้มันก็ไม่เด่น มันก็แปลกนะ ถ้าอดนี้ผลทางความเพียรนี้เด่น ๆๆ ถ้าผ่อนทางความเพียรนี้ลดลง แต่ดีกว่าฉันธรรมดา มันต่างกันเป็นระยะ ๆ
เราทดสอบการประกอบความเพียรเพื่อแก้กิเลสซึ่งมีอยู่ในหัวใจเรา เราต้องสังเกตตลอดเวลา สติปัญญามีอยู่กับใจคอยสอดส่องดูกันเหตุผล แล้วเอาเรื่องของสติปัญญาที่พิจารณาได้ความมาแล้วนั่นแหละออกมาปฏิบัติ ไม่เอาความอยากความทะเยอทะยานการทำตามชอบใจ เช่น กินตามชอบใจ นอนตามชอบใจมาใช้ อย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย ต้องเอาสติปัญญาเดินหน้า พิจารณาเราฉันอย่างนี้เรานอนอย่างนี้เป็นอย่างไรความเพียรของเรา เอาสติปัญญาจับไปเรื่อย ๆ แล้วสติปัญญาเป็นทางก้าวเดินเบิกทางให้ ทางนี้ก็ค่อยเดินตาม ถึงจะลำบากลำบน สติปัญญาสอนหรือบอกไว้เป็นทางเดินนี้ก็ต้องไปตามสติปัญญา ต่อไปก็ค่อยโล่งออก ๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
จึงมาเห็นอาหารอย่างทุกวันนี้ โหย มันเป็นยังไงมันอดไม่ได้นะ มันสะดุดกึ๊ก ๆ นะ สะดุดย้อนหลังที่เราได้รับความทุกข์ความทรมานเวลาดัดตัวเอง ทำความพากความเพียรอาหารเหล่านี้ไม่มี มีมาที่ไหนไม่มี เพราะอยู่ในป่าในเขาเอาอาหารอย่างนี้มาจากไหน แกงหน่อหวายบ้าง แกงบอนแกงเผือกอะไรแล้วแต่ละ มาฉันก็ฉันอย่างที่ว่านะ พอยังชีวิตให้เป็นไป จะไปคำนึงคำนวณอาหารเอร็ดอร่อยไม่ได้ขัดต่อธรรมของผู้ปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยว พอยังชีวิตให้เป็นไปนั่นถูกต้อง วันหนึ่งคืนหนึ่งให้จิตใจอยู่กับความพากเพียรตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เพียงเยียวยาพอเป็นไปได้วันหนึ่ง ๆ เอาละพอ พออยู่อย่างนั้นนะ
แล้วทีนี้เวลาเราผ่านมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงได้มาเห็นอาหารหวานคราวนี้ อู๊ย ล้นเหลือ วันไหนล้นเหลือ มันสะดุดกึ๊ก ๆ อยู่เรื่อย ๆ แล้วก็มาวิตกวิจารณ์กับหมู่เพื่อน หมู่เพื่อนก็มาเจอเอาส้วมเอาถานนี้ มันเข้าส้วมเข้าถานนี้มันจะไม่ยอมออกนะพวกนี้น่ะเข้าใจไหม ความเอาตามชอบใจกินตามชอบใจเหมือนเข้าส้วมเข้าถานเข้าใจไหม กินไม่ถอย ๆ ก็นอนไม่ถอยขี้เกียจไม่ถอย นี้เรียกว่าดึงหางออกจากถานไม่ยอมออก มันลงได้เข้าถาน เหมือนอย่างเขาว่าใครไปสมัครผู้แทนแล้วเหมือนหมาปล่อยหมาเข้าถาน เขาว่า มันไม่ยอมออก นี่ก็ปล่อยพวกเรานี้เข้าถาน ความกินมากนอนมากขี้เกียจมาก นี่คือส้วมคือถานเข้าแล้วไม่ยอมออก ถ้ามีหางจับหางดึงหางขาดยังไม่ยอมออก หัวมันยังบืนเข้าใส่ฝานี้ทะลุออกทางโน้นอีก ว่าส้วมข้างหน้านี้มีอีกไหมนู่นน่ะ มันเป็นอย่างนั้นนะ นี่ละที่ได้เอามาพิจารณา
เพราะเรามันหนักมากจริง ๆ เรื่องอย่างนี้นะ ฝึกทรมานตัวเองไปอยู่ที่ไหน ไอ้เรื่องผัดเรื่องมันอย่าถามเลย อย่างที่ว่าแกงหน่อไม้แกงอะไร พวกแกงบอนแกงเผือก กินอยู่กับคนป่าคนเขา ๓ หลังคาเรือน ๔ หลังคาเรือนพอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านี้พอ ส่วนมุ่งหมายมันจ่ออยู่นู้น อันนี้เพียงเยียวยา ๆ แล้วก็อันนี้ละที่เสริมให้ความเพียรแก่กล้า สติปัญญาดี เพราะพวกแกงเผือกแกงบอนแกงอะไรต่ออะไร มันไม่มีเครื่องเสริมกิเลสราคะตัณหา พอยังชีวิตให้เป็นไป ความเพียรก็ก้าวเดิน ๆ ใครจะไม่อยากกินของดิบของดีนอนดิบนอนดี แต่ทางธรรมที่ลากเข็นเราให้พ้นจากทุกข์นั้นมีกำลังมาก มันก็ดึงนี้ออกไป เอา ทุกข์ก็ทุกข์ นั่น มันก็ดันไปทางสู้ไม่ถอย
จึงได้วิตกวิจารณ์กับหมู่กับเพื่อนเวลาอาหารการกินมาก ๆ อาจจะลืมเนื้อลืมตัวอะไรทำให้คิด แต่ดูลักษณะท่าทางของท่านก็ไม่เห็นองค์ไหน ฉันก็ฉันนิด ๆ หน่อย ๆ ยิบ ๆ แย็บ ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปแล้วมุ่งต่อความเพียร นี้ถูกต้องต่อความมุ่งหมายของธรรมและการแสดงของเราผู้เป็นอาจารย์สอนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลาเรานำมาพูดอะไรนี้เราจึงพูดได้อย่างกล้าหาญ เพราะถอดออกมาจากความเป็นของเราจริง ๆ ทุกอย่าง ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ ไม่มีอะไรที่จะเกินเราเป็นผู้ทำเองนี้ได้ ที่จะประจักษ์เหตุการณ์เหล่านี้แล้วนำออกมาพูด ผิดไปไหน นี่ละอันสำคัญมันอยู่ตรงนี้
ต้องได้ใช้ความพยายาม ต้องฝึก เพราะกิเลสมันหนาเท่าไรความพากเพียรเรามันฝืนมากนะ กิเลสหนาเท่าไรยิ่งฝืนในการทำความดีมาก ถ้าเวลาธรรมค่อยก้าวเดินแล้วสิ่งที่ฝืนนี้ค่อยอ่อนตัวลงไป ๆ ธรรมเบิกกว้างออก ๆ ทีนี้มันก็พุ่ง ๆ ของมัน เวลามันไปเต็มเหนี่ยวของธรรมแล้วนี้ทีนี้ได้รั้งเอาไว้ เรื่องความพากความเพียรนี้รั้งเอาไว้ ๆ ไม่อย่างนั้นมันพุ่งแรง มันผาดโผนโจนทะยานเกินไป คำว่าเกินไปไม่ดี เผ็ดเกินไปเค็มเกินไปหวานเกินไปไม่ดีทั้งนั้น ไม่เรียกว่ามัชฌิมา มัชฌิมาคือความพอดี อันนี้ก็ต้องดัดเจ้าของให้เป็นอย่างนั้น แต่เบื้องต้นนี้ต้องเอาให้หนักไว้ก่อน เราจะว่าอะไรก็มัชฌิมา ๆ สุดท้ายมีแต่กลางเสื่อกลางหมอนเป็นมัชฌิมาใช้ไม่ได้นะ มันจะลงตรงนั้นนะ ถ้าเอากิเลสเป็นประมาณก็มีแต่มัชฌิมาหมดของกิเลส มัชฌิมาของกิเลสก็มีมัชฌิมาของธรรมก็มี จึงต้องได้เอาอรรถเอาธรรมเข้าแทรกตลอด เผลอไม่ได้นะ
พระปีนี้ก็ตั้ง ๕๐ ปีนี้รับมากกว่าทุกปี ถึง ๕๐ องค์ปีนี้ เณร ๒ พระ ๔๘ เราก็ทนเอาอย่างนี้ ตามธรรมดาเราไม่รับมาก อย่างมากสุดก็แค่ ๔๖ แต่นอกพรรษาเอาแน่ไม่ได้ เพราะมันหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ ให้พากันได้มีกฎเกณฑ์บังคับตัวเอง เช่น ในพรรษานี้พระท่านตั้งหน้าตั้งตา ผู้ปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรมจริง ๆ ท่านเด่นมากในระยะพรรษา ท่านเร่งความเพียรของท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทุกอากัปกิริยาที่ท่านจะนำมาใช้ กิริยาของสติปัญญาที่จะนำมาออกใช้ดัดแปลงตนเองเพื่อความดีทั้งหลาย ท่านจะฟิตของท่านตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นความเพียรพระที่ท่านจำพรรษา พระกรรมฐานจำพรรษาอยู่รวม ๆ กันนี้ท่านจึงเร่งแต่ความเพียร เพราะไม่ได้ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ ท่านหนักแน่นในความเพียรมากทีเดียว เวลาออกเป็นอีกแบบหนึ่ง ออกสนามรบอีกแบบหนึ่ง ฟัดกันอยู่ในสนามรบธรรมดาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ออกสนามรบนั้นเป็นเวลาที่เด็ดมากนะ นี่ท่านก็พยายามของท่านก็เป็นสารประโยชน์ประจำ ๆ
ทีนี้เราเป็นฆราวาสญาติโยมเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราควรจะเด็ดของเราในทางไหนตามนิสัยของฆราวาสก็ควรให้มีทุกคน อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว จนกระทั่งเข้าพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือนไม่มีอะไรเป็นที่ระลึกเลยอย่างนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง ต้องมีเคล็ดลับสำหรับตัวเองไว้ทุกคน ๆ ใช้ ที่เราเคยสอนแล้ว เช่น ส่วนหยาบสำหรับฆราวาส เอา วันหนึ่งนี้ให้ได้ทำบุญให้ทานแม้ใส่บาตรพระวันละองค์ ๆ เท่านี้เป็นหลักใจของเรา ทั้งเป็นทานบารมีด้วย ทั้งสัจจะบารมีด้วย นี่เป็นที่ระลึกแล้ว เอา ไหว้พระ มันจะเป็นจะตายต้องได้ไหว้พระ ภาวนาเสียก่อน อย่างน้อย เช่น ๕ นาที เอา บังคับไว้อย่างนี้บังคับตนเข้าสู่ความดี
เราเคยทำความไม่ดีอะไรมาได้ตำหนิติเตียนตนที่ตรงไหน ๆ เช่นอย่างกินเหล้าเมาสุราอย่างนี้ตัดขาดเลย ตายก็ตาย เกิดมาแม่ไม่ได้เอาสุรามากรอกเราว่าอย่างนั้น นี่มันไม่ได้กินสุรามันจะตาย เอา ตายไปเลย นั่นดัดอย่างนี้มันก็ไม่กิน นี่ก็เป็นสารประโยชน์เป็นที่ระลึกของตัว ๆ แล้วเราเคยทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรอะไร เอา ตัด ๆ อย่างนี้ นี่เรียกว่าอุบายวิธีการฝึกหัดตนเพื่อความเป็นคนดี ต้องมีบ้างนะเราเป็นชาวพุทธ ปล่อยเลยตามเลย ๆ มันก็เหลวไหลไปเรื่อย ๆ จิตไม่มีหลักยึด เพราะเป็นคนหลักลอยใช้ไม่ได้ ให้มีหลักเกณฑ์เอาไว้ทุกคน ๆ
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายองค์ที่นำมาเป็นที่กราบไหว้บูชาของเรานี้ โอ๊ย เราเองไปเที่ยวศึกษาปรารภสนทนากับท่าน องค์ไหนมีแต่เด็ด ๆ ทั้งนั้นนะ เวลาเราไม่ไปถึงกันเหมือนท่านไม่ได้ทำอะไรนะ บทเวลาเข้าถึงกันแล้วหากเป็นไปตามนิสัยของแต่ละองค์ ๆ ไม่ต้องมีใครสอน อันนี้เป็นอุบายวิธีการของท่านที่จะคิดขึ้นเองฝึกทรมานตนเอง เวลาท่านเล่าให้ฟัง โหย เหมือนหนึ่งว่าตาค้างถ้าดูท่านก็ดี ถ้าฟังก็เหมือนว่านอนไม่หลับ มันสะดุดใจตลอดเวลาความเพียรของท่าน เวลาท่านเด็ดของท่าน ๆ ไปคนละทิศละทางนะ องค์นี้เด็ดไปวิธีการนี้ ๆ ด้วยความคิดของท่านเอง องค์นี้เด็ดไปทางนี้ องค์นี้เด็ดไปทางนั้น มีแต่เรื่องท่านดัดสันดานกิเลสในหัวใจของท่านทั้งนั้น เวลามาเล่าสู่กันฟังนั้นนี้ โถ เรียกว่าถ้าลืมตาก็หลับไม่ลง นี่ละครูบาอาจารย์ที่ให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาท่าน ท่านฝึกของท่านเป็นอย่างนั้น เราในฐานะลูกศิษย์ที่มีครูก็เดินตามครูบ้าง แม้ไม่มากก็ยังดีนะ อย่าเป็นคนหลักลอยทั้ง ๆ ที่มีครูมีอาจารย์สอนอยู่ไม่สมควรอย่างยิ่งนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติทุกคน ๆ
เราเป็นนักล่าครูล่าอาจารย์ก็ไม่ผิด เราเอาจริงเอาจัง เนื่องจากเสาะหาความดีนั่นเอง จากครูอาจารย์องค์ไหน ๆ เข้าถึงหมด ผู้ที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณจะเข้าถึง ๆ เลยเป็นอย่างนั้นนะ แล้วก็ได้คติตัวอย่างมาจากองค์นั้น ๆ มาเป็นเครื่องพยุงกันเป็นกำลัง เป็นอย่างนั้นนะ เราได้ไปหาหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอย่างสายหลวงปู่มั่นที่ว่าเพชรน้ำหนึ่ง ๆ ออกจากเพชรน้ำหนึ่งคืออะไร ต้นของเพชรน้ำหนึ่งคืออะไร ก็คือความเพียร อุบายวิธีการฝึกทรมานท่านนี้เด็ดด้วยกันคนละทิศละทาง ๆ นะ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนโลก พระพุทธเจ้ายังสลบ ๓ หนฟังซิน่ะ ทั้งที่เป็นศาสดาองค์เอกยังต้องได้ฝึกทรมานขนาดนั้น สลบไสลฟังซิ เราก็ให้ทำเป็นแบบลูกศิษย์มีครูนะ ขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ใจนี้สำคัญให้ดูใจ อย่าไปเร่ ๆ ร่อน ๆ กิเลสนี้มันจะผลักดันตลอดเวลาให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้กวนตัวเองตลอดเวลา ถ้าเอาธรรมระงับลงไปแล้วเหล่านั้นจะสงบ เพราะฉะนั้นใครไปที่ไหนใครมีคำบริกรรมติดใจ ๆ คนนั้นจะไม่สร้างอารมณ์มากนะ ถ้าคนไหนไม่มีคำบริกรรมติดตัวเลย สร้างตั้งแต่กิเลสสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอน จนกระทั่งหลับ มีแต่อารมณ์นั้นละมันคิด ๆ คือกิเลสตัวภายในนี้มันปรุงผลักดันออกไปให้คิดอันนั้นอันนี้ คิดแล้วมันก็กว้านเอาสิ่งที่คิดมาเผาเข้าไปอีกดันเข้าไปนี้ ถ้ามีพุทโธแทนปั๊บนี้ความคิดอันนั้นมันจะระงับ เพราะจิตทำหน้าที่เดียว เช่น กำหนดธรรม พุทโธอยู่นี้ มันจะคิดอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อพุทโธไม่ขาดแล้วมันจะคิดอย่างอื่นไม่ได้ พออันนี้ขาดปั๊บมันจะออกแล้วนะ นั่นไปคิดแล้ว จึงต้องระงับเอาไว้ ๆ
นี่เรียกว่าระงับความคิดปรุงด้วยคำบริกรรม ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น คือไม่ให้มันคิดมากไป คิดมากไปเท่าไรมันจะกว้านเอาฟืนเอาไฟจากความคิดละมาเผาตัวเอง อารมณ์อดีตล่วงมากี่วันกี่ปีกี่เดือน ไม่ว่าดีว่าชั่วมันจะสด ๆ ร้อน ๆ มาเผาตัวเองนะ มันไม่ได้คิดนะว่าอันนี้คิดมานานแล้ว เราเคยรู้มานานแล้ว ประสบมานานแล้ว ปล่อยมันนี้ไม่มีนะ มันสด ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้นละเรื่องความคิด ส่วนมากความชั่วมันจะติดพันตลอดสด ๆ ร้อน ๆ ตลอด เผาตลอด เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาธรรมเข้าระงับ ๆ อารมณ์เหล่านี้ก็จะไม่เกิดมาก แล้วเกิดน้อยด้วยอำนาจแห่งคำบริกรรมบีบ ทีนี้คำบริกรรมพุทโธ ๆ นี้ยังเป็นโอชารสอันสำคัญที่ซึมซาบเข้าไปในจิต จิตได้ดื่มธรรมนี้ก็สงบเย็น
ความคิดเป็นกิเลส อย่างที่คิดอย่างนั้นเป็นกิเลส นั้นเป็นฟืนเป็นไฟ ความคิดกับพุทโธ ๆ เป็นต้นนี้ ความคิดเป็นธรรม สั่งสมโอชารสแห่งธรรมเข้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจ ใจสงบเย็น นี่มันต่างกัน ความคิด-คิดเหมือนกัน คิดไปทางผิดเป็นไฟ คิดไปทางถูกเป็นคุณ ให้จำเอานะ วันนี้เอาเท่านี้แหละ
นี่ลูกศิษย์ทางหาดใหญ่นะนี่ ไปเยี่ยมตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๗ นู่นแล้วตั้งแต่นั้นมาเลยไปไม่ได้อีกนะ โฮ้ คิดถึงลูกศิษย์ทางโน้นเหมือนกัน ดังเคยเล่าให้ฟังแหละหมดกำลัง ทีแรกว่าสุดท้ายจะให้หมดทีเดียว แล้วทีนี้อยากไปไหนก็ไปว่าอย่างนั้นนะ ทางภาคใต้เราเป็นภาคใหญ่ เรากำหนดเอาว่าเป็นวาระสุดท้ายจะเอาให้หมดว่าอย่างนั้นนะ ทีนี้พอก้าวไปไม่ถึงไหน ๆ ทางนี้อ่อนลง ๆ ธาตุขันธ์อ่อนลง สุดท้ายไปไม่ได้เลยหมดหวัง จึงได้ประกาศให้พี่น้องทางภาคใต้ของเราอย่าเสียอกเสียใจนะ หลวงตานี้เมตตาทั่วถึงกัน แต่กำลังของธาตุของขันธ์นี้มันเป็นอย่างนี้แหละ คือผิดคาดผิดหมายจริง ๆ นะ เพราะเราตั้งไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ขาดไปร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เป็นอย่างนั้นแหละนะ
(หลวงตาแค่บอกหนูก็ดีใจแล้วค่ะ) เออ เราก็เรียนตามความจำเป็นอย่างนี้ละ เดี๋ยวนี้นอกจากนั้นไม่ได้นะ นี่พระอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็ตาม ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ไปนะ ถ้าจำเป็นจริง ๆ แล้วก็ไปให้ชั่วระยะใกล้ ๆ จะให้ไปอย่างที่เคยไปมาไปไม่ได้แล้ว หมดกำลัง ไปผาสุกเย็นใจนะ ไปเยี่ยมลูกศิษย์ตั้งแต่ปี ๒๗ จนกระทั่งป่านนี้โหยนานนะ เกือบ ๒๐ ปี(๑๗ ปี) นั่นแหละตั้งแต่โน้นมาได้ ๑๗ ปี
ลูกศิษย์ หลวงตากรุณาเมตตาบอกวิธีปฏิบัติให้มีสติด้วยค่ะ
หลวงตา ถ้าให้ตอบมันก็อดกระตุกหัวใจคนไม่ได้ละนะ ถ้าให้ตอบทางนั้นปั๊บมาทางนี้ออกรับแล้ว จะทำยังไงให้มีสติ คือตอบให้ถึงกันอย่างจัง ๆ ก็ว่าอย่าเป็นบ้า แน่ะเห็นไหมล่ะ อย่าเป็นบ้ามันก็มีสติคนเรา คนไม่มีสติมันก็เป็นคนบ้าเข้าใจไหม นี้อยากให้มีสติทำยังไง อย่าเป็นบ้า แน่ะมันก็รับกันปั๊บเลย ต้องมีสติตั้งไว้ ตะกี้นี้ก็พูดถึงเรื่องการฝึกทรมานไม่ใช่เหรอ สติเป็นอันดับหนึ่ง ที่ว่ามันล้มเหลว ๆ คือสติไม่มี ถ้าสติไม่มีสติมันอ่อนกำลัง กิเลสตีผึงเดียวตก ๆๆ พอสติมีกำลังนี้กิเลสตีไม่ตกง่าย ๆ นะ ต่อไปฟัดหัวกิเลสด้วยสติ ๆ ความเพียรนี้อยู่กับสติเป็นอันดับหนึ่ง ปัญญาจะออกเป็นกาลเวลา สตินี้ออกเป็นพื้นฐานเลยเทียว แม้จะขึ้นถึงมหาสติมหาปัญญาก็ตาม สติปัญญาทั้งสองอย่างนี้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ไม่ได้เป็นสองเป็นสามนะ เวลาเข้าถึงกันจริง ๆ แล้วสติปัญญาอันนี้หมุนเป็นอันเดียวกันเลย เหมือนเชือกที่ฟั่นแล้วเป็นเส้นเดียวไปเลย
ทีแรกเราก็แยกเป็นสติเป็นปัญญา อย่างเวลาเราตั้งเบื้องต้นนี้สติต้องมาก่อน ต้องตั้งเป็นพื้นฐาน ปัญญาจะออกเป็นเวลา ๆ ในโอกาสอันควรนะ ถ้าสติตั้งไม่ดี ๆ ปัญญาออกไม่ได้ ออกเป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด กว้านเอาฟืนเอาไฟคือกิเลสมันเป็นสัญญามันเป็นกิเลสมาเผาเจ้าของ จึงต้องตั้งสติไว้ให้ดี
ลูกศิษย์ อันนี้ฟังก็เหมือนกับรูปธรรม ทีนี้ถ้าเราจะออกมาเป็นนามธรรม เราจะฝึกให้มันเป็นขั้นตอน เพราะว่าบางอย่างกิริยามันรวมกันหลาย ๆ อย่าง มันออกจากจิต
หลวงตา ไม่ต้องการมาก เวลานี้ไม่ต้องการมาก เพียงอันเดียว ให้อยู่อันเดียวเสียก่อน เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เอาต้นมาปลูกก่อน แล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบของมันเมื่อได้รับการบำรุงจากลำต้นแล้ว มันจะแตกของมันไปเองเข้าใจไหมล่ะ เบื้องต้นนี้สนใจกับปลูกต้นอันนี้ให้ดีฝังให้ดี แล้วบำรุงมันด้วยปุ๋ยด้วยน้ำ แล้วมันจะค่อยงอกเงยขึ้นไป กิ่งก้านของมันมันจะแตกของมันไปเอง
อันนี้ว่าแผนกนั้นแง่นั้นแง่นี้รูปธรรมนามธรรมอะไรอย่าไปยุ่ง สอนตะกี้นี้สอนว่ายังไง นี่เพื่อตั้งรากตั้งฐานของมันตั้งตรงนี้ก่อน ไอ้รูปธรรมนามธรรมไม่ต้องบอกมันก็เป็นไปเอง เพราะใจอยู่กับรูปธรรมนามธรรม เป็นแต่เพียงว่าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เมื่อเวลามันตั้งรากฐานได้แล้ว รูปธรรมนามธรรมเป็นทางเดินของสติปัญญา ของความเพียรทั้งนั้น เข้าใจหรือเหล่าที่พูดนี้ ยังไม่เข้าใจยังมาถามรูปธรรมนามธรรมไม่เห็นได้เรื่อง บอกจุดใหญ่ที่จะตั้งรากตั้งฐานก็ดังที่สอนตะกี้นี้ จิตไม่สงบเสียอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ จิตสงบมันสงบได้ยังไง ด้วยมีวิธีการผูกมัดมันให้สงบ พอสงบก็รวมตัวได้ ๆ พักตัวได้ออกทำงานทำการอะไรได้ เป็นอย่างนั้นนะ พอเข้าใจไหมล่ะ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com