เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อบ่ายวันที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ถึงนิพพานได้จากการสร้างความดี
ในวัดนี้ไม่มีใครท่องเที่ยวเข้าไปละ เพราะเป็นทำเลของพระภาวนา จากศาลานี้เข้าไปข้างในเป็นบริเวณพระท่านภาวนา ไม่มีใครเข้าไปละ คนมาก็ถึงแค่บริเวณศาลานี้แล้วก็ออกๆ ทั้งนั้น ไม่ได้เข้าไป หากจะเป็นกรณีพิเศษอย่างนี้ จะเข้าไปก็ต้องมีพระนำเข้าไป ไปดูเป็นกิจจะลักษณะจริงๆ แล้วออก ตามธรรมดาไม่มีใครเข้า ไม่ให้เข้า
...พูดถึงเรื่องการยุ่งนี้ หลวงตายุ่งมากนะ ไม่ค่อยมีเวลาว่างในวันหนึ่งๆ แต่เราก็ทนเอา ลำบากลำบนขนาดไหนเราก็บึกบึน เพราะเห็นแก่ใจของประชาชน ถ้าเห็นแก่ใจเราแล้ว เราไม่ไปไหนละ แต่นี่เห็นใจผู้อื่น อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายไป สำหรับเจ้าของเองมันหมดกำลังแล้ว มันไม่อยากไปไหนมาไหนแหละทุกวันนี้ มันหมดกำลัง
นี่คงจะหลายจังหวัดละมังมานี่ ที่มานี่มีหลายจังหวัดละมัง (๓-๔ จังหวัดค่ะ) สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ นครปฐม เมื่อวานนี้ก็กฐินวัดป่าบ้านตาด คนนี้แน่นหมดเลย จนหาที่จอดรถไม่ได้ ตั้งแต่เข้ามาสี่แยกนู้น ที่จอดรถไม่มีเลย ถึงขนาดนั้นละ คนมากเมื่อวานนี้
วันนี้เห็นพี่น้องทั้งหลายเข้าวัดเข้าวา ไปทำบุญให้ทานทอดกฐิน หลวงตารู้สึกว่าซาบซึ้งใจกับพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมากทีเดียว เพราะการบุญการกุศลนี้เป็นธรรมสมบัติ พึ่งเป็นพึ่งตายได้ ส่วนกิจการงานภายนอก เราก็อาศัยตามธาตุขันธ์ที่จำเป็นต้องอาศัยเขาเท่านั้นแหละ ส่วนจิตใจไม่ได้อาศัยวัตถุทั้งหลายเหล่านี้ มีเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ก็ไม่มีความหมายสำหรับใจ บุญกุศลที่เกิดจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนานี้ต่างหากที่เป็นธรรมสมบัติเข้าสู่ใจ พาไปสู่สุคติโลกสวรรค์นิพพานได้โดยไม่ต้องสงสัย
จอมปราชญ์ทั้งหลายท่านหลุดพ้นจากทุกข์ไป เพราะการสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่เพราะการสร้างบาปสร้างกรรม แล้วพาสัตว์โลกจมลงในนรก จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เวลาจะหลับจะนอน อย่าลืมในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงค่ำ แล้วรอบไปเป็น ๒๔ ชั่วโมง ควรจะได้ไหว้พระ นั่งสงบใจอย่างน้อยสัก ๕ นาทีก็ยังดี คือใจของเรานี้มันดีดมันดิ้นอยู่ตลอด ไปอยู่ที่ไหนจิตนี้ไม่อยู่ มันดีดมันดิ้น จะเอาอะไรมาสงบระงับมันไม่ได้ ต้องเอาธรรม เช่นการภาวนา พุทโธๆ หรือธัมโม หรือสังโฆ ด้วยความมีสติเป็นสำคัญ ให้กำกับใจเอาไว้ ให้ใจบริกรรมคำว่าพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ และมีสติจับอยู่นั้น ไม่ให้จิตมันวอกแวกคลอนแคลน ไปตามนิสัยของมันซึ่งอยู่ไม่เป็นสุข ให้มันอยู่เป็นสุขสงบเย็นใจด้วยการภาวนา เวลาเราจะสงบใจก่อนจะนอน ขอให้ได้สงบใจกับศีลกับธรรมเสียก่อน จะเป็นสมบัติอันสำคัญเข้าสู่จิตใจเรา
การคิดการอ่านปรุงแต่งยุ่งเหยิงวุ่นวายกับโลกนั้นไม่มีสิ้นสุด ไม่ว่าคนมีคนจน ยุ่งและเป็นทุกข์เหมือนกันหมด เพราะใจนี้มันกวนเจ้าของ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดไม่หยุดไม่ถอยก็คือใจ ต้องเอาธรรมเข้าไปสงบระงับ ให้ความคิดความปรุงทั้งหลายนี้สงบตัวลง เมื่อความคิดความปรุงซึ่งเป็นเครื่องยุแหย่ก่อกวนนี้สงบตัวลงแล้ว ใจก็สงบเย็นสบาย เช่น นักภาวนาท่านนั่งภาวนา จะนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ หรือท่าใดก็ได้ แต่จิตนั้นให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับ เช่น พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ เป็นต้น มีสติกำกับไม่ให้มันคิดปรุงแต่งเรื่องราวทั้งหลายที่เคยคิดมา ให้คิดเฉพาะเรื่องบทธรรม มีสติกำกับใจของเราจะค่อยสงบลงๆ เมื่อใจสงบแล้วเราจะเห็นความสุขชัดเจนว่ามีอยู่ที่ใจ
โลกทั้งหลายวิ่งหาความสุขทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครเจอความสุขนะ เพราะกิเลสพาวิ่ง วิ่งไปไหนก็ยิ่งทุกข์ยิ่งเดือดร้อนวุ่นวายไม่มีสิ้นสุด คือกิเลสพาสัตว์โลกให้คิดให้ปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ถ้าคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมเข้าสู่ใจแล้ว จิตจะเข้าสู่ความสงบ เมื่อจิตสงบแล้วจะเย็นใจสบายใจ เช่น เรานั่งภาวนาพุทโธ จิตให้อยู่กับพุทโธ สติกำกับอยู่นั้น ไม่ให้คิดเรื่องอื่น นอกจากคำว่าพุทโธอย่างเดียว นั่นน่ะเวลานั้นแล้วจิตจะสงบเย็นใจสบายใจ ทีนี้คุณค่าราคาทั้งหลายที่เราเสาะแสวงหาทั่วโลกดินแดน ว่าอะไรจะวิเศษวิโสไม่มี กลับมามีอยู่ที่ใจดวงสงบจากการภาวนานี้แล ถ้าสงบจากการภาวนาแล้ว เราจะเห็นคุณค่าของใจเรา
เวลานี้ใจเรามันเป็นบ๋อย มันวิ่งเต้นกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ หาสาระไม่สาระไม่สำคัญ มันหากวิ่งของมันเอง แล้วทำเจ้าของให้เดือดร้อนวุ่นวาย แม้ที่สุดนอนก็ไม่หลับ เวลามันคิดมากๆ นอนไม่หลับก็มี เพราะมันคิดมาก ถ้าคิดให้หนักกว่านั้น จนกลายเป็นบ้าไปเลยก็มี เพราะสติไม่มี จิตก็เป็นบ้าไปได้ จึงต้องเอาธรรมเข้าระงับ สติจับเข้าไปให้มีความรู้ตัวอยู่กับคำบริกรรมภาวนา จิตมันจะวุ่นวายไปไหนก็ตาม มันจะหดตัวเข้ามา เหมือนเราดึงจอมแหที่ตากอยู่นั้น พอจับจอมแหดึงแล้ว ตีนแหมันจะหดเข้ามาๆ มาเป็นกองแห ทีนี้จิตของเรานี้มันส่ายไปทั่วโลกดินแดน เหมือนเขาตากแหเอาไว้ พอเราภาวนาพุทโธ ก็เหมือนจับจอมแหดึงเข้ามา จิตสงบแน่วเข้ามา เป็นกองแห่งความรู้เด่นอยู่ภายในใจ นั่นละเราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่ใจของเรา
ไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์ในโลกนี้ มีแต่ใจกับธรรมเท่านั้น ถ้าเอาธรรมเข้าไปอบรมจิตใจ ใจจะมีความสงบร่มเย็นแล้วเป็นสุข มีค่ามีราคาขึ้นกับตัวเอง ไม่ต้องไปหาค่าราคาที่ไหนแหละ ถ้าลงใจกับธรรมได้สัมผัสกันให้เกิดความสงบเย็นใจแล้ว คุณค่าราคาจะขึ้นที่นั่น อยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย ให้พากันจำเอา
เราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าปล่อยอย่าวางธรรมจนเกินไป ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งจนกระทั่งหลับ ไม่มีพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ติดใจบ้างนี่มันเหลือประมาณนะ ควรจะมีพุทโธ หรือธัมโม สังโฆ เป็นบทบริกรรมภาวนาให้อยู่นั้นสงบ แม้ไม่ได้มากเพียง ๕ นาที ก่อนจะหลับนอนก็ยังดี ใจจะได้สงบเย็นในเวลาหยุดงานจากงานอื่นๆ ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟ เข้ามาสู่งานพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ นี้ซึ่งเป็นงานน้ำดับไฟ จะเย็นขึ้นที่นี่ละ ให้พากันจำเอาพี่น้องทั้งหลาย
เราเกิดในท่ามกลางแห่งพุทธศาสนา นับว่ามีวาสนาแล้ว อย่าปล่อยอรรถปล่อยธรรมให้ผ่านจิตใจกาลเวลาไปเปล่าๆ แล้วก็ตายทิ้งเปล่าๆ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ท่อนไม้ท่อนฟืนตายแล้วเขาไม่ไปตกนรกขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม แต่คนตายนี้ใจลงนรกได้ ไปสวรรค์ชั้นพรหมถึงนิพพานก็ได้ จากการทำดีและทำชั่ว ถ้าทำแต่ความชั่วแล้วก็พาเจ้าของให้จมลงๆ สุดท้ายก็จมลงถึงมหันตทุกข์ แต่คนทำดีสร้างความดีงามขึ้นมา ก็ค่อยฟื้นขึ้นมาๆ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์ จากนั้นก็เป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์พรหมไป จนถึงนิพพานได้จากการสร้างความดี
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายพากันสร้างความดี เวลาจะหลับจะนอนอย่าลืมคำบริกรรมภาวนาพุทโธๆ ให้หลับกับพุทโธนั้นแหละเป็นการดี พากันจำเอา วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้แหละ เพราะวันนี้เทศน์มากต่อมาก ไม่ทราบว่ากี่กัณฑ์ เทศน์สอนประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เทศน์ไปเทศน์มาเจ้าของก็เหน็ดเหนื่อย จึงเทศน์เพียงเท่านี้
ขอฝากธรรมนี้ไว้กับหัวใจท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยอย่าวาง จากวัดป่าบ้านตาดไปแล้ว อย่าจากธรรมคือคำบริกรรมภาวนา แม้ที่สุดนั่งรถไปก็ให้นึกภาวนาพุทโธๆ ไป จะเป็นผู้ชุ่มเย็นๆ อยู่กับพระพุทธเจ้าคือพุทโธ อยู่กับพระธรรมคือพุทโธ อยู่กับพระสงฆ์คือพุทโธ จะเย็นใจ ไปบนรถ นั่งรถไปก็ให้มีพุทโธ เอาเพียงเท่านั้นแหละ ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พร แล้วจะได้กลับบ้านกลับเรือนของตน
พูดท้ายเทศน์
ใครยังไม่เคยเห็นหลวงตาก็ดูเสีย วันนี้ตั้งหน้ามาดูหลวงตา มาฟังธรรมะหลวงตา ให้ดูให้ฟังให้ถึงใจถึงตานะ แล้วกลับไปด้วยพุทโธๆ ติดใจไป เท่านั้นละ ฝากธรรมไว้กับใจท่านทั้งหลาย
เมื่อวานนี้ไปกราบพ่อแม่ครูจารย์ที่พิพิธภัณฑ์ คนก็แน่นเลย เขาก็มาทอดกฐินเหมือนกัน ทอดกฐินแล้วเขาจะกลับ เขามาที่นั่น เขาก็ไม่เคยเห็นเรา พอใครเจอเข้าปั๊บจำได้เลยๆ คงจะเห็นจากทีวีนะ เขารุมใส่เลย เราก็เลยนั่งให้ ๒ นาที มันรุมเข้ามาเลย เรานั่งให้ ๒ นาที ลุกจากนี้ก็ขึ้นรถมาเลย เต็มวัดสุทธาวาส วานนี้รถไม่รู้กี่คัน เขาไปทอดกฐินที่นั่นที่นี่มา
ที่ว่าวัดป่าสุทธาวาสนั้นพูดตามชื่อดั้งเดิม คือแต่ก่อนเขาเรียกดงบาก ตรงนั้นเป็นดงทั้งหมดเลย ไม่มีบ้านคนแม้หลังคาเดียว ที่ทำการอันนั้น กว้างๆ เป็นที่ทำราชการ ที่เต็มไปหมดนั้นแต่ก่อนเป็นดงทั้งหมด เขามีสนามบินอยู่ทางที่จะเข้า สนามบินกว้างขวางสุดสายตา เพราะเครื่องบินแต่ก่อน มันทำสนามกว้างๆ ลง มันไม่ได้ทำลงแบบทางคอนกรีต ทำกว้างๆ แถวนั้นไม่มีบ้านคนนะ เราทันได้ไปเห็นอยู่ เขาเรียกว่าวัดป่าสุทธาวาส สมควร เพราะไม่มีบ้านเลยแม้หลังคาเดียว ที่เต็มอยู่แต่บ้านทุกวันนี้นะ ไม่มีบ้านเลย ไปบิณฑบาตตัวจังหวัด ๒ กิโล เข้ามานี่ก็เป็นดงทั้งหมดเลย เขาเรียกดงบาก นั่นละที่ให้ชื่อว่าวัดป่าสุทธาวาส เหมาะสมเพราะไม่มีบ้าน เดี๋ยวนี้ดูซิน่ะ ป่ามีที่ไหน มีแต่บ้านเต็มไปหมดเลย
เราไปปี ๒๔๘๐ เท่าไรนะ ก็ยังทันได้เห็นป่าอยู่ เป็นป่าทั้งนั้น ตอนนั้นยังไม่มีบ้านคนเลย มีสนามบินอยู่โน้น ทางที่จะเข้านี้เป็นสนามบิน โล่ง มีแต่วัวแต่ควายกินหญ้าอยู่เต็มสนาม บ้านคนไม่มี เป็น พ.ศ.๒๔๘๔ หรือไง เราไปถึงที่นั่นเป็นครั้งแรก ไปสุทธาวาส แล้ววัดก็เป็นป่าทั้งหมดเลย สมควรที่ว่าวัดป่าสุทธาวาส ข้างนอกข้างในที่ไหนมีแต่ดงทั้งหมดเลย ไม่มีบ้านคน แต่เดี๋ยวนี้ดูซิ มันเป็นบ้านคนทั้งหมดแล้ว
นี่เราไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นครั้งแรกละ เดินทางไปองค์เดียว ก็ไปพักที่สุทธาวาส ดูเหมือนได้ ๒ คืนเท่านั้นละ พักอยู่นั้น ๒ คืน เป็นป่าล้วนๆ นะ วัดป่าโดยแท้ จากนั้นก็เดินทางไปหาท่าน ฉันเสร็จแล้วก็เดินทาง เรื่องถนนหนทางไม่ต้องพูด ไม่มี รถไม่มี เดิน ฉันเสร็จแล้วก็ไป ไปถึงทีแรกบ้านโคกเสียก่อน มืดพอดี เดินไปถึงนั้นแล้วก็ไปเจอโยมในหมู่บ้าน ไหนได้ทราบว่าท่านอาจารย์มั่น อยู่วัดป่าบ้านโคกนี่ใช่ไหม บอกว่าใช่ ท่านเพิ่งมาสร้างอยู่ที่นี่ อยู่ทางตะวันตกว่างั้น ไหนล่ะทางไปไหน แกก็เลยพาเราไปหาทางที่จะต่อเข้าไปวัดบ้านโคกนั่นละ คือทางมันเป็นป่า เป็นทางคนเข้าไป เข้าไปถึงนั้นมืดแล้ว
ไป...ท่านก็เดินจงกรมอยู่ข้างๆ ไม่เห็นเพราะไปกลางคืน เขาชี้บอกเราก็ไปตามทาง ทางก็พอเป็นด่านๆ เข้าไปแล้วก็ไปดู เขาบอกว่า นี่ละไปเส้นนี้ละ มาก็ถูกจริงๆ เข้าถึงวัด แล้วท่านเดินจงกรมอยู่นั้น เราไม่เห็น พอเข้าไปแล้วมีกุฏิหลังหนึ่งอยู่ข้างๆ นั้น เราผ่านเข้ามานี้ก็มีศาลาหลังเล็กๆ พอให้สงสัยดีๆ ว่า เอ๊ จะเป็นศาลาหรือเป็นกุฏิน้า สงสัย ยืนดูศาลา ท่านกั้นห้องอยู่ศาลาเล็กๆ แล้วท่านเดินจงกรมอยู่ข้างๆ กลางคืนไม่เห็นท่าน กำลังยืนเซ่อรำพึงถึงเรื่องศาลา นี้จะเป็นศาลาหรือเป็นกุฏิน้า ถ้าเป็นกุฏิก็จะใหญ่ไปสักหน่อย ถ้าเป็นศาลาก็จะเล็กไปสักนิดหนึ่งเราว่างั้น ความจริงก็คือศาลานั่นแหละ
ท่านยืนอยู่นี้ เราเดินไปเซ่อๆ ปุ๊บขึ้นมา ใครมานี่ท่านว่า อยู่ข้างๆ นี่ นี่ละที่ว่ากระผม ท่านก็แผดขึ้นเลย นั่นเห็นไหมธรรมท่าน เงียบๆ พระเดินจงกรม มีพระอยู่ประมาณสัก ๘ องค์ ๙ องค์ เสียงขึ้นเลยเชียว อันผมๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ค้านซิน่ะ เราก็เปลี่ยนปุ๊บเลย กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่างั้นซี อันนี้ผมๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ ท่านจึงได้ใส่เอาอย่างหนัก แหมท่านเทศน์เต็มเหนี่ยวเลย สมเจตนาของเราที่มุ่งไปหาท่านจริงๆ เสียงนี้ลั่นเลยเชียว
ก็พอดีกับเราก็มุ่งเต็มที่ในธรรมทั้งหลายจากท่าน ท่านก็เทศน์เต็มเหนี่ยวเลย ถึงใจ ถึงใจในวันนั้นเป็นวันแรกเลย เรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะเราสงสัยมรรคผลนิพพาน ทั้งๆ ที่อ่านเรื่องมรรคผลนิพพานแต่ก็สงสัยอยู่นั่นละ ท่านก็มาไล่เข้าไป ท่านมาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ นั่น ขึ้นแล้วนะ ต้นไม้เป็นต้นไม้ ภูเขาเป็นภูเขา ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานแท้ กิเลสแท้อยู่ที่จิต นั่น ไล่เข้า ท่านใส่เปรี้ยงๆ เลย ฟังอย่างถึงใจ
นั่นละที่ความสงสัยในมรรคผลนิพพานขาดสะบั้นไปหมด ทั้งๆ ที่จิตมีกิเลส แต่มรรคผลนิพพานให้สงสัยไม่มีเลย นั่นละอำนาจธรรมของท่าน ท่านชี้ลงที่ใจๆ ปฏิเสธทั้งหมดข้างนอก ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้ธรรมแท้ มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่จิต เอ้า เบิกออกด้วยจิตตภาวนา ท่านจะได้เห็นธรรมแท้กิเลสแท้ที่จิตนี้แหละ ไม่เห็นที่อื่นที่ใดเลย ให้ดูตรงนี้ ฟังอย่างถึงใจแล้ว ตั้งแต่นั้นมาซัดใหญ่เลยเรา เพราะนิสัยเราพูดถึงเรื่องความจริง จริงจังมาก จะเข้าขั้นผาดโผนนู่นแหละ ถ้าลงได้ลงใจตรงไหนแล้วขาดสะบั้นเลยเชียว อันนี้ก็เหมือนกัน ฟังท่านเทศน์เรื่องมรรคผลนิพพาน เหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี่ละมันดึงความพากเพียรของเราไป เอาละ พอละที่นี่ มัน ๒ พัก ๓ พักแล้ว มันจะตายแล้วนะ เทศน์ ๒ พัก ๓ พัก วันนี้จนไม่มีเสียงเทศน์แล้ว อ่อนลงๆ เอาละเลิก
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |