เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ธรรมเข้าสู่หัวใจ ความรู้จักประมาณรู้ทันที
วันนี้คงพูดอะไรไม่ได้นัก พูดนี้ปั๊บมันออกหูเลย มันไม่ได้ออกปากนะ พอพูดนี้มันไปดังอยู่หูทั้งสองหูเลย อย่างที่มาลงรถพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย หูมันอู้ไปหมดเลยทั้งสองหู พูดมันมาดังอยู่ที่หู มันไม่ได้ดังอยู่ที่ปาก เวลานี้มันก็เป็นของมันหูอื้อ นี่ก็เป็นมานานแล้ว หูอื้อนี้เป็นมานานแล้วนะ พูดออกหูๆ เพราะมันเพลีย อาทิตย์กว่ามานี้ไม่มีกำลังเลย
ที่ฉันจังหันทุกวันนี้ฉันได้มากกว่าคนหนุ่ม แล้วกว่าที่เราเป็นหนุ่มเสียอีก คือเวลาเป็นหนุ่มนั้นก็เป็นเวลาที่ประกอบความพากเพียร การขบการฉันต้องได้บังคับตลอด จะให้มันอิ่มไม่ได้ ต้องบังคับไว้ ทีนี้เวลาแก่มานี้หนุนมันด้วยนะ มันฉันได้เอาๆหนุนไปเรื่อย เรียกว่ามันฉันได้มากยิ่งกว่าพระหนุ่มทั้งหลายนะ แต่ผลที่ควรจะได้จากการฉันได้มากกลับไม่ค่อยเห็นมีความหมายอะไร มันเพลีย นี่มันสำคัญตรงนี้นะ ฉันได้มากแต่ผลไม่ค่อยมี
ถ้าเป็นยังหนุ่มแล้วไม่ได้นะ ตั้งแต่ยังหนุ่มก็เป็นเวลาที่เร่งความเพียร กำลังวังชามันดี เอาอะไรให้นิดหนึ่งมันดีดทันทีๆ เพราะร่างกายนี้เป็นเครื่องเสริมกิเลส ที่เสริมธรรมมีน้อย ในเวลาธาตุขันธ์ยังหนุ่มน้อยอยู่นี้จะเสริมธรรมมีน้อยมาก แต่เสริมกิเลสนี้มากจริงๆ เด่นชัดเลย จึงต้องได้บังคับกันตลอดเวลา เรียกว่าทรมาน การขบการฉันนี้ทรมานมากอยู่ ฉันให้อิ่มตามความต้องการไม่ได้ เพราะเรามามุ่งอรรถมุ่งธรรม ปฏิบัติเพื่อธรรมล้วนๆ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เพื่อกิเลสตัณหาอะไรเลย เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นข้าศึกต่อธรรมเราจึงต้องโปะไว้ๆ ตลอด
นักภาวนาต้องเป็นผู้สังเกต ที่เราได้มาจนกระทั่งได้ธรรมมาสอนโลกนี้อันดับแรกคืออุบายของครูบาอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนเรา มีหลวงปู่มั่นเป็นประธาน อันดับต่อมาก็แยกธรรมของท่านที่แนะนำสั่งสอนแล้วออกมาตีเป็นแขนงๆ เป็นความแยบคายตามนิสัยของตัวเองจะได้มากน้อยเพียงไร แยกแยะๆ ท่านเทศน์อย่างไร นี่หมายความว่าอย่างไรๆ นี่เวลาไปปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้านะ ปฏิบัติต้องใช้ความสังเกตสอดรู้ในปฏิปทาในการดำเนินของตัวเอง
ส่วนมากเรื่องธาตุขันธ์จะเป็นภัยต่อจิตตภาวนาพอๆ กัน ไม่ว่าท่านว่าเรา ถ้ายังมีกำลังวัยยังหนุ่มน้อยอันนี้เป็นภัยได้ทั้งหญิงทั้งชาย คือเวลาฉันมันดูดมันดื่มนะ เวลาฉันไม่มองเห็นธรรม อยากพูดให้ชัดเจนเต็มอรรถเต็มธรรม โลกมันปิดมันบังมันไม่อยากพูด มันอายกัน คือกิเลสมันสงวนตัวมัน มันอายมันไม่อยากให้พูด ให้ปิดเอาไว้ แต่ธรรมจะเปิดหาตัวกิเลสก็ต้องเปิดออกมา เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้เป็นเครื่องหนุนกิเลส เฉพาะอย่างยิ่งกามตัณหา คือราคะตัณหา เจอะมันขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เราจะฆ่ามันอยู่แท้ๆ ขนาดนั้นมันยังยิบแย็บๆ มันเป็นอยู่ภายในจิตนะ มันไม่ได้ออกมาแสดงภายนอก ก็เราจะฆ่ามันอยู่ในจิต มันจะต้องมองเห็นจุดนั้นก่อน เพราะสติมันติดอยู่กับจิต คอยดูความเคลื่อนไหวของใจมันเป็นมาอย่างไร มันจะเป็นอย่างไรต่อไป จึงได้เปิดธรรมให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกัน เพราะเราจวนจะตายแล้วปิดไว้ไม่เกิดประโยชน์ ให้กิเลสกลืนกินหมด กลืนกินหมด เพราะกิเลสต้องเกรงใจพวกกิเลสด้วยกัน พูดออกมาก็อาย คือกิเลสมันปิดตัวมันเอง มันไม่อยากให้พูดออกมา สิ่งใดที่เป็นเรื่องของกิเลสมันหยาบทั้งนั้นนะ มันไม่ได้สะอาดสะอ้านอะไร มันหยาบทั้งนั้น
ทีนี้เราก็ชอบกิเลสชอบแบบของกิเลสแล้ว พูดออกมาเพื่อความชำระสะสางกิเลสนี้มันพูดไม่ได้นะ อายเขาอายเรา นี่มีแต่เรื่องกิเลสปกปิดตัวเองนะนั่นน่ะ เราไม่รู้ ที่มันเป็นอยู่นั้นคือกิเลส ต่างคนก็ต่างมี ต่างคนต่างปกปิดตัวเองๆ แล้วก็เป็นไปด้วยกัน เงียบๆอย่างนั้น มันก็ค่อยกลืนไปๆ อย่างนั้น เวลาธรรมออกเปิดหากิเลส นั่นละทีนี้มันก็รู้กัน กิเลสมันออกช่องไหนมาก มันหนักทางไหนมาก มันชอบออกช่องไหนมาก พิจารณาดูในธาตุในขันธ์ ในจิตก็มีกิเลส ทีนี้เครื่องเสริมซึ่งมีอยู่ภายในจิตก็คือธาตุคือขันธ์ เราต้องได้สังเกต ต้องได้พิจารณา
เวลาฉันมากให้อิ่มนี้ความเพียรจะเปลี่ยนทันที ให้รู้เลยนะ วันนี้ความเพียรไม่เอาไหนแล้ว นั่น จับได้แล้ว สติก็ไม่ดี ผิดๆพลาดๆ ความง่วงเหงาหาวนอนก็มาตามๆ กันกับอาหารเต็มท้องเต็มปากนั่นแหละ ความขี้เกียจขี้คร้านก็ตามๆกันมา มีแต่เรื่องกองทัพกิเลสทั้งนั้นเข้ามาโหมธรรม ทับธรรมไม่ให้เงยหน้าเงยตาขึ้นได้เลย นี่ผู้ปฏิบัติต้องสังเกตอย่างนี้ เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วแก้ เอาพลิก มันฉันมากวันนี้เป็นอย่างนี้ แก้ใหม่ พยายามแก้ มันจะอยากจะหิวโหยขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของสิ่งที่จะทำลายธรรม ซึ่งเรามุ่งหวังอย่างแรงกล้าอยู่ภายในใจอยู่แล้ว
เราต้องได้ระมัดระวังตลอด อาหารต้องได้บังคับ เวลาวัยยังหนุ่มยังน้อยต้องบังคับเป็นประจำเลย ไม่บังคับไม่ได้ มันดีดเร็วนะ เรื่องอาหารนี้ดีดเร็ว ทุกอย่างหวานไปหมด ถูกปากถูกท้อง อันนั้นก็เข้าท่า อันนี้ก็เข้าท่า มีแต่ของเข้าท่าทั้งนั้นนะ ที่จะมาเข้าปากเข้าท้องเสริมกิเลสให้มันท้องป่องนั่นน่ะ มีแต่ของเข้าท่าทั้งนั้น เรื่องธรรมไม่ทราบว่าเข้าท่าหรือไม่เข้าท่า มันไม่ได้สนใจนะธรรม ทีนี้ธรรมก็หมดท่าละซิ เมื่อกิเลสเข้าท่า ธรรมก็ค่อยหมดท่าไป หมดท่าไป ภาวนาไม่ได้เรื่อง สุดท้ายก็อิดหนาระอาใจ ทอดธุระ ทอดอาลัยตายอยาก ทีนี้ประกอบความพากเพียรก็ไหลลงให้กิเลสกลืนสบายไปเลย
นี่ละนักภาวนาที่จิตใจไม่ค่อยได้หลักได้เกณฑ์ เรารู้ในตัวของเราเอง แล้วกระจายออกไปหาจิตใจดวงอื่นๆ ซึ่งเป็นกลอุบายของกิเลสแหลมคมมากกล่อมอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เรามันก็กล่อม มันกล่อมเราอย่างนี้เราหาอุบาย พิจารณาอย่างนี้ได้เหตุได้ผลจากมันอย่างนั้นๆ แล้วแก้ไขกันไปๆ ทีนี้เพื่อนฝูงนี้จะแก้หรือไม่แก้เราก็ไม่ทราบได้ แต่เราได้พิจารณาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการอดอาหารกับการปฏิบัติจึงเป็นคู่เคียงกันไป ถึงขนาดท้องเสียดังที่เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
คือจะว่านิสัยมันเป็นไปทางอดอาหารภาวนาดี มันก็หากถูกนะ แต่ไม่เคยมีใครอดมันก็ไม่รู้ว่านิสัยหรือไม่นิสัย มีแต่ฟาดเต็มเหนี่ยวๆ อะไรเข้ามาก็เป็นท่าๆ ลูกศิษย์หลวงตาบัวมีแต่ลูกศิษย์ที่เป็นท่าทั้งนั้น นั่งอยู่เต็มกุฏินี้มีแต่พวกเป็นท่าทั้งนั้นแหละ เรื่องธรรมเป็นท่าหรือเสียท่ามันไม่ได้ดูนะ นี่นักปฏิบัติต้องดูอย่างนี้มันถึงทันกับกิเลส ต้องผ่อนเรื่อยๆ ยิ่งก้าวขึ้นสู่เวทีแล้วความอดอยากขาดแคลนทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องของกิเลสนี้จะมาตามๆ กัน คือบังคับ บังคับไว้ให้ธรรมค่อยงอกเงยขึ้นมา
เช่นเราหิวโหยโรยแรง คิดดูบิณฑบาตหมู่บ้านเขาอย่างนี้ เรากำหนดกฎเกณฑ์ไว้แล้ว เพราะเราอดอาหารมาหลายวัน ถ้าไม่ไปวันพรุ่งนี้เราจะไปไม่ถึงบ้านและ ต้องไปเสียวันพรุ่งนี้ กำหนดไว้ แม้เช่นนั้นไปถึงกลางทางเท่านั้นหมดกำลังแล้วนะ หมด ก้าวขาไม่ออก ต้องไปนั่งพักอยู่กลางทางเสียก่อน นั่นละเวลากำลังร่างกายมันอ่อนนะ จากนั้นแล้วก็บิณฑบาต พอบิณฑบาตมาแล้วมาถึงที่หินดานที่ตรงไหน ที่จะให้ไปถึงที่ฉันไม่ไปแหละ บิณฑบาตจากหมู่บ้านเขากี่หลังคาเรือนอาหารก็ได้ตามสภาพ บางทีก็มีแต่อาหารเปล่าๆ ข้าวเปล่าๆ มา กินข้าวเปล่าๆ มันจะกินได้มากน้อยเพียงไร
แต่ที่มันไม่เป็นกังวลเพราะธรรมนั่นน่ะสำคัญ จิตมันมุ่งอยู่กับธรรม สิ่งเหล่านี้อดอยากขาดแคลนอะไร กินเมื่อไรก็ได้ แน่ะ ไม่เห็นมันยากอะไร สิ่งที่ยากก็คือธรรมจะเกิดจะเจริญภายในใจต้องได้ประคับประคองกันอย่างหนักแน่น เวลาหิวโหยจนจะเป็นจะตายบิณฑบาตออกมาที่หินดาน มีแอ่งน้ำ มันมีอยู่ทั่วไปละ หินดานกลางภูเขา แล้วมันมีบ่อน้ำอยู่ทั่วๆ ไป เครื่องกรองน้ำเราก็ไปพร้อมแล้วนี่ ไปกรองน้ำออกมาฉัน
ทีนี้พอฉันจังหันเสร็จแล้วนี้ นี่ละพอฉันเสร็จแล้วนี้ก้าวขึ้นไปภูเขา หรือไปที่เจ้าของพักอยู่นั้นมันเหมือนม้าแข่งนะ แต่ก่อนอ่อนเปียก เดินบิณฑบาตในหมู่บ้านก็ไม่ถึง กำลังไม่มี มันจะเป็นจะตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา แต่พอไปถึงบ้านเขา บิณฑบาตกลับออกมาแล้วมาฉัน อาหารก็ไม่ได้ดิบได้ดีอะไรละ เพราะธาตุมันพร้อมแล้วที่จะรับทุกอย่าง พอรับเข้าไปมันก็ซึมซาบเป็นกำลังขึ้นมาทันทีทันใด พอฉันเสร็จแล้วก้าวไปสู่ที่พักนี้เหมือนม้าแข่ง นั่นเห็นไหมละ กำลังมันมาอย่างรวดเร็วทางร่างกาย แต่จิตใจนี้เชื่องช้าไปได้ยาก
เพราะฉะนั้นจึงต้องบังคับเพื่อจิตใจให้มากๆ นี่ละอดอยากขาดแคลนก็ต้องทนเอา ทนเอาเพื่อธรรมทั้งหลาย ต้องถือธรรมเป็นหลักใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เรากินเมื่อไรก็ได้ กำลังวังชามีมาทันทีๆ แต่กำลังทางด้านธรรมะนี้ขึ้นยากนะ เสื่อมก็ง่ายเสียด้วย เจริญนี่ขึ้นยาก เสื่อมนี้ง่าย จึงต้องได้ประคับประคองกันมา สุดท้ายท้องก็เสีย ท้องเรานี้เสียตั้งแต่พรรษา ๑๐ พรรษา ๗ ออกจากภาคการศึกษาเล่าเรียน เพราะสอบเปรียญได้ปีพรรษา ๗ ออกเลยเชียว นั่นละตั้งแต่บัดนั้นฟัดกับกิเลส
ทีนี้มันก็มาถูกเรื่องอดอาหาร มันก็อดอาหารเป็นจำนวนมากละทีนี้ ตั้งแต่พรรษา ๗ พอไปถึงพรรษา ๑๐ ท้องเสียแล้ว เสียก็ไม่ได้สนใจกับมัน เพราะความมุ่งมันต่อธรรมนี้มันมีกำลังกล้าทีเดียว ก็ค่อยเสียไปๆ ก็ไม่สนใจกับมัน อดบ้างอิ่มบ้างไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ถ้ามันจะตายจริงๆ ก็บิณฑบาตมาให้มันฉันเสีย ถ้าพอเป็นไปได้ก็ถูไถกันไปอย่างนั้น แต่ที่จะให้สมบูรณ์พูนผลเรื่องการขบการฉันไม่มี มีแต่อดอยากขาดแคลนเขียมๆ พอเยียวยากันไป เยียวยากันไป จิตก็ค่อยคืบคลานค่อยเจริญขึ้นไป เพราะการทำวิธีนี้ของตัวเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมกับเราเองซึ่งเป็นคนหยาบ ที่จะให้ทำอย่างสะดวกสบายตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร จึงต้องฝืนกันเต็มเหนี่ยว
การผ่อนอาหารอดอาหารนี้มันดีทุกขั้นของจิตนะ ขั้นหยาบๆ มันคึกมันคะนองมันก็ค่อยสงบตัวลงได้ ทีนี้ขั้นมันเข้าสู่ความสงบ พอเราอดอาหารมากเข้าความสงบก็แน่นหนามั่นคงมากขึ้นๆ นั่น มันบอกอยู่ทุกขั้นของธรรมจากการปฏิบัติจิตตภาวนาทางด้านสมาธิอดอาหาร มันบอกอยู่ทุกระยะ ทีนี้พอจิตก้าวเข้าสู่ความแน่นหนามั่นคง คือจิตเป็นสมาธิแล้วแน่นปึ๋งนะ ไม่ได้เป็นกังวลกับอะไรในโลกอันนี้ โลกเหมือนไม่มี มีแต่อารมณ์ของจิตที่เป็นอารมณ์อันเดียวแน่วๆ ไม่มีอะไรกวนแสนสบาย เพียงสมาธิก็พออยู่พอกินแล้ว
เพราะฉะนั้นนักภาวนาจึงต้องติดในสมาธิ เพราะไม่อยากทำการทำงานอะไร เข้าไปสู่จุดนั้นแล้วมีแต่ความรู้แน่ว ไม่มีอะไรกวน สบาย อยู่ไหนสบาย เพียงเท่านั้นก็พอเป็นไป นี่ละผู้ติดสมาธิ ไม่อยากออกพิจารณาทางด้านปัญญา พอเข้าไปนั้นแล้วมันสบาย นี่ละผลแห่งการอบรมฝึกฝนทรมานตนเอง ตั้งแต่อดข้าวมาเป็นลำดับ มันก็ให้ผลอย่างนี้เรื่อย ทีนี้ไม่ว่าธรรมขั้นใดเรื่องผ่อนอาหารอดอาหารถูกทั้งนั้นเลย ไม่มีผิด ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานก็เอากันอย่างหนักในการอดอาหาร ต่อไปค่อยดีขึ้น
การอดอาหาร-การผ่อนอาหารเป็นคู่เคียงกัน จิตก็ก้าวขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งถึงจิตมีความแกล้วกล้าสามารถ ออกทางด้านปัญญา หมุนเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสได้ทั้งวันทั้งคืน เป็นสติปัญญาหรือความเพียรอัตโนมัติ เวลาเราผ่อนอาหารลงไปอันนี้ยิ่งคล่องตัว ไม่มีเสียนะ การอดอาหาร-ผ่อนอาหารไม่มีเสียเลย เราดำเนินมาแล้ว ยิ่งเวลาเราผ่อนอาหารเท่าไรสติปัญญามันคล่องตัวมันอยู่แล้ว มันหมุนโดยหลักธรรมชาติของมันที่จะฆ่ากิเลส เพราะได้รับการหนุนหลังจากการผ่อนอาหาร มันยิ่งคล่องเข้าไปๆตลอดเวลา
จึงว่าการอดอาหารหรือผ่อนอาหารนี้สำหรับผู้ถูกกับจริตนิสัยแล้วนั้น ไม่มีขัดกับธรรมข้อใด ตั้งแต่ต้นจนถึงอวสานแห่งธรรมไม่มีคำว่าขัดกัน เราดำเนินมาแล้ว พูดได้อย่างจะแจ้ง ไม่มีที่สงสัยในปฏิปทาของตนที่ได้ดำเนินมา เราจึงได้เผดียงให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง ไม่ได้บอกว่าเป็นคำสั่ง ไม่ได้บอกว่าเป็นคำสอน แต่บอกเป็นคำบอกเล่า แล้วแต่ท่านผู้ใดจะยึดไปปฏิบัติตามจริตนิสัยของตนอย่างใดแล้วก็ไปปฏิบัติ ถ้าว่าสอนก็ขัดไป ถ้าว่าสั่งยิ่งขัดมากนะ ถ้าว่าสอนก็ขัดไป ถ้าว่าเป็นคำบอกเล่าให้นำไปพินิจพิจารณาปฏิบัติตามนั้น ถ้าได้ผลแล้วก็ให้ยึดๆ ยึดไปอย่างนั้นเหมาะ
ได้สอนอย่างนี้สอนหมู่เพื่อน สอนเป็นสามขั้น ขั้นหนึ่งว่าไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำบอกเล่าโดยอุบายของธรรมที่จะให้ผู้รับฟังทั้งหลายได้รับผลประโยชน์ตามควรแก่จริตนิสัยของตน พระเณรคิดดูซิอย่างพระวัดป่าบ้านตาดได้มาฉันครบองค์เมื่อไร ไม่เคยมี ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดไม่เคยมีพระเณรที่จะฉันครบองค์ ไม่มี ขาดไปวันละสี่องค์ห้าองค์ ขาดกันอยู่อย่างนั้นตลอด พอองค์นี้มาฉัน เอา องค์นี้หายไปแล้ว ท่านคงจะถูกนิสัยตามคำบอกเล่าที่เราสอนนี้นะ เราไม่ได้บอกว่าเป็นคำสอน เป็นคำบอกเล่า ตามแต่ท่านผู้ใดจะยึดไปเป็นหลัก
ส่วนมากก็เลยมีแต่พระอดอาหารเต็มวัดเต็มวา จนกระทั่งทุกวันนี้นะ บางองค์หายเงียบ ไม่ทราบว่ามาเมื่อไร ไม่มาเมื่อไร พระมากต่อมากตามแต่จริตนิสัยของใคร เพราะการแนะนำสั่งสอนเราก็สอนเต็มภูมิแล้วว่าไม่ผิด ผู้นำไปปฏิบัติถ้าปฏิบัติตามคำสอนที่สอนนี้ก็แน่ใจว่าไม่ผิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้ไปเที่ยวกำชับกำชาบอก เป็นอย่างไรอดอาหารหรือไม่อดอาหาร ไม่เคยพูด เป็นแต่เพียงว่าให้อุบายเท่านั้น ท่านนำไปปฏิบัตเอง และส่วนมากในวัดป่าบ้านตาดพระจะไม่มาฉันครบองค์ ตลอดทุกวันนี้ เพราะท่านได้อุบายวิธีการจากการอดอาหารตามวิธีที่เราบอกเล่าๆนี้ เลยติดกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้
บางทีเราก็เตือน คือบางทีท่านอาจไม่รู้จักประมาณ เราผ่านมาหมดแล้วรู้ เช่น การอดอาหารดี ทางตั้งสติสตังนี้ดี แต่การอดถ้าอดไปมากๆ มันไปแพ้ทางร่างกาย ส่วนมากจะเข้าไปถึงท้อง ท้องเสีย ให้ระวังตรงนี้ นี่เราก็เตือน คือถ้ามันมากไปๆ ท้องมักเสีย ให้พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปอย่างนั้นท้องก็ไม่เสีย นี่เราก็ได้เตือน เพราะเราเคยผ่านมาแล้ว ถึงขนาดท้องเสียจริงๆท้องเรา เพราะมันหนัก มันผาดโผนเอาจริงเอาจัง นี่ก็สอนพระอย่างนี้เราก็สอน
เรื่องสตินี้เป็นสำคัญ เราจะยกเป็นบทเป็นบาทตายตัวว่าไม่ผิดให้แก่บรรดาพี่น้องลูกหลายนำไปฟัง สตินี้เหมือนกันกับฝั่งมหาสมุทรทะเลหลวง สติกั้นไว้มหาสมุทรทะเลหลวงนั้นล้นฝั่งออกไปไม่ได้ เหมือนขอบของมหาสมุทรทะเลหลวง เลยฝั่งไปไม่ได้ นี่สติเป็นรั้วกันสำคัญเพื่อวัฏวนได้แก่กิเลสทั้งหลาย ไม่ให้มันทะลึกออกไปได้ ก็กลายเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเรื่อยๆ สติจึงเป็นของสำคัญ มันจะมีมากขนาดไหนก็ตามเถอะเรื่องของกิเลส เคยฟัดกันมาแล้วนะ มันจะมากขนาดไหนมันออกไม่ได้ ขอสติดีเถอะน่ะ
มันคับอยู่ในหัวอก มันอยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็นเต็มหัวใจ จนกวนเจ้าของจนอกจะแตก แต่สำคัญที่ว่าไม่ยอมให้มันเผลอ คิดไปในแง่อื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสจนได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ เอากันอยู่นั้น วันแรกๆนี้หนักมากนะ มันดันมันอยากจะคิดจะปรุง สติเป็นรั้วกัน หรือว่าสติเป็นฝั้งกั้นกิเลสทั้งหลายไม่ให้มันทะลักออกไป บังคับไว้ ต่อไปมันก็ค่อยสงบลงๆ พอกิเลสสงบลงจิตใจก็สงบเย็นขึ้นมา นั่น กิเลสตัวมันดีดมันดิ้นมันทำลายความสงบไม่ให้มี บังคับนี้ให้ดีแล้วจิตจะค่อยสงบเย็นๆ พอจิตสงบเย็นแล้วก็เห็นผล เมื่อเห็นผลแล้วก็เน้นหนักทางสติให้หนักมากเข้า ตั้งฐานได้ไม่สงสัย
จิตไม่เคยสงบ มันจะคึกคะนองยิ่งกว่าม้าแข่งก็ตามเถอะ พ้นสติไปไม่ได้นะ ถ้าสติบังคับให้ดีแล้วอยู่หมัด พูดชัดๆ ได้ทำมาแล้วนะ ไม่ฝืนไปได้เลย สตินี้ตั้งทีแรกคือตั้งอย่างไร เราไม่มีที่ตั้งของสติ เอาคำบริกรรม ให้จิตมันติดอยู่กับคำบริกรรม เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือคำบริกรรมใดที่ถูกกับจริตนิสัยของตน นำคำบริกรรมอันนั้นมาให้จิตจับอยู่กับคำบริกรรม สติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนี้ไม่ให้ออก นี่กั้นได้ไม่ไป ต่อไปก็สร้างความสงบเย็นใจขึ้นมา ความผลักความดันของกิเลสซึ่งมันออกจากทางสังขารนะ ให้พากันจำเอาไว้นะ
สังขารคือความคิดความปรุง ปรุงนั้นปรุงนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้เป็นสัญญาอารมณ์ ทั่วโลกดินแดนไปจากสังขารทั้งนั้น สังขารที่มันดันออกมามาจากอะไร จากอวิชชา อวิชชานี้เป็นรังใหญ่ของวัฏจักร มันผลักดันออกมาให้เป็นสังขาร เป็นสังขารแล้วแตกแขนงออกไป อยากคิดเรื่องนั้น อยากได้อันนี้ อยากนั้นอยากนี้ แตกไปจากสังขาร บังคับอันนี้ไม่ให้ออก สิ่งเหล่านั้นก็แตกแขนงไปไม่ได้ จิตก็ค่อยสงบลง พอสงบลงแล้วเราก็เห็นผล แห่งการตั้งสติได้ดี ก็ยิ่งเน้นหนักลงไป เน้นหนักลงไป จากสงบแล้วสว่างไสวขึ้นมา ความยุ่งเหยิงวุ่นวายของกิเลสที่มันผลักดันให้คิดให้ปรุงไม่มี เบาลงๆ หายเงียบไปเลย เหลือแต่ความสงบทับความคิดความปรุงได้หมด สบาย
ทีนี้ก็เร่งความเพียร นี่เรียกว่าตั้งรากตั้งฐานได้ เอาได้จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ในปัจจุบันไม่สงสัย ถ้าเอาสติไว้ได้แล้วเอาได้ ตั้งรากตั้งฐาน จิตเป็นความสงบร่มเย็น จากนั้นจิตก็เป็นสมาธิคือแน่นหนามั่นคง จากสมาธิแล้วเรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ คือมันไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรียกว่าหิวอารมณ์ พอจิตสงบแล้วมันจะไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องอะไร นี่เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ พอจิตอิ่มอารมณ์แล้วพาพิจารณา
นี่สอนผู้ที่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในปัจจุบันสดๆร้อนๆ ตามศาสดาที่ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์โลกให้บรรลุธรรมถึงมรรคผลนิพพานมาแล้วมากต่อมาก สดๆร้อนๆ ไม่ผิดพลาดไปได้เลย ขอให้ก้าวตามนี้ เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ เมื่อตั้งสติได้เท่าไรๆก้าวเข้าไปหาความสงบ จากความสงบใจก็มีความแน่นหนามั่นคง จากนั้นพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ สกลกายทั้งเขาทั้งเรา ภูเขาภูเรา ภูเขาทั้งหลายเขาทำลายแตกกระจัดกระจาย แต่ภูเรานี้ไม่มีใครสนใจทำลาย แยกแยะออกดูตามธาตุตามขันธ์ อวัยวะต่างๆ มันมีแต่ของปฏิกูลโสโครกสกปรกเต็มเนื้อเต็มตัว แล้วกิเลสมันเอาอย่างอื่นเข้ามาปกคลุมหุ้มห่อประดับประดาไว้
ถ้าว่าปลูกบ้านก็ให้บ้านสวยบ้านงาม เจ้าของเป็นป่าช้าผีดิบไปนอนอยู่บนบ้านบนเรือนที่สวยงาม มันปกปิดความสกปรกของมันไว้ รู้ไหมละกิเลส ตกแต่งบ้านเรือน ให้สดสวยงดงาม ประดับประดาทุกอย่าง เรื่องของกิเลสมันประดับประดา ปกปิดความสกปรกของมันในร่างกายของตัวเองนี้ไว้ ถ้าพิจารณาตามสภาพนี้แล้วอันนี้มันสะอาดสะอ้านมาจากไหน มันก็ซากผีดิบเหมือนกันกับเรา แล้วจะสร้างอะไรให้มันสดสวยงดงามอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่กิเลสมันปิดตัวเองไว้ไม่ให้เห็นความชั่วช้าลามก อุจาดบาดตาของมันเท่านั้น นี่เปิดเข้าไปซิ
เมื่อจิตมีความสงบร่มเย็นมันก็เห็นเอง เรื่องการอยู่การกินการใช้การสอยไม่ดีดไม่ดิ้นนะ เรื่องกิเลสเท่านั้นพาดีดพาดิ้น พอธรรมเป็นเครื่องเสวยมีอยู่ภายในใจแล้ว ความพอดีจะมีๆขึ้นมา อะไรพอเป็นพอไป ขอให้ได้ธรรมครองใจๆ เท่านั้น ธรรมนี้ยิ่งเจิดจ้าๆขึ้นมา เจิดจ้าขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นจางลงไป จางลงไป บ้านหรูหราฝาคั่งอะไรกี่ห้องกี่หับ เครื่องประดับประดาตกแต่งไม่ทราบว่ามีเท่าไร ในบ้านเรือนจนไม่มีอะไรเป็นที่เก็บที่ไว้ ประดับประดาตกแต่ง มันจะค่อยโละของมันไปเอง มันไม่เป็นบ้าดีดดิ้น เพราะมันเอามากลบความสกปรกของตัวเอง ไม่มีคุณค่าให้เป็นของมีคุณค่าขึ้นมาจากเครื่องประดับเหล่านั้นต่างหาก จำให้ดีนะท่านทั้งหลาย
เมื่อเวลาใจพอมีทางเป็นไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันจะค่อยตกออกไปเอง ไม่ต้องบอก ตกออกไป ตกออกไป เพราะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าหัวใจกับธรรมที่สัมผัสกันอยู่ นอกจากนั้นเป็นเครื่องประดับประดาตกแต่ง หลอก กิเลสเอามาหลอกตัวเองต่างหาก พอตัวเองรู้ธรรมเห็นธรรมเข้าไปแล้วสิ่งเหล่านั้นหลอกไม่ได้นะ มันจะค่อยปล่อยตัวของมัน เพราะอยู่รอบด้านนี้อยู่ด้วยการเสี่ยงได้เสี่ยงเสียเสี่ยงทุกข์ ส่วนมากเสี่ยงทุกข์ทั้งนั้นนะ ไม่มีใครแน่ใจได้ จะมีเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาอยู่ด้วยความเสี่ยง ไปนั่งอยู่บนภูเขากองทองมันก็อยู่ด้วยความเสี่ยง
มันไม่ได้เหมือนธรรมนะ ธรรมอยู่ที่ไหนสบายหมด อยู่ในป่าในเขา อยู่ที่ไหนสบายๆ เย็นสบาย ไม่ได้เสี่ยงนะ ไม่ได้ระมัดระวัง ไม่ได้เสี่ยง แต่อยู่กับสิ่งเหล่านั้นเสี่ยงทั้งนั้น ระมัดระวัง เดี๋ยวถูกแย่งถูกชิง การค้าการขายคนนั้นก็มาแย่งคนนี้มาแย่ง สุดท้ายล้มระนาวสู้เขาไม่ได้ ใจเสียหายขนาดไหน เสียอกเสียใจนี้เสียมากยิ่งกว่าเสียสมบัตินะ เหล่านี้ละมันแย่งมันชิง กิเลสตัณหามันแย่งกันอย่างนี้นะ หน้าที่การงานอะไรพอจะเป็นจะไป พออยู่พอกิน หากมีผู้มาแย่งจากปากจากท้องไป แล้วก็เกิดเรื่องเกิดราว สร้างกองทุกข์ขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นอย่างนี้โลกที่อยู่ด้วยกัน ไม่ได้อยู่ด้วยความสงบร่มเย็นนะ อยู่ด้วยการชิงดีชิงเด่น ชิงชั่วนั้นแหละจะเป็นอะไรไป
เมื่อธรรมเข้าสู่ใจแล้วจะไม่มีชิงสิ่งภายนอก ค่อยเบาไปๆ นี่เรียกว่างานของการสร้างความดี การให้ทาน หนึ่ง การรักษาศีล หนึ่ง การเจริญเมตตาภาวนา นี้คืองานที่จะหดย่นวัฏวน อันเกิดแก่เจ็บตายไม่มีที่สิ้นสุดลง ให้หดย่นเข้ามา ย่นเข้ามา งานของโลกที่เป็นกันอยู่เดี๋ยวนี้งานบานปลาย ตายไม่มีที่สิ้นสุด เกิดไม่มีที่สิ้นสุด ทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งเขาทั้งเรา จะตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้ มันเป็นแบบเดียวกัน แต่ไม่มีธรรมเข้าไปสอนมันก็ไม่รู้ตัว มันก็ต้องบืนกันไปตามคนหูหนวกตาบอดของกิเลสบีบบังคับเอาไว้นั่นเอง
มันจึงต่างคนต่างดีดต่างดิ้น แล้วหาหลักหาเกณฑ์เอามาอวดกันบ้างซิ ที่ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น ที่เขาร่ำลือว่าเป็นเศรษฐีกุฎุมพีมันก็พอๆกันกับเรา หัวใจเต็มไปด้วยทุกข์เหมือนกันหมด ถ้าธรรมเข้าสู่ใจแล้วใจไม่มีทุกข์นะ สมบัติภายนอกเราอาศัยเพียงพอประมาณเท่านั้นแต่มันทะเยอทะยานให้มากกว่านั้น นั่นละเป็นไฟเผาเรา ถ้าธรรมดาแล้วจะไม่เป็น เพราะธาตุขันธ์กับจิตใจมันอาศัยกันอยู่ ต้องอาศัยเขา ไม่ได้อยู่ได้กินอยู่ไม่ได้ ไม่ได้หลับได้นอนอยู่ไม่ได้ ต้องสร้างอยู่สร้างกิน สร้างหลับสร้างนอน แต่มันสร้างเตลิดเปิดเปิงน่ะซี ผาดโผนโจนทะยาน จนก่อข้าศึกเข้าสู่หัวใจเผาหัวใจทั้งเศรษฐี ทั้งคนทุกข์คนจนไปด้วยกันหมด แล้วมีใครเป็นคนมีความสุขความเจริญในโลกนี้เอามาอวดธรรมบ้างซิน่ะ เปิดให้มันชัดเจน ไม่มีทางที่จะมาอวดธรรม
ถ้าลงธรรมได้เข้าสู่หัวใจความรู้จักประมาณรู้ทันที การอยู่การกินการใช้การสอยการยับยั้งชั่งตัวรู้ทันที ให้อยู่พอเป็นพอไป พอประคองตัวไว้เพื่อเทิดทูนธรรมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา จะได้มีความสุขความเจริญ หนุนหัวใจเข้าไป แล้วใกล้แห่งความสมหวังเข้าไปโดยลำดับลำดา ที่เหล่านี้มันสร้างความผิดหวังนะนี่น่ะ เต็มโลกเต็มสงสาร สร้างแต่ความผิดหวังหาประมาณไม่ได้ ไม่มีขอบมีเขต เกิดแล้วตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนอยู่ที่ไหนไม่มีใครมีขอบเขต แต่หัวใจที่มีธรรมมีทันทีเลย อยู่ที่ไหนสบายๆ ตายแล้วก็ดีดผึงเลย
พออันนี้จะมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายเป็นคติ เราเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว เราอยู่ทางกระโหมโพนทอง เรื่องความตายนี้เราก็ไม่กลัว เราไม่กลัวตาย เพราะฟัดกับกิเลสเอาเสียจนจะเป็นจะตายก็ไม่เคยกลัวตาย แต่เวลาไปพักอยู่ที่นั่น ลงมาจากภูเขามาพักอยู่ตีนเขา บ้านนั้นก็เป็นบ้านอะไรก็ไม่รู้แหละ จะว่าโรคอหิวาก็ไม่ใช่ มันคงเป็นโรคอากาศแผดเผา เป็นสองวันตายสามวันตาย อยู่ในย่านนี้แหละ สองวันตายสามวันตาย นิมนต์เราไปกุสลาให้เขาที่ป่าช้า ครั้นไปนิมนต์แล้ว ตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว นั่นละเขาเอาศพมาเผาตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว ไปนั่งเฝ้าป่าช้าอยู่นั้นละ กุสลา ธมฺมา ทั้งวันจนค่ำถึงได้กลับวัด เอ๊ นี่เรามาภาวนาอย่างไรจึงต้องมากุลาให้เขา ส่วนงานของตัวเองไม่ได้เรื่องได้ราวมันเป็นอย่างไร
แล้วขนออกมาอย่างน้อยวันละ ๓ ศพ มากวันละ ๘ ศพ กุสลามันจะได้หยุดได้อย่างไร กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา หลายวันต่อหลายวันเข้า ทีนี้เป็นแล้วนะทีนี้ นี่ละตอนที่ว่ามันกลัวตายนะ มันเป็นขึ้นมา เป็นอย่างรวดเร็วเสียด้วย เป็นแบบเขาเป็นสองวันตายสามวันตาย นั่งอยู่มันเป็นลักษณะเหมือนเสี้ยมเหมือนหนามเหมือนเข็ม มันแทงยิบแย็บๆเข้าในหัวอก ทีแรกเล็กๆเสียก่อนนะ มันยิบแย็บๆแทงเข้าในหัวอก ประสานกันอย่างนี้ เอ๊ะทำไมเป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ธรรมดา รวดเร็วเสียด้วยนะ พอเป็นขึ้นแล้วหนักเข้าๆ ๆ รู้ได้ชัด อ๋อโรคอันนี้เองที่เขาตายเกลื่อนกันอยู่นี้ สองวันตายสามวันตาย เวลานี้มาเข้าถึงเราแล้ว อย่างไรถ้าแก้ไม่ตกเราก็ต้องตายอย่างเขาแน่นอน ไม่สงสัย
พอญาติโยมเขามาเลยบอกเขาตรงๆเลย เอ้อพวกโยม อาตมาได้มากุสลาให้ท่านทั้งหลายทุกวันๆ จนกลับวัดค่ำๆ วันไหนก็ดี ทีนี้โรคอันนี้ได้เกิดขึ้นกับอาตมาแล้วนะชัดแล้ว มันกำลังเร่งเวลานี้ อาตมาขอลาไปวัดเถอะ เราก็ว่าอย่างนี้เลย ถ้าอยู่นี้ก็จะตายอยู่นี้ ใครจะกุสลาใครละทีนี้พระตายแล้วนั่นน่ะ เขาก็เปิดให้ทันที เขาไม่มีกีดมีขวาง โอ้ยถ้าอย่างนั้นให้ท่านไป เขาก็ปล่อยให้ไป ไปมันก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรามันเคยฟัดเคยเหวี่ยงมาแล้วเรื่องทุกขเวทนา เช่นนั่งหามรุ่งหามค่ำ มันเอามาเทียบกันได้เลย ชั่งน้ำหนักใส่กัน
ทีนี้มันไม่อยากตาย ตอนนั้นไม่อยากตายคืออะไร คือจิตเวลานั้นน่ะมันละเอียดก็จริงแต่กิเลสยังมีอยู่ในใจ ละเอียดขนาดไหนก็ยังมีกิเลส ยังจะต้องตกค้าง เวลาตายนี้จะไปค้างชั้นนั้นๆ ชั้นไหนก็ไม่อยากค้าง ถ้าพ้นกิเลสเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ เราไม่ขัดข้องอะไร เดี๋ยวนี้กิเลสก็ยังมีอยู่ ตายนี้จะไปค้างชั้นนั้นชั้นนี้ มันรู้นะ ตายแล้วจะไปเกิดชั้นไหนๆ มันรู้ชัดเจน ชั้นไหนก็ตามไม่อยากไป เพราะมันจะไปค้างเสียเวล่ำเวลา ถ้าหากว่าสิ้นเสียเดี๋ยวนี้ เอาไปเดี๋ยวนี้ก็ได้
ทีนี้มันก็มาสารวนวุ่นวายกัน ความตายกับความเป็นอยู่ ยังไม่อยากตาย คือตายกลัวจะตกค้าง สักเดี๋ยวธรรมก็ขึ้นแล้วนะ อ้าว ก็เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสัจธรรม เรื่องกองทุกข์ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ มันอยู่กับร่างกายทุกคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยอริยสัจแล้วท่านจะมาวกมาเวียนอะไรกับอริยสัจ กลัวเป็นกลัวตายอย่างไร ท่านก็เคยผ่านมาแล้วในเรื่องเหล่านี้ ท่านมายุ่งอะไรกับนี้ อริยสัจเป็นอย่างไรเอาพิจารณาลงไปซี เป็นกับตายมันก็รู้ในตัวของเราเอง
พอว่าอย่างนั้นจิตพลิกกลับปุ๊บเลย เรื่องกลัวเป็นกลัวตายหาย คือกลัวตายกลัวว่าตายแล้วมันจะไปเกิดค้าง มันจะไม่ถึงที่สุด จึงกลัวตาย นี่ไม่ใช่กลัวอะไรนะ ยังไม่อยากตาย ตอนนี้กิเลสยังอยู่ ละเอียดขนาดไหนก็รู้อยู่ว่ากิเลสยัง มันก็กลัว มันไม่อยากตาย ขอให้กิเลสสิ้นไปแล้วเมื่อไรได้ แน่ะ นี่ละที่ว่ากลัวตาย พอหมุนเข้ามานี้มันก็ฟัดกันเลยละ คืนวันนั้นนะ พวกญาติโยมเขาวิตกวิจารณ์แตกกันไปทั้งบ้านเป็นร้อยๆ คน บ้านใหญ่นู้น บ้านที่เราอยู่นี้ ๗-๘ หลังคาเรือนที่เราพัก บ้านใหญ่ๆ เขามาเผาศพด้วยกันที่ป่าช้าใหญ่นั้นน่ะ เขาก็รู้กันทั้งบ้าน แตกมาก็ไล่หนีหมด ไม่ให้อยู่
อาตมาจะพิจารณาตัวเอง ก็บอกว่าอย่างนั้น ให้พากันกลับเสีย ไล่หนีเดี๋ยวนั้นเลย แตกฮือเลย ให้ไปหมดทั้งบ้านเขาเลยเชียว ไม่ให้อยู่ พอเขาไปแล้วเราเข้าที่ เข้าที่ก็ฟัดกันเลยละกับเรื่องทุกขเวทนา มันเป็นมาจากไหน อะไรเป็นทุกข์ อะไรไม่เป็นทุกข์ แยกแยะตามที่เราก็ได้เคยพิจารณามาแล้ว สติปัญญาคนเรานี้เวลามันจนตรอกจนมุมอย่าเข้าใจว่ามันจะโง่ทุกเวลานะ เวลาจนตรอกจนมุมมันจะฟิตตัวเองให้มีความเฉียวฉลาดทันกับเหตุการณ์ต่างๆได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่ก็เป็นขึ้นในเวลานั้น มันก็ฟัดกันเสียตั้งแต่สองทุ่มละมั้ง จนกระทั่งหกทุ่ม เอากันอย่างหนักเลยเป็นตายไม่ต้องคำนึง ดูแต่อริยสัจความสุขความทุกข์ที่เป็นในธาตุในขันธ์แยกแยะกันอยู่นั้น สุดท้ายมันก็ตามกันทัน สติปัญญาตามทันๆ ทุกขเวทนาที่มันเสียดมันแทงค่อยจางออกไป จางออกไป ตามกันทัน
จนกระทั่งหกทุ่มกว่าเล็กน้อย ทุกขเวทนานี้ดับหมดเลย ทุกขเวทนาที่จะเอาเราให้ตาย นี่เจ็บขัดหน้าขัดหลังเสียดแทงเอาออกหมดเลย นี่ละสติปัญญา ธรรมโอสถ พออันนี้กระจ่างขึ้นมาจิตก็ลงเต็มเหนี่ยว พอจิตลงเต็มเหนี่ยวแล้วหายสงสัย ไม่ได้ นั่นเห็นไหมละ โล่งหมดแล้ว กำหนดหาทุกขเวทนาตัวไหนที่จะมาเป็นข้าศึกไม่มีเลย เพราะอำนาจสติปัญญาหมุนขาดสะบั้นไปหมด จากนั้นแล้วก็ลงเดินจงกรมเลย หายตั้งแต่บัดนั้น นี่ละพูดถึงเรื่องกลัวตาย มันมีได้คำว่าตาย ถ้าตายแล้วมันจะค้าง ไม่อยากค้าง เพราะเวลานั้นจิตมันละเอียดขนาดไหนมันก็ยังมีกิเลสอยู่ จะพาให้ค้าง ถ้ากิเลสขาดสะบั้นไปจากใจหมดแล้วไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ ทีนี้มันยังไปไม่ได้ซีกิเลสยังอยู่ มันก็เลยคาราคาซัง
พอธรรมท่านเตือนถึงเรื่องอริยสัจ ท่านไปกลัวเป็นกลัวตายอะไร ความเป็นความตายมันอยู่กับท่านนี่น่ะ พิจารณาให้เห็นความเป็นความตายมันก็รู้เอง มันก็พลิกปุ๊บเดียว ซัดกันเลย นี่เรามาพูดเป็นคติให้ท่านทั้งหลายได้ทราบชัดเจนว่าเวลามันกลัวตายมีอยู่นะ พอพูดอย่างนี้แล้วจะพูดวาระสุดท้ายให้ท่านทั้งหลายฟังจากการปฏิบัติของตัวเอง นี่เป็นวาระที่จิตมันยังมีกิเลสนิดหน่อยก็ตาม ที่เชื้อที่จะพาให้กิด จะอยู่กี่วันกี่คืนไม่นานก็ตามไม่อยากอยู่ไม่อยากค้าง ถ้าสิ้นความเกิดนี้แล้วไปเมื่อไรก็ได้
พอจากนั้นแล้วกลับมาขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ เดือนเมษา จากเมษาก็พฤษภาขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลาห้าทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ กิเลสขาดสะบั้นเหมือนฟ้าดินถล่ม นี่ละกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจนี่เหมือนฟ้าดินถล่ม รุนแรงขนาดนั้น กิเลสนั้นมันติดกับจิตเวลามันขาดจากการนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าก็เป็นฟ้าเขาไม่ถล่ม มันถล่มระหว่างกายกับจิต มันรุนแรง ตัวนี่ดีดผึงเลยทีเดียว นั่นละเหมือนฟ้าดินถล่ม
จากนั้นไปแล้วหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ ไปเมื่อไรก็ได้ทีนี้นะ นั่นเห็นไหมละ ถึงเวลามันกล้าหาญมันกล้าหาญ ไปเมื่อไรก็ได้ทีนี้ หมดปัญหาโดยประการทั้งปวงแล้ว จากนั้นก็กลับมาจำพรรษาหนองผือ นี่ละปีเดียวกันพ.ศ. ๒๔๙๓ เอาละทีนี้ตอนจะเห็นดำเห็นแดงกันนะ พอมาจำพรรษาที่หนองผือก็มาถ่ายท้อง ถ่ายท้อง ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน นั่งอยู่บนเขียงเท้า ทีนี้เวลามันจะไปจริงๆ โอ๋ยชัดเจนมากนะ นี่ละอ่าน นี่เป็นพยานกับหัวใจของเราที่เคยได้รู้มาแล้วนะ อ่านเป็นพยานกัน ถ่ายท้อง ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน อาเจียนนี้รุนแรงมากนะ เรานั่งอยู่บนเขียงเท้านี้เศษอาหารนี้เวลาอาเจียนมันพุ่งไปติดฝา รุนแรงไหมละ คนจะตายอยู่แล้วเศษอาหารพุ่งไปติดฝาได้อย่างไร นั่นน่ะหมดกำลัง
พอหมดกำลังแล้วทีนี้จิตนี้หดวูบเข้ามาเลยนะ หมดกำลัง ความรู้ทั้งหมดหดวูบเข้ามา บนร่างกาย บนศีรษะของเราลงมาจุดศูนย์กลางคือใจ ตรงกลางอก ทางนี้ก็หดเข้ามาทันทีทันใดเหมือนกันหมด ทางแขนก็เข้าทางนี้ก็เข้า อวัยวะส่วนล่างขึ้นมานี้นะ ข้างบนก็ลงมาที่จุดศูนย์กลางคือใจ พอลงมานี้แล้วหมด ร่างกายของเรานี้เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ตาไม่ใช่บอดมันเลยบอด หูหนวกตาบอดไม่มี มีแต่เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนทั้งอวัยวะเรานี้แหละ จิตครองร่างอยู่ตรงกลาง
ฟังให้ดีภาคปฏิบัตินะ เอาความจริงมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เหลือแต่ความรู้ที่อยู่จุดศูนย์กลาง เหล่านั้นเข้ามาหมดแล้ว ร่างกายเหล่านี้ไม่มีความหมายแล้วละ หูหนวกตาบอด มันเลย ยังเหลือตั้งแต่ความรู้นี้ พอความรู้นี้หดเข้ามาหมดโดยสิ้นเชิงนะ ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายหด ความรับผิดชอบก็หดเข้ามาพร้อมกันเลย มาเหลือแต่ความรู้ล้วนๆอยู่ภายในจิตใจ นี่ละทีนี้ทุกขเวทนาดับหมดเลย ร่างกายเป็นสถานที่อยู่ของทุกขเวทนา ที่ว่ามันอ่อนแสนสาหัสนั่นก็อยู่กับร่างกาย พอหดเข้ามานี้หมดแล้ว ความทุกข์ทั้งมวลหมดโดยสิ้นเชิง นั่นละจิตจะออก จิตจะออกตอนนั้นละนะ หมด หมด ทุกขเวทนาทั้งหลายที่เป็นมาอย่างสาหัสๆ พอมาเข้าจุดศูนย์กลางนี้ดับหมด ร่างกายก็หมดความหมาย ความทุกข์ทั้งหลายหมดโดยสิ้นเชิง เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ มันไม่ได้มีสะทกสะท้านนะ
พออย่างนั้นตั้งสติ สตินี้เป็นสมมุติอันหนึ่งนะ กำหนดจับปั๊บตรงนั้นที่มันจะไป พอสติจับปั๊บมันมีกำลังนะ จิตแผ่กระจายออกมาอีก ความรู้นี้กระจายขึ้นมาข้างบน กระจายลงไปข้างล่างมาทุกสัดทุกส่วน ทุกขเวทนาก็มีตามเดิม เข้าใจไหมละ พอตอนมันเข้าถึงที่นี้แล้ว ทุกขเวทนาดับหมด ร่างกายเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทุกขเวทนาไม่มีเลย แต่ส่วนจิตนั้นมันไม่มีแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป ทุกขเวทนาทางจิตนี้ไม่มีเลย แต่นี้เราหมายถึงทุกขเวทนาทางร่างกาย พอมันหดตัวเข้าไปสู่ความรู้ที่จุดศูนย์กลางนี้แล้ว ทุกข์ดับหมดในร่างกายไม่มีเหลือ
จึงว่ามาวิตก เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ พอว่าอย่างนั้น สตินี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง จับเข้าไปตรงนั้น มันเป็นการไปเสริมกำลัง มันก็แผ่กระจายออกมา ความรู้ทั้งหลายออกมาทางหู ทางตา ข้างล่างลงไป ข้างบนขึ้นมาๆ แล้วทุกขเวทนาก็เริ่มเกิดละทีนี้ เกิดขึ้นมาตามเดิม มันก็รู้สุขรู้ทุกข์ไปตามธรรมชาติของมัน จิตก็เป็นจิต จิตไม่ตาย นี่ให้มันเห็นชัดๆ อย่างนั้นซิ นี่ละการพิจารณา ก็มันไม่ได้หวั่นไหว มันหมดทุกอย่างแล้ว อะไรเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตนี้เป็นจิตตวิมุตติ หลุดพ้นไปโดยประการทั้งปวง ไม่มีหวั่นกับสิ่งเหล่านี้ รอตั้งแต่ถ้ารอไม่ได้ มันจะไปไม่รอดหรือ ทิ้งปั๊วะเดียวไปเลย
นี่มันรออยู่จังหวะนั้น จังหวะที่ว่าเอาสติเข้าไปจับปั๊บ ถ้าปล่อยสติ ไม่ให้สติเข้าไปนี้มันจะปล่อยนะ จะตายในขณะนั้น แต่นี้เรียกว่ามันยังไม่ปลงใจที่จะตาย เลยเอาสติไปจับปั๊บเอาตรงนั้น มันก็แผ่กระจายออกไป เลยครองตัวอยู่ได้เรื่อยไป จากนั้นมันก็หาย นี่ละถอดออกมาจากหัวใจออกมาจากธาตุจากขันธ์ให้ท่านทั้งหลายฟัง จิตนี้มันตายหรือไม่ตาย พิจารณาซิ ธรรมชาติอันนี้ นี่ละตัวเกิดตัวตายอยู่ที่จิตดวงนี้เอง เมื่อชำระเข้าไป ละเอียดเข้าไปมันจะตามติดกับจิตเท่านั้น อย่างอื่นไม่ไป มันจะตามจิตนี้เข้าไปๆ จนกระทั่งถึงธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมธาตุ พอบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้วนั่นน่ะธรรมธาตุขึ้นแล้ว บรรลุธรรมปึ๋งเลย นั่น
นี่จิตมันเป็นธรรมธาตุแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นแล้วตั้งแต่ขณะนั้น แล้วเวลามันเป็นเหล่านี้มันจะมีความหมายอะไร ก็มีแต่ดูธาตุดูขันธ์ พออยู่ได้เยียวยาได้ก็เยียวยา ถ้าไม่เยียวยาได้ก็ปล่อยไปเสียเท่านั้นเอง นี่นักปฏิบัติพิจารณา ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆร้อนๆอย่างนี้ละ ให้พากันไปปฏิบัตินะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ จิตดวงนี้ตัวนักท่องเที่ยว งานการของจิตที่มันจะขยายภพชาติของตัวเองให้เกิดไม่มีที่สิ้นสุดยุติก็คืองานที่ทะเยอทะยานดิ้นไปตามกิเลส ความอยากได้ทะเยอทะยาน ได้ไม่พอ ได้ไม่พอ กินไม่พอ อะไรไม่พอทั้งนั้นเรื่องของกิเลส
นี่ละเป็นเรื่องเสริมวัฏฏะวัฏวน ความเกิดแก่เจ็บตายให้ขยายตัวบานออกไปเรื่อยๆ ทีนี้งานความดีงามทั้งหลาย เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา นี้เป็นงานประมวลภพชาติให้หดเข้ามานะ หดเข้ามา งานนั้นเป็นของงานของกิเลส มันเปิดกว้างออกไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด งานของธรรมเป็นข้าศึกกันกับกิเลส สร้างงานของธรรมนี้ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา นี้ก็ประมวลเข้ามา ประมวลเข้ามา ย่นเข้ามา วัฏวนมันจะกว้างแคบขนาดไหน แคบเข้ามา กี่ภพกี่ชาติ สุดท้ายนับชาติได้เลย หดเข้ามา ๗ ชาติ ๓ ชาติ อย่างพระโสดา ฟาดชาติเดียวขาดสะบั้นไปหมดเลย
นี่คืองานสร้างวิวัฏจักร คือสร้างความไม่หมุนเวียน สร้างพระนิพพาน ด้วยอำนาจแห่งการสร้างความดีทั้งหลายนี้หดย่นเข้ามา นี่เรียกว่างานหดย่นวัฏวนซึ่งเป็นมหาภัย เป็นทุกข์แต่สัตว์ทั้งหลายมานานแสนนาน ไม่มีใครนับได้เลย ให้ขาดสะบั้นลงไปด้วยอำนาจแห่งการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา อันนี้เอาขาดได้ อย่างอื่นขาดไม่ได้ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล อันนี้เป็นงานของธรรม เป็นข้าศึกกันกับกิเลส เอากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปได้ ถึงพระนิพพานได้ไม่สงสัย พากันเข้าใจเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ
วันนี้เปิดเผยให้ฟังชัดเจนมากนะ ตั้งแต่ต้นมาเลย เปิดเผยมาเรื่อย ตั้งแต่เริ่ม จิตตั้งให้ได้ ตั้งให้ได้จนตั้งรากฐานขึ้นเรื่อยๆ เปิดหมดเลยวันนี้ เปิดออกมาจากหัวใจผิดไปไหน ไม่มีคำว่สะทกสะท้าน เราสอนโลกสามโลกธาตุเราไม่เคยสะทกสะท้านว่าจะผิดไป พระพุทธเจ้าสอนโลกสามโลกธาตุ พระองค์เป็นอย่างไร ก็ศาสดา เราตัวเท่าหนูมันยังเป็น เข้าใจไหม ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า อวดหรือไม่อวด ไม่อวด คือมันจ้า อยู่ในนี้แล้วตามภูมิของตัวเอง แล้วมันจะอวดอะไร มันก็พูดได้เต็มปาก ก็อย่างนั้นแล้ว แต่เวลามันพูดได้พูด เวลาไม่รู้ทำอย่างไรมันก็ไม่รู้ ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นก็ไม่หมด เราลืมเมื่อไร อยู่บ้านหนองแวงนั่นน่ะ เราไม่ลืม
(ถวายทอง ๑๐ บาทครับ เงินสด ๒๕,๐๐๐ บาท) เออพอใจ นี่ละทอง ประมวลวัฏวนความทุกข์ทั้งหลายเข้ามา ย่นเข้ามา ไม่ว่าการให้ทานแบบไหนๆ ประมวลความทุกข์ทั้งหลายเข้ามา ภพชาติเข้ามาทั้งนั้นแหละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|