ไม่สูญหายไปไหนคือบาปและบุญ
วันที่ 28 มิถุนายน 2549 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : ศาลาสวนแสงธรรม กทม.

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ไม่สูญหายไปไหนคือบาปและบุญ

 

          สอนเราแต่ละคนๆ ให้เป็นคนดีนี้ลำบากมากนะ เพราะอันนี้ก็ภัยรอบด้าน ยิ่งกว่าไอ้ปัก ไอ้ปักเราได้สอนมัน มึงระวังตัวนะ ภัยรอบด้านนะมึงนะ ไปใครก็ทึ้งๆ สอนคนให้ดีนี้ลำบาก หมายถึงสอนเราแต่ละคนๆ ให้เป็นคนดี ลำบากอยู่นะ คือความไม่ดีมันออกก่อน มันอยู่ในใจนี้ละ แต่ความดีออกไม่ได้ อย่างน้อยต้องได้รับการอบรมสั่งสอน บอกอันนั้นผิด อันนี้ถูก แล้วจะได้นำไปพิจารณา แต่ลำพังแล้วจะมีแต่เรื่องของกิเลส ความชั่วช้าลามก แสดงออกปั๊บก็เป็นเรื่องต่ำทั้งนั้น

          พูดถึงเรื่องการอบรมเราให้เป็นคนดีลำบากมากนะ อบรมเราให้เป็นคนดี อย่างพระที่ท่านต้องการ ท่านเป็นศีลเป็นธรรมจริงๆนี้ ท่านจะรักษาตัวระวังตัวรอบด้านตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวไปมาต้องมีสติระมัดระวังตัวเอง ต่อไปก็ค่อยชินๆ ๆ ไป บวชมาทีแรกนี้มันระวังเท่าไรมันก็ต้องอาบัติ เพราะเราอยู่กับอาบัติ อยู่กับโทษตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเป็นโทษ ทีนี้พอมาบวชแล้วธรรมวินัยท่านก็สอน ทีนี้เคลื่อนไหวไปไหนมีแต่ผิด ก็เราเคยผิดอยู่แล้ว ต้องได้ระมัดระวัง เอาจริงเอาจัง ต่อไปก็ค่อยชินๆ จนกระทั่งชินเลยเป็นธรรมดา ไปไหนๆอะไรจะผิดถูกชั่วดีมันจะรู้ทันทีๆ มันปัดของมันเอง นี่คือความเคยชินในการรักษาตัวให้เป็นคนดีพระดี        ถ้าปล่อยตามยถากรรมนั้นมันไหลลงทางต่ำตลอด เวลาจะฉุดลากขึ้นสู่อรรถสู่ธรรมนี้จึงต้องได้ฝึกทรมานกันบังคับบัญชากัน ไม่เช่นนั้นมันก็ดีไม่ได้

ยกตัวอย่างจิตนี้ไม่มีอะไรจะคึกคะนองยิ่งกว่าจิตของสัตว์และบุคคลแต่ละรายๆ ไป อันนี้ดีดดิ้นมากที่สุด คือใจ มันมีกองไฟมหาภัยอยู่ในใจ กิเลสกองใหญ่หลวง กองเพาะภพเพาะชาติ เพาะความทุกข์ความลำบาก ยากเย็นเข็นใจ อยู่ในหัวใจนั้นหมด เวลามันแสดงออกก็แสดงออกตามกิริยาที่มันผลักดันออกมา สิ่งที่มันผลักดันออกมามีแต่ความต่ำทราม ไม่มีความสูง ต้องมีธรรมเข้าชำระล้างกัน ถ้าไม่มีมันก็ปล่อย มันก็ไหลลงไปเรื่อยๆ คนทั้งคนไม่มีค่า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตาย ไม่มีค่ามีราคา เพราะสั่งสมแต่ความเลว  ความเป็นโทษเป็นกรรมแก่ตัวเอง ตายก็จมไปเลย

เมื่อมีธรรมแล้วท่านฉุดลากเอาไว้ ให้ระมัดระวัง สิ่งไม่ดีอย่าทำ ทีนี้หักห้ามตัวเองละ ไม่ให้ลงทางต่ำ เพื่อเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเอง ต้องระวังๆ เมื่อระวังเข้าไปแล้วก็ค่อยชินๆ จากนั้นย่นเข้ามาหาจิต จิตนี้ตัวระวังยากที่สุดเลย ไม่มีอะไรจะระวังยากยิ่งกว่าการระวังจิตรักษาจิต จิตนี้รักษายากมากทีเดียว อันนี้ก็ไม่พ้นสติธรรม-ปัญญาธรรมไปได้เลยละ เมื่อมีสติจับอยู่แล้วมันจะรู้ความผิดถูกชั่วดี ถ้าไม่มีสติแล้วไม่รู้ ทำไปวันยังค่ำก็ไม่รู้ว่าตัวทำผิด ทั้งๆที่ทำผิดนั้นแหละ พอมีสติแย็บออกมามันก็รู้

อย่างนักภาวนา นี่เข้าไปหาขั้นนักภาวนาถึงจะรู้ดำรู้แดงกันจริงๆ เพียงเราสำรวมระวังธรรมดาไม่รู้นะ ต้องใช้ทางจิตตภาวนาคอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของใจ ความเคลื่อนไหวของใจมันจะไม่อยู่เป็นสุข มันจะดีดจะดิ้น จะคิดจะปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ในหัวใจตลอดเวลา เอาสติจับเข้าไป จับเข้าไปตรงที่มันปรุงมันแต่ง พอสติจับปั๊บเข้าไปตรงนั้น ถ้าสติไม่เผลอ ปรุงไม่ได้ นั่นละสติเป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าสติจับติดอยู่แล้วกิเลสจะมีหนาแน่นขนาดไหนก็แสดงออกมาไม่ได้ แต่พอเผลอเท่านั้นแย็บเดียวออกแล้วๆ

สติจึงเป็นของสำคัญสำหรับนักภาวนาทั้งหลาย ยิ่งเป็นผู้เพื่อความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว สติต้องติดแนบกับตัวตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โอกาสกิเลสเกิดขึ้นได้จากสังขาร สังขารมาจากอวิชชา มันดันตลอดเวลา เวลาเราระงับด้วยสติธรรมปัญญาธรรมแล้วจิตก็ค่อยสงบ สงบแล้วก็เย็น เย็นไปเรื่อยๆ ความเชื่องของจิตก็ค่อยมี คือจิตหาความเชื่องไม่ได้นะ มีแต่ความคิดความปรุง แต่ได้ธรรมเข้าไปชะล้าง ระงับดับมันแล้วจิตนี่ค่อยเชื่องขึ้นมา คิดเรื่องดีเรื่องชัวสติจะตามทันๆ ระงับกันลงได้ในขณะนั้นๆ

นี่ท่านเรียกว่าการฝึกจิต ฝึกเข้าไปจนกระทั่งถึงกิเลสมันจะละเอียดขนาดไหน แย็บออกมานี้สติธรรมปัญญาธรรม ซึ่งเป็นของละเอียดกว่านั้นรู้ทันที ปัดออกทันที แล้วมันก็ไม่กล้าเกิดขึ้นมาอีก เพราะการสำรวมระวังมีอยู่กับสติ ท่านจึงสอนให้มีการอบรมจิตใจ จิตนี้ตัวคึกตัวคะนองมากทีเดียว พออฝึกจิตได้แล้วทีนี้ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าการฝึกจิตได้โดยสมบูรณ์แล้ว เช่นจิตพระพุทธเจ้า-จิตพระอรหันต์ท่าน นี่เรียกว่าหมดโทษโดยสิ้นเชิง มีแต่คุณมหาคุณล้วนๆภายในใจ จะให้คิดผิดคิดพลาดไปไหนคิดไม่ได้ มันเป็นอฐานะ มันเข้ากันไม่ได้เลย

นั่นละถึงขั้นฝึกได้สมบูรณ์แบบแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะคึกจะคะนองอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้จิตเรา เวลาฝึกให้มันเชื่องก็เชื่อง ให้สงบ สงบเข้ามาได้ ฝึกให้จนกระทั่ง กลั่นกรองออกหมด สิ่งที่เป็นภัยมีอยู่ภายในใจ คัดเลือกกลั่นออกหมด ก็เหลือแต่ความคิดที่เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมา เกิดขึ้นมาอะไรก็รักษาใจตัวเอง ไม่ได้ทำลายจิตตัวเองเหมือนความคิดที่เป็นกิเลสตัณหา ใจก็สงบเย็นๆ เรื่อยขึ้นไปนะการฝึกหัดจิต แล้วความประเสริฐเลิศเลอของจิตนี้จะมีขึ้นเรื่อยๆ นะ ไม่มีสิ้นสุดยุติ ความดีเด่นของจิตจากการฝึกอบรมของผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ เราจะเห็นอยู่ในหัวใจของเรานั่นละ สงบละเอียดลออ สงบละเอียดจนกระทั่งกลายเป็นความสว่างไสวขึ้นมา ภายในใจดวงที่ไม่มีค่าแต่ก่อนนั่นแหละ กลายเป็นสิ่งไม่มีค่าขึ้นมา และเด่นดวงที่สุดคือใจ ท่านจึงสอนให้อบรมใจ

ใจนี้เป็นตัวนักเกิดนักตายนะ ทั้งๆที่ใจจริงแล้วๆ ไม่มีคำว่าตาย ไม่มีคำว่าสูญ ตายแล้วไปเกิด คำว่าเกิดนี่เข้าไปร่างต่างๆ ร่างสัตว์ ร่างบุคคล ร่างเปรตร่างผี อะไรมันเข้าได้ทังนั้น ตามอำนาจแห่งกรรมที่ตัวทำเอง ผลักไสให้เข้าไปในภพชาตินั้นๆ นั่นละเรียกว่าเกิดว่าตาย จิตดวงนี้ไม่มีคำว่าเกิดว่าตาย แม้จะตกนรกหมกไหม้เป็นกัปเป็นกัลป์ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ใจดวงนี้สำคัญมาก ท่านจึงเรียกว่าอมตจิต จิตไม่ตาย แปลว่าไม่ตาย คำว่าจิตไม่ตายมีอยู่สองแง่ แง่หนึ่งจิตไม่ตายคือมีกิเลสอยู่นี้แต่ไม่ยอมตาย ไม่ยอมฉิบหาย อีกอันหนึ่งจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ทั้งไม่ตายทั้งบริสุทธิ์เลิศเลอด้วย มีอยู่สองอย่าง

อย่างจิตพระพุทธเจ้าเป็นจิตธรรมธาตุ จิตพระพุทธเจ้า-จิตพระอรหันต์ท่านเป็นธรรมธาตุล้วนๆ เลย อันนี้ทั้งไม่สูญทั้งไม่ตาย ทั้งเลิศเลอตลอดอนันตกาล ที่ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงที่ตรงนี้เอง เวลามันดีดมันดิ้นมันก็ดีดดิ้นของมัน เกิดภพนั้นเกิดภพนี้ ออกจากนี้แล้วไปเกิดที่นั้น ออกจากนั้นไปเกิดที่นี่ ไม่มีอะไรเกินจิตที่เป็นนักท่องเที่ยว ตัวนี้เกิดตายตลอดเวลา ทีนี้พอชำระได้แล้วการเกิดการตายนี้ก็จะเข้าสู่ภพชาติที่ดีขึ้นโดยลำดับ เพราะความมีธรรม การได้รับการอบรมทางด้านจิตใจ ถึงจะไปเกิดในภพใดชาติใดก็เป็นภพชาติที่ถูกต้องดีงาม ไปด้วยศีลด้วยธรรมเป็นเครื่องพยุงไป ไม่ใช่ไปด้วยบาปด้วยกรรมผลักไสให้ไป

การเกิดมันต่างกัน คนผู้มีบุญเกิดย่อมไปเกิดในสถานที่ดีเป็นขั้นๆ ไม่เหมือนคนที่ทำชั่วช้าลามก คนทำชั่วไปเกิดภพใดชาติใดมีแต่ภพที่ผิดหวังๆ เพราะตนสร้างความผิดหวังเอาไว้ โดยเข้าใจว่าเป็นของดิบของดี แต่แล้วมันเป็นภัยแก่ตัวเอง นี่นักเกิดนักตายคือจิต พอธรรมชาติที่พาให้เกิดให้ตายขาดสะบั้นลงไปออกจากใจแล้ว ใจนี้หมุนกลับเป็นธรรมธาตุ ทีนี้ไม่เกิดไม่ตายในภพชาติใดๆ ไม่สูญคือจิตที่เป็นธรรมธาตุ โลกไม่เห็น จิตดวงนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็น ทั้งๆที่ครองความรู้อยู่ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย มันยังปฏิเสธได้ลง ตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญ

โลกนี้มีน้อยเมื่อไร คนที่สำคัญตนว่าตายแล้วสูญมีมากจริงๆนะ ทั้งๆที่ตัวเกิดตัวตายมันอยู่กับตัวนั้นแหละมันไม่เคยสูญ แต่มันยังกล้าพูดออกมาได้ด้วยว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญ จิตมันไม่ได้สูญ เมื่อชำระให้เต็มที่แล้วถึงขั้นบริสุทธิ์ก็เป็นธรรมธาตุไปเลย นั้นท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่มีสูญอีกเหมือนกัน แต่เวลาท่องเที่ยวอยู่มันก็ไม่สูญ หากเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ภพสูงภพต่ำ ความทุกข์มากทุกข์น้อย สับปนไป พอก้าวเข้าสู่ความดีงามแล้วดีไปเรื่อยๆ จิตดวงนี้ไม่มีใครมอง ไม่มีใครรู้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องของจิต จึงได้สอนอบรมพวกเราให้อบรมจิตให้ดี

ถ้าจิตดีแล้ว จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยวจะพาไป ถ้ามีคุณมีบุญมีกุศลจะพาไปทางดี ถ้ามีแต่บาป บาปก็ไสลงทางต่ำ แต่การไปต้องไป เพราะกรรมนี้หนุนให้ไป กรรมดีก็หนุนให้ไปทางดี กรรมชั่วหนุนให้ไปทางชั่ว จึงต้องถูกหนุนตลอดเวลาสำหรับใจที่มีกิเลส ผิดกันกับใจที่สิ้นกิเลสแล้วไม่มีอะไรมาหนุน หมดเหตุหมดปัจจัย อยู่เหนือหมดแล้ว เช่นใจพระพุทธเจ้า-ใจพระอรหันต์เป็นใจที่เหนือเหตุเหนือผลไปหมดแล้ว เพราะเหตุผลเหล่านี้เป็นสมมุติ ธรรม-ธรรมชาตินั้นเลยสมมุติไปแล้ว จึงไม่มีคำว่าเหตุว่าผลไปบังคับบัญชาจิตที่บริสุทธิ์นั้นได้เลย

ให้พากันสร้างความดีงาม ความดีงามทั้งหลายที่เราสร้างนี้แหละ เก็บเล็กผสมน้อยไปทุกวัน เข้าในจิต ไม่สูญหายไปไหนก็คือบาปและบุญ บาปทำลงไป ว่าไม่มีบาปก็เป็นบาปตลอดไป บุญก็เป็นบุญตลอดไป เพราะฉะนั้นให้หมุนมาทางบุญ ตามทางของศาสดาสอนไว้ ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป บาปปัดออกอย่าไปทำ ให้ทำแต่ความดีงามแล้วจะเทิดตัวเองขึ้นไปให้สูงขึ้นๆ จนสูงส่งสุดวิมุตติพระนิพพาน หมดปัญหาเรื่องการเกิดตาย มีอยู่ในแหล่งแห่งไตรภพคือการเกิดแก่เจ็บตาย กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในสามสถานที่นี้เป็นที่ท่องเที่ยงเกิดตายของสัตว์โลก นอกจากนี้ไปแล้วไม่มี

พระพุทธเจ้าถึงนิพพา นิพพานไม่มีภพมีชาติอะไรอีกแล้ว จึงเรียกว่าถึงนิพพาน สิ้นสดหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงไปเลย เพราะอำนาจแห่งการสร้างความดีงามทั้งหลาย ไม่หยุดไม่ถอย หนุน เอาจะขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอเอาหนุนกันไป เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสและเป็นข้าศึกต่อตัวเราเองเสียด้วย จะทำความดีงามมันแสดงความขัดความข้องยุ่งเหยิงขึ้นมา ในท่าต่างๆ ไม่มีอะไรเกินกลมายาของกิเลสหลอกสัตว์โลก เพราะมันเคยหลอกมาแล้ว ทีนี้เอาธรรมเข้าไปแก้กัน ธรรมแก้ กิเลสหลอกไปทางมัน  ธรรมก็หลอกมาทางธรรม ฉุดลากกลับมา สุดท้ายก็ไปทางธรรมได้

ให้ฟังเสียงศาสดานะ ไม่มีใครที่จะพูดถูกต้องแม่นยำได้ยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ที่เป็นเจ้าของศาสนาทุกวันนี้ องค์ปัจจุบันคือพระสมณโคดม นี่เป็นองค์ที่สี่  กัสสโป โคตโม อริยเมตไตรโย ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ตามแถวตามแนวของท่าน ท่านไม่ได้มาเกิดสุ่มสี่สุ่มห้า เหมือนกบเหมือบเขียด เหมือนปูเหมือนปลา เหมือนสัตว์นรกอเวจีนะ ท่านเกิดมีแบบมีฉบับ เกิดด้วยบุญด้วยกุศลสมภารของท่านจริงๆ ท่านเกิด อย่างพระอริยเมตไตรยเวลานี้ก็ยังไม่มา เพราะพุทธศาสนาที่เป็นเครื่องพร่ำสอนโลกยังอยู่กับชาวพุทธ ชาวพุทธยังยอมรับเคารพนับถือ ผลประโยชน์ที่ได้จะได้ไปเรื่อยๆ ถ้าหมดความเคารพเมื่อไรคุณค่าของคนทั้งคนก็หมดไปๆ ก็มีตั้งแต่สิ่งที่ไร้สาระและเป็นพิษเป็นภัย มหาภัยต่อสัตว์แต่ละราย

นั่นละหมดละศาสนาไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หมด ในหัวใจสัตว์ก็มีการเชื่อบุญเชื่อบาป พอเป็นสาระต่างสัตว์ทั้งหลายอยู่บ้างก็คือมนุษย์เรา ยังเชื่อบุญเชื่อบาป ตามหลักความจริงที่บาปมีบุญมีอยู่ เราปฏิบัติตามนี้ จากนี้แล้วก็จะเป็นสุญกัปไป ทีนี้คำว่าคำสอน หรือบาปบุญนี้จะไม่มีในหัวใจสัตว์ หมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้เป็นสุญกัปว่างเปล่าจากคำว่าบาปว่าบุญ แต่หนาแน่นไปด้วยความทุกข์ความทรมานแก่สัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่มีศาสนาประจำใจนั้นตลอดไป

พอถึงวาระที่ควรจะเปลี่ยนแปลงฟื้นตัวขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ลงมาอุบัติ เช่นพระอริยเมตรไตรยมาอุบัติ อายุของคนก็สูงขึ้นๆ แล้วพระอริยเมตไตรยก็มาอุบัติตรัสรู้ขึ้นมา ก็เป็นศาสดาองค์เอกแทนพระพุทธเจ้าองค์นี้ต่อไป ส่วนคำสอนนั้นสอนแบบเดียวกันหมด ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนโลกจะไม่มีผิดเพี้ยนจากกันแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย  จะสอนแบบเดียวกัน เพราะทรงรู้ทรงเห็นแบบเดียวกัน การสอนจึงสอนแบบเดียวกันทั้งหมด ใครฝืนคำสอนนี้คนนั้นก็ฝืนตัวเอง ทำลายตัวเอง ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมตัวเองนะ เป็นการฝืนและทำลายตัวเอง

คำสอนเป็นแบบฉบับที่ดีที่ยอดเยี่ยม ที่สัตว์ทั้งหลายจะได้เกาะได้ยึดก็คือธรรม พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ รวมแล้วเรียกว่าธรรม ยึดเกาะนี้แล้วเป็นมงคล-มหามงคลแก่ตัวของเราเอง ให้พากันยึดกันเกาะ อย่าพากันตื่นนักหนาไอ้เรื่องโลกเรื่องสงสาร เขาตื่นเรา เราตื่นเขา เขาทะเยอทะยาน เราทะเยอทะยาน เขาดีดเราดิ้น ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น กระเสือกระสนกระวนกระวายหาความสมหวัง ครั้นแล้วก็มีแต่ความผิดหวังๆ ประจำตน พร้อมกับความทุกข์เต็มหัวใจๆไปด้วยกันทุกคน

นี่ะการก้าวเดินวิ่งตามกิเลสมันมีแต่ความผิดหวังและความทุกข์ ถ้าก้าวเดินตามธรรมแล้วไม่ผิด ถึงจะทุกข์จนข้นแค้นไม่มีเงินจะกินเอาตายก็ตาย แต่ใจเต็มไปด้วยสมบัติคือธรรม ไม่อดอยากขาดแคลนสำหรับใจ ร่างกายถึงกาลเวลาแม้เศรษฐก็ตายได้เหมือนกัน ผู้มีธรรมแล้วเป็นเศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน ยิ่งดีเยี่ยม เศรษฐีเงินสนุกทำบุญให้ทาน พอตายไปแล้วก็กลายเป็นเศรษฐีธรรมครองทิพสมบัติเต็มหัวใจ ไปเกิดในภพชาติต่างๆ มีตั้งแต่ภพชาติที่สมมักหสมหมาย เพราะอำนาจแห่งกรรมดีที่ตนสร้างไว้แล้วทั้งนั้น

ขอให้ท่านทั้งหลายยึดหลักนี้ไว้ให้ดี อย่าโอนอย่าเอนตามกิเลสที่มันกำลังหลอกโลก เวลานี้หนาแน่นมากนะ ไปขโมยของเขา เขาจับได้คาหนังคาเขา มันยังหน้าด้านปฏิเสธได้อีกว่าไม่ได้ขโมย ไม่ได้ปล้น เห็นไหมกิเลสมันหน้าด้าน จับได้คาหนังคาเขา ของกลางก็ได้มา มันยังหน้าด้านปฏิเสธ นี่กิเลสเมื่อมันหน้าด้านมันไม่ยอมรับบาปรับบุญนะ มันจะสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ให้เราดูกิเลสตัวหน้าด้านนี้ไว้ให้ดี เอาละพอ มันจะเกิดที่หัวใจเรานั้นแหละ เอาละพูดเพียงเท่านี้

 

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก