ทำแทบเป็นแทบตายยังจะมาฟ้อง
วันที่ 28 ธันวาคม 2549 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ทำแทบเป็นแทบตายยังจะมาฟ้อง

         เราไปที่ไหนไปด้วยการเสียสละ ไปด้วยการให้ทาน ไม่ได้มีคำว่ากำ เราไม่มี ขนาดนั้นละเราทำประโยชน์ให้โลก มีแต่แบตลอด แบด้วยความเมตตาๆ เกิดมาในชาตินี้ทำให้เต็มเหนี่ยวเสีย เต็มกำลังความสามารถของเรา มีเท่าไรหมด ออกๆ นั่นโกดังใหญ่ โรงพยาบาลต่างๆ โรงไหนมาพระท่านจัดให้เรียบร้อยๆ คือเราสั่งเสียไว้เรียบร้อยแล้ว โรงพยาบาลมีสองประเภท ถ้าไกลก็ให้เป็นกรณีพิเศษ ถ้าธรรมดาก็ให้ธรรมดา ธรรมดาก็เสมอกัน พิเศษเพิ่มเท่าไรๆ ก็ให้เสมอกันหมด เช่นอย่างอุบล โคราช อุตรดิตถ์ ประเภทนี้ประเภทให้พิเศษ โรงไหนมาให้พิเศษ

ไกลกว่านั้นไปไม่มีปัญหา ตั้งแต่เขตอุตรดิตถ์ไปนู้น โคราชไปนู้น อุบลไปนู้น เราให้พิเศษทั้งนั้น แต่ย่นเข้ามานี้ให้ธรรมดา ธรรมดาก็เต็มรถไปทุกคันนั่นแหละ เต็มเอี๊ยดๆ เวลาจะไปก็เติมน้ำมันให้ทุกคันรถเลย ปั๊มน้ำมันเราก็มี อย่าว่ามีแต่ในเมือง เอามาอวดซีปั๊มน้ำมันเรามีอยู่เป็นประจำ หมดไม่ได้ปั๊มน้ำมัน น้ำมันมาเป็นถังๆ เข้าไปในปั๊มพวกโรงพยาบาล โรงไหนเติมน้ำมันให้ทุกโรงๆ  นี่เรียกว่าเสียสละ เสียสละก็มาจากความเมตตา

พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตา มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ ทรงมหากรุณาธิคุณเมตตาอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์ให้สัตว์โลกไม่มีประมาณ ยกอันนั้นออกมา แปลแล้วเป็นอย่างนั้น คืออำนาจแห่งพระเมตตา เราตัวเท่าหนูเมตตามันก็เต็มตัวหนู ไม่เก็บ อันนี้ก็เหมือนกันเราไม่เก็บ มีเท่าไรออกหมดๆ เลย ในวัดเรานี้ไม่เก็บ ไปที่ไหนทำประโยชน์ที่นั่นๆ เศษเหลือมาทางนี้ก็ทำประโยชน์ทางนี้ ไม่เศษก็ทำไปหมดเลยๆ เพราะไปทำประโยชน์ ไปที่ไหนทำที่น่นๆ หมดเป็นหมด ยังเป็นยัง ถ้าเหลือมาทางนี้ก็มาทำทางนี้ แล้วจะเหลือมาหาอะไร

ไปทางไหนก็ต้องทำอย่างนั้นๆ อย่างไปกรุงเทพเหมือนกัน ทำทางโน้นให้หมด ไม่สนใจที่จะเอามาทางนี้ มาทางนี้เราก็ทำทางนี้ ทำอยู่ตลอดเวลา จึงว่าถ้าจะพูดถึงเรื่องว่าจนนี้ วัดป่าบ้านตาดนี้จน ไม่มีอะไรติดวัด เงินทองข้าวของมีเท่าไรทุ่มๆ ออกหมดเลย ถ้าพูดถึงเรื่องการเสียสละก็เอาอีกแหละ ไม่ใช่คุย ไม่ใช่โอ้ใช่อวด เอาความจริงมาพูดว่า วัดเสียสละนี้วัดไหนน่า ว่างั้นเลย เอามาแข่งดูซิน่ะ มาแข่งวัดป่าบ้านตาด พูดได้เต็มปาก คือวัดนี้วัดเสียสละจริงๆ มีอะไรหมดๆ เลยตลอดมา เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เริ่มสร้างวัดก็คนทุกข์คนจนไหลเข้ามา โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ทีนี้เลยไปใหญ่ทั่วประเทศเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรติดตัวในวัดป่าบ้านตาด

สมมุติว่าเราตายแล้ว เงินในบัญชียังเหลืออยู่นั้นก็ให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า บัญชีที่เหลือ เหลือเพื่อโลกทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เหลือเพื่อเรา มันยังมีอยู่ในบัญชีที่ฝากไว้ เช่นอย่างไปกรุงเทพนี้ เขาถวายเช็คทางนู้นก็เอาเช็คเข้ากรุงเทพๆ เอาไว้ แล้วก็จ่ายทางนู้น เราเขียนใบสั่งจ่ายไว้แล้วให้คุณชายปั๋ม เราฝากไว้หลายธนาคาร ฝากทางนู้นจ่ายทางนู้น ฝากทางนี้จ่ายทางนี้ ให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย เรานี้เสียสละเต็มตัวเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เกิดมาในชาตินี้เอาให้เต็มเหนี่ยวเสีย

พูดอย่างนี้แล้วก็มาระลึก มีผู้คิดปรึกษาหารือกัน บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจะมาขอสร้างเจดีย์ให้เราไว้เป็นที่ระลึก เวลาเราตายแล้วก็เอานั้นเป็นเจดีย์ ปัดปุ๊บเลย ไม่เอา อิฐปูนหินทรายเกิดประโยชน์อะไร ที่เราทำให้โลกทราบทั่วถึงกันนี้ นั่นละเป็นที่ระลึก ให้ถือเป็นคติตัวอย่างเราว่างี้ อิฐปูนหินทรายไม่เป็นคติอะไร สิ่งที่เราทำไปแล้วทั้งหมดเป็นคติตัวอย่างทั้งนั้นแหละ ให้เอานั้นเป็นคติตัวอย่าง ดีกว่าจะมาสร้างเจดีย์ให้เรา เราว่างี้แหละ เราไม่เอา ให้ถือที่เราพาดำเนินเป็นคติตัวอย่าง เพราะเราได้ดำเนินโดยอรรถโดยธรรมทุกอย่าง

ตั้งแต่นำพี่น้องทั้งหลายมาเรายังไม่เคยได้มีการตำหนิตัวเองว่ามัวหมอง เช่นสมบัติเงินทองได้มานี้ เรามีอะไรๆ เป็นความมัวหมองในนั้น ไม่มีเลย เราจึงอบอ่นพอใจ ด้วยการพิจารณาเรียบร้อยแล้วออกๆ ไม่ได้ปรึกษาหารือใครละ เราช่วยโลกนี้เราพิจารณาภายในของเราแล้วสั่งตามพิจารณาๆ ไม่ผิดๆ ตลอดเลย เราช่วยเต็มกำลังความสามารถของเรานั่นแหละ

ตายแล้วนี้ก็ยังมีพินัยกรรมอีกนะ เขียนไว้แล้ว เวลาเราตายแล้วนี้เขามาบริจาคทานมากน้อยจะมาเผาศพเรา เงินทองข้าวของมีจำนวนเท่าไร เช่น เงินหรือทองคำอย่างนี้เขามาถวายเรา เราตั้งกรรมการเก็บรักษาให้หมด ไม่ให้มาสร้างสุรุ่ยสุร่ายเผาศพหลวงตาบัวตัวเท่าหนูและเน่าเฟะอยู่ในหีบ จะมาสร้างอะไรหรูหราฟู่ฟ่า ที่จะมาสร้างนั้นก็ต้องเสียสละเงินแล้วเป็นประโยชน์อะไร กับคนตายไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้เอาเงินนั้นทั้งหมดเก็บรักษาไว้เรียบร้อย พอเสร็จแล้วเอาเงินนี้ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเป็นวาระสุดท้ายของเรา

เราเขียนพินัยกรรมไว้แล้วนะ ไม่ใช่พูดเฉยๆ เราไม่ต้องการอะไรในโลกนี้พูดจริงๆ พูดให้เต็มหัวใจตามที่เราพูดนี้ละ เราพูดตามอรรถตามธรรมตามหลักความเป็นจริง การปฏิบัติมาเราก็ไม่เคยโกหกเจ้าของ ฟาดลงคอขาดขาดเลยเวลาเอากับความพากความเพียร เวลารู้เห็นขึ้นมาความดีพูดไม่ได้มีหรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำธรรมมาสอนโลกจนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นความดีหรืออะไร สาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน องค์ใดที่ทำประโยชน์ให้โลกมากน้อยเพียงไรก็ประกาศลั่นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ อันนี้เราทำประโยชน์ให้โลกก็เป็นแบบเดียวกัน ทำไมจะพูดไม่ได้ ถ้าว่ารู้อรรถรู้ธรรมก็หาว่าเราอวดอุตริมนุสธรรม จะมาฟ้องเราว่าเป็นสังฆาปาราชิก เราก็บอกให้ยกโคตรมา ว่าอย่างนี้เลย เราบอกจริงๆ นะ บอกให้ยกโคตรมาฟ้องเรา ว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม ปรับอาบัติปาราชิก ว่างั้นนะ มันเห่าว้อๆ ปากอมขี้

นี่ปากอมธรรมสอนโลกมา ต่างกันนะปากอมธรรมกับปากอมขี้ นี้ปากอมธรรมสอนโลก เวลานี้กระจายไปถึงไหน เมื่อวานนี้สิงคโปร์เขาก็มา นี่ก็ไม่ใช่ปากอมธรรมหรือออกกระจายออกไปทางอินเตอร์เน็ต เขาหลั่งไหลเข้ามาหาเราเป็นแถวยาวเหยียด มาจากสิงคโปร์เป็นร้อยๆ คน นี่ละว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม เขาจะฟ้องปรับอาบัติปาราชิก เราบอกให้ยกโคตรมาเลย โคตรหลวงตาบัวก็มี ยกโคตรใส่กันเลย โห เราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย พูดความดีอย่างนี้ไม่ได้ มันขวางพวกเปรตพวกผีพวกขวางนรก ที่พูดออกมานี้พวกขวางนรก

คนที่อวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่อวด ฟังแย็บเดียวมันก็รู้ อันนี้ท่านทั้งหลายว่าเราอวดอุตริมนุสธรรมเหรอ พิจารณาซิ ความดีงามที่เราปฏิบัติมา สละเป็นสละตาย วาระสุดท้ายก็มาปลงกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ก็พูดให้ฟังใช่ไหมล่ะ นี่เอาความจริงมาพูด วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม ฟ้าดินถล่ม ออกจากหัวใจเรา ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันนี้เหมือนฟ้าดินถล่มเลย นี้เราก็มาพูดให้ฟัง ผลความดีที่เราปฏิบัติมารบกับกิเลสนี้ นั้นเป็นวาระสุดท้ายของเรา ตั้งแต่กิเลสถล่มลงไปขาดสะบั้นไปแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดมาหลอกเรา เราก็พูดตามหลักความจริง

เอา ใครจะว่าเราเป็นสังฆาปาราชิกให้ว่ามา ปากอมขี้น่ะ ปากอมธรรมเราสอนโลกมาทั่วประเทศไทย อย่างน้อยทั่วประเทศไทย เดี๋ยวนี้ออกเมืองนอก นี้ปากอมธรรม เราปฏิบัติมาก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อโกหกตัวเอง เวลาได้ผลขึ้นมาจะมาโกหกท่านทั้งหลายได้ลงคอหรือ ถ้าว่าโกหก อันไหนเป็นคำพูดที่ผิดพลาดไปจากอรรถธรรมซึ่งเป็นการโกหกของเรา เอา ยกออกมา มันไม่มีอะไรใช่ไหม สอนตรงไหนก็แน่นอนตรงนั้นๆ ความแน่นอนนี้ออกมาจากเราสอนเราแก้เราเรียบร้อยแล้ว ได้ผลแล้วจึงนำมาสอนโลก แล้วจะเอาความโกหกมาจากที่ไหน

ปากอมขี้ พวกนี้พวกขวางนรกมี เขาประกาศออกมาว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม เขาจะมาฟ้องเป็นปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรม เราบอกให้ยกโคตรมา เอา ไล่เบี้ยกัน เราเป็นปาราชิกเพราะเหตุใดว่ามา ไอ้ผู้ที่มาฟ้องได้เหตุผลมาจากไหนมาฟ้องเรา เราก็จะซัดเหตุผลลงไป หมดทั้งโคตรทั้งแซ่มันตายหมดแล้วแหละ โคตรแซ่เรายังดีเพราะเราชนะ คำว่าชนะคืออะไร เราเอาความจริงออกพูด เราไม่ได้เอาความปลอมออกพูด ว่าเราอวดอุตริมนุสธรรมนั่นคือความจอมปลอม พูดให้ฟังอย่างนี้

เราแทบเป็นแทบตายเป็นเวลา ๙ ปี ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ความมุ่งหวังให้หลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ คือขอให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เพราะฉะนั้นความมุ่งมั่นอันนี้จึงรุนแรง การประพฤติปฏิบัตินี้เรียกว่าผาดโผนมาก ความเพียรของเรานี้ผาดโผนมาตลอด จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์ได้รั้งเอาไว้ๆ เราไม่ลืม เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่ง ฟาดตั้งแต่ยังไม่ค่ำจนกระทั่งสว่างเป็นวันใหม่ๆ แล้วพูดความอัศจรรย์เกิดขึ้นมาในเวลานั่งตลอดรุ่ง มันจะเป็นจะตายมันซัดกัน แก้ด้วยสติปัญญา จิตใจสว่างจ้าขึ้นมาๆ ไปเล่าถวายให้พ่อแม่ครูจารย์ฟัง

ทีแรกท่านก็ชมเชยสรรเสริญ เออ เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว เอา ฟาดมันลงไป อัตภาพเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนแหละ มันตายหนเดียวเท่านั้น ทีนี้ได้หลักแล้วท่านว่างั้น เอาๆ ฟาดลงไป ทางนี้ก็เหมือนท่านยุหมา ออกไปไม่ทราบว่าใบไม้แห้งใบไม้สดหล่นลงมาขวางหน้านึกว่าข้าศึก จะกัดจะเห่าใบไม้ มันมีแก่ใจ ทีนี้ก็เอาเรื่อยๆ ท่านก็รั้งเอาไว้ เว้นสองคืนสามคืนเอาอีกแล้วๆ ตลอดรุ่งๆ เพราะลงวันไหนมันอัศจรรย์ทุกวันๆ เล่าให้ท่านฟังท่านก็ชมเชยทีแรก ครั้นต่อมาท่านกลัวจะเลยเถิด ท่านรู้ท่านก็นิ่ง เรายังไม่รู้เลยว่าท่านนิ่งเพราะอะไร เล่าให้ท่านฟังก็เป็นแบบธรรมอัศจรรย์เหมือนกันกับที่เคยเล่าให้ฟังที่เกิดขึ้นในเวลานั่งตลอดรุ่ง

ทีแรกท่านก็ชมเชยสรรเสริญ ครั้นต่อมาท่านค่อยอ่อนลงๆ ต่อมาเงียบๆ เวลาเล่าให้ฟัง เรายังไม่รู้ตัวนะ นี่มันเลยเถิดแล้วความหมายของท่านน่ะ บทเวลาท่านจะเอา พอขึ้นไปกราบปั๊บๆ ม้าตัวไหน ท่านขึ้นเลย มันคึกคะนองมากไม่ฟังเสียงการฝึกฝนอบรมของเจ้าของ ม้าตัวนั้นจะต้องถูกฝึกเอาให้เต็มเหนี่ยว ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกว่าม้านั้นลดพยศลงโดยลำดับ การฝึกของสารถีเขาก็ค่อยลดลงๆ จนกระทั่งม้ามันยอมจำนนทำตามเจ้าของแล้ว การฝึกประเภทนั้นเขาก็งดไป ท่านพูดเพียงเท่านี้

เรายังอยากให้ท่านพูดย้อนหลังมาอีก ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกเจ้าของยังไง อยากว่าอย่างนั้นนะ แต่ก้นแตกไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง นี่นั่งภาวนาก้นแตก เล่าตั้งแต่กิเลสมันแตกๆ ภายในใจให้ท่านฟัง นั่นละเรียกว่าท่านรั้งเอาไว้ ท่านยกม้ามา ถ้าว่าออกทางด้านสติปัญญาก็เหมือนกันท่านรั้ง ออกทางสติปัญญา ถึงกาลเวลามันจะออกแล้วมันไม่ถอย กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันก็ยังจะไม่หลับ มันหมุนของมันติ้วๆ อยู่ภายในใจ สติปัญญาอัตโนมัติ ถึงขั้นมันจะไปแล้วไม่อยู่ กลางคืนนอนก็ไม่หลับๆ นี่ท่านก็รั้งเอาไว้

ทำงานได้งาน แน่ะ เวลาท่านพูด เรื่องได้งานได้งาน แต่ทำหนักเข้าๆ เห็นแต่ว่ารายได้ๆ ตายแล้วเป็นยังไง ขาดงานไหม เสียประโยชน์ไปเท่าไร คือเราไม่ยับยั้งตัวเอง ถึงกาลเวลาพักต้องพัก ถึงได้การได้งานได้ผลของงานมากขนาดไหนก็แล้วแต่ การพักเป็นความจำเป็นที่จะต้องพักเอากำลังวังชา เพื่อประกอบงานต่อไป ท่านว่าอย่างนั้นนะ ทีนี้สติปัญญาของเราทำงานมันเพลินๆ ถึงเวลาเข้าสมาธิพักก็ต้องพัก พักหลับพักนอนต้องพักความหมาย นี่ท่านรั้งเอาไว้ๆ ไม่งั้นมันเลยเถิด เราไม่ลืมนะท่านรั้งเอาไว้ตรงไหน ส่วนมากมักจะมีแต่ท่านรั้ง มันผาดโผนจริงๆ นะเรา นิสัยนี้ผาดโผนมากอยู่ถ้าเป็นแบบโลก ถ้าเป็นแบบธรรมไม่ผาดโผน เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ต่างกันนะ

ถ้าเป็นแบบธรรม นี้จะเอาให้หลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ ขอให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ทีนี้ความเพียรของมันเป็นไปกับความมุ่งมั่น มันก็พุ่งๆ จึงไม่เรียกว่าผาดโผนแบบทางโลก แต่ว่าเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทางธรรมใช่ไหมล่ะ นี่เราไม่ได้ลืมที่ท่านรั้งเอาไว้ๆ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราทำความเพียรเอาหนักจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ฟาดอยู่ ๙ ปี เห็นไหม ตั้งแต่พรรษา ๗ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ เสร็จแล้วออกเลย ออกก็พุ่งใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเปิดเรดาร์รับแล้วก็ซัดกัน เมตตาธรรมเราอย่างเต็มเหนี่ยวๆ พอเข้าถึงใจได้ผลเป็นที่พอใจจากการฟังเทศน์ มรรคผลนิพพานหายสงสัย ทีนี้ก็มีแต่จะพุ่งเท่านั้นแหละ กำลังวังชามีเท่าไรเอาเลยเพื่อมรรคผลนิพพาน นั่นละที่นี่มันหนัก พอลงใจว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่

แต่ก่อนมันยังสงสัย ถึงมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน มรรคผลนิพพานมีอยู่หรือไม่มีนา เวลาทำลงไปมากๆ นี้ก็เสียกำลังวังชา โดยมรรคผลนิพพานไม่มีต้อนรับนี้ก็เสียกำลังวังชาเปล่าๆ พอมาฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเปิดเรื่องมรรคผลนิพพานแล้วพุ่งเลย นั่นละตั้งแต่นั้นมาฟาดเป็นเวลา ๙ ปี ๗ ปีออก ๑๖ ปีอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นเวลา ๙ ปี นี่ละหนักมากที่สุดความเพียรของเรา ไปองค์เดียวไม่ให้ใครไปด้วย อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันช่างมัน ความเพียรนี้ไม่ถอย หมุนติ้วๆ เลย เป็นเวลา ๑๖ ปี วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เป็นวันตัดสินกันบนเวที กิเลสขาดสะบั้น ใจสะดุ้ง ร่างกายนี่เหมือนว่าฟ้าดินถล่ม ตั้งแต่บัดนั้นมานั้นละที่ได้นำมาสอนโลก นี้มาโกหกโลกไหม พิจารณาซิเราพูดนี่

พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน ตรัสรู้เป็นศาสดาเอก พระพุทธเจ้าโกหกโลกไหม พระสาวกบางองค์เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ท่านโกหกไหมพิจารณาซิ นี้ความดีเสาะแสวงหามาแทบเป็นแทบตาย ได้มาแล้วกิเลสตัณหาปากอมขี้มันก็คอยมาขัดมาขวางมาถีบมายัน มันจะสนใจแต่ความเลวร้ายของมัน หาว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม จะฟ้องเป็นปาราชิก เราบอกให้ยกโคตรมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เห็นมาเลย หรือมันตายแล้วทั้งโคตรก็ไม่ทราบ โคตรเรามีเราก็บอกยกมา โคตรเรามีโคตรเขาก็มีซัดกัน โคตรมันคงจะตายหมดแล้ว โคตรเราก็ตายจนจะไม่มีเหลือ ยังเหลือแต่หลวงตาบัวองค์เดียวเท่านั้น ฟังซิ

วันนี้เปิดเสียบ้างให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง ผลแห่งการปฏิบัติมา และเมตตาธรรมที่ออกมานี้ออกมาจากใจที่ได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว ผลเลิศเลอ เราไม่มีอะไรที่จะมาเพิ่มอีกแล้วที่จะมาแข่งหัวใจดวงนี้ หัวใจที่พอแล้วด้วยความเลิศเลอ สิ่งที่จะเอามาเพิ่มมันเลิศเลอหรือไม่ เมื่อไม่เลิศเลอมันก็ตกของมันไปเอง สรรเสริญขนาดไหนมันก็วงสมมุติ จะติฉินนินทาขนาดไหนก็วงสมมุติ ตกไปด้วยกันทั้งนั้น อันนี้เลยสมมุติแล้ว นั่น มันสูงกว่านั้นแล้วจะไปรับไว้ทำไม นินทาสรรเสริญตกไปหมดนั่นแหละ เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอ ทำแทบเป็นแทบตายเขายังจะมาฟ้องว่า อวดอุตริมนุสธรม จะปรับอาบัติปาราชิก ปากอมขี้ เข้าใจไหม นี่ปากอมธรรม

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก