เทศน์อบรมฆราวาส
ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เมื่อเย็นวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
จิตตภาวนาเป็นสิ่งที่ต้านทานความกลัวได้
วันนี้เป็นวันงานครบรอบท่านพ่อลีที่มรณภาพไปเป็นเวลากี่ปีลืมแล้ว วันนี้พี่น้องทั้งหลายได้มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลถึงท่านพ่อท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นเวลา ๔๕ ปีนี้ที่ท่านล่วงลับไปแล้ว วันนี้พี่น้องทั้งหลายได้มาทำบุญอุทิศถวายท่านเพื่อเป็นบุญเป็นกุศลแก่ตนเอง และทวยเทพเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลาย จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากท่านทั้งหลายที่ได้มาบำเพ็ญในวันนี้และอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านเหล่านั้นได้รับทั่วถึงกัน
ขณะนี้เป็นขณะที่ฟังเทศน์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราที่ทำงานอย่างอื่น นับตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ค่อยมีเวลา จิตใจที่จะได้สนใจและจดจ่อต่ออรรถต่อธรรมต่อบุญต่อกุศล แต่วันนี้เป็นวันมงคล-มหามงคลแก่พี่น้องทั้งหลายที่จะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมเข้าสู่ใจมากน้อยเป็นความสงบร่มเย็น อย่างอื่นอย่างใด เข้าสู่ใจเป็นฟืนเป็นไฟเป็นความเดือดร้อน ไม่ได้เหมือนธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมเข้าสู่ใจนี้ทำให้เป็นความสงบร่มเย็น แล้วแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจของเรา ซึ่งธรรมได้เข้าสัมผัสสัมพันธ์ จึงขอบิณฑบาตพี่น้องทั้งหลายให้สนใจทางด้านอรรถธรรมเข้าสู่ใจเป็นอย่างมากกว่าที่เคยเป็นมา
คำว่าธรรมๆนี้โลกทั้งหลายทราบกันมานมนาน แต่ธรรมที่จะเข้าสัมผัสจิตใจให้เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์และตื่นเต้นขึ้นมาภายในใจของผู้บำเพ็ญ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนานั้นมีน้อยมาก แทบจะว่าไม่มี ธรรมเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของตลอดเวลา เพราะมีตั้งแต่ความเดือดร้อน ความคิดความปรุง ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย รังควานหรือราวีจิตใจตลอดเวลา จึงหาความสงบไม่ได้ ใจที่จะเป็นความสงบได้ต้องอาศัยธรรม คำว่าธรรมนั้นไม่มีธรรมใดที่จะยิ่งกว่าจิตตภาวนา
คำว่าจิตตภาวนาคือส่งจิตหรือสติเข้าไปสู่ใจซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ ที่กิเลสผลิตขึ้นเป็นความรุ่มร้อนแก่สัตว์โลกทั่วดินแดน ไม่มีใครจะทำความสงบร่มเย็นได้ คือดับไฟกองนี้ได้นอกจากธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจะดับได้เป็นลำดับลำดา เราได้ทราบมาอย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนั้น ท่านระงับดับไฟภายในจิตใจคือกิเลสตัณหาทั้งมวล ดับลงที่ใจด้วยจิตตภาวนาของพระองค์เองโดยเจริญอานาปานสติ คือกำหนดดูลมหายใจเข้าออกด้วยความมีสติ ในปฐมยามผลปรากฏขึ้นให้ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้กี่ปีกี่เดือน กี่ภพกี่ชาติไปตั้งกัปตั้งกัลป์ พระองค์เคยเกิดแก่เจ็บตายหลายภพหลายชาติ สับสนปนเปกันในภพต่างๆ ไม่ซ้ำรอยกันมาเป็นเวลานาน
ในคืนวันนั้นได้บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรม พระญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึงในร่องรอยแห่งความเป็นมาของพระองค์เอง เกิดที่ใดๆ ๆ มีแต่ใจดวงนี้เป็นผู้ไปเกิด เป็นผู้ไปตาย ได้รับความทุกข์ความลำบากยากเย็นเข็นใจ แต่ไม่ทราบร่องรอยแห่งความเป็นมาของตน ก็ตะเกียกตะกายไปอย่างนั้น ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างนั้นด้วยกันทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าเมื่อได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลัง คือตามร่องรอยแห่งความเป็นมาของพระองค์เองได้ ว่าเกิดในชาตินั้นภพนั้นๆ รวมจนไม่มีประมาณ นี่เรียกว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติคือร่องรอยแห่งความเกิดตายของตนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความลำบากตลอดมา จนกระทั่งปัจจุบันในคืนวันนั้นทรงเกิดความสลดสังเวชในความเป็นมาแห่งจิตใจ สร้างความไม่ดีให้ตนเอง พระพุทธเจ้าท่านก็มีกิเลส มีทางที่จะสร้างความเสียหายคือบาปกรรมได้เช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไป
ด้วยเหตุนี้การเกิดการตายของพระพุทธเจ้าจึงมีทั้งดีทั้งชั่วสับสนปนเปกันไป หลายภพหลายชาติหาประมาณไม่ได้ ทรงหยั่งทราบวิถีทางเดินหรือร่องรอยของพระองค์เองในคืนวันนั้น เกิดความสลดสังเวชเป็นอย่างมาก พอมัชฌิมยามก็ได้บรรลุธรรมถึงจุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณารู้ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายเช่นเดียวกับพระพุทธจ้าทรงทราบความเป็นมาของพระองค์ที่เรียกว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พระองค์ทรงเล็งญาณดูความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายในแดนโลกธาตุนี้ ยิ่งมากมายก่ายกองเหลือที่จะนับจะประมาณ จนเกิดความสลดสังเวชอันดับที่สองอีกเช่นเดียวกัน จึงทรงประมวลเรื่องราวแห่งความเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งความเกิดของพระองค์เองและความเกิดของสัตว์โลกไม่มีประมาณ เกิดตายๆ อยู่อย่างนี้ตลอดมาหลายกัปนับกัลป์ไม่ถ้วน ทรงประมวลมาถึงสาเหตุแห่งความเกิดตายเหล่านี้เป็นเพราะอะไร จึงทำให้สัตว์ได้เกิดตายๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งเขาทั้งเรา ก็ทรงพิจารณาปัจจยการ
คำว่าปัจจยการก็คือสิ่งที่หนุนให้เกิดให้ตายมาตลอดเวลานั้นมันคืออะไร ท่านจึงได้พิจารณาถึงว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้ต้นเหตุแห่งความเกิดตายของสัตว์อยู่ตรงนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จนกระทั่งสุดท้ายของอวิชชานี้ว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, สมุทโย โหติ พาให้เกิดให้ตายนี้คือสมุทัย ได้แก่อวิชชานี้แลพาให้สัตว์เกิดสัตว์ตาย พระองค์ทรงพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังแห่งสาเหตุความเกิดของพระองค์โดยลำดับ จนกระทั่งทะลุเข้าไปถึงแดนเกิดแห่งภพชาติทั้งหลาย คืออวิชชา แล้วได้ตรัสรู้ธรรมได้แก่ถอนรากแก้ว คืออวิชชาอันเป็นรากเหง้าใหญ่หลวงที่พาให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตายออกได้โดยสิ้นเชิง ในปัจฉิมยาของวันเพ็ญเดือนหก ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเพราะการพิจารณาเข้าถึงสาเหตุแห่งความเกิดตายของพระองค์และสัตว์ทั้งหลาย ลงที่ดวงใจ ซึ่งบรรจุอวิชชาพาให้เกิดให้ตายในเวลานั้นได้ถอนพรวดขึ้นมาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ
นั้นแลเป็นเวลาที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม คือรื้อภพรื้อชาติแห่งความเกิดตายของพระองค์ที่เกิดมากี่กัปกี่กัลป์ออกหมดโดยสิ้นเชิง ความรู้แจ้งแทงทะลุของจิตที่หลุดพ้นไปแล้วจากอวิชชานั้นเรียกว่าตรัสรู้ในคืนวันเดือนหกเพ็ญ จิตใจมีความสว่างไสวครอบโลกธาตุ เรียกว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลก โลกนอกโลกใน โลกนรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหมถึงพระนิพพาน รู้รอบขอบชิดไปหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับพระญาณหยั่งทราบของพระองค์เลย นี่เรียกว่าตรัสรู้ คือรู้แจ้งเห็นจริงในแหล่งแห่งสัตว์เกิดตาย คืออะไร พาให้เกิดให้ตาย ก็มาแจ้งชัดที่ตรัสรู้อวิชชาถอนพรวดออกหมด จากพระทัยแล้วก็เป็นอาโลโกอุทปาทิ พระทัยสว่างจ้าครอบโลกธาตุมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เลยไม่มีความสงสัย ถึงได้นำธรรมมาสอนโลก
ธรรมที่พระองค์นำมาสอนโลกนั้นเป็นธรรมที่ออกจากความรู้แจ้งแทงทะลุ ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับพอที่จะให้ลูบๆคลำๆ เป็นความรู้แจ้งจากพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี่ละธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนโลกจึงเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ในนามแห่งธรรมท่านเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีปิดบังลี้ลับ ทรงแสดงในแง่ใดมุมใดเป็นสิ่งที่มีแล้ว มีอยู่แล้ว ประจักษ์พระญาณหยั่งทราบของพระองค์แล้วนำมาสั่งสอนโลก ให้เชื่อตามความจริงที่พระญาณทรงหยั่งทราบไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม ดังที่ว่าบาปมี ทรงหยั่งทราบด้วยพระทัยถนัดชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี เปรตผีประเภทต่างๆ ทั่วแดนโลกธาตุนี้มี พรหมโลกมี นิพพานมี
คำที่ว่ามีๆ เหล่านี้เป็นหลักความจริงล้วนๆ จากพระทัยที่ทรงพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงหมดแล้ว จึงมาสั่งสอนสัตว์โลก สิ่งใดที่เป็นฝ่ายต่ำ ฝ่ายเสียหายฝ่ายบาปฝ่ายกรรมมาสอนโลกให้พากันระมัดระวัง อย่าพากันขวนขวาย อย่าพากันพออกพอใจและกระทำในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้น สิ่งไม่ดีทั้งหลายเมื่อทำลงไปแล้วก็จะเป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมาที่จิตใจ จิตใจจะเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมจากบาปทั้งหลายที่ตนทำมามากน้อยนั้นแล นี่ทรงสอนทรงแนะนำอย่าพากันทำบาป ทางแห่งบาปนี่เป็นทางต่ำเสมอไป จนกระทั่งถึงลงนรกอเวจีได้ เรียกว่าทางต่ำสุดของสัตว์โลกที่สร้างบาปสร้างกรรมมากมายก่ายกอง เพราะไม่หยุดหย่อนในการสร้างความชั่วช้าลามก ตกไปลงนรกอเวจีได้ เพราะมันมากต่อมาก นี่พระองค์ก็ทรงสอนไว้แล้วอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
แล้วว่าสวรรค์มีท่านก็สอนให้บำเพ็ญคุณงามความดี อันเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เป็นทางเดินด้วยความราบรื่นดีงามในภพต่างๆ ตั้งแต่ภพมนุษย์ ไปถึงภพเทวดา อินทร์ พรหมตลอดไป ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นทางที่ถูกที่ดีจากการบำเพ็ญคุณงามความดี มีการให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ผลที่ทำความดีทั้งหลายเหล่านี้จะไหลเข้าสู่ใจ และหนุนใจให้ไปเกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสมทุกภพทุกชาติไป นี่ท่านก็สอนให้รู้อย่างชัดเจนอย่างนี้ บุญกุศลที่เราสร้างมานี้มีมากเท่าไรก็หนุนผู้บำเพ็ญนั้นแล ให้ไปสูงขึ้นโดยลำดับๆ สุดท้ายบุญกุศลพอตัวแล้วก็หนุนขึ้นให้ถึงพระนิพพาน
เมื่อถึงพระนิพพานแล้วก็เรียกว่าหมดภพหมดชาติ ความเกิดแก่เจ็บตาย ความทุกข์ยากลำบากหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ เพราะการสร้างบุญสร้างกุศลของเราเป็นสิ่งที่ชะล้างสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้หมดไป นี่พระองค์ก็ทรงสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าพากันดื้อด้านหาญทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้แล้ว ว่าไม่ให้ทำ อย่าเข้าใจว่าเป็นของดิบของดีแล้วขวนขวายสร้างแต่สิ่งชั่วช้าลามก จะเป็นเคราะห์เป็นกรรมมาสู่ตัวเองนั้นแหละ กรรมดีเราทำแล้วผลดีเป็นของเรา กรรมชั่วเราทำลงไปแล้วผลชั่วก็เป็นของเรา
จึงขอให้พากันสร้างตั้งแต่ความดีงาม ความชั่วช้าลามกนั้นอย่าพากันสร้าง อย่าพากันทำ ให้ฟังเสียงคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำสอนของท่านผู้สิ้นกิเลสบริสุทธิ์พุทโธทั้งดวง มาสอนโลกไม่ผิดพลาด ใครมีความเชื่อความเลื่อมใสประพฤติปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ก็ชื่อว่าสร้างความราบรื่นดีงามเพื่อเป็นทางเดินของตนในภพชาติต่อไป และแม้ปัจจุบันก็มีความสงบร่มเย็นภายในจิตใจจากการบุญการกุศลที่เราสร้างไว้แล้วนี้ประจำอยู่ที่ใจ ไม่เหมือนสมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์ซึ่งมีอยู่ภายนอก ระลึกถึงได้ก็ว่าสิ่งนั้นมี ระลึกไม่ได้ก็เหมือนไม่มี แต่บุญแต่กุศลที่เราสร้างไว้นี่ไหลเข้าสู่หัวใจของเราเอง ระลึกหรือไม่ระลึกบุญกุศลกับใจก็ติดพันกันอยู่ตลอดไป จนกระทั่งถึงที่สุดหลุดพ้นก็ไม่พ้นจากความดีงาม คือบุญคือกุศลที่เราสร้างไว้มากๆนี้เลย
จึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราไม่มีแล้วคำสอนใดที่จะเหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนด้วยความถูกต้องดีงามทุกอย่าง ไม่ผิดไม่พลาด สอนตามหลักความจริง เช่นอย่างบาปมี นี้มีมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาก็มายอมรับเรื่องบาปว่ามีเหมือนกัน บุญมีเหมือนกัน นรก-สวรรค์-พรหมโลก-นิพพานมีเหมือนกันหมด เพราะสภาพเหล่านี้มีมาดั้งเดิม ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา แล้วอุตรินำสิ่งไม่มีทั้งหลายมาสอนโลก คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีคำสอนที่โกหกพกลมเหมือนคำสอนของกิเลส ซึ่งมันกระซิบกระซาบผลักดันอยู่ภายในจิตใจของตน อยากให้ทำสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรม สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความดีงาม แล้วก็ทำกับมัน ตามมันไปๆ เราก็สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองตลอดไป นี่คือคำสอนของกิเลส
ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นฉุดลากขึ้นสู่ทางสูงเสมอ ผู้ใดเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้นั้นจะมีความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ แม้ในภพในชาตินี้ก็อบอุ่นภายในใจ ความตายไม่มีสัตว์ตัวใดที่จะกล้าหาญชาญชัยกับมัน สัตว์โลกกลัวกันทั้งนั้น แต่ถ้ากลัวความตายเหมือนอย่างกลัวบาปกลัวกรรม กลัวบาปกรรมนี้กลัวเหมือนเรากลัวตายแล้วใครจะไม่ทำบาป เพราะเหตุไร เพราะเรากลัวตายแล้วมันไม่ตาย แต่สุดท้ายมันก็ตายจนได้ ส่วนกลัวบาปไม่ทำบาปนี้ไม่เป็นบาป เวลาระลึกถึงความตายนี้สะดุ้งไม่ว่าจะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม แม้ที่สุดสัตว์ก็ไม่อยากตาย เรื่องความตายไม่มีใครโลกสัตว์ทั้งหลายไปหาเรียนที่ไหนว่าวิชากลัวตายมีอยู่ที่นั่นที่นี่ แต่มันมีอยู่กับทุกคนทุกสัตว์ ใครจึงกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็ไม่พ้นตายทั้งๆที่กลัว
นี่ละควากลัว เรื่องความชั่วถ้าเรากลัวตกนรกหมกไหม้ พอได้รับความทุกข์ความทรมานจากการสร้างบาปสร้างกรรมของตนแล้ว เราจะได้ห่างเหินจากสิ่งชั่วช้าลามก สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟต่อจิตใจของเราทั้งภพนี้และภพหน้าตลอดไป แล้วสร้างแต่ความดีงามเข้าสู่ตน ผลจะเป็นความสุขความเจริญเย็นใจไปตลอดสาย ในภพนี้ก็ชุ่มเย็นภายในจิตใจ พอระลึกถึงความตายธรรมที่เราบำเพ็ญมานี้จะเข้ารับกันทันที ความกลัวตายนั้นถูกความดีงามของเราที่บำเพ็ญมานี้ลบล้างออกหมด ไม่กลัวตาย ผู้ที่สร้างบุญสร้างกุศลมากๆไม่กลัวตาย เพราะอำนาจแห่งความดีทั้งหลายลบล้างได้ในขณะเดียวกันที่ความกลัวตายเกิดขึ้นมา
นี่ละบุญกุศลเป็นสิ่งลบล้างความกลัวตาย จากนั้นไปก็มีความกล้าหาญชาญชัย ต่อความตาย เอาจะตายเมื่อไรก็ตายเถอะ หัวใจนี้ไม่ตาย เต็มไปด้วยบุญด้วยกุศล คุณธรรมเต็มหัวใจ ได้ที่ไหนไปดีทั้งนั้น เพราะอยู่นี้ก็ดี เป็นใจที่ดี ใจที่สงบร่มเย็น เป็นใจบุญใจกุศล ใจศีลใจธรรม ตายไปแล้วจะไปเมืองเปรตเมืองผีที่ไหนเป็นไปไม่ได้ ตายแล้วต้องไปสู่สถานที่ดี คติที่สมหวังของผู้สร้างคุณงามความดีนั้นแล ความตายก็ไม่กลัว เวลาสร้างบุญสร้างกุศลให้มากๆ ขึ้นภายในจิตใจแล้วจะไม่กลัวตาย ถ้าท่านทั้งหลายอยากสร้าง เวลานี้กำลังกลัวตายด้วยกันทุกคน ให้สร้างความดีงามรวมเข้ามาสู่จิตตภาวนา
จิตตาภาวนานี่เป็นสิ่งที่ต้านทานความกลัวได้โดยไม่ต้องสงสัย จิตตภาวนาคือพิจารณาสาเหตุอันเป็นเหตุใหญ่หลวงเกิดไปจากใจ เรากำหนดภาวนาเข้าสู่ใจ เรื่องราวทั้งดีทั้งชั่วจะปรากฏเห็นชัดที่ดวงใจของเรา แล้วชำระซักฟอกสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายซึ่งเกิดจากใจ ความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวาย การกระทำการพูดไม่ดีออกจากใจทั้งนั้น แล้วเราภาวนา ย่อมทราบได้ดีว่าความคิดเช่นนี้เป็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้ตัวเรา การพูดเช่นนั้นการทำเช่นนั้นจะเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้ตัวเรา เพราะเป็นบาปเป็นกรรม จิตตภาวนาจะรู้รอบขอบชิดโดยลำดับ แล้วสร้างแต่ความคิดที่ถูกที่ดี พูดแต่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญแก่กันและกัน การกระทำก็ทำตั้งแต่ความดีงาม จิตดวงนี้สั่งสมความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาจากการบำเพ็ญของตน
สุดท้ายไม่กลัวตาย เอาพูดให้ชัดเจน ให้เห็นประจักษ์ในปัจจุบันนี้ละ ไม่ต้องไปรอฟังข้างหน้าชาติหน้าที่ไหน ให้ภาวนาดีๆ ถ้าท่านทั้งหลายอยากรู้ว่าความกลัวตายเป็นอย่างไร ความกล้าหาญต่อความตายเป็นอย่างไร ให้พากันภาวนา พอภาวนาเข้าไปแล้วพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างรอบคอบขอบชิดไปหมดแล้วความกลัวตายหายไปๆ สุดท้ายไม่กลัวตาย จะเป็นจะตายที่ไหนไม่สำคัญๆ เพราะหลักที่แน่นหนามั่นคงคือความดีงาม ที่พึ่งอยู่กับที่ใจหมดแล้ว ใจจึงกล้าหาญชาญชัย จนกระทั่งฟาดภาวนาลงไปให้กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ เพราะกิเลสนั่นเป็นตัวกลัวตาย กลัวนรกอเวจี แต่กลัวตายก็ไม่พ้นตาย กลัวนรกอเวจีแต่อยากทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ทีนี้เวลาธรรมเข้าถึงใจแล้วความกลัวตายก็ไม่กลัว นรกอเวจีก็ไม่กลัว ภายในจิตใจมีแต่ธรรมเต็มหัวใจๆ นี่สง่างามไม่กลัวตาย
จนกระทั่งจิตที่บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นประจักษ์ใจแล้ว ความเป็นกับความตายนั้นมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่กล้าไม่กลัว วางไว้ตามหลักความจริง ใจก็จริงด้วยความบริสุทธิ์สุดส่วน สิ่งทั้งหลายก็กลายเป็นความจริงไปหมดก็ไม่ทราบว่าจะไปกลัวไปกล้ากับสิ่งใด ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว มีแต่ความบริสุทธิ์เต็มหัวใจ นี้เลยแล้วทั้งความกลัวความกล้า เรื่องเกิดเรื่องตายไม่มี มีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ท่านเรียกว่าธรรมธาตุเต็มหัวใจแล้วจากการบำเพ็ญมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เอาอันนี้ออกท้าทายตัวเองที่มันกำลังกลัวตายอยู่เวลานี้ และไม่เชื่อบาปเชื่อบุญ เชื่อนรก-สวรรค์-นิพพานมาตลอดหัวใจดวงนี้ เอาธรรมจับเข้าไป เรื่องความกลัวบาปทั้งหลายนี่มันจะกลัวเอง ความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อบุญต่อกุศลทั้งหลายจะเกิดขึ้นที่ใจเอง เรื่องนรก-สวรรค์ใจจะรู้จะเห็นใจจะหลบหลีกปลีกตัวออกจากสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายเอง ด้วยความรู้แจ้งของตน จนกระทั่งความดีงามทั้งหลาย สวรรค์ชั้นพรหมโลกถึงนิพพานจ้าอยู่ในหัวใจนี้หมด นี่ละนักภาวนา
ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าการภาวนาเป็นของเล่นเหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนานะ พระสาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเราทุกวันนี้ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมด้วยการภาวนาทั้งนั้น ท่านเลิศเลอจากการภาวนา พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านเลิศเลอ นำธรรมมาสอนพวกเราก็นำธรรมที่เลิศเลอเกิดจากการภาวนามาสอนโลก ธรรมจึงเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอที่สุด ถ้าสัมผัสสัมพันธ์เข้าสู่ที่ใจเราด้วยการบำเพ็ญ มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ดวงใจดวงนี้ที่มันเคยหมอบเคยคลานไร้สารประโยชน์ เป็นบ๋อยของกิเลสมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม ใจดวงนี้จะแสดงฤทธิ์เดชขึ้นมาเป็นใจที่มีคุณค่ามีราคา เป็นใจอัศจรรย์ขึ้นมา
เมื่อได้ปราบกิเลสสิ่งที่หาคุณค่าไม่ได้มาปกปิดจิตใจของตน ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความเลิศเลอของจิตไม่ต้องบอก เพราะจิตนี้เป็นความเลิศมาดั้งเดิมอยู่แล้ว เป็นแต่แสดงตัวออกไม่ได้ เพราะอำนาจแห่งสิ่งที่เลวร้าย ไร้สาระทั้งหลายมันปกคลุมจิตใจอยู่ ใจจึงหาสิ่งที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมาไม่ได้ แล้วให้พากันชำระดูเรื่องภาวนา พระพุทธเจ้าได้เลิศเลอจากการภาวนา พระสาวกทั้งหลายเลิศเลอจากการภาวนา แต่พวกเราทำไมมันเลวร้ายไปในทางที่ไม่ดีไม่งาม นรกหลุมหนึ่งๆ สัตว์ที่ไปตกอยู่ในนรกนั้นมันมากยิ่งกว่าที่ไหนๆ เสียอีก เพราะจิตดวงใด การกระทำของสัตว์ตัวใด ไม่ว่าคนว่าสัตว์มันทำชั่วได้ทั้งนั้น เพราะกิเลสเป็นเครื่องบังคับฉุดลากให้ทำ มันฉุดลากให้พออกพอใจ อยากทำมันก็ทำ ทำด้วยความพอใจแล้วเวลาไปเจอเข้าเป็นสิ่งที่ผิดหวังๆในแดนนรก มีจำนวนมากมายทีเดียว
ไม่มีผู้ใดที่จะทราบสัตว์ในแดนนรกละเอียดลออยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบสัตว์ในแดนนรกว่ามีจำนวนมากเท่าไรด้วย แล้วแดนนรกสัตว์แต่ละรายๆ ทำกรรมอันใดไว้ ทำกรรมอันใดไว้จึงได้ตกลงมานรกหมกไหม้ พระองค์ทรงทราบตลอดสาเหตุแห่งการทำกรรมของสัตว์ถึงกับได้มาตกนรกอย่างนี้ด้วย ไม่ทรงรู้ทรงเห็นเฉพาะสัตว์นรกที่ตายกองกัน ตายทั้งเป็น ทนทุกข์ทรมาน เพราะจิตนี้ไม่ตายต้องเสวยกรรมอยู่ในนรกนั้น มากมายก่ายกอง ทรงทราบเหล่าสัตว์นรกแบบนี้ด้วย ทรงทราบสาเหตุที่สัตว์นรกทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานหนักเบามากน้อยอย่างนี้ เพราะอะไรเป็นสาเหตุ เพราะการสร้างกรรมสร้างอกุศลผลบาปมามากมายก่ายกองจากภพใดชาติใด สร้างกรรมประเภทใดบ้างพระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึง
แล้วพวกเรายังจะมาหลับตากล้าปฏิเสธว่านรกไม่มีสวรรค์ไม่มีได้อยู่เหรอ ถ้าไม่อยากมืดบอดหนักกว่านี้ แล้วหนักมากในการทำบาปทำกรรม ลบล้างนรกทั้งหมด ด้วยความสำคัญของกิเลสตัวมืดบอด แล้วเวลาไปรับเคราะห์รับกรรมกิเลสมันไม่ได้ไปรับเคราะห์รับกรรมนะ ตัวเราเป็นผู้ไปรับเคราะห์รับกรรม เพราะความดื้อด้านหาญธรรมเหยียบหัวพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง ธรรมนั้นแลคือศาสดา เราฝ่าฝืนธรรมคือเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ลงนรกอเวจีต่อหน้าต่อตาแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปจมลงในนรก เป็นอย่างไรอะไรดีหรือไม่ดี ความดื้อด้านหาญธรรม อย่าพากันดื้อด้านหาญธรรมนะ
เราโง่ก็ให้ยอมรับว่าตัวโง่ คนตาบอดอาศัยคนตาดีลากจูงไปก็พอพ้นภัยเป็นลำดับ ถ้าตาบอดอวดดีอวดเก่งนั้นละจะลงตกเหวตกบ่อ ตกฉิบหายวายป่วงไป คนตาบอดถ้าอวดดีกว่าคนตาดีไม่มีใครชักจูง ไปโดยลำพังตนเองก็จมไปเลย ตกเหวตกบ่อ ตกไปได้ทุกแบบทุกฉบับสำหรับคนตาบอด แต่คนตาดีไม่ตก แล้วอาศัยคนตาดีเป็นผู้จูงไปก็ปลอดภัย พวกเรามันพวกตาบอดทั้งหมด ผู้ที่ตาดีก็คือพระพุทธเจ้า นำธรรมคำสั่งสอนมาสอนพวกเราให้พากันอุตส่าห์พยายามก้าวเดินไปตามทางของศาสดา เราจะแคล้วคลาดปลอดภัย เหมือนกับคนตาบอดเดินตามคนตาดีที่ลากจูงไปก็พ้นภัย แต่คนตาบอดที่อวดดีอวดเก่งเป็นผู้เหมากองทุกข์ทั้งมวล ความฉิบหายทั้งมวลคนตาบอดเหมาเอาหมด ไม่มีอะไรเหลือ
นี่ละความอวดตัวว่าดิบว่าดี ทั้งๆที่ตัวตาบอด อันนี้ถ้าใจบอดมันอวดดิบอวดดี อวดว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ตลอดถึงนิพพานไม่มี นี้ตัวอวดเก่ง ตัวนี้จะได้รับเคราะห์รับกรรมมากที่สุด จึงขอให้พิจารณาดูใจตัวเอง ใจของเรามันอวดไปทางไหนเวลานี้ มันอวดดีอวดเก่ง แล้วมันมีดีมีเก่งตามคำอวดนั้นไหม ถ้ามันอวดเฉยๆไม่มีดีมีเก่งก็เรียกว่าการอวดนี้คือหลอกตัวเอง ต้มตุ๋นตัวเองให้ล่มจมทั้งเป็น ถ้าว่าอวดดีถ้ามันดีจริงก็เออยอมรับไป ว่าชั่วจริงๆก็ยอมรับ แต่นี้มันไม่ได้เป็นไปตามความอวด เพราะกิเลสมันชอบอวดตัว ต่ำเท่าไรยิ่งยกตัวสูงขึ้นก็คือกิเลส
สำหรับพระพุทธเจ้าท่านไม่มีกิเลส ไม่มีการโอ้การอวด แสดงธรรมโดยหลักความจริงแก่โลกทั้งหลายด้วยพระเมตตาล้วนๆ ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์ มีเท่านั้น ถ้าเราเชื่อก็เป็นสิริมงคลแก่พวกเราทั้งหลาย ถ้าไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์อีกเหมือนกัน คือเราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เราจะเป็นผู้ไปรับเคราะห์รับกรรมของตนเอง ให้พากันพิจารณาเลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าตื่นโลกตื่นสงสาร โลกอันนี้มันมีตั้งแต่ความเกิดความตาย ความดีดความดิ้นกระวนกระวายทั่วโลกดินแดนนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเป็นของดิบของดีมาแข่งโลกที่เป็นฟืนเป็นไฟ ซึ่งอวดตัวว่าดีๆอยู่นี้เลย ให้พิจารณาให้ดี
ธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่อจ้าขึ้นภายในใจรู้หมด โลกเดือดร้อนมาเท่าไร แต่ก่อนไม่รู้ แต่พอเวลาตรัสรู้ขึ้นมานี้เห็นหมดรู้หมด แล้วเย็นที่ตรงไหนล่ะ ที่ไหนมันก็ร้อนไปทั่วแดนโลกธาตุ เย็นที่ตรงไหน เย็นที่พระทัยของพระพุทธเจ้าที่พ้นจากโลกเป็นฟืนเป็นไฟนี้หมดไปแล้ว เย็นที่หัวใจของพระอรหันต์ท่านที่พ้นจากโลกอันเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดแล้ว แล้วนำธรรมเหล่านี้มาสอนพวกเรา ควรที่จะพากันตะเกียกตะกายอุตส่าห์พยายามปฏิบัติตามท่าน แล้วเราก็จะเป็นสิริมงคลแก่เรา
ความที่ดีดดิ้นทั้งหลายเมื่อมีธรรมเข้าสู่ใจแล้วจะไม่ดีดดิ้นเกินเหตุเกินผล ไม่เลยเถิด จะอยู่ในความพอดิบพอดี การอยู่การกินการใช้การสอย ธรรมมีความพอดีติดอยู่แล้วทั้งนั้นคนเรา กินก็อย่ากินอย่างความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กินแบบทะเยอทะยาน กินแบบอยากให้เขายกเขายอว่าคนนี้เขามั่งเขามี กินเท่าไรไม่อัดไม่อั้น เขายอเท่าไรยิ่งเป็นบ้า เอาจนเจ้าของจมทั้งเป็น ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง ติดหนี้เป็นแบบสุกเอาเผากิน ติดคนนี้แล้วไปติดหนี้คนนั้น เมื่อมันจำเป็นแล้วก็ไปติดหนี้คนนั้น แล้วเงินที่ติดหนี้เขาเป็นอย่างไร มีแต่ไฟเผาหัวอก เผาหัวอกเป็นลำดับลำดา แต่ติดหนี้ติดสินติดไม่หยุดไม่ถอย เพราะความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ความสุกเอาเผากินมันเผาอยู่ที่หัวใจ
คนเราจึงเป็นบ้าเป็นทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ไม่รู้กประมาณ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมันลากมันจูงไป ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัว ฐานะเป็นอย่างไรก็อยู่ตามฐานะของตนก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย การดีดการดิ้น-ความทะเยอทะยานแบบไม่มีฝั่งมีฝานี้จมแทบทั้งนั้น หรือจมทั้งนั้น ให้พากันจดจำ คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านรู้จักประมาณ อัตตัญญุตา ให้รู้จักฐานะของตน มีฐานะขนาดไหนที่จะพอครองตนไปได้แค่ใดก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้น อย่าดีดอย่าดิ้นจนเกินเหตุเกินผล เหมือนอย่างอึ่งอ่างกับวัวในนิทานอีสป แต่ก่อนเราเป็นนักเรียน หากว่าได้นำหนังสือนิทานอีสปมานี้ท่านทั้งหลายที่เป็นนักเรียนด้วยกัน ก็คงจะได้เรียนหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ออกมาจากธรรมนะ
มีอึ่งอ่างตัวหนึ่งแม่ไปเที่ยวหากิน เขาเรียกว่าอึ่งอ่างกับวัว แล้วอึ่งอ่างอยู่ในรูคอยแม่ เวลาอยู่ในรู้นั้นน่ะมันมีวัวตัวหนึ่งมาเที่ยวหากินตามภาษีภาษาของวัว มันตัวใหญ่วัว เดินผ่านไปผ่านมาอยู่นั้น อึ่งอ่างตัวเล็กๆ ลูกอึ่งอ่างนั้นมันก็กลัว ขยับไปขยับมาอยู่ในรูของมันนั้นแหละ แล้ววัวก็ผ่านไป ประเดี๋ยวแม่ก็มา พอแม่มาแล้วแม่ๆหนูเกือบตาย หนูกลัวสัตว์ใหญ่ตัวหนึ่ง มันเหยียบพลาดอยู่ที่ตัวของหนู หนูเกือบตาย หนูกลัวมาก ถ้าภาษาของโลกเราว่าหนูตัวสั่นหมด ทีนี้แม่มาก็สงสัยมันใหญ่ขนาดไหนละลูก มันใหญ่เท่านี้ไหม พองตัวขึ้น นี่ดูมาๆ ธรรมาสน์นี่ดูมา มันใหญ่ขนาดนี้ไหม มันใหญ่กว่านี้นะแม่ แล้วแม่ก็พองขึ้นๆ ใหญ่ขนาดนี้ไหม ก็อึ่งอ่างตัวเดียวจะไปพองตัวให้มันเท่าวัวมันเป็นไปได้อย่างไร ฐานะไม่เคยมี เหตุผลไม่เคยมี วัวตัวนั้นก็เบ่งตัวจนกระทั่งท้องแตกตาย
อันนี้ที่พองตัวนี้ก็แบบนั้นเหมือนกัน อย่าไปหาฟัดหาเหวี่ยงหาเทียบหาเคียงของบุคคล วาสนาของใครของเรา ใครมีวาสนาดี มีบุญมีกุศลฐานะของเขาก็ไม่ยากจน ถึงขั้นเป็นเศรษฐีกุฎุมพีก็มากมาย เพราะอำนาจวาสนาบุญกรรมของตนที่สร้างมา เรามีบุญมีวาสนาเพียงเท่านี้เราก็ครองตัวของเราไป อย่าไปดีดไปดิ้นพองตัวๆ ไปแข่งวัวที่เขามีวาสนามากนั้นน่ะเท่ากับวัว อึ่งอ่างคือเรานี้มันเป็นคนวาสนาน้อย ยังอาภัพไม่มีฐานะอันสูงส่งเหมือนเขาก็อย่าพองตัว ให้อุตส่าห์พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวไปด้วยกำลังปลีแข้งของตน ดีกว่าเขาจะไปหากู้หายืมคนนั้น กู้ยืมคนนี้เข้ามา แล้วเป็นไฟเผามาเรื่อย เผามาเรื่อย นี่ละอึ่งอ่างพองตัว ยังอยากดิบอยากดี พองไป สุดท้ายตาย
ให้พากันรู้ การอยู่การกินการใช้การสอยให้รู้จักประมาณ อย่าพากันดีดกันดิ้นเป็นอึ่งเป็นอ่าง เห็นเขาใหญ่อยากใหญ่กับเขา เห็นเขาเด่นอยากเด่นกับเขา เห็นเขาเป็นดอกเตอร์ก็อยากเป็นดอกเตอร์กับเขา ดอกเตอร์ที่เรียนมาตามหลักความจริงเป็นอย่างหนึ่ง ไอ้ดอกเตอร์ที่เสกสรรปั้นยอขึ้นมาอวดดีอวดเก่ง ทั้งไม่ดีไม่เก่งนั้นมันเป็นดอกเตอร์แบบคนพาลสันดานหยาบ อันธพาล เป็นคนขวางโลก อย่านำมาใช้ ให้อยู่ตามฐานะของตน เรียกว่าการอยู่การกิน การใช้สอยก็เหมือนกันให้รู้จักประมาณ การใช้สอยอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว มันเสียเรานั้นแหละ
จากนั้นแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์พวก อยู่ในพวกคนนั้นเห็นคนนี้ทำก็อยากทำ คนนั้นเห็นคนนี้ทำก็อยากทำๆ เลยระบาดสาดกระจายไปด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกันทั่วประเทศ ใช้ไม่ได้เลย ต้องให้อยู่พอดิบพอดีท่านเรียกว่าธรรม ธรรมมีความเพียงพอ แต่กิเลสเป็นไม่มีคำว่าพอ ได้เท่าไรเป็นไม่พอ เอาจนตายจมไปด้วยมันนั้นแหละ ถ้าเป็นธรรมแล้วพอตัวๆ จึงขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกชาวพุทธนำไปพินิจพิจารณา อย่าลืมเนื้อลืมตัว อัตตัญญุตา ให้รู้กำลังวังชาวาสนาบุญญาภิสมภารของตนมีมากมีน้อยเพียงไร อย่าดีดอย่างดิ้น ท่านผู้มีวาสนามากก็ให้ท่านก้าวเดินไปตามวาสนาของท่านที่มีบุญมากวาสนามาก เพราะสร้างความดีมามาก เรามีเท่านี้เราก็ให้สร้างให้บำเพ็ญตนไปตามกำลังความสามารถของเรา อย่าดีดอย่าดิ้นเที่ยวหากู้หายืม อยากเป็นเศรษฐี ทั้งๆที่จนๆมันยิ่งเพิ่มความจนมากเข้า สุดท้ายจมทั้งเป็น อย่านำมาใช้
ขอให้ทุกๆ ท่านได้นำไปพินิจพิจารณาทุกคน นี่เรียว่าธรรมสอนโลก ธรรมสอนโลกไม่ผิด โลกมันผิดมาตลอด ธรรมท่านไม่ผิด ขอให้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติดัดแปลงตนเอง เราก็จะดีวันดีคืนขึ้นไป การประพฤติตัวของเรานั้นละสำคัญมาก สิ่งใดก็สู้ความประพฤติตัวความดีของตัวไม่ได้นะ เราอบอุ่น การประพฤติตัวเป็นคนดี การทำตัวเป็นคนชั่วช้าลามกใหญ่โตขนาดไหนก็คือมหาโจรปล้นชาติปล้นศาสนา ไม่มีอะไรเหลือเลย อย่างที่มหาโจรอยู่ในเมืองไทยเรานี้พากันรู้ไม่ใช่เหรอ มันเป็นอย่างไรมหาโจรกำลังปล้นชาติบ้านเมือง ฟังว่า มหา มันอำนาจใหญ่โตโดยอาศัยอำนาจป่าๆเถื่อนๆ มาบีบบี้สีไฟประชาชนให้แหลกเหลวไปหมด มันมี อำนาจป่าเถื่อนอย่านำมาใช้ ให้พากันรู้จักประมาณในความเป็นอยู่ของตนนะ
วันนี้ได้เทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ และของเน้นหนักในทางด้านธรรมะ หัวใจของเรานี้ทุกดวงมันมีธรรมอยู่ในหัวใจบ้างหรือไม่ ให้ถามตนเองบ้าง ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งป่านนี้มันมีธรรมอยู่ในหัวใจเราบ้างหรือไม่ อย่างน้อยก็พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ มันเคยคิดเคยนึกบ้างหรือไม่ หรือมันคิดตั้งแต่เรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาไปอย่างนั้นเหรอ โลภได้เท่าไรไม่พอ นี่มันจะสังหารตนเอง ความคิดให้รู้นะ ความโลภได้เท่าไรไม่พอๆ นี้ละมันจะสังหารตนเองให้ล่มจมในปัจจุบันจนได้ ความโกรธความเคียดแค้นมันเกิดที่หัวอกเรามันก็เป็นไฟเผาเราแล้ว เรายังทำไมต้องเอาความโกรธนี้ไประบาดสาดกระจายให้คนอื่นได้รับความกระทบกระเทือนมากไม่มีประมาณ มันไม่ใช่ของดี
นี่ละความโกรธ พอมันเกิดขึ้นที่ใจของเราให้รู้ว่าไฟเกิดขึ้นแล้ว เผาหัวอกของเราแล้วรีบระงับมันไป อย่าไปกระจายให้คนอื่น ระบายความโกรธความแค้นนั้นให้เบาไปด้วยการโกรธคนอื่นใช้ไม่ได้เลย ไม่ใช่ธรรม ให้ระงับลงด้วยความรู้โทษของมันที่เกิดขึ้นจากใจ ระงับลงที่ใจ มันก็ไม่กระจายไปเผาไหม้คนอื่น แล้วเรื่องราคะตัณหาก็เหมือนกัน ราคะตัณหานี่กำเริบเสิบสานมากทีเดียว ในเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธมันเลยกลายเป็นเมืองหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ไป ไม่มีขอบมีเขต ไม่มีเหตุมีผล
เรื่องราคะตัณหาได้ไม่พอๆ มองเห็นกันเอาราคะตัณหาเข้าแลกเข้าเปลี่ยน เข้าทักทายกันเลย คนมีธรรมจะเอาอันนี้ไปทักทายหาอะไร ความดิบความดีมีอยู่ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกันความดิบความดี ความสวยงาม ความเย็นตาเย็นใจมีอยู่ ไปแต่งทำไมแบบหมูแบบหมา หมามันไม่นุ่งผ้าก็ยังดีกว่าคนนุ่งผ้า แล้วทำวิบๆแวบๆ วับๆแวมๆ หลอกกัน นี่คือกิเลสหลอกกัน มันทำจิตใจให้กำเริบๆ เรื่องความระงับดับกันด้วยศีลด้วยธรรมไม่มี นี่ละเรื่องธรรมมันมีในใจเราไหม ที่กล่าวเหล่านี้มันมีแต่กิเลสกองกันเต็ม เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ด้วยกัน ธรรมไม่มีเลยแล้วเราจะหวังความสุข ความเจริญ ความสงบร่มเย็นมาจากไหน ถ้าหากว่าหวังความเจริญมาจากสิ่งเหล่านี้แล้วโลกนี้เจริญไปนานแล้ว นี้มันมีแต่ความจมก็เพราะวิ่งตามความล่มความจม มันก็จมไปเรื่อยๆ ถ้ายังวิ่งตามอีกจมไปมากกว่านี้อีกนะ
ให้พากันจดจำเอาบรรดาลูกหลาน วันนี้ได้มาเทศนาว่าการในวันครบรอบของท่านพ่อลี เพื่อท่านทั้งหลายได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมบ้างนะ มันฟังตั้งแต่เสียงเพลงลูกทุ่งลูกกรุง เรื่องกิเลสตัณหาไปที่ไหนสองขามันไม่อยากได้ ถ้าไปหาทางกิเลสตัณหาไปโรงระบำรำโป้โรงบ้าโรงบานี้มันอยากได้สิบขาวิ่งมันจะได้เร็วขึ้น ถ้าไปอรรถไปธรรมมีสองขาข้างหนึ่งเจ็บเข่า สุดท้ายหาอุบายไปจนได้ว่า ไปไม่ได้ ถ้าจะไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีล เดินจงกรมนั่งสมาธิ เข่าอ่อนขาอ่อนไปหมด นี่กิเลสมันตีขาเอารู้ไหม ถ้าไม่รู้ให้รู้เสีย มันอยู่ในหัวใจของเรา
กิเลสเกิดที่หัวใจสัตว์ ธรรมะเกิดที่หัวใจสัตว์ แต่เวลานี้ธรรมะเกิดไม่ได้ มีแต่กิเลสตีเอาๆ หมอบตลอดเวลา ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วพอใจๆ วิ่งตามมันตลอด ถ้าเป็นเรื่องธรรมะนี้ทุกอย่างอ่อนเปียกไปหมด ให้เอาอันนี้ไปถามตัวเองนะ หัวใจของเราทุกคนมีอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าเราต้องการเป็นคนดีสมกับเรารับผิดชอบเรา นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ไม่มีรักอื่นใดที่จะเสมอเหมือนการรักตนนี้เลย ก็ให้นำธรรมะนี้เข้าไปวินิจฉัยใคร่ครวญ เพื่อปรับปรุงตัวเองที่มันบกพร่องอยู่ตรงไหนให้ปรับปรุงเสียตอนนี้ เวลาตายแล้วจึงนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา มันปรับปรุงอะไร กุสลา ธมฺมาๆ
กุสลา ธมฺมา ก็คือว่ายังบุคคลให้ฉลาด เราไม่ได้สนใจสร้างอรรถสร้างธรรมด้วยความฉลาดของเรา ตายแล้วนิมนต์พระมาหมดประเทศไทยมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราโง่เสียคนเดียว จมลงไปคนเดียวเรานั้นไม่เกิดประโยชน์ ให้รีบสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความเฉลียวฉลาดเพื่ออรรถเพื่อธรรมเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระ บุญกุศลเต็มอยู่ในหัวใจแล้วพอตัว ท่านสร้างบุญกุศล ไม่ใช่ว่ากุสลาแล้วจึงนิมนต์พระ ตายแล้วจึงนิมนต์พระมาบังสุกุล มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้รีบทำเสียตั้งแต่บัดนี้ แต่ยังไม่ตาย
เอาละวันนี้เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ คิดว่าจะพอเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เท่าที่ควร จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|