เทศน์อบรมฆราวาส
ณ สำนักสงฆ์วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน
เมื่อเช้าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๙
ขึ้นอยู่กับหัวหน้าวัด
จากนี้ไปถึงวัดตั้ง ๕ ชั่วโมง จากวัดเรามาถึงที่นี่ ๕ ชั่วโมง ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน วิ่งรถจากวัดป่าบ้านตาดมาถึงที่นี่ ๕ ชั่วโมงพอดี จากทางแยกใหญ่เข้ามาที่นี่ ๔๕ นาที เมื่อวานนี้มาตั้งนาฬิกาดูได้ ๔๕ นาที ถึงที่นี่ (เวลาหลวงตาเข้ากรุงเทพฯ อาจจะหยุดพักตรงนี้ได้เจ้าค่ะ) จะมาต้อนรับได้ไหมล่ะ บอกแต่ให้มา ถ้าถามหาข้าวก็ชี้ลงทุ่งนา ถามหากับก็ชี้ลงสระน้ำ เลยไม่ได้เรื่อง ไม่เอาอย่างนั้น ถ้ามีโอกาสจะมา สถานที่นี่สงบสงัดดี เมื่อเช้านี้ไปหมดละ นู้น ธรรมดาเราไปที่ไหนที่ยังไม่เคยเห็น เราจะไปดูซอกแซกหมดเลย เฉพาะอย่างยิ่งทางจงกรม สถานที่อยู่ของพระภาวนา อยู่ยังไง อันนั้นสนใจมากทีเดียว เมื่อเช้านี้ไปหมดถึงสระน้ำ
พระท่านภาวนา ท่านอยู่โดยหลักธรรมชาตินะ ไม่ได้ตกได้แต่งนั้นๆ นี้ๆ ให้สดสวยงดงามอันเป็นเรื่องของกิเลสเหยียบธรรม ท่านอยู่โดยหลักธรรมชาติ อะไรๆ เป็นหลักธรรมชาติทั้งนั้น ท่านอยู่ อยู่กินหลับนอน จิตของท่านพุ่งๆ อยู่ในธรรม ท่านไม่ได้มาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อยู่กับธรรม ทีนี้สิ่งภายนอกเลยไม่มีอะไรจำเป็น เพราะความจำเป็นของธรรม มันหนักมากกว่าสิ่งทั้งหลาย เกินกว่าที่เราจะไปสนใจสิ่งภายนอก มันพุ่งๆ อยู่ภายใน กรรมฐานฆ่ากิเลสจริงๆ ท่านทำอย่างนั้น ท่านไม่สนใจกับสิ่งภายนอก
เพราะฉะนั้นเวลาบวชแล้วพระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส ที่ว่างๆ อันเป็นสถานที่เหมาะสมมากต่อการบำเพ็ญธรรม ไม่มีสิ่งรบกวน แล้วให้ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด ไม่ได้บอกธรรมดานะ บอกตลอดชีวิตเลย
นี่ละอนุศาสน์ข้อนี้พระทุกองค์ต้องได้รับ คำสอนอย่างเด็ดขาด พอบวชเสร็จแล้วมอบให้อุปัชฌาย์สอน อุปัชฌาย์ถึงจะรังเกียจการอยู่ป่าอยู่เขาเท่าไรก็ตามไม่สอนไม่ได้ ไม่ให้เป็นอุปัชฌาย์ ผิดหลักของอุปัชฌาย์ นั่น ท่านเอากันเด็ดนะตรงนี้ บวชแล้วต้องสอนอนุศาสน์ให้อยู่ในป่าในเขา ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย..อีกเหมือนกัน.บิณฑบาตด้วยกำลังปลีแข้งของตน ไม่ข้องไม่แวะกับสกุลใด หามาได้มากน้อยฉันเท่าที่มีที่เป็นเท่านั้นพอกับธาตุขันธ์ของผู้จะบำเพ็ญฆ่ากิเลส นั่น นี่พระโอวาทของพระพุทธเจ้าแท้ ท่านทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ถูกลบไปหมด นอกจากถูกลบแล้ว ยังเหยียบอีก เช่น อย่างพระที่อยู่ในป่า เป็นพระวิกลจริต ฟังได้หรือคำนี้น่ะ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงมาโดยลำดับ แล้วผู้ที่มันพูดออกมาป้างๆ อย่างนี้ มันก็ได้รับพระโอวาทข้อนี้เป่าหัวมันแล้ว มันกลับไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เลวไหม พระประเภทนี้น่ะ อันนี้ก็ไม่มีใครตอบนะ
การพูดเหล่านี้ พูดเพื่อความกระแทกแดกดันด้วยความโมโหโทโส เคียดแค้น ไม่ใช่พูดโดยธรรม ที่ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต คือ ตำหนิพวกพระอยู่ในป่าในเขา แล้วมาชมที่อยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียร เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถ คือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ เต็มอยู่ในห้องนั่น อันนี้ละอันหนึ่งออกมา เวลาช่วยชาติก็บอกไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปทำทำไม ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทางนี้ก็ย้อนกลับซิ อะไรกิจของสงฆ์ล่ะ นั่นไล่เข้าอันนั้น หนังสือพิมพ์ วิทยุ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ นั้นหรือกิจของสงฆ์ ไล่เข้าไป เงียบเลยนะ โหย อย่ามาเล่นนะกับหลวงตาบัว เรียนธรรมปฏิบัติธรรม ลมหายใจอยู่กับธรรม แย็บออกมาทางไหนมันรู้ทันทีๆ เรื่องของกิเลสกับธรรม เพราะเคยฟัดกับมันมาแล้ว อะไรจะเป็นเครื่องกังวลให้ได้รับความทุกข์มากยิ่งกว่ากิเลสกวนหัวใจสัตว์โลกวะ ฆ่ากิเลสตัวนี้ออกแล้ว ไม่มีอะไรกวน หมดโดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จึงไม่มีทุกข์ในใจเลย หมด พอกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุให้สร้างทุกข์ในหัวใจของสัตว์โลกพินาศลงไปแล้วทุกข์ไม่มี บรมสุขขึ้นแทนเลย ท่านจึงสอนให้ชำระกิเลส กิเลสไม่ใช่สิ่งสร้างความสุขให้โลกนะ สร้างความทุกข์ สร้างฟืนสร้างไฟให้โลก ควรจะพินิจพิจารณากันตามทางของศาสดาที่สอนพวกเรา ท่านสอนให้ปัดสิ่งเหล่านี้ออก เวลาพระเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า รับสั่งถาม เป็นยังไงอยู่ในป่านั้น อยู่ในเขาลูกนั้น อยู่ในถ้ำนั้น เงื้อมผานั้น การภาวนาเป็นยังไงๆ นั่น ท่านว่างั้นนะ ท่านไม่ได้ถามถึงการก่อการสร้าง ไปอยู่ที่นั่น กุฏิได้กี่ชั้น หอปราสาทราชมณเฑียรบนสวรรค์สู้ไม่ได้ ท่านไม่เห็นถาม แต่มันหากดื้อ กิเลสอยู่กับหัวใจพระ พระก็เลยกลายเป็นพระดื้อไปด้วย
ถ้าฟังเสียงศาสดาแล้วจะสวยงามตา พระเจ้าพระสงฆ์เรา ใครก็ตาม อยู่ตามขั้นภูมิในเพศของตน ก็งามไปตามเพศ ฆราวาสก็มีศีลธรรมเป็นเครื่องยึด ข้อปฏิบัติก็งามตางามใจ ตั้งแต่ตัวเองและครอบครัวออกไปสู่สังคม ทางพระเราก็ไม่รังเกียจกัน ต่างองค์ต่างอยู่ด้วยความผาสุกเย็นใจ เพราะความตายใจต่อกันในภาคปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ที่พระแตกแยกกันเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ เพราะการปฏิบัติยิ่งหย่อนต่างกัน เรียกว่าสกปรกกับสะอาด มันเข้ากันไม่ได้ แล้วก็แตกแยกกันไป เลยกลายเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ไป
นิกายแปลว่าหมู่ว่าพวก คำว่านิกายๆ แยกไปเป็นพวกนั้นพวกนี้ไปเลย ก็เพราะการปฏิบัติไม่ลงรอยกับธรรมวินัย ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมวินัยเป็นผู้สะอาด ผู้สะอาดย่อมรังเกียจผู้สกปรก แม้แต่อยู่ในวัดเดียวกันองค์ใดรู้สึกขัดสายหูสายตา ก็คือขัดจากหลักธรรมหลักวินัยนั้นแหละ เตือนกันแล้วนะนั่น ท่านทำไมไปทำอย่างนั้น อย่าทำ เตือน คนนั้นผู้มุ่งธรรมมุ่งวินัย ที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เห็นใจ เตือนกันไป อยู่กันไปได้สบาย ถ้ายังมาขัดมาข้อง มาโต้มาเถียง ถือว่าของตนเป็นของถูก ทั้งๆ ที่ผิดนี้ อยู่ไม่ได้ ถูกขับ อย่างงั้นละ
สำหรับวัดป่าบ้านตาดเราปฏิบัติอย่างนี้มาดั้งเดิม เสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมา ไม่เคยมีข้อตำหนิพระที่ปฏิบัติผิดจากหลักธรรมหลักวินัยในวัดนั้น เพราะเราปกครองเองๆ เราปกครองเรายังไง จึงได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อน ก็ต้องปกครองหมู่เพื่อนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระในวัดนั้นจึงกลัวเรามาก เรื่องกลัวๆ แต่กลัวด้วยธรรม ไม่ใช่กลัวแบบกลัวเสือ เข้าใจไหม กลัวโดยธรรม กล้าโดยธรรม ไล่ไปไหนก็ไม่ไป หากกลัว นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น เรียกว่ากล้าแบบธรรม กลัวแบบธรรม อยู่กันได้ผาสุกร่มเย็น ถ้ากล้ากลัวแบบกิเลส ไม่สนิทใจกัน แม้ที่สุดผัวเมียก็ระแคะระคายกัน นี่เป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรม สนิทกัน เป็นอย่างนั้น
เราได้ชมอยู่สำหรับวัดป่าบ้านตาดเรา เราไม่ได้ตำหนิพระ พระจำนวนน้อยเมื่อไร เราตั้งไว้ตั้ง ๕๐ แต่ปีนี้ในพรรษา ๕๘ องค์ แต่การขบฉัน ท่านไม่ครบองค์แหละ ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมา ไม่เคยเห็นพระมาฉันจังหันครบองค์เลย ขาดตลอดมา ไม่ใช่ขาดทีละน้อยๆ นะ ขาดมาก เช่นอย่างปีนี้พระ ๕๘ องค์ ในวัด ตอนเช้าถามทุกเช้า ก่อนจะให้พร ก่อนจะฉัน วันนี้พระมาฉันเท่าไร จะอยู่ในย่าน ๒๘-๒๙ หรือ ๓๐ นอกนั้นหายไปหมด คือท่านไม่ฉัน เวลาท่านไม่ฉัน เราก็ให้โอกาสเต็มที่ ให้สมเจตนาของท่าน มุ่งต่ออรรถต่อธรรมเป็นอย่างมาก คือไม่ให้มาทำข้อวัตร ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เสียเวล่ำเวลากับวงคณะ ที่ทำอะไรเป็นความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ถ้างานส่วนรวมต้องรวม ต้องสามัคคี
องค์ใดที่อดอาหาร ไม่ให้เข้ามา ให้ท่านอยู่สะดวกสบายท่าน ทุกอย่างให้เป็นเอกเทศเลย ให้เป็นอิสระเต็มที่ มีแต่การประกอบความเพียรโดยถ่ายเดียว ให้หมดทุกองค์อยู่ในวัดนะ องค์ใดอดอาหาร องค์นั้นเป็นอิสระ ที่จะต้องปฏิบัติกำจัดกิเลสด้วยความเพียรของตนเต็มเหนี่ยวๆ เราให้โอกาสมาตลอด คือถ้าฉันต้องมาเกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน การปัดกวาดเช็ดถูอะไร ต้องพร้อมเพรียงกัน ถ้าองค์ไหนไม่ฉันไม่ต้องมา ให้อิสระเป็นพิเศษเพื่อความสะดวกแก่การประกอบความพากเพียร เราให้โอกาสพระมาอย่างนี้ ตั้งแต่สร้างวัดมา เพราะเราเป็นผู้พาดำเนินมาก่อนแล้ว
วัดป่าบ้านตาดจึงไม่มีงานมีการ เราไม่ให้มี งานการก็อยู่นอกๆ ไม่ให้เข้าไปยุ่งกับพระ งานของพระให้เป็นงานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ปัดกวาดเช็ดถูลานวัดต้องเป็นความพร้อมเพรียงกัน นอกจากนั้นก็เงียบเลย ทำความพากเพียร รอบๆ บริเวณศาลาออกไปข้างนอกนี้ ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย จะมีแต่ฆราวาสที่เป็นลูกศิษย์พระ ๒-๓ คน ที่รับใช้พระอยู่ในบริเวณนั้น นอกนั้นไม่มีใครเข้าไป เพราะห้ามขาดไม่ให้เข้าไป เป็นสถานที่ภาวนาของพระ คนไปก็ไปอยู่รอบๆ บริเวณศาลาแล้วต้องออกๆ นี่สั่งไว้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีคำว่าจุ้นจ้าน ให้โอกาสพระ
เราเป็นหัวหน้าวัด อันใดที่จะขัดข้องต่อความเพียรของพระ เราต้องพยายามพินิจพิจารณา แต่เราก็พิจารณามาแล้ว อะไรขัดข้องก็รู้ทันทีๆ พระก็บำเพ็ญด้วยความสะดวกสบาย เรื่องการขบการฉันเราเลยไม่กำหนด พระวัดนี้ไม่เคยมาฉันจังหันครบองค์แหละ ไม่ทราบจะดูองค์ไหนมาฉัน องค์ไหนไม่มาฉัน อยู่อย่างนั้น ก็ถามรวมๆ เลยว่า วันนี้มาฉันกี่องค์ เช่น พระ ๕๘ มาฉันอย่างมากไม่เลย ๓๐ จากนั้นไปไหนหมด นั่นละ ท่านไม่ฉันๆ ท่านเร่งภาวนาของท่าน ไม่ให้งานใดเข้าไปยุ่งท่านเลย ให้ท่านทำเป็นอิสระ เราให้โอกาสเต็มที่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทางด้านจิตใจ หนักเท่าไร งานภายนอกไม่ให้เข้าไปยุ่งเลย คือเราเสริมตลอด
สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่มีงานอยู่แล้ว เราไม่ให้มี มีก็มีสะเปะสะปะอยู่ข้างนอกไปอย่างนั้น สำหรับพระเองไม่ให้มี เราพยายามส่งเสริมที่สุด การประกอบความพากเพียรของพระ เพื่อมรรคเพื่อผลนั่นเอง ครูบาอาจารย์ก็พาดำเนินมาอย่างนั้น เราเองที่ได้มาเป็นผู้ใหญ่นำหน้าหมู่เพื่อน เราก็ดำเนินมาแล้วอย่างนั้นๆ ได้ผลมาแล้วอย่างนั้นๆ นำอุบายวิธีการนั้นมาสอนหมู่เพื่อน จึงไม่ค่อยผิดพลาดไป เพราะเราบวกลบคูณหารของเรามาแล้ว ผิดถูกเราก็ผิดถูกมาแล้ว นำอันนี้ออกสอนหมู่เพื่อนมันก็สะดวกสบาย
เรื่องมรรคเรื่องผล การปฏิบัติให้สม่ำเสมอ เข้มงวดกวดขันตลอดเวลา เฉพาะวัดป่าบ้านตาดนี้ เหลวไหลไม่ได้ เราเอาจริงเอาจังด้วย เพราะฉะนั้นพระเณรถึงกลัว เณรไม่ค่อยมีแหละ ส่วนมากมีแต่พระ ถึงกลัวมากนะ เราจะพูดขบขันให้ฟัง เราอยู่กุฏิ คือธรรมดานานๆ เราจะด้อมๆ ออกไป ไม่ว่ากลางคืนกลางวันนะ ออกไปดูทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะเราเป็นหัวหน้าวัด บกพร่องตรงไหนๆ ตอนบ่ายท่านกำลังฉันน้ำร้อนอยู่ที่โรงปอบ เข้าใจไหมโรงปอบ คือโรงน้ำร้อน โรงมะขามป้อม สมอ เขาเรียกโรงปอบของพระ
ทีนี้เวลาเราโผล่ออกมา เราจะไปดูนั่นนี่ พอมองเห็นเรานี้ แตกฮือเลย ไม่ทราบแตกไปไหน เงียบหมด พอไปดูนั้นดูนี้กลับมา ดูแก้วน้ำ น้ำร้อน น้ำชาหรืออะไร เกลื่อนอยู่ตามนั้น หกล้ม น้ำสาดกระจาย น้ำโกโก้ กาแฟ พอขึ้นมานั้น มันทำไมทั้งกินทั้งเททิ้ง แล้วแก้วทิ้งเกลื่อนนี้เป็นอะไร พระท่านเห็นท่านอาจารย์ ท่านกลัวท่านเปิดหนี กลัวอย่างนี้ไม่มีเหตุผล เอาอีกนะ ไม่ได้สอนให้กลัวแบบนี้นะ เอาอีกตรงนั้นก็ดี แต่จะหนีไปไหนไม่ยอมหนีนะ หากกลัว นี่ละเรียกว่ากลัวเป็นธรรม กลัวอย่างนั้น ไล่หนีก็ไม่หนี อยู่อย่างนั้นละ
เราก็ดุเป็นธรรม ดีเป็นธรรมทุกอย่าง เราไม่เคยดุพระด้วยกิเลสตัณหาตามความเป็นใหญ่ของเรา ป่าๆ เถื่อนๆ ไม่เอา เราไม่เคยใช้อย่างนั้น เด็ดขาดๆ เป็นธรรมทุกอย่าง นิ่มนวลอ่อนหวานเป็นธรรมประเภทนั้นๆ เรื่อยๆ ไปเลย ที่จะให้ดุด่าหาเหตุผลไม่ได้ ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มี เราไม่นำมาใช้
นี่มันก็ไปสัมผัส เหตุที่จะได้เล่าให้หมู่เพื่อนฟังว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม วันนั้นเราก็เผลอ เราเป็นบ้าของเรา เราทำอะไรอยู่ถึงเวลา ดูนาฬิกา ดูนาฬิกาผิด คือธรรมดาบ่าย ๔ โมง สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว บ่าย ๔ โมง ไม้ตาดจะออกพร้อมกันพรึบๆ เลย ตั้งแต่ส่วนตัวออกมาหาส่วนรวม วันนั้นดูนาฬิกา อ้าว แล้วกันนี่ คือการทำข้อวัตรปฏิบัติ เรานี้เหมือนว่าเป็นบ๋อยกลางวัด ทุกอย่างต้องคล่องแคล่วกว่าเพื่อนกว่าฝูง ไม่ได้อืดอาดเนือยนายอย่างทุกวันนี้นะ ทุกอย่างคล่องตัวตลอด พระเณรจึงต้องระวัง ต้องกลัว เอาจริงเอาจังมาก
ครั้นปัดกวาดข้างในเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาข้างนอกมาศาลา ตามธรรมดาเรากวาดของเราเสร็จแล้วเราก็ออกมาหาศาลาเป็นส่วนรวม จะเห็นพระเณรเต็มหมด ปัดกวาด คือพระท่านปัดกวาดที่เฉพาะของท่าน ที่อยู่ของท่านแล้วก็กวาดออกมาหาส่วนรวมคือศาลา มารวมกันที่นั่น วันนั้นไม่เห็นพระเลย เงียบ ก็มีเณรๆ หนึ่งอยู่นั้น เณรนั้นเฝ้าศาลา เวลามีแขกคนมาอะไรก็จะติดต่อ หรือมีพระอยู่เป็นประจำอย่างน้อย ๑ องค์ ที่ศาลาทุกเวลา เว้นแต่กลางคืน พอกวาดออกมานั้นแล้ว ไม่เห็นใคร พอมองไปเห็นเณร เณรมันคงจะรำคาญตาท่า มันก็เลยเอาไม้กวาดออกมา
เณรๆ ขึ้นเลยนะ พระวัดนี้มันตายกันหมดทั้งวัดแล้วเหรอ ใครจะไปกุสลาใคร ไม่รู้หรือเวล่ำเวลาที่ปัดกวาด นี่ยังไม่แล้วนะ ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่ว่า พระเณรผิดจริงๆ แล้ว กลางคืนจะประชุมกันละ ดีไม่ดี ขับออกจากวัด โน่น ของเล่นเมื่อไร พอเณรด้อมๆ ออกมาแล้ว เณรไม่รู้หรือเวลา เป็นยังไง พระตายกันหมดแล้วหรือ ใครจะกุสลาใคร ถึงเวลาจึงไม่เห็นปัดกวาด มันเป็นเพราะเหตุไร ขึ้นแล้วนะ เวลาได้เท่าไร มันเพิ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ยังไม่ถึง ๔ โมง เราเป็นบ้าต่างหาก เข้าใจไหม
กำลังแผดนะนั่น เต็มเหนี่ยวเลย ค่ำวันนี้พระเณร ต้องเอากันใหญ่ละ ประชุมกันใหญ่เลย ควรขับๆ นั่นละการปกครองหมู่เพื่อน เคร่งครัดเด็ดเดี่ยวโดยธรรมโดยวินัย ไม่ผิด ดีๆ เยี่ยมไปเรื่อยๆ เวลาได้เท่าไร เพิ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที หือ ขึ้นอีกละ มันเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที ถ้างั้นหยุดๆ ขึ้นทันทีเลยนะ เดี๋ยวพระจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เราก็กลับเลย อย่างนั้นละ เปรี้ยงๆ พลิกปุ๊บเลย เราผิด
นั่นละธรรมปกครองเป็นอย่างนั้น เสียงแผดทีเดียวออกมา พอเราผิดเท่านั้น ก็ฟาดเราเลย บอกให้พากันหยุด เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เดินกึ๊กๆ กลับเลย เณรคงจะพูดให้พระฟัง หัวเราะกันลั่นนะ อย่างนั้นละปกครองโดยธรรม ดุเด็ดขนาดไหน ไม่มีกิเลสเข้ามาแทรก ต้องเป็นธรรมทั้งนั้นการปกครอง ทีนี้มันก็ชุ่มเย็น ในวัดในวาใครผิดถูกชั่วดีประการใดเป็นไปโดยธรรม ยอมรับกันโดยธรรมทั้งนั้น จะมาดื้อด้านไม่ได้ อยู่กันเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน การปกครองเป็นของง่ายเมื่อไร อันนี้มันขึ้นอยู่กับหัวหน้าวัด ถ้าหัวหน้าวัดเคร่งครัด ใครเคร่งครัดก็คือผู้นั้นเคยเคร่งครัดมาแล้วในตัวเอง ออกมาเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน ก็ต้องเคร่งครัดเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนไปตามสัดตามส่วน เป็นอย่างนั้นนะ
เดี๋ยวนี้ไม่เอาไหนละ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นท่าเป็นทางอะไร ใครทำอะไรก็เฉยๆ เหมือนหมาปล่อยหำ รู้ไหมหมาปล่อยหำมันปล่อยยังไง ถ้าคนปล่อยหำแล้วตบนั้นตบนี้ หมาปล่อยหำเขาเฉยเลย เดี๋ยวนี้เฒ่าแก่แล้ว เป็นหมาปล่อยหำแหละ เฉย ไม่สนใจใครจะทำอะไร เฉย นอกจากมันกระเทือนมาก เอาเสียทีนึงเท่านั้น ถ้าธรรมดาไม่สนใจ หากไปกลางค่ำกลางคืน ไปเที่ยวซอกแซกดูพระดูเณรทั่ววัด ไปเงียบๆ เจ้าของแหละ แต่ก่อนยังหนุ่มอยู่นี้ กลางวันก็ไป ตอนบ่ายตอนเย็นไป กลางคืนไป ไปอยู่อย่างนั้น
วันนี้ก็ไม่มีอะไรเทศน์ละ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว การงานทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์เต็มที่แล้ว หลังจากฉันเสร็จแล้วหลวงตาก็จะลากลับอุดรฯแหละ จากนี้ไปอุดรฯ วัดป่าบ้านตาด ๕ ชั่วโมง เรามาแล้ววันนั้น ดูนาฬิกา ๕ ชั่วโมงพอดีเลย วันนี้ก็จะกลับ กลับไปแล้วก็ไม่มีเวลาว่างละ พระนี่แก่เท่าไรยิ่งใช้ดี พวกวัวพวกควายนี้ เวลาแก่เข้ามาปลดคราดปลดไถออกจากคอ ข้าราชการแก่มาปลดเกษียณ แต่พระนี่แก่เท่าไรยิ่งใช้ดี เมื่อวานเทศน์ทั้งวัน เกือบตายเรา นั่น เห็นไหมพระแก่ เป็นอย่างนั้นแหละ ก็มีเท่านั้นละ เทศน์เท่านั้นละวันนี้ พากันไปตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดีนะ อย่ามองอะไรยิ่งกว่ามองดูหัวใจ มองดูหัวใจด้วยสติ ระมัดระวังความผิดพลาด มันจะเกิดจากหัวใจ ถ้าสติมีแล้วจะไม่ผิดพลาด เอาละพอ เท่านั้นแหละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |