ทางบุกเบิกกิเลสตัณหาให้เห็นแจ้ง
วันที่ 26 เมษายน 2550 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ทางบุกเบิกกิเลสตัณหาให้เห็นแจ้ง

 

          หลวงพ่อสังวาลย์ละองค์หนึ่งเก่งทางหาทองช่วย เลยเท่ากับมือซ้ายของเรานะ ท่านช่วยจริงๆ ท่านเสียไป เรียกว่าแขนซ้ายเราขาดไป มีแต่แขนขวาแขนเดียวแล้วไปเกิดอุบัติเหตุ แขนขวาก็ไม่ค่อยดีเสียด้วย แขนซ้ายขาดไปคือหลวงพ่อสังวาลย์ ท่านเอาจริงเอาจังมากถึงใจเรานะ ท่านสงสารชาติ ขนทองเข้าสู่ชาติเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ รู้สึกว่าท่านได้มากที่สุดทอง บริษัทบริวารท่านก็มาก ท่านเป็นผู้นิสัยกว้างขวางเมตตา ไปที่ไหนมีแต่บริษัทบริวาร พอท่านพูดขึ้นปั๊บเท่านี้ไหลมาๆ ช่วย

ท่านถวายไม่รู้กี่ครั้งกี่หนนับไม่ได้นะหลวงพ่อสังวาลย์ นู้นไปอยู่เขาใหญ่ท่านก็นิมนต์เราจากอุดรไปรับทองคำที่เขาใหญ่ เราพอใจ เพราะท่านให้ทานด้วยความพอใจ เสียสละด้วยความพอใจ เราเห็นใจท่าน เราก็จากอุดรมาเลยมารับทองแล้วกลับอุดร ไม่ค้างคืนละ เห็นใจกัน ท่านทำด้วยน้ำใจ เท่ากับท่านเป็นแขนซ้าย เราเป็นแขนขวา ทีนี้ท่านล่วงลับไปเราเลยมีแขนข้างเดียว แล้วข้างนี้ไปเกิดอุบัติเหตุเลยไม่เป็นท่า แขนข้างเดียวก็ไม่เป็นท่า

กระดูกแตกเหมือนกันนะ ไปตรวจ ออกจากที่เกิดเหตุรถเขาก็นำเป็นแถวยาวเหยียด ได้สัก ๕ กิโล รถทางหลวงมันมากต่อมากเป็นแถวยาวเหยียดเลย ได้สัก ๕ กิโล ไปก็เข้าโรงพยาบาล เอามีอะไรเอาตรวจดู เขาบอกกระดูกแตกตรงนี้ เขาว่า แล้วมีอะไรอีกละ เขาเตรียมห้องเตรียมหับไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะให้เราพักอยู่ที่โรงพยาบาล เตรียมไว้หมด พอเราไปนี้ทั้งหมอทั้งพยาบาลเต็มหน้าโรงพยาบาลเลย ไปให้เขาตรวจดู  มีกระดูกแตกตรงนี้ เขาว่า พอตรวจดูเสร็จศัพท์แล้วมีอะไรล่ะ เอาว่ามา มีแต่จะเอา เฟือกแฟกมาใส่ ไม่เอา ว่าอย่างนั้น เราไม่ใส่ แล้วเอาผ้าพันมาเลย จากนั้นลุกจะกลับ เอาให้เข้าพักโรงพยาบาล ไม่พักไม่ใช่วัด ไปเลย เป็นอย่างนั้นน่ะเรา หมดท่า โรงพยาบาลทั้งโรง ทั้งหมอทั้งพยาบาลเต็มหมดเดินไปต่อหน้าเลยกลับเลย

เป็นอย่างนั้นน่ะเราไม่ได้เหมือนใครนะ ถ้าสมควรจะอยู่ไม่บอกก็อยู่ สมควรจะไปให้อยู่ก็ไม่อยู่ เราพิจารณาของเราเรียบร้อยแล้วไป แล้วมันก็ค่อยดี กระดูกอันนี้ก็ยังมีที่มันแตก แตกช่างหัวมันเถอะ ถ้าหากว่าเราไม่หลบนี้ชนคน หลีกคนก็เลยตก คนนั้นมันเป็นอะไรมันกรรมอะไรไม่รู้ บทเวลาจะเป็นขี่มอร์เตอร์ไซด์เก้งก้างเข้ามานี่เลยนะ ทางกว้างๆ ไม่ได้แคบนะทางกว้าง ไม่มีรถมีราที่ไหน เราก็ไปสายของเราตามสายถูก เขาก็ไปทางนู้นเราก็ไปทางนี้ เวลาไปนั้นเก้งก้างๆ เข้ามาเลยนะ หลบไม่ทัน ถ้าจะไปตามนี้รถคันนั้นพอดีชนแหลก คนจะตายทั้งคน หลบนี้ก็เลยตกไปนั้น เรื่องราวเป็นอย่างนั้นละ

คนขับมันก็จะเป็นกรรมอันหนึ่งกันละ มอร์เตอร์ไซด์ทางกว้างๆ เขาก็ขับมาทางนู้น แล้วอย่างไรมานี่เก้งก้างเข้ามาหานี่เลย รถเราก็ไปธรรมดา มันหลบที่ไหนไม่ได้ ตกลงก็หลีก หลีกก็ตกลง คนนั้นก็รอดไป ถ้าหากว่าเราไม่หลีกตาย จะว่าอย่างไร นั่นละที่เกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นกำลังเริ่มช่วยชาติอยู่ ทางไหนๆ ลูกศิษย์ลูกหาถามมาจะงดไหมเรื่องการช่วยชาติ ไม่งดเราบอก ช่วยตลอดไปเลย ช่วยชาติของเรา

วันพรุ่งนี้ก็จะได้ลาบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายกลับอุดรแหละ มานี้ก็หลายวันตั้งแต่วันที่ ๖ ออกจากอุดรไปบุรีรัมย์ เข้ามาเขาใหญ่ก็เข้ามาที่นี่ วันที่ ๖ วันนี้วันที่ ๒๖ เป็น ๒๐ วัน วันพรุ่งนี้ก็เป็น ๒๑ วันก็ได้กลับ นานพอสมควร มาอยู่นี่ไม่ได้ว่างนะเรา หากมีนั้นมีนี้อยู่อย่างนั้นละ เพราะห่วงโลกห่วงสงสารนั่นละไม่ใช่เพราะอะไรนะ เรานี้ดีดดิ้นที่สุดในชาตินี้เป็นชาติที่ดีดดิ้นเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา เด่นมากทีเดียว เวลาชาติจะล่มจมก็เราเป็นผู้นำ เอาเราจะช่วย นั่นเราลืมเมื่อไร ออกคำพูดป๋างออกมาเลย แล้วก็นำจริงๆ ด้วย

ชาติไทยทั้งชาติปู่ย่าตายายพาถ่อพาพายมาด้วยความสงบร่มเย็น สมบูรณ์พูนผล ไม่มีอะไรขัดข้องขาดเขินเลย แต่พอมาถึงลูกหลานไทย ๖๒ ล้านคน เมืองไทยจะจมต่อหน้าต่อตาเราก็อยู่ในท่ามกลางนั้นด้วยทำอย่างไร นั่นละมันถึงได้ดีดได้ดิ้น อุตส่าห์พยายาม แต่นับว่าพอสมควรอยู่สมเหตุสมผลที่ดีดิ้น ค่อยกระเตื้องขึ้นมา คนก็จะได้อรรถได้ธรรมเข้าสู่ใจบ้างนะ

วัตถุที่ว่าช่วยชาติบ้านเมืองคนทั้งหลายเขาคิดถึงเรื่องวัตถุ แล้วเงินทองข้าวของอะไรที่จะช่วยชาติบ้านเมือง แต่เราไม่ได้คิดอันนี้มากยิ่งกว่าธรรมเข้าสู่ใจคน คราวนี้เป็นคราวที่ธรรมจะเข้าสู่หัวใจคน เพราะธรรมเหล่านี้จะไม่ได้ออกแต่ก่อนไม่เคยออก คราวนี้จะได้ออกและ ก็ออกจริงๆ ถึงเป็นแกงหม้อใหญ่ก็ออกเป็นอรรถเป็นธรรมตามขั้นภูมิของผู้มาศึกษาอบรมดังที่เต็มศาลานี่ละ นี่ละธรรมเข้าสู่ใจทำให้แน่นหนามั่นคงทุกอย่าง

วัตถุเงินทองข้าวของเป็นสมบัติที่เสี่ยงทายไม่ค่อยแน่นอน แต่สมบัติภายในใจได้แก่ธรรมสมบัตินี้เป็นสิ่งที่แน่นอนในใจ อบอุ่น อะไรจะขาดเหลือมากน้อยนี้ไม่ดีดไม่ดิ้นจนเกินไปสำหรับคนมีธรรม แต่ถ้าคนไม่มีธรรมนี้ดิ้นมากนะ ดิ้นที่สุด มีมาก็ดิ้น หมดไปก็ดิ้น ไม่อยู่ในความพอดี เพราะกิเลส กิเลสไม่เคยพาใครให้พอดี ต้องดีดต้องดิ้นตลอดเวลาทั้งขึ้นทั้งร่อง ความดีดดิ้นไม่มีอะไรเกินกิเลส ความสม่ำเสมอนี้ไม่มีอะไรเกินธรรม ธรรมอยู่ด้วยความสม่ำเสมอ เอาหมดก็หมด ยังก็ยัง แต่การปฏิบัติตนเพื่อความสม่ำเสมอดีงามในธรรมทั้งหลายไม่ปล่อยไม่วาง นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม

ขอให้พี่น้องทั้งหลายนำธรรมไปปฏิบัตินะ อย่าเห็นแก่โลกสงสารจนเกินเนื้อเกินตัว มันจะไม่พาใครเจริญนะ ถ้าใครเจริญด้วยการดีดดิ้นไปตามวัตถุสิ่งของเงินทองในโลกนี้ โลกนี้เจริญไปนานแล้วนะ นี้ทำไมจึงดีดจึงดิ้นจนเป็นฟืนเป็นไฟ ดีไม่ดีเผากันรบกันเป็นเถ่าเป็นถ่านไปมากต่อมาก ก็เพราะเห็นแก่วัตถุเป็นของสำคัญยิ่งกว่าธรรม ถ้าต่างคนต่างมีธรรมในใจผู้ใหญ่กับผู้น้อยอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก เหมือนพ่อแม่กับลูก มีลูกกี่คนพ่อแม่เลี้ยงดูได้โตด้วยกันหมด

ทีนี้โลกนี้อยู่ด้วยกันเป็นหมู่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ประเทศใหญ่เท่าไรมีสมบัติเงินทองมาก คอยเฉลี่ยเผื่อแผ่ประเทศเล็กประเทศน้อยให้ได้เกาะได้ยึดไปพอเป็นที่ร่มเย็น ถ้าเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น ประเทศใหญ่เท่าไรยิ่งทำความร่มเย็นให้แก่ผู้น้อยนะ นี่เรียกว่าธรรม ถ้าเป็นกิเลสแล้วใหญ่เท่าไรยิ่งกินยิ่งกลืนยิ่งรีดยิ่งไถ เอาทุกแบบทุกฉบับ นี่ละกิเลส แต่โลกนี้ชอบมากนะ ไม่เคยมีใครเห็นภัยของกิเลสตัณหาเลย ไม่มี มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวได้นำศาสนามาพอได้ส่องดูบ้าง

ภัยของกิเลสเป็นอย่างไร คุณของธรรมเป็นอย่างไร ได้นำมาประพฤติปฏิบัติ ไม่ผาดโผนโจนทะยานจนเกินไปคนมีธรรม ไม่ว่าจะเป็นประเทศเขตแดน ไม่ว่าจะเป็นชุมนุมชนที่ใดถ้ามีธรรมเข้าแฝงอยู่แล้วจะพอเป็นไปทุกอย่างนั้นแหละ ไม่ผาดโผนโจนทะยาน เรื่องกิเลสเป็นเรื่องผาดโผนมาก แต่ส่วนมากจะทำให้ล่มจมด้วยความดีดความดิ้น หวังมั่งหวังมี หวังดีหวังเด่น กิเลสพาใครให้ดีให้เด่นก็ไม่เคยมี แต่มันก็หวังของมัน ตามอำนาจของกิเลสมันกวนใจนั้นแหละ จูงไปให้ดีดให้ดิ้น จึงให้พากันมีธรรม

โลกเราก็ได้อาศัยมาตั้งแต่วันเกิด พอตกคลอดออกมาก็กินแล้ว อยู่แล้ว นอนแล้ว ใช้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เราใช้มันมา เรื่องธรรมภายในใจควรจะให้มีแทรกเข้าไป ให้รู้จักประมาณในการอยู่การกินใช้สอยทุกอย่าง อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว ทำคนให้เสียได้นะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมถ้ามีอยู่กับผู้ใดๆ ก็ตามจะมีความสงบร่มเย็นซุกหัวนอนที่ไหนก็พอได้นะถ้ามีธรรมในใจ ถ้ามีตั้งแต่วัตถุภายนอกอยู่ภายในใจ ใจเป็นผู้กวาดผู้ต้อนเอามาแล้วใจนั้นละเป็นไฟเผาตัวเอง ด้วยสมบัติทั้งหลายเหล่านั้นมากลายเป็นไฟเผาหัวอกตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว

เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องรักษาสมบัติมีมากน้อยก็ชุ่มเย็น ใครมีธรรมในใจมีสมบัติภายนอกมากน้อยก็ชุ่มเย็นๆ เป็นคุณ สมความมุ่งหมายของตัวที่เสาะแสวงหาสมบัติเหล่านั้นมาครองนะถ้ามีธรรม ถ้าไม่มีธรรมแล้วหามาเท่าไรก็มาเป็นไฟเผาตัวเองให้ลืมเนื้อลืมตัว ธรรมจึงเป็นของสำคัญมาก ให้มีแทรกอยู่ทุกหัวใจคน เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราควรจะมีระลึกดีชั่วผิดถูกประการใดบ้าง ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งจนกระทั่งถึงหลับเราคิดถึงความดีความชั่วผิดถูกประการใดบ้าง ในการเคลื่อนไหวของเรา การประพฤติตัวเป็นอย่างไรบ้าง ให้ทดสอบดูตัวเอง

ถ้าทดสอบดูตัวเองวันนี้บกพร่องมาก ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามกตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งหลับวันนี้ขาดทุนมาก นั่นเรียกว่าคนทดสอบตัวเอง สมกับเรารับผิดชอบตัวของเราเอง ถ้าเห็นว่าไปทางไม่ดีให้เหยียบเบรกห้ามล้อเอาไว้ อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานเกินไป ให้เร่งทางความดีแก้กันๆ เหยียบเบรกห้ามล้อไว้ เร่งคันเร่งเพื่อความสงบร่มเย็นเข้าสู่ใจของตัวเอง ปรับปรุงตัวเองให้ดีมันก็ดีทั้งนั้นคนเรา

การตกแต่งใดก็ตามสู้การตกแต่งตัวของเราไม่ได้นะ ตัวของเราเป็นผู้ครองโลก  ครองเราแล้วก็ครองโลกครองสงสาร ถ้าต่างคนต่างมีธรรมเป็นเครื่องปกครองตนเองแล้วโลกกว้างแคบขนาดไหนก็อยู่กันเป็นผาสุก ถ้าไม่มีธรรมปกครองมีแต่กิเลสแล้วกว้างแคบขนาดไหนเป็นไฟเผากันได้ไม่สงสัย รบราฆ่าฟัน มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นแหละ เรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วไม่รบ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน ใครมีความจำเป็นอะไรๆ ช่วยเหลือกันไปโดยลำดับ นั่นเรื่องธรรม

ถ้าเรื่องกิเลสแล้วมีแต่ขยี้ขยำตำให้แหลกแตกกระจัดกระจาย หาชิ้นดีไม่ได้เลย นี่คือกิเลส กิเลสไม่ส่งเสริมใครทั้งนั้นให้มีความสุขความเจริญ มีตั้งแต่ความดีดความดิ้นทั้งเขาทั้งเรา โลกธาตุนี้เต็มไปด้วยกิเลสก็เท่ากับเต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้กันได้ทั้งนั้น ต้องมีธรรมคือน้ำดับไฟ ทีนี้ย่นเข้ามาหาผู้ปฏิบัติ เห็นได้ชัด อันนี้เห็นได้ชัดมากทีเดียว ยิ่งกว่าเราจะดูทั่วๆ ไป ดูเขาดูเราทั่วๆ ไป ดูไม่ค่อยออก แต่ดูใจตัวเองนี้ดูออกนะ

วันไหนภาวนากิเลสมันดีดมันดิ้นมาก วันนั้นจะหาความสุขไม่ค่อยได้นะนักภาวนา ดีไม่ดีนอนไม่หลับ นี่เคยเป็นแล้วนะ คือมันได้อารมณ์มาจากภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัสสัมพันธ์กับอารมณ์ที่เป็นพิษเป็นภัย ไฟอยู่ภายในใจมันมีก็ออกรับกัน ทีนี้ก็นำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ของใจแล้วก็ภาวนาเพื่อสงบใจไม่ลง จิตเลยดีดเลยดิ้นกับสัญญาอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว นำมาครุ่นมาคิดอยู่ภายในใจเผาตัวเอง วันนั้นจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบทุกข์ทั้งวันนักภาวนา

เมื่อทุกข์ทั้งวันก็เห็นเหตุเห็นผล วันนี้เป็นอย่างไรจิต ทุกวันก็เห็นสงบร่มเย็น ไม่เห็นมีเรื่องมีราวอะไร วันนี้ทำไมจึงดีดจึงดิ้นเอานักหนา บังคับบัญชาเท่าไรก็ไม่อยู่เป็นเพราะเหตุใด มันก็จับสาเหตุได้ นี่เป็นเพราะสาเหตุกระทบสิ่งนั้นกระทบสิ่งนี้มาเป็นอารมณ์ของใจ ใจนำนั้นมาเป็นอารมณ์ก็เป็นไฟเผาตัวเอง นี้ละบ่อแห่งความไม่สงบ บ่อแห่งฟืนแห่งไฟอยู่กับความครุ่นคิดสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เอามาเป็นปัจจุบันเผาหัวอกตัวเอง แก้ใหม่ นั่น ปัดอารมณ์ทั้งหลายที่เคยเป็นมาแล้ว ไม่ดีทั้งหลายก็ให้ปัดมันออก เอาสั่งสมอารมณ์ดีเข้าไป

มันอยากจะคิดนะ ถ้าอารมณ์ไม่ดีสิ่งไม่ดีชอบจะคิดมาก กิเลสเป็นอย่างนั้น ไม่ให้ธรรมเดินได้ละ บังคับ มันจะไปไหน วันนี้ไม่ให้มันคิด วันนี้จิตใจเดือดร้อนมาก วุ่นวายมากเพราะความคิดไปทางกิเลส หักเข้ามาไม่ให้มันคิด ถ้ามันจะดิบจะดีแล้วกิเลสพาคิดไปมากแล้วเราควรจะถึงนิพพานนานแล้วนะ นี้ถึงตั้งแต่แดนนรกๆ ทั้งเป็น ตกนรกทั้งเป็น เพราะอารมณ์เผาตัวเอง ย่นเข้ามา ฟาดหัวใจนี้ไม่ให้มันคิด เอาธรรมชะล้างเข้าไป ผู้ที่มีคำบริกรรมพุทโธ เอาพุทโธเข้าไป ธัมโม-สังโฆเข้าไป ทางสมาธิก็เอาสมาธิติดแนบเข้าไป สติเป็นพื้นฐานมันก็สงบลงได้ กิเลสจะหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาผ่านสติไปไม่ได้นะ สตินี้เป็นสำคัญมากที่สุด ถ้าลงสติได้ติดอยู่กับใจแล้วกิเลสเกิดไม่ได้

พูดให้มันชัดเจน นี้เราเป็นนักภาวนาเราฝึกของเรามาแล้วก่อนที่จะนำมาพูด มันดีดมันดิ้น ยกตัวอย่างเช่น จิตของเรามีความเจริญตอนที่ออกจากกรุงเทพฯนี้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่โคราช อำเภอจักราช แหม จิตแน่นหนามั่นคง เป็นหินไปเลย เพียงขั้นสมาธิ แต่มันไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะสิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยเป็นจึงไม่รู้วิธีรักษา ก็ลามือบ้าง  นอนใจบ้าง ทำกลดหลังเดียวไม่เสร็จ ทำกลดเพราะกลดมันขาด เราออกไปเอากลดเก่ามาใช้แล้วมันขาด ทำกลดหลังเดียวไม่เสร็จ

จิตที่เคยสงบแนบแน่นนั้นเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เพียงเท่านั้นละนะโดดออกเลย  ออกปฏิบัติฟัดกันเสียจนปีหนึ่งกับห้าเดือน ฟังซิน่ะ นี่ละเราเป็นเองนะ ได้ปีหนึ่งกับห้าเดือนเจริญ อุตส่าห์พยายามดีดดิ้นแทบเป็นแทบตายได้ ๑๔-๑๕ วัน ไปถึงขั้นนั้นก็สงบอยู่เพียง ๒ คืน ๓ คืนแล้วลงเลย ลงเลยอย่างนั้นตลอดมา ถึงปีกับห้าเดือน นี่จะเป็นเพราะอะไร จึงได้นำคำบริกรรมเข้ามา นำคำบริกรรมพุทโธเข้ามาติดกับจิต แล้วสติจับติดไม่ให้มันเผลอ ไม่ให้มันคิดไปไหน

เอามันเจริญแล้วมันจะเสื่อมไปไหน เอาเสื่อมก็เสื่อมไป เจริญเจริญไป เราเคยหักห้ามพอแล้วไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ ทีนี้ไม่ห้าม แต่สติกับคำบริกรรมกับจิตใจนี้จะไม่ให้แยกจากกันเลย ฟัดกันอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมให้คิดไปไหนเลย แล้วจิตใจค่อยสงบเข้ามา สงบเข้ามาจนกระทั่งถึงขั้นมันสงบเต็มที่ของมันแล้วเสื่อม อยู่ได้สองสามคืนเสื่อมลงไป คราวนี้เปิดเลยปล่อยเลย มันจะเสื่อมไปแดนไหนก็ให้มันไป แต่คำว่าพุทโธกับสตินี้เราจะไม่ปล่อยจากใจ เอาคำบริกรรมคือพุทโธๆตามจริตนิสัยชอบบังคับไว้ด้วยสติ อยากเจริญ เจริญ เอาอยากเสื่อม เสื่อม ปล่อย จะเอาแต่พุทโธกับสติติดกันไป ซัดกัน

พอถึงขั้นเจริญไปแล้วมันจะเสื่อมเอาเสื่อม ปล่อยเลย ไม่เสียดาย ความทุกข์เกิดจากความเสียดายนี้มากต่อมากแล้วคราวนี้ไม่เสียดาย เอาปล่อย พุทโธไม่ปล่อย สติไม่ปล่อย ไปถึงนั้นแล้วแทนที่จะเสื่อมไม่เสื่อมนะ ค่อยเจริญขึ้นๆ ปล่อยเลยนะ ปล่อยอย่างเปิดหัวอกเลย เอาๆ เสื่อมลงไป เราเคยเสื่อมมาแล้วเป็นเวลาปีกับห้าเดือน ๑๔-๑๕ วันเจริญขึ้นถึงนั้นแล้วเสื่อมลงๆ ทีนี้ไม่เสื่อม สติติดแนบๆ ตลอดเวลา จิตค่อยเจริญขึ้นเรื่อยๆ ๆ ทราบได้ว่าอ๋อนี่ขาดคำบริกรรม สติขาดไปตรงนั้น เมื่อขาดสติแล้วความเพียรก็ขาดไปด้วยกัน จิตใจจึงมีความเสื่อมลงได้ ทีนี้ไม่เสื่อม พุ่งเลย ขึ้นได้

นี่ละปีกับห้าเดือนที่ได้ทดสอบตัวเองแล้วตั้งคำบริกรรมใหม่ มีสติติดกับหัวใจไม่ให้เผลอ เลยไม่เสื่อม ก้าวขึ้นเรื่อยๆ ๆ นี่เป็นครูสอนอย่างเอกสอนเรา เราจึงได้นำมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายให้ถือเป็นคติ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว จากนั้นเจริญขึ้นเรื่อยๆ เลย ทีนี้ตั้งรากตั้งฐานได้ ก้าวเข้าสู่วิปัสสนาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ โหย กระจายแตกไปหมดเลยนะ ผ่านจากรูปกายนี้หมดโดยสิ้นเชิงหมด ร่างกายมันเป็นรูปธรรม เมื่อจิตยังอยู่ในขั้นรูปธรรมมันต้องพิจารณาร่างกายให้แหลกละเอียด  จนกระทั่งมันปล่อยวาง ร่างกายหมดความหมาย ไม่เอาแล้วอิ่มพอแล้ว

กิเลสมีกามกิเลสเป็นต้นอยู่กับร่างกาย พอพิจารณาร่างกายให้แตกกระจัดกระจายลงไป ไม่มีเงื่อนติดกันแล้วทีนี้กามราคะขาดไปๆ ทีนี้เหลือแต่นามธรรม รูปธรรมไม่มี ตั้งขึ้นเป็นรูปเป็นกายเราจะแยกธาตุแยกขันธ์เป็นนั้นเป็นนี้ไม่ได้ พอตั้งขึ้นพับดับพร้อมๆ มันดับรวดเร็ว ไม่ได้ดับช้าๆ นะ ว่าอันนี้เป็นอนิจฺจํ อันนั้นเป็นทุกฺขํ อันนี้เป็นอนตฺตา อันนั้นเป็นอสุภะอสุภังไม่ทัน พอเกิดพับดับพร้อมๆ ๆ นี่ปัญญาขั้นนี้ มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอสุภะอสุภัง ผ่านไปเลย จิตกับร่างกายก็ผ่านไปด้วยกัน หมด อิ่มพอในการพิจารณาร่างกายทุกสัดทุกส่วน

จากนั้นมันก็เป็นนามธรรม เอาร่างกายเป็นเครื่องฝึกซ้อมให้นามธรรม เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับภายในจิต อะไรดีก็ตามชั่วก็ตามเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ มันก็เข้าไปหาใจ จิตก็วนอยู่ในวงนามธรรม ส่วนรูปธรรมร่างกายเป็นแต่เพียงว่าเอามาฝึกซ้อมเท่านั้น เอารูปนี้ตั้งขึ้นฝึกซ้อมเพื่อนามธรรมจะได้มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบรวดเร็ว ต่อไปนี้ร่างกายก็หมด พอตั้งพับดับพร้อมๆ ๆ ทีนี้มีแต่นามธรรม นามธรรมก็สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกิดขึ้นจากไหน เกิดขึ้นจากไหนเกิดขึ้นจากจิต ไล่เข้าไป ไล่เข้าไป

สติปัญญาขั้นนี้เกรียงไกรนะ ถึงขั้นนี้แล้วเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรเป็นไปเอง เรื่องความพากเพียรคำว่าขี้เกียจขี้คร้านไม่มี ต้องรั้งเอาไว้ กลางคืนกลางวันไม่หลับไม่นอน ซัดกันตรงนี้แล้วจนทะลุเลย ฟาดอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขาดสะบั้นลงไปแล้วนิพพานถามหาอะไร ธรรมพระพุทธเจ้าสอนแบบเดียวกัน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้วนำมาสอนคำสอนจะผิดไปไหน ดำเนินตามนั้นแล้วมันก็เป็นไปเอง แล้วถึงจุดไหนๆ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นเครื่องตัดสินผลงานของตนไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งวาระสุดท้าย สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดก็ตัดสินปึ๋งลงมาเลย ขาดสะบั้น สมมุติไม่มีอะไรเหลือ ขาดโดยสิ้นเชิง

นั่นละทีนี้ไม่บอกว่าวิมุตติมันก็รู้แล้ว ขาดแล้วคนละฝั่ง ฝั่งวัฏวนตายกองกัน ฝั่งวิวัฏฏะไม่ต้องมาเกิดมาตายต่อไป มันก็เป็นคนละฝั่งแล้วด้วยการปฏิบัติของเรา นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสอนอย่างถูกต้องแม่นยำ เป็นปัจจุบันธรรมตลอดมา ไม่ใช่เป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยที่กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติด้วยความครึความล้าสมัย มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้วๆ ไม่มีมรรคผลนิพพาน นี่กิเลสมันเสี้ยมสอน เราก็เชื่อกิเลสเพราะมันโง่อยู่แล้ว วิ่งไปตามกิเลสแล้วไม่มองดูมรรคผลนิพพาน

ถ้าจะไปปฏิบัติอรรถธรรมก็กิเลสตัวนี้กล่อมเสียๆ ฟาดกิเลสตัวนี้ขาดสะบั้นไปแล้วกิเลสมันไปไหนทีนี้ มันอยู่ในหัวใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วมันไปไหน ก็ธรรมละสังหารมันขาดสะบั้นลงไปแล้วตัวไหนจะมาเก่ง ก็มีแต่นิพพานธรรมปรากฏจ้าอยู่ภายในจิตใจ กิเลสแอบแฝงแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเลย นั่นละท่านผู้บริสุทธิ์บริสุทธิ์อย่างนี้ ตั้งแต่กิเลสขาดแล้วไม่มีอะไรกวนใจ หมดโดยสิ้นเชิง กิเลสเป็นสมมุติ หยาบละเอียดเป็นกิเลสเป็นสิ่งก่อกวนได้ทั้งนั้น เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดทั้งส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดไม่มีอะไรเหลือในใจแล้วนิพพานผึงขึ้นมาเลย ถามหานิพพานตรงไหน ความบริสุทธิ์มันเป็นอยู่กับหัวใจของทุกคน การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนั้น

นี่ครึเหรอธรรมพระพุทธเจ้า ที่สอนอยู่เวลานี้ครึล้าสมัยเหรอ มีแต่กิเลสน่ะตัวล้ำยุคล้ำสมัยมันเหยียบย่ำทำลายอรรถธรรม ไม่ให้เห็นอรรถเห็นธรรม เสาะแสวงหาธรรมไม่ได้ ถูกกิเลสกีดกันไว้ทุกแง่ทุกมุมจนจะก้าวขาไม่ออก ขึ้นชื่อว่าจะไปทำความดีก้าวขาไม่ออก กิริยาแสดงความดีแสดงไม่ออก กิเลสมัดศอก มัดแขน มัดมือ มัดเท้า มัดคอไว้หมด แล้วก็อยู่อย่างนั้นมีแต่ลมหายใจ กิเลสมัดหมดมันดีไหมพวกเรา พิจารณาซิ คนทั้งคนไม่มีค่ามีราคาถูกกิเลสมัดไว้หมด กระดุกกระดิกไปไหนก็ไม่ได้กิเลสมันหมด ดีไหมล่ะ ฟาดกิเลสให้มันขาดสะบั้นลงไปหมดดีดผึงเลย นั่น

กิเลสตัวไหนมันเก่งให้มา บอกเลยว่าเอาโคตรมีกี่โคตรกิเลสเอาให้มา เราก็มี โคตรของธรรมมี โคตรของกิเลสมี เอาฟัดกัน ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้ถามหานิพพานถามที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านแสดงให้แก้กิเลส กิเลสตัวปิดบังนิพพาน เปิดกิเลสออกหมดแล้วไม่ต้องถามถึงพระนิพพาน โล่งไปหมด นี่คือการปฏิบัติอรรถธรรม มีปัจจุบันสดๆ ร้อนๆ ไม่ได้ครึได้ล้าสมัยดังกิเลสมันหลอกลวงสัตว์โลกให้หดมือหดเท้า ไม่อยากสร้างคุณงามความดี มันหดไปหมดนะ

ถ้าลงธรรมเปิดนี้แล้วมันจะกระหยิ่มยิ้มย่อง อุตส่าห์พยายามในความพากความเพียร พระพุทธเจ้านิพพานไปนานสักเท่าไรก็ตามธรรมเพื่อความพ้นทุกข์แสดงไว้แล้วเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เอาก้าวตามนี้ ให้ก้าวตามนี้ ก้าวหนึ่งถูก ก้าวสองถูกใกล้เข้าไป ก้าวสามถูกใกล้เข้าไป สุดท้ายถึงนิพพานได้เหมือนพระพุทธเจ้านั้นเอง ขอให้ก้าวเดินตามทางของท่าน ถ้าผิดแล้วก้าวหนึ่งสองก้าวสามก้าวผิดไปเรื่อยๆ ออกนอกลู่นอกทาง ตกหลุมตกบ่อตกนรกอเวจีทั้งเป็นไปเลย นี่ผิดจากทางของพระพุทธเจ้า ถ้าถูกต้องตามทางของพระพุทธเจ้าแล้วตรงแน่วๆ ให้พากันจดจำเอานะ

เรานี้ห่วงหน้าห่วงหลังนะ ไปทางนู้นห่วงทางนี้ ไปทางนี้ห่วงทางนู้นก็เพราะชาวพุทธเราไม่ค่อยได้หน้าได้หลังอะไรเรื่องศีลเรื่องธรรม เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาแทบไม่มีในหัวใจเลย นี่ละทางบุกเบิกกิเลสตัณหาให้เห็นแจ้งชัดภายในจิตใจมันไม่ได้บำเพ็ญตรงนี้ กิเลสตัณหาตัวมันมืดๆ มันก็ปิดไว้ตลอดทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน หาเวลาสว่างไสวไม่ได้ นี่ละมันเสียตรงนี้พวกเรา อยู่ลอยๆ ไป ไม่ทราบว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน เวลานี้มันก็มืดอยู่แล้วมันจะไปแจ้งที่ไหน ถ้าไม่ใช่ธรรมเปิดๆ เปิดทางให้มันออกให้กว้างขวางภายในจิตใจอย่างไรก็กว้างไม่ได้ ถ้าธรรมเปิดเข้าไปนี่มันสว่างไสวออกไปทันทีเลย จ้าไปหมดเลย พากันจำเอานะการปฏิบัติธรรม

เราพูดทุกสิ่งทุกอย่างเราพูดด้วยการปฏิบัติมาแล้ว หายสงสัยหมด บรรดาธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีที่สงสัย ประหนึ่งว่าเข้าไปนั่งอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าและอรหันต์ทั้งหลายทุกๆ พระองค์ ตั้งแต่ขณะที่กิเลสขาดสะบั้นจากใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ในขณะนั้น นั่นละธรรมสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ เอาทำลงไปซิน่ะ เมื่อถึงขั้นนี้ไม่ต้องไปถามใครมันก็รู้เอง ถ้าไม่ทำมันก็ไม่ได้เรื่องคาดนู้นคาดนี้ สวรรค์อยู่นู้น นิพพานอยู่นี้ กิเลสอยู่ที่ไหนมันเผาหัวเจ้าของไม่ดูมัน ถ้าดูมันตัวกิเลสตัวมันเผาหัวใจมันก็จะแก้กิเลสที่หัวใจออกได้ นี่มันไม่ดูกิเลสที่หัวใจ มันไปดูฟากเมฆฟากหมอกนู่นละเลยไม่ได้เรื่อง

เอาล่ะวันนี้พูดเพียงเท่านี้ เหนื่อย ถ้าเทศน์เร่งๆ มันเหนื่อยง่าย ถ้าเทศน์ธรรมดาไปได้นาน ถ้าพูดเร่งๆ มันกำลังอ่อนลงๆ อันนี้มันแล้วแต่ธรรม ถ้ามันเร่งธรรมเข้าไปนี้มันก็พุ่งของมันกำลัง ใช้ลมแรงเข้าก็อ่อน ยิ่งเทศน์ธรรมะขั้นสูงด้วยแล้วมันเหมือนปืนกลเลย ไหลเลย ธรรมอยู่กับใจ เมื่อกิเลสไม่มีในใจมีแต่ธรรมล้วนๆ พุ่งๆ เลย ไม่มีอะไรมาปิดบังกีดกันทางเดินของธรรม เพราะกิเลสหมดแล้ว เปิดโล่งหมด จะพูดหนักเบาเพียงไรได้ทั้งนั้น ว่าอย่างนั้นเถอะ นอกจากผู้มาฟังจะอยู่ในขั้นใดภูมิใดที่ควรจะได้รับประโยชน์ แล้วก็แสดงไปตามขั้นภูมิของผู้มาฟัง เท่านั้นล่ะพอแล้ว

ฟัง คณะพระอุปัฏฐากหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก และหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ โดยพระอาจารย์สัมพันธ์ ธีระปัญโญ น้อมถวายทองคำเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒๐ บาท แด่หลวงตามหาบัว เพื่อทำบุญเกี่ยวกับการรักษาดวงตา ขอกุศลนี้ส่งผลให้หลวงตามีอายุยืนนาน อยู่เป็นที่พึ่งของชาวโลกตลอดไป พวกนี้ตายไปหมดก็ไม่เป็นอะไรขอให้หลวงตาอยู่อายุยืนนานก็พอ อย่างนั้นใช่ไหม พวกนี้ตายไปไหนก็ตายไปเถอะ ขอให้หลวงตามีอายุยืนนานก็แล้วกันอย่างนั้นใช่ไหม (สาธุ) มันต้องหักมุมซี มีแต่หลวงตาอยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้นมันได้หรือ ลูกศิษย์ลูกหาตายไปหมด ต้องอายุยืนด้วยกัน

(คณะพระสงฆ์จากวัดบวรฯมากราบถวายทองคำแด่องค์หลวงตา ๑๔ บาท ปัจจัยเงินสด ๑๗๐,๐๐๐ บาท ตามพระบัญชาในองค์สมเด็จพระสังฆราช) พอใจ สมเด็จสังฆราชท่านก็มาอนุโมทนาหลวงตาแล้วละ สมเด็จสังฆราชก็มาช่วยแล้ว ขอบคุณมากๆ นะ

ฟัง วันที่ ๒๖ เมษายน ทองคำตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ได้ถึง ๙ กิโล ๒๐ บาท ๒๔ สตางค์ ทองคำตั้งแต่วันที่ ๖ เมษาถึงค่ำวันนี้ได้ ๓๘ กิโล ๔๘ บาท ๘๒ สตางค์ สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๒๖ ทองคำที่หลอมแล้ว ๓๘๗ กิโลครึ่ง ๓๑ แท่ง ทองคำที่ยังไม่หลอม ๕๒ กิโล ๔๐ บาท ๗๙ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม เป็น ๔๔๐ กิโล ๗ บาท ๙๐ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วเข้าด้วยกันก็เป็นทองคำ ๔๔๗ กิโล ๔๐ บาท ๗๙ สตางค์ ได้เยอะอยู่นะ

(ชาวแบงก์ชาติร่วมถวายปัจจัยแด่องค์หลวงตาเป็นจำนวนเงิน ๑๓,๓๐๐ บาท)

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก