พระญาณหยั่งทราบ
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

พระญาณหยั่งทราบ

 

         ทองคำเราจะมอบเป็นงวด ๆ ไป งวดหนึ่ง ๕๐๐ กิโล คือมอบแต่ละครั้ง ๕๐๐ กิโล ๒ ครั้งเป็นหนึ่งตัน ให้ครบจำนวนที่เราต้องการ ๑๐ ตัน เวลานี้ยังขาดอยู่ ๔ ตันกว่า ได้แล้ว ๕ ตันกว่า ส่วนดอลลาร์เราไม่ค่อยวิตกวิจารณ์อะไรมากนักว่าจะถึง ๑๐ ล้านนะ เวลานี้ก็ได้ ๗ ล้านแล้วยังขาดอยู่อีก ๓ ล้าน กับทองคำขาดอยู่อีกตั้ง ๔ ตันกว่า ทองคำมีน้ำหนักมากกว่า เราจึงวิตกทางทองคำมากกว่าดอลลาร์ เมื่อได้ตามจุดที่ต้องการคือทองคำได้ ๑๐ ตันแล้วจะหายห่วงลงมาพร้อม ๆ กัน ดอลลาร์นี้ก็คิดว่าจะเข้าถึงกันปุ๊บเลย จากนั้นเราก็หายห่วงทุกอย่าง

การช่วยชาติบ้านเมือง ได้ทุ่มเทกำลังวังชาทุกด้านทุกทางเต็มความสามารถของเรา ออกช่วยพี่น้องชาวไทยมาเป็นเวลา ๔ ปีก็จะหายห่วงลงทันทีทันใด เราก็ไปอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องมองหน้ามองหลัง ไปอย่างสบายหายห่วง ไม่ห่วงอะไรเลย นี้ก็ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว นี่ละธรรมของศาสดาองค์เอกที่สอนไว้ยังไงไม่มีเคลื่อนคลาด เรียกว่าสวากขาตธรรม คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ท่านตรัสไว้ชอบจากความที่รู้ชอบเห็นชอบในพระทัยทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสอน ผู้ปฏิบัติตามนั้น ๆ เท่ากับก้าวเดินถูกต้อง ๆ ไปโดยลำดับ ท่านให้นามในพระสงฆ์สาวกว่า สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน คือปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงแน่วต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพาน ปฏิบัติเพื่อรู้ยิ่งเห็นจริงจริง ๆ นี่ละท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นท่านผู้ทรงมรรคทรงผลมาแล้ว และจะทรงมรรคทรงผลต่อไปจากการปฏิบัติที่ว่านี้

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีเคลื่อนคลาด สอนไว้โดยถูกต้อง ทีนี้หลักฐานพยานก็มาขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติตามท่านอีก ท่านสอนไว้อย่างนี้ คือท่านได้กฎได้เกณฑ์ได้ความเลิศเลอมาจากธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วทุกอย่าง เมื่อสอนแล้วผู้ปฏิบัติตามก็ได้สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นเรื่อย ๆ สำเร็จมากน้อยเพียงไรเป็นเครื่องยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าได้โดยลำดับลำดา พอถึงขั้นอรหัตภูมิปึ๋งเท่านั้น ยืนยันพระพุทธเจ้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมของพระองค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าถูกต้องแม่นยำ ตรัสไว้เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีคลาดเคลื่อน

ที่ไม่ทรงมรรคทรงผลก็เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้นี้ ออกนอกลู่นอกทาง ออกไปมากไปน้อยก็ผิดไปโดยลำดับ ถ้าผิดจากแนวที่สอนไว้แล้วนี้มีแต่พลาดไปเรื่อย ถ้าตรงตามนี้ก็ตรงไปเรื่อย ๆ เหมือนเรามาจากอุดร ตรงมาตามนี้แล้วใกล้เข้ามา ๆ มีแต่ความถูกต้อง ๆ ใกล้เข้ามาจนถึงจุด เช่นวัดป่าบ้านตาดเป็นต้น ถ้าเรามาเราแยกจากทางนี่เสีย แยกไปเท่าไรก็ผิดไปเท่านั้น ๆ ไม่ถึงวัดป่าบ้านตาด เพราะแยกผิดไปแล้ว ไปเท่าไรก็ผิดไปทุกก้าวเดิน ๆ สุดท้ายก็หมดหวัง

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เครื่องยืนยันคือให้ปฏิบัติตาม สุปฏิปนโน อุชุ ญาย ให้ตรงแน่วตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้จะไม่เป็นอื่น มรรคผลนิพพานจะเป็นของท่านผู้ปฏิบัติเอง ไม่มีใครมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติเป็นใหญ่ในการปฏิบัติตัวเอง และรู้เห็นได้ผลขึ้นมา ธรรมพระพุทธเจ้าจึงไม่มีปัญหา หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง สำหรับหัวใจเรา เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือเราหมด ไม่มีเม็ดหินเม็ดทรายในศาสนานี้ว่า สงสัยในธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ว่าภายในไม่ว่าภายนอก หายสงสัยไปตาม ๆ กันหมด ท่านสอนว่ายังไง ๆ เวลาปฏิบัติไป ครั้นรู้ก็ไปรู้ในสิ่งที่ท่านสอน จะไปรู้ที่ไหน เพราะทางเดินก็เดินไปเพื่อจะรู้สิ่งนั้น ๆ เมื่อเดินไม่ผิดพลาดจากสายทางแล้วก็ตรงแน่ว ถึง เจอเรื่อย ๆ ไปเลย เจอตรงไหนก็แม่นยำ ๆ ในใจเจ้าของหาที่ค้านไม่ได้ ยอมรับ ๆ ก็เมื่อเรายอมรับเราแล้วเราจะไปค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้ก่อนแล้ว เห็นก่อนรู้ก่อนแล้ว เมื่อไปเจอเข้าก็ยอมรับ ๆ กราบ ๆ เรื่อยไปเลย

ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าเป็นธรรมชั้นเอกเลย ในสามแดนโลกธาตุนี่พูดจริง ๆ เอาความจริงมายืนยันกันว่า เป็นผู้สิ้นจากกิเลสโดยตรง ถึงนิพพาน พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์ปฏิบัติพระองค์สิ้นกิเลสไปด้วยกัน แล้วสอนวิธีสิ้นกิเลส สอนวิธีบรรเทาให้กิเลสเบาลง ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามขั้นตามภูมิของผู้ปฏิบัติตามพุทธศาสนา แล้วผู้นั้นก็ตักตวงเอาผลเอาประโยชน์เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานจากศาสนธรรมนี้ ทางนี้ตรงแน่วเลยไม่มีผิดมีเพี้ยนไปไหน อย่าหลีกก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าจะนิพพานแล้วไม่นิพพานไม่สำคัญ เหมือนแปลนบ้านแปลนเรือนเรา ผู้ที่มีความชำนิชำนาญแม้จะเป็นคนมีกิเลสเป็นช่างแปลนก็ตาม แต่เขาทำด้วยการคำนึงคำนวณถูกต้อง ยอมรับกันมาแล้ว เขาตายไปแล้ว เอาแปลนนี้มากางปุ๊บทำตามนี้ก็เป็นตามนั้นไปเลย

นี่ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นแบบแปลนแผนผัง อย่าให้เคลื่อนจากนี้ จะเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาถ้าเป็นแปลนบ้าน ถ้าเป็นแปลนแห่งมรรคผลนิพพานก็จะเป็นขึ้นมาเรื่อย ๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ก็พูดอย่างไม่มีอะไรสงสัยแล้วในหัวใจนี้ เพราะฉะนั้นถึงเปิดออกมา ใครจะฟังก็ฟัง ถ้าไม่ใช่กรรมของเราของสัตว์แล้วมันก็บืนไปได้คนเรา ถ้าจะอะไรก็ปล่อยให้กิเลสขยำไปเสียๆ เขี่ยลงนรกอเวจีไปเสีย หาวันที่จะพ้นทุกข์ไม่มีทาง กี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเชื่อกิเลสจะจมไปเรื่อย ๆ หมุนอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไม่มีทางที่จะพ้นจากทุกข์ได้ ถ้าเชื่อธรรมมี ถึงจะวกเวียนไปอยู่กับคนมีกิเลสด้วยกัน ก็วกเวียนเพื่อจะออก ๆ คนมีความดี คนมีบุญมีกุศล คนมีธรรมในใจ ถึงจะไปกับพวกมีกิเลสด้วยกันก็ไปเพื่อพ้น พวกมีกิเลสด้วยกันแล้วไม่สนใจในธรรม มีแต่ไปวกไปวนมาแล้วลงเรื่อย ๆ ตั้งกัปตั้งกัลป์ ที่เป็นมาแล้วนานเท่าไรก็จะเป็นอีกอย่างนั้นเหมือนกัน

ผู้ที่สร้างความดีนี้สร้างมากสร้างน้อยเท่าไร ทางวัฏวนก็ค่อยย่นเข้ามา ๆ เมื่อความดีมีมากเท่าไร เหมือนเราเดินไม่หยุดไม่ถอย จวนถึงบ้านเข้าไปทุกที ๆ ก้าวไปเท่าไรก็จวนถึงเข้าไปเรื่อย ๆ พวกที่เดินกลับหลังนั่นซี มันหมายไปบ้านมันฟาดไปทางอื่นเสีย มันเป็นอย่างนั้นส่วนมาก ท่านให้ไปทางโน้นมันปั๊บไปทางนี้เสีย กิเลสมันเร็ว เราพูดถึงเรื่องกิเลสนี้ละเอียดแหลมคมสุดยอดเลย ยอดของกิเลสคือยอดแห่งวัฏวน อยู่ในนี้ ไล่สัตว์ตีสัตว์อยู่ในเรือนจำวัฏวน ใครจะฉลาดแหลมคมขนาดไหน เรียนมาจากที่ไหน ๆ ก็ตาม มันเป็นเรื่องวิชาของคนมีกิเลสประสิทธิ์ประสาทให้กัน ก็เรียนไปตามแถวกิเลส การปฏิบัติก็ตามแถวของกิเลส ผลขึ้นมาก็เป็นผลของกิเลสไปอย่างนั้น ๆ เรื่อยไป

ส่วนวิชาพระพุทธเจ้าเป็นวิชาสิ้นกิเลส สอนออกมาจุดไหนมีแต่จะดึงออก ๆ ส่วนวิชาของกิเลสมีแต่ดึงลง ๆ ดึงลงในวัฏฏะ ๆ เพราะฉะนั้นความรู้ของโลกกับของธรรมจึงต่างกัน นี้หมายถึงว่าความรู้ของธรรมนี้ เรียนรู้แล้วให้ปฏิบัติตามธรรม จะเป็นผลต่างจากกิเลสเป็นลำดับ ถ้าเรียนวิชาธรรม เรียนจำได้แต่ชื่อเฉย ๆ แต่การประพฤติตัวประพฤติไปตามกิเลสก็เป็นกิเลสวันยังค่ำเหมือนกัน ความจำได้ไม่มีความหมายอะไร มันจำได้เฉย ๆ แต่ไม่ได้ละได้ถอนตามความจำได้ ท่านสอนอย่างนั้น ๆ แต่มันไม่ทำอย่างนั้น มันไปทำอย่างนี้เสีย ความจำได้ก็ไม่มีความหมาย เรียนถึงนิพพานก็ได้แต่ชื่อ มันไม่ได้สนใจกับนิพพาน มีแต่สนใจกับนรกอเวจี สร้างแต่บาปแต่กรรมมันก็ลงทางนี้เสีย นี่ละมันต่างกัน

วิชาธรรมเรียนเพื่อปฏิบัติตามธรรม เป็นธรรมล้วน ๆ ไปเรื่อย ๆ ถ้าเรียนวิชาโลกมีความสนใจใฝ่ธรรมก็เป็นธรรมไปด้วยกัน ถ้ามีแต่โลกล้วน ๆ ก็เป็นโลกล้วน ๆ หาความหวังในทางธรรมที่จะให้ดิบให้ดียิ่งขึ้นภายในจิตใจนี้ไม่มี เรียนโลกก็จริงแต่มีความฝักใฝ่ในอรรถในธรรมทั้งหลาย ธรรมก็แฝงไปตาม ๆ กัน เอา โลกก็ได้ธรรมก็ได้ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีแต่ธรรมล้วน ๆ ไปแต่ธรรมล้วน ๆ ดังท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ ท่านจะมุ่งแต่ทางที่ถูกต้อง ถือศาสดาองค์เอกได้แก่ ธรรมวินัยประจำหัวใจเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีหิริโอตตัปปะ สำรวมระวังตามหลักธรรม หลักวินัย เป็นผู้ใกล้ชิดติดพันกับพระพุทธเจ้าตลอดเวลา คือธรรมวินัยนั้นแลเป็นศาสดาแทนเราตถาคต คือเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ใครมีธรรมมีวินัยประจำตัว ผู้นั้นก็มีศาสดา ถ้าไม่มีธรรมวินัยประจำตัวแล้วก็เหลวแหลกเหมือนกันหมด เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ ผิดกันตรงนี้นะ

เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าสำหรับเรานี้สุดหัวใจทุกอย่างแล้ว เราไม่มีอะไรสงสัยเลย หมดจริง ๆ เรื่องพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหน สาธุ ไม่ได้ประมาท ไม่ทูลถาม ถามหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโฏ แปลนบอกไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ก้าวตามนี้จะเห็นสิ่งต่าง ๆ รู้สิ่งต่าง ๆ ไปโดยลำดับๆ ตามนี้ ๆ นั่น ท่านสอนไว้แล้ว เมื่อรู้แล้วก็จะไปถามอะไรอีก บอกว่านี่น่ะ นี่อันนั้น ๆ จนกระทั่งถึงธรรมแท้ของพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว ถามศาสดาหาอะไร

ศาสดากับธรรมชาตินี้คืออะไร เป็นอันเดียวกันแล้วดังที่เคยพูดให้ฟัง เหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงสู่มหาสมุทร แม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลยังไม่ถึงมหาสมุทรนั้น ยังเรียกว่าน้ำสายนั้น ๆ แม้ตกมาจากบนฟ้าก็ยังเรียกว่าน้ำฝนอยู่บนฟ้า ยังไม่เรียกน้ำมหาสมุทรได้ พอแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้ามา ๆ พอมาถึงแม่น้ำมหาสมุทร สายไหนหมดความหมายทันที เป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด ทีนี้หยดน้ำที่ตกลงมาบนฟ้าก็เหมือนกัน ตกลงมายังไม่ถึงมหาสมุทรก็ยังเรียกน้ำบนฟ้า บนเมฆอยู่ พอตกลงถึงมหาสมุทรเรียกเป็นน้ำมหาสมุทรได้อันเดียวกันหมด จะเรียกน้ำบนฟ้าเหมือนแต่ก่อน น้ำสายนั้นสายนี้เหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เข้าถึงจุดตายตัวแล้วคือแม่น้ำมหาสมุทร มหาวิมุตติมหานิพพานเทียบกับน้ำมหาสมุทร

ท่านผู้ใดบำเพ็ญอยู่ในสถานที่ใด เท่ากับแม่น้ำสายต่าง ๆ ค่อยไหลเข้ามา ๆ ใกล้เข้ามา ยังเป็นวรรคเป็นตอน ยังไม่เรียกว่าน้ำมหาสมุทรเพราะยังไม่ถึงที่ ก็ก้าวเข้ามาใกล้เข้ามา พอถึงมหาสมุทรปึ๋งเท่านั้น น้ำสายนี้จะเป็นมหาสมุทร คนๆ นี้เป็นเรียกว่าธรรมทั้งแท่งแล้ว จะว่าศาสดาก็ได้ ไม่ศาสดาก็ไม่สงสัย เป็นธรรมทั้งดวงเรียกว่า ธรรมธาตุล้วน ๆ หรือมหาวิมุตติ มหานิพพาน ล้วน ๆ แล้ว พอเข้าถึงนี้ปั๊บเท่านั้นเป็นอันเดียวกันเลย ๆ มือจ่อลงในน้ำนี้ก็กระเทือนทั่วมหาสมุทร เรารู้เพียงอันเดียวนี้ก็กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้า ทั่วธรรมทั้งหลายหมดไม่มีเว้นเลย นี่ละท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วท่านจึงไม่ถามหาศาสดาอยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่ไหน เพราะถึงมหาสมุทรด้วยกันแล้วถามกันหาอะไร นี่เป็นความจริง ไม่เคยเรียนมาจากใครก็ตาม ธรรมชาติที่ปฏิบัติให้ตรงแน่วตามทางศาสดานี้จะประกาศขึ้นมาในหัวใจตัวเองนั้นแหละ และไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า

ทีนี้เมื่อถึงมหาสมุทรแล้ว นั่นละท่านเรียกว่า นิพพานเที่ยง ตรงนั้นละ ไม่มีที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นอย่างใดได้เลย กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง เพราะนี้เป็นกฎของสมมุติ อันนั้นเป็นวิมุตติพ้นไปหมดแล้ว จึงไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาอยู่ในนั้น ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยงหรือธรรมธาตุ อันนี้ละที่ว่านิพพานเที่ยง จากนี้ไปก็เรียกว่าเที่ยงตลอดไปเลย ไม่มีคำว่าเปลี่ยนแปลง ที่เคยไปนิพพานแล้วตกลงมาชั้นพรหม ตกลงมาสวรรค์ ตกลงมาพื้นแผ่นดินมนุษย์ ตกลงไปนรกอเวจีนี้ไม่มี นี่เรียกว่ากฎอนิจฺจํ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ สำหรับธรรมที่บริสุทธิ์แล้วหมดความเปลี่ยนแปลง แล้วเจ้าของรู้เจ้าของด้วยนะ ไม่ใช่ว่าท่านประกาศไว้แล้ว เราจะต้องไปเรียนคำประกาศอีก ขอให้เราเป็นอย่างนั้นปั๊บ รู้ทันทีเลย อ๋อ เที่ยงอย่างนี้เอง คือจ้านั้นแล้ว จะทำให้เป็นอะไรอีกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เจ้าของรู้ตัวเจ้าของ

ถ้าจะพูดถึงเรื่องความสว่างไสวนี้มันก็จ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว นั่น ใจดวงนี้ ธาตุขันธ์จะเป็นอะไร ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย เจ้าของนอนแน่วอยู่ในเตียง เป็นคนไข้อยู่ในโรงพยาบาล ในบ้านเจ้าของ ร่างกายนี้นอนแน่วอยู่ในเตียงก็จริง แต่จิตก็จ้าอยู่ในนั้นจะว่ายังไง นี่จิตของผู้สิ้นกิเลส เอาไปไว้ที่ไหน พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปไหนก็มีแต่ธาตุขันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องของสมมุติเพียงเปลี่ยนไปพลิกไปพลิกมา ธรรมชาตินั้นจ้าตลอดเวลา นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นอื่นไป แม้แต่อาศัยอยู่ในธาตุในขันธ์นี้ก็ตาม สังขารร่างกายจะกลิ้งไปเหมือนฟุตบอลก็ตาม แต่จิตจะจ้าไม่ได้ไปกลิ้งกับอันนี้นะ อันนี้เป็นวัตถุ เป็นร่างกายของเรากลิ้งไป ๆ แต่ธรรมชาตินั้นหมดสภาพจากอันนี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มี เป็นอันว่าจ้าอยู่ตลอดเวลา

นี่ละการปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมชั้นเอก ไม่มีศาสนาใดเสมอเหมือน เราไม่เหยียบย่ำทำลายศาสนาใด เราเอาความจริงเข้ามายันกัน ความจริงคือว่าจิตบริสุทธิ์เสียอย่างเดียวเท่านั้น ผึงเท่านี้ไม่ได้ค้านกันเลย แล้วผู้ที่จิตบริสุทธิ์คือใคร ก็คือศาสดาองค์เอกแต่ละองค์ ๆ ทั้งนั้นเป็นผู้จิตบริสุทธิ์เอาธรรมมาสอนโลก ผู้มีกิเลสอยู่มันก็สอนไปแบบกิเลส ไม่ได้สอนไปแบบผู้สิ้นกิเลส แล้วจะเอาความจริงมาจากไหน หลง ๆ ลืม ๆ ผิด ๆ พลาด ๆ ลูบ ๆ คลำ ๆ เรียกว่า ผิดบ้าง ถูกบ้าง ศาสนาต่าง ๆ ก็เพราะกิเลสอยู่ภายในใจ ถึงจะประกาศตนออกว่าเป็นเจ้าของศาสนานั้น ๆ ก็ตาม ก็เป็นแต่คำพูดเฉย ๆ แต่ใจกับกิเลสมันมืดดำกำตาอยู่ในหัวใจของผู้เป็นศาสดา ๆ ตามที่ตนสมมุติขึ้นนั้น เสกสรรปั้นยอตนขึ้นนั้นแล มันก็เป็นความมืดดำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้แจ้ง

แต่ศาสดาองค์เอกนี้จ้าขึ้นมาตรงไหนไม่ต้องถามกัน เหมือนกันหมด ไม่มีการถามกัน ต่างกันอย่างนี้นะคำว่าศาสนา เพราะฉะนั้นคำว่าพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารมาตลอด มันหยั่งถึงกันเลย ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนละ พอรู้อันนี้ปั๊บมันจะวิ่งถึงกันไปหมดเลยเป็นหลักธรรมชาติ วิ่งถึงกันไปหมดเลย เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ใช่เราแต่งเราดึงออกไปให้ถึงกันนะ หากเป็นธรรมชาติที่รู้ถึงกัน เหมือนเรามือจ่อลงน้ำมหาสมุทรมันก็ถึงกันหมด ทั่วแดนมหาสมุทรจากนิ้วมือนิ้วเดียวจ่อลงไปมันถูกหมดแล้ว นั่น คือน้ำมหาสมุทร อันนี้จ่อลงในความพ้นทุกข์หรือความบริสุทธิ์ที่เลิศเลอ จ่อปั๊บไปคือตรัสรู้ปึ๋งขึ้นไปเท่านั้นเรียกว่าจ่อเข้าแล้ว จ้าเหมือนกันหมด

นี่ละท่านผู้สิ้นกิเลสอย่างนี้แลที่มาสอนโลก แล้วจะสอนผิดไปไหน ไม่มีทางผิด มันผิดตั้งแต่ผู้ที่ไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้า เพราะเรื่องกิเลสนี้มันรอบตัวรอบจริง ๆ เผลอไม่ได้กิเลส ธรรมดาเราก็ไม่รู้ว่าเรามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส เพราะกิเลสมาเป็นเราทั้งหมด หมดทั้งตัวเรามีแต่กิเลส ก็เลยไม่ทราบว่าอะไรเป็นกิเลสอะไรเป็นธรรมเสีย แล้วผู้ที่กิเลสไม่มีในใจซิ ท่านที่ทราบ ก็กิเลสไม่มีในใจมีแต่ธรรมล้วน ๆ แล้ว แล้วจะสงสัยกิเลสที่ไหน กิเลสก็ไม่มีแน่ะ นั่นละท่านรู้อย่างนั้น ท่านรู้อย่างเดียวกันหมด

นี่ศาสนาก็นับวันเศร้าหมองลงไปทุกที ๆ น้ำในศาสนาคือมรรคผลนิพพาน สมบูรณ์แบบอยู่ แต่พวกจอกพวกแหน คือกิเลสตัณหานี้มันปกคลุมหุ้มห่อน้ำเอาไว้ไม่ให้มองเห็น เช่น น้ำในบึงใหญ่ ๆ น้ำเต็มอยู่ในนั้น แต่จอกแหนปกคลุมอยู่ข้างบน มองไปเมื่อไรก็เห็นตั้งแต่จอกแต่แหน น้ำไม่มองเห็นเลยเพราะน้ำอยู่ใต้จอกแหน เวลาเปิดจอกเปิดแหนออกก็มองเห็นน้ำ เปิดออกมากน้อยมองเห็นน้ำมาก ๆ เปิดออกหมดจ้าเลยมีแต่น้ำทั้งนั้นบึงนี้

อันนี้จิตใจของเราก็บรรจุธรรมไว้เต็มเหมือนกัน อยู่ในนี้ กิเลสก็ปกคลุมไว้หมดให้มืดมิดปิดตา เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดีไปอย่างนั้น ทีนี้เวลาพยายามแก้ไขดัดแปลงอยู่โดยสม่ำเสมอด้วยการสร้างคุณงามความดี ก็เหมือนกับรื้อจอกรื้อแหนออกเรื่อย ๆ ๆ มันก็เห็นชัดเจน จากนั้นมันก็จ้าเลย ทีนี้น้ำมาจากไหน น้ำก็อยู่ใต้จอกใต้แหนนั่นแหละ เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุม พอลากจอกแหนออกหมดแล้วน้ำก็เต็มนั้น นี่ธรรมจะมาจากไหน จะไปหามาจากไหน เปิดกิเลสออกจากใจหมดแล้ว ใจทั้งดวงนั้นแลคือธรรมทั้งแท่ง เอาตรงนั้นเลยนะ

พากันตั้งใจปฏิบัตินะ เราสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เราพูดจริง ๆ เราไม่มีสงสัยอะไรเลย ไม่ว่าจะภายใน คือกิเลสภายในจิตใจเราก็หายสงสัย เอา สิ่งภายนอกที่จะควรรู้ควรเห็นตามวิสัยของเรา ซึ่งพอเป็นพยานพระพุทธเจ้าได้ เราก็ยันได้เลย คือสิ่งภายนอกนี้มีวาสนาต่างกัน แต่เป็นพยานกันได้อย่างชัดเจน ไม่สงสัยเลย ความรู้มากน้อย

นี่ละที่เป็นเครื่องวัดความรู้ของท่านผู้เป็นพุทธวิสัย ท่านรู้อย่างนั้น รู้มากยิ่งกว่าเรา เราอย่างนี้เราก็ค้านไม่ได้แล้ว รู้รอบตัวขนาดนี้เราก็ค้านเราไม่ได้ ค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว ยิ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นยังไง นี่หมอบราบแล้วนะ เพียงความรู้ของเราเท่านี้ก็หาที่ค้านตัวเองและค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นความรู้ของศาสดาองค์เอกแล้วเป็นยังไง ทีนี้หมอบราบเลย นี่ละที่ว่าหายสงสัยทุกอย่างทั้งภายนอกภายใน ภายนอกสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น พวกเปรต พวกผี พวกอะไรประเภทต่าง ๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ในน้ำ บนบกมีหมด เพราะอันนี้ไม่ได้เป็นด้านวัตถุ พอจะเข้าไปแทรกที่นั่น แทรกได้บ้างแทรกไม่ได้บ้าง จิตแทรกไปได้หมดทะลุ เรานั่งอยู่นี้ กำหนดนี้ทะลุแผ่นดินลงไปกี่แผ่นดิน มันก็ทะลุได้หมดจิต ทีนี้เวลาจิตเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วยิ่งแหลมคมกว่านั้นอีกพูดไม่ถูกเลย ทะลุถึงหมดเลย นั่น

นี่ท่านก็เห็นหมดพระพุทธเจ้า พวกเปรต พวกผี พวกสัตว์นรกอเวจี ประเภทต่าง ๆ เต็มอยู่หมดที่ไหน ๆ ปิดพระญาณความหยั่งทราบของพระองค์ได้ยังไง ปิดไม่อยู่ ลงถึงนรกอเวจี นรกอเวจี ผู้มีความเชี่ยวทางด้านสาวกมีความเชี่ยวชาญ ท่านก็เชี่ยวชาญเต็มภูมิของท่านว่าเห็น รู้เรื่องสัตว์ตกนรก นรกหลุมไหนมีความแผดเผาหนักเบามากน้อยท่านก็รู้ไปหมด แต่พระพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น นรกหลุมนี้สัตว์ตัวใดที่มาตกอยู่ในนรกหลุมนี้ เอ้า หลุมที่หนักมากที่สุดนี้ สัตว์นรกตัวนี้มันทำกรรมอะไรถึงได้มาตกนรก ย้อนหลังปุ๊บทำกรรมอันนั้น ๆ ๆ มา ทุกรายของสัตว์นรกเข้าใจไหม พระพุทธเจ้าไม่อั้นตู้ สัตว์นรกที่เต็มอยู่ในนรกนั้น แต่ละราย ๆ ที่มาเสวยกองทุกข์ มหันตทุกข์อยู่นี้ รายนี้ทำกรรมอะไร ๆ มาแต่เมื่อไร ๆ รู้หมด ๆ ๆ

แล้วนรกหลุมต่าง ๆ บรรดาสัตว์โลกต่าง ๆ ที่มากองอยู่ในนรกมันก็แบบเดียวกัน เข้าใจไหม รู้ทั้งโคตรทั้งแซ่ของกรรมที่สัตว์นรกไปทำ เข้าใจไหม นั่นละ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น สาวกท่านไม่รู้ แต่รู้แต่เห็นเรื่องสัตว์นรก แต่ที่จะไปรื้อไปถอนเอารากเอาโคนเอาโคตรเอาแซ่ของสัตว์นรกว่า เขาทำกรรมอะไรมาเขาจึงได้มาเป็นอย่างนี้ พระสาวกไม่รู้ แน่ะ เข้าใจไหมล่ะ ปฏิเสธไม่ได้ที่ว่าเห็นสัตว์นรก แต่จะติดตามเอาถึงโคตรถึงแซ่สัตว์นรกที่สร้างกรรม ติดตามไม่ได้ พระพุทธเจ้าติดตามได้หมด เข้าใจเหรอ นี่ละโลกวิทู เป็นอย่างนั้น

พอไปเจออะไรอย่างนี้นะ ท่านจะรับสั่งปุ๊บย้อนหลังมาเลย ย้อนหลังของสัตว์ตัวนี้ เปรตตัวนี้ ยกตัวอย่างเช่น ที่กาไปตกนรก จะงอยปากมันเกาะนรกฟากนั้น หางมันเกาะนรกทางโน้น ปีกเกาะนรกทางโน้น ๆ นรกใหญ่ขนาดไหน อำนาจของกรรมแผ่ไปได้ทั้งนั้นแหละ ทางฟากนี้ปีกติดทางโน้น ฟากนี้ปีกติดปากนรกทางโน้น ปากติดปากนรกทางโน้น หางติดทางโน้น เวลาพระสาวกไปเห็นเข้า ก็ไม่รู้เรื่องว่ามาจากไหน หากทราบแต่ว่ากาเป็นเปรต ตกนรก

เปรตหลายประเภท เปรตมีถึง ๑๓ จำพวก ของเล่นเมื่อไร ในคัมภีร์ ไปทูลพระพุทธเจ้าว่าได้เห็นเปรตตัวหนึ่ง กาเป็นเปรตตกนรกอยู่ ปากเกาะปากนรกทางโน้น หางเกาะทางนั้น ปีกเกาะทางโน้น ปีกทางนี้เกาะทางนี้ เออ เราเห็นมานานแล้วแหละ กาตัวนี้มันเป็นยังไงถึงได้มาตกนรก พระสาวกก็ตีบตันอั้นตู้ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรถึงได้มาตกนรก แต่เห็นกาตกนรก ปฏิเสธไม่ได้ แต่กรรมที่กาทำนั้น ทำยังไงเวลาพระพุทธเจ้ารับสั่งถามกา สาวกก็พูดไม่ได้ ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าว่านี่แต่ก่อนเธอมันตัวเสนียดจัญไร ตัวดื้อด้าน จับอยู่บนต้นไม้ พวกศรัทธาเขานำของที่จะไปถวายทาน เขาหาบไทยทานไปนี่ ๆ กาตัวนี้ก็ฉวยโอกาสไปฉวยเอาที่เขาถวายทานอยู่ตะกร้าเขา อยู่ในหาบเขานั่นน่ะ เอาไปกิน เวลาตายแล้วมันก็ไปลงนรก

นั่นเห็นไหมของนี้ยังไม่ถึงวัดเลย ยังไม่ถึงพระเลยนี้ เป็นของพระไปแล้ว เป็นของธรรมไปแล้ว เป็นของวัดไปแล้ว กานี้กินเลยกลายเป็นกินของวัดไปเลยเข้าใจไหม ตายแล้วก็ไปตกนรก พระพุทธเจ้ารื้อมาตั้งโน้น เธอเป็นกาแต่ก่อนกินอย่างนั้น ๆ สาวกไม่รู้ เห็นไหมล่ะ ต่างกันอย่างนั้น ผิดกัน ไม่ว่ารายใดพระพุทธเจ้าทรงทราบทุกราย สัตว์ตกนรกอยู่ในหลุมนี้ เป็นนรกมหาอเวจี ทุกรายอยู่ในนี้ทรงทราบหมด ว่ารายนี้ทำกรรมอะไร ๆ ถึงได้มาเป็นอย่างนี้ ทราบตลอดทั่วถึง แล้วจะขั้นถัดขึ้นมาก็ทราบตลอดหมดเลย จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก พระญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึง นี่ละใครละที่ทราบได้อย่างนั้น เรามันทราบไม่ได้นะ เมื่อเป็นอย่างนั้นจะว่าเราเก่งกว่าศาสดาได้เหรอ ศาสดาว่าให้ทำบุญให้ทานไป สวรรค์นะ โอ๊ย.สวรรค์ไม่มี นี้มันอวดพระพุทธเจ้านะ แล้วอย่าทำบาปนะเดี๋ยวตกนรก เอ๊ย.นรกไม่มี มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแบบนี้ ถึงเวลาไปตกมันก็เป็นอย่างนั้น ตกหลุมเก่ง ๆ นั่นแหละนรก เข้าใจไหม วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละนะ ให้พากันจำเอา เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ ไม่เอามากละ วันนี้พอสมควร

โยม             จุตูปปาตญาณ คือญาณหยั่งทราบการเกิดตายของสัตว์ทั้งหลาย

หลวงตา         นี่หมายถึงเรื่อง จุตูปปาตญาณ นั้นแหละ พิจารณาเรื่องความเกิดความตาย ของสัตว์ทั้งหลายเกิดแล้ว ตายแล้วไปยังไง เป็นจุตูปปาตญาณ แต่พระพุทธเจ้าท่านครอบไปหมดเลยนั่นซิ ท่านแยกประเภทมา ผู้ที่รู้ตามช่องนั้น ๆ แต่พระพุทธเจ้าครอบไปหมดละซิ ไม่เหมือนพวกเรา

โยม             พระโมคคัลลาน์ต้องไปถามเลยว่า พวกเทวดา สัตว์นรก ว่าทำอะไรมานี้มาเป็นสัตว์นรก ทำอะไรมา

หลวงตา         พระโมคคัลลาน์ ไปถามอย่างนั้นเหรอ

โยม             ค่ะ พระโมคคัลลาน์ยังต้องไปถามสัตว์เหล่านั้น ว่าทำยังไงถึงได้มาเป็นอย่างนี้

หลวงตา         ถ้าเป็นเราแล้วจะไม่ถามว่างั้นเหรอ ถึงได้เอาพระโมคคัลลาน์มาเทียบ

โยม             ถามค่ะ แต่หมายความว่า ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่ท่านทราบเลย

หลวงตา         ก็อย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้ากับสาวกต่างกันอย่างนี้ ก็ยังเล่าแล้วนี่นะ พระสาวกเห็นจริงปฏิเสธไม่ได้ พวกเปรต พวกผี พวกสัตว์นรก อะไรนี้แม้แต่ในมหาอเวจีนี้พระองค์ทรงทราบไว้ว่า ทำกรรมอะไร ๆ ถึงมาเป็นอย่างนี้ ๆ ทุกรายหมดเลยนะ จะมากขนาดไหนทราบได้ทุกราย นั่น ฟังซิน่ะ แล้วพวกเปรตพวกผีในที่ต่าง ๆ ทราบตลอดหมดเลย แต่สาวกเห็นเฉย ๆ เช่น เห็นเด็กคนนี้ แล้วเวลาถามเด็กคนนี้เป็นลูกของใคร ไม่รู้เข้าใจไหม รู้แต่เด็กเฉย ๆ ส่วนพระพุทธเจ้า เด็กคนนี้เป็นลูกของอีตาคนนั้น เข้าใจไหม เราเทียบว่างั้นเถอะนะ แม่มันชื่อว่าอย่างนั้น

แม่มันถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัวตอบแทน แม่มันตัวปากแป้น ๆ ๆ นั่นละว่างั้น ให้ฟาดปากมันแทนหน่อยนะ ลูกมันจะได้สะดวก แม่มันไม่บ่นนักจะว่าอย่างนั้น ถ้าให้เราตอบ ถ้ามาถามเราเราจะบอกอย่างนั้นเข้าใจไหม

 

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่  www.luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก