เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อเช้าวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ธรรมของท่านผู้สิ้นกิเลสสอนโลกไม่มีผิด
เทศน์พิลึกจริงๆ การช่วยชาติคราวนี้ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะได้เทศน์มากมายก่ายกอง มันหากเป็นเองถึงกาลเวลาที่จะเป็นมันปุบปับขึ้นมาเลย เช่นอย่างการเทศน์ช่วยชาติ ต้นเหตุก็คือบ้านเมืองของเราทั้งประเทศจะพากันล่มจม แล้วจะฟื้นด้วยวิธีใด เอา เอาละนะที่นี่เริ่มแล้ว วัตถุเครื่องช่วยชาติบ้านเมืองก็มี แต่สำคัญได้แก่ธรรม นามธรรมเข้าสู่จิตใจในเวลาออกช่วยชาติธรรมเทศนาแสดงกระจายไป อันนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว เราเล็งเห็นอันนี้ละ แล้วเทศน์ก็กระจายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เทศน์ช่วยชาติบ้านเมือง
วิทยุตั้งร้อยกว่าแห่งแล้วมัง (๑๐๘ สถานีแล้วครับ) วิทยุนี่ออก ๑๐๘ สถานีทั่วประเทศไทย ที่ไหนๆ จำไม่ได้แต่รู้ว่าทั่วประเทศไทยแล้ว มีแต่ว่าห่างกับถี่ต่างกันเท่านั้นเอง เราก็เทศน์สุดขีดสุดแดน การเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้เราไม่มีอะไรข้อสงสัย ในธรรมเทศนาที่มาแสดงเหล่านี้ถอดจากหัวใจ ที่ได้ปฏิบัติมามากน้อยเป็นที่แน่ใจๆ ต่อตัวเองแล้วถอดออกจากความแน่ใจ จึงไม่สงสัยว่าจะผิดไป นี่ละอันหนึ่งที่เราแน่ใจ
การศึกษาเล่าเรียนมาพูดแล้วสาธุ ไม่ค่อยแน่นอนเป็นความจดความจำ ผิดๆ พลาดๆ หลงๆ ลืมๆ ไป แต่ธรรมะที่ออกจากภาคปฏิบัตินี้ทั้งรู้เห็นด้วย ทั้งเป็นสมบัติของตนด้วย พอเกิดขึ้นปั๊บรู้เห็นประจักษ์ใจแล้วก็เป็นสมบัติของตนทันทีทันใดไปเลย มันต่างกัน การพูดทั้งนี้ถ้าหากว่าเราไม่ได้เรียนมานี้เขาจะดูถูกหมดโคตรแซ่หลวงตาบัว เออ อีตาบัวนี้มันเกิดมาตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยได้อ่านหนังสือได้สักตัวเดียว โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยเรียนหนังสือ มันมาคุยโม้เฉยๆ เขาก็จะว่าอย่างนั้นให้เรา แต่นี้โคตรของเราไม่ได้เรียนแต่เราเรียนซิ โคตรของเราไม่เป็นมหาแต่เราเป็นมหาละซิ มันก็ว่าไม่ลง นั่นละเทศน์
ทีนี้เอาปริยัติเข้ามาเป็นปากเป็นทาง ปริยัติที่เรียนมาเหมือนกับแปลนบ้านแปลนเรือนมาปฏิบัติ แจงออก เอาแปลนมาแจง จะเอาบ้านหลังขนาดไหน กี่ห้องกี่หับ ความกว้างความยาวขนาดไหนดูแปลน เอาแปลนออกมากาง เรียนมามากน้อยแล้วกางใส่มรรคผลนิพพาน ตั้งแต่ศีลสมาธิปัญญาวิมุตติหลุดพ้น ท่านแจงไว้หมด เราก็นำมาคลี่คลายออก ปฏิบัติๆ
ทีนี้พอปฏิบัติเป็นขึ้นมาเราเป็นเองด้วย เป็นสมบัติของเราด้วย มันต่างกันตรงนี้ คือจดจำมามันไม่แน่ มันหลงมันลืม แต่ถ้าปฏิบัติมาไม่หลงไม่ลืม อยู่กับนี้เลย เรียกว่าความจริง ความจริงกับความจำต่างกัน ความจำเป็นสมบัติไม่ได้นะ เพียงแต่เป็นปากเป็นทางที่จะนำออกไปปฏิบัติ ปฏิบัตินี้มันเป็นขึ้นมาจริงๆ รู้จริงๆ เห็นจริงๆ เป็นสมบัติของตนจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนสุดยอดของผลแห่งการปฏิบัติ เรียกว่าปฏิเวธ
ทีนี้เราได้นำมาทั้งสองด้วย ภาคปริยัติเราก็เรียนเต็มกำลังความสามารถ ทีนี้ออกภาคปฏิบัตินี้ยิ่งเอาใหญ่เลยนะ อันนี้หนักมาก ภาคปฏิบัตินี้หนักมากยิ่งกว่าเรียนเป็นไหนๆ เรียนท่านๆ เราๆ ความหนักพอๆ กันไม่หนักมากนัก แต่ภาคปฏิบัติหนักมาก เพราะความยิ่งหย่อนแห่งความมุ่งหมายของใจต่างกัน ใครมีความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมหนักเบามากน้อยเพียงไรความเพียรจะเป็นไปตามนั้น ถ้ามุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ความเพียรจะพุ่งๆ เลย นี่มันต่างกัน
นี่เราก็ทำทั้งสองสามอย่าง เรียนมาแล้ว ออกปฏิบัติก็เพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อตลอดเลย จนกระทั่งฟาดเสียขาดสะบั้นลงไป ไม่มีอะไรสงสัย ในแดนพุทธศาสนาเราพูดจริงๆ เราหายสงสัยแล้ว เราไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระสาวกอรหัตอรหันต์ทุกพระองค์เป็นผู้เลิศเลอเสมอกันหมด ยอมรับในทางใจ ใจเข้าถึงกันปั๊บเป็นอันเดียวกันแล้วสงสัยที่ไหน
นั่นละการปฏิบัติถ้าลงได้รู้ได้เห็นภายในใจสดๆ ร้อนๆ เป็นปัจจุบันตลอดนะ การจดการจำมันมีกาลมีสถานที่เวล่ำเวลาจืดชืดไป เดี๋ยวก็หลงลืมไป แต่ภาคปฏิบัติไม่หลงนะ ติดปุ๊บอยู่กับจิตเลย ให้มันได้อันนี้ละ พระพุทธเจ้าเอาอันนี้ออกสอนโลก พระสงฆ์สาวกทั้งหลายเอาธรรมชาติที่รู้เห็นจากการปฏิบัตินี้สอนโลก เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบตลอดเลย มันต่างกันนะ
ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่แน่ใจ ภาคปริยัติจดจำไปธรรมดาๆ เหมือนท่านเหมือนเรานั่นละ ไม่ผิดกัน แต่ภาคปฏิบัติมันจับติดๆๆ นะ แล้วเป็นสมบัติของตัวเองด้วย แน่ใจด้วย จะเป็นธรรมะขั้นใดแน่อยู่ในใจ แน่ๆ ตลอด จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นแน่ตลอด ทีนี้เวลามาสอนโลกสงสัยไปไหนก็มันเป็นในหัวใจหมดแล้ว นี่ละภาคปฏิบัติ เมื่อแสดงผลออกมาเป็นที่แน่ใจตายใจหมดเลย ให้พากันจดจำเอา
พุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว หาไม่ได้อีกแล้ว ในสามแดนโลกธาตุท่านจะไปหาศาสนาใดเอามาแข่งกับพุทธศาสนา เรายันเลยว่าไม่มี เพราะเหตุไร ศาสนาเหล่านั้นเราไม่ได้ประมาท เอาหลักธรรมเข้าไปว่าตามความจริงเลยว่า เป็นศาสนาของคนมีกิเลส คลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา เวลาสอนออกไปกิเลสอยู่ภายในใจกิเลสจะต้องบ่งบอกในการแนะนำพร่ำสอน ส่วนมากก็ไปตามกิเลสเสียผิดๆ พลาดๆ แต่พระพุทธเจ้ากิเลสไม่มี โลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงทะลุไปหมด สอนตรงไหนจึงไม่มีผิด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ต่างกันอย่างนี้นะ
ผู้สอนธรรมเป็นผู้สิ้นกิเลสคือพระพุทธเจ้าของเรา นอกนั้นสอนธรรมด้วยความมีกิเลสเต็มหัวใจด้วยกันจะถูกต้องไปที่ไหน ไม่ถูก ผิดๆ พลาดๆ เอาตามความเห็นของกิเลส ชอบอะไรๆ เห็นว่าชอบแล้ว ผิดก็ตามเอาความชอบเข้าไปเป็นใหญ่แล้วก็ว่าเอาถูก นั่น ผิดไปแล้วนั่น ส่วนพระพุทธเจ้าเอาธรรม พิจารณานี้ทุกสิ่งทุกอย่างรู้แล้วว่าออกไปไม่ผิด นี่ละธรรมของท่านผู้สิ้นกิเลสอนโลกจึงไม่มีผิดมีพลาด ไม่เหมือนกับผู้ที่เป็นคลังกิเลสสอนโลก สอนตัวเองก็ไม่ได้ ผิดๆ พลาดๆ สอนคนอื่นจะเอาความแน่นอนมาจากไหน ไม่แน่
เอาละนะพอ จะให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|