ใช้ธรรมเป็นศาสตราอาวุธ
วันที่ 17 เมษายน 2549 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กทม.

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ใช้ธรรมเป็นศาสตราอาวุธ

 

          (พระสงฆ์และฆราวาสวัดสังฆทานมากราบนมัสการ และถวายทองคำแด่องค์หลวงตา ๒๒ บาท ๑ สลึง) ฟังๆ จะอ่านรายการบริจาคให้ฟัง พระอาจารย์สัมพันธ์ ธีรปัญโญ และคณะพระอุปัฏฐากหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดสังฆทาน น้อมถวายทองคำแด่หลวงตามหาบัว น้ำหนักรวม ๒๒ บาท ๑ สลึง ด้วยความเคารพ เอาสาธุพร้อมกัน (สาธุ)

          วันนี้ผมก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อสังวาลย์ที่วัดทุ่งสามัคคี ผมตั้งใจไปวันนี้ ว่างพอไปได้ผมก็ไป ไปเยี่ยมหลวงพ่อสังวาลย์ วัดทุ่งสามัคคี วันนี้นะผมไป กลับมาตอนบ่ายสามโมง

          ดีละพระลูกพระหลานมาเยี่ยมนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราเข้ามาในแนวหน้าแห่งการรบกับข้าศึกศัตรู คือกิเลสตัณหาซึ่งมีอยู่ในหัวใจแต่ละคนๆ ให้ตั้งหน้ารบด้วยความจริงใจ ด้วยความพากเพียร การรบกับกิเลสภายในจิตใจนี้หลักใหญ่ก็ออกจากจิตตภาวนา คือมองดูจิตใจของเราที่เป็นต้นเหตุอันใหญ่หลวง กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี เกิดอยู่ที่นั่น แล้วอยู่ก็อยู่ที่นั่น ทีนี้เวลาแสดงออกส่วนมากมักจะมีแต่ด้านกิเลสออกจากจิตใจ แสดงออกไปแล้วก็กว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนเองและคนอื่นได้รับความกระทบกระเทือนด้วย เพราะกิเลสอยู่ภายในจิตใจของเรา

          เราจงใช้ธรรมเป็นศาสตาอาวุธที่สำคัญ ได้แก่ความพากเพียรโดยทางจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ถึงจะทันกันกับกิเลสประเภทต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในหัวใจ ลำพังเราพินิจพิจารณาธรรมดานี้ไม่ทันกับกิเลสตัวสำคัญอยู่ภายในใจ จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาด้วยจิตตภาวนาอย่างหนักหน่วง เอาจริงเอาจัง หลักของการภาวนาท่านทั้งหลายก็ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วพอประมาณ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาอบรมให้เพิ่มเข้าไปอีกเพื่อกำลังอันดีงามของเรา ได้แก่สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมความพากความเพียร ขันติธรรมความอดความทนในการประกอบความพากเพียร

          อันนี้เป็นสำคัญเป็นเครื่องสนับสนุนได้อีก เราจะได้เห็นเหตุเห็นผลที่ก่อกองทุกข์ให้แก่โลกทั่วแดนโลกธาตุนี้ เหตุผลกลไกมันเป็นมาจากอะไร ไม่มีใครค้นพบต้นเหตุแห่งความฉิบหายวายป่วงและความทุกข์ทรมานของโลกเกิดมาจากอะไร ลงไปแล้วก็เกิดมาจากกิเลสภายในหัวใจของสัตว์แต่ละดวงๆ น้ำดับไฟคือธรรมก็มีอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน คือมีอยู่ที่ใจ  แต่ธรรมยังไม่มีอำนาจที่จะแสดงออกปราบปรามสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เป็นกิเลสอยู่ในใจดวงเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยกอาวุธขึ้นมา ได้แก่ธรรมาวุธ

          ขึ้นต้นก็สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมความพากความเพียร ขันติธรรม สำคัญมากทีเดียว ให้ตั้งจ่อเข้าไปดูจิตใจที่เป็นสงครามใหญ่เกิดอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีวันสงบได้เลย สัตว์โลกเดือดร้อนเพราะสงครามใหญ่ภายในหัวใจเกิดอยู่ตลอด เผาสัตว์โลกอยู่ตลอด แต่ไม่มีสัตว์โลกรายใดที่จะสามารถรู้ต้นเหตุของมันว่าฟืนไฟและความเดือดร้อนนี้เป็นมาจากอะไรถึงได้เดือดร้อนกันทั่วโลกดินแดน ก็หมุนเข้ามาสู่ธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

          พระพุทธเจ้าท่านดับไฟวัฏวนวัฏทุกข์ได้ด้วยจิตตภาวนา โดยทางอานาปานสติ ดังที่เราได้เคยเห็น ได้เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ที่พระองค์ทรงเจริญอานาปานสตินั่นละ แล้วก็ได้ตรัสรู้ในวันคืนเดือนหกเพ็ญ รวดเร็วมาก ในคืนวันนั้นเองที่ทรงเปลี่ยนอุบายวิธีการแก้กิเลสมาเป็นอานาปานสติ ซึ่งเป็นการถูกต้องตามทางเดินของผู้ที่จะเป็นจอมปราชญ์ พ้นจากกิเลสทั้งหลายด้วยจิตตภาวนาโดยทางอานาปานสติ ท่านก็ได้ทรงบรรลุหรือตรัสรู้ขึ้นมาในคืนวันเดือนหกเพ็ญ คืนวันนั้นเอง

          ตอนเช้าก็เสวยพระกระยาหาร ๔๙ ชิ้น ที่นางสุดาเขาเอาไปบูชาต้นไม้ใหญ่ คือต้นไม้โพธิ์นั้นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านกำลังเสด็จมาพักอยู่ที่นั่น และปลงพระทัยที่จะเสวยพระกระยาหาร ก็พร้อมกับนางสุชาดาได้ข้าวมธุปายาสมา ๔๙ ชิ้นมาถวาย เขาก็ไม่ได้คิดว่าเป็นคนเช่นไรละมาอยู่ที่นั่น เห็นว่าเป็นนักบวชเขาก็ถวายมา ท่านก็เสวยพระกระยาหาร ๔๙ นั้น แล้วก็ปลงพระทัย เพราะอุตส่าห์พยายามขวนขวายมาทุกแบบทุกฉบับ ถึงขั้นสลบไสลก็เคยผ่านมาแล้ว ยังไม่สำเร็จความมุ่งหมายที่ทรงตั้งไว้ว่าจะให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา จากการบำเพ็ญทั้งหลายเหล่านี้ แต่การบำเพ็ญก็คือทางไม่เคยเดิน ย่อมผิดย่อมพลาด ไม่ถูกต้องตามหลักตามเกณฑ์ก็บรรลุธรรมไม่ได้

          สุดท้ายก็หวนกลับมาพิจารณาอานาปานสติ ซึ่งทรงระลึกได้ตั้งแต่พระราชบิดาพาไปแรกนาขวัญอยู่ที่ต้นหว้าใหญ่ ทรงบำเพ็ญอานาปานสติ เกิดความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นภายในพระทัยของสิทธัตถราชกุมาร นั่น เวลาพิจารณาทางไหนหาทางเข้าทางออกทางเดินไปมาที่ไหนไม่ได้ก็ระลึกถึงอดีต ที่ทรงบำเพ็ญอยู่ใต้ต้นหว้าใหญ่นั่นแล้ว ว่าเป็นของอัศจรรย์จึงทรงระลึกแล้วจับอันนั้นไว้เลย ว่าจะทรงบำเพ็ญอานาปานสติตั้งแต่บัดนี้ไป พร้อมกับปลงพระทัยในการจะเสวยพระกระยาหารต่อไป เพราะการอดพระกระยาหารเหล่านี้อดเพื่อตรัสรู้ถ่ายเดียว โดยไม่มีจิตตภาวนาเข้าแทรกก็ผิดทาง แต่การอดเพื่อเป็นการสนับสนุนทางความพากเพียรที่ถูกต้อง แล้วก็มีกำลังมากขึ้นเป็นลำดับ

          เราจะเห็นได้ชัดในวันเดือนหกเพ็ญ เป็นวันที่ทรงอดพระกระยาหารมาได้ ๔๙ วันแล้ว วันนั้นเป็นวันที่จะเสวย ก็พอดีนางสุชาดานำข้าวมธุปายาสมาถวาย ๔๙ ชิ้นก็ทรงเสวย ทีนี้เสวยพระกระยาหารคราวนี้แล้วตอนกลางวี่กลางวันจนกระทั่งถึงค่ำ พระสรีระทุกสัดทุกส่วนเบาหวิวๆ เพราะไม่มีกำลังอะไรเลย พอได้อาหารเข้าไปสนับสนุนพระสรีระเท่านั้น พร้อมกับการทรงบำเพ็ญอานาปานสติซึ่งเป็นการถูกทางแห่งความตรัสรู้  สรุปความเอาเลยว่าก็ได้ตรัสรู้ในวันเดือนหกเพ็ญ คือคืนวันนั้นเอง เป็นการถูกทาง พร้อมกับทรงอดพระกระยาหาร พระสรีระก็เบาไปหมด ไม่มีกำลังวังชาอะไรที่จะมาต่อต้านกิเลสตัณหาให้ภาวนาไม่สะดวก

          ทรงบำเพ็ญอานาปานสติด้วยพระสรีระอันเบาหวิว เพราะอดอาหารมาหลายวัน ก็เข้ากันได้สนิท ทรงบำเพ็ญมาแล้วก็ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นพระพุทธเจ้าในโลก คำว่าตรัสรู้ก็คือว่าทำลายแดนแห่งมหันตทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่ในใจของสัตว์โลก ได้แก่กิเลสตัณหา ยกเบื้องต้นแห่งกิเลสขึ้นมาก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ต่อไปเรื่อยๆ อวิชชานี้อยู่ในพระทัยมานานแสนนานเหมือนโลกทั่วๆ ไป ไม่มีวันที่จะถอยออกไปจากจิตใจของสัตว์แต่ละดวงๆ เลย ขยำย่ำยีสัตว์โลกให้เกิดความทุกข์ความทรมาน ให้เกิดความล้มความตาย แล้วเกิดใหม่ตายใหม่ เกิดใหม่ตายใหม่ เกิดที่ไหนทุกข์ที่นั่น ภพน้อยภพใหญ่มีแต่ภพแห่งความเกิด แห่งความทุกข์ทั้งหลายที่สัตว์ทั้งหลายจะได้รับจากเชื้ออันสำคัญคืออวิชชาที่วางร่องรอยแห่งความเกิดเอาไว้

          พอทรงบำเพ็ญอานาปานสติก็เข้าไปทำลาย อวิชฺชาปจฺจยานี้ลงได้ในคืนวันนั้น วัฏจักรก็แตกกระจัดกระจายออกไป คืออวิชชาแตก อวิชชาตัวก่อภพก่อชาติก่อความทุกข์ทุกประเภทเกิดขึ้นจากอวิชชาคือความเกิดนี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แตกแขนงออกไปไม่มีสิ้นสุด ก็ได้ถูกทำลายขึ้นในวันนั้น โดยที่พระองค์พิจารณาอานาปานสติในปฐมยามก็ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติของพระองค์ย้อนหลังได้ไม่มีประมาณ นั่น นี่เป็นปฐมยาม ผลเกิดขึ้นจากการภาวนาอานาปานสติ ได้ปรากฏขึ้นแล้วในปฐมยาม เรียกว่าได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติ เสวยชาติเป็นอะไรต่ออะไรบ้าง ความทุกข์ความทรมานที่ติดตามมากับชาติก็ไม่มีประมาณเช่นเดียวกัน

          พอมัชฌิมยามก็บรรลุจุตูปปาตญาณ คือความเกิดความตายของสัตว์โลกที่ไม่มีประมาณ หนาแน่นมากที่สุด ในวัฏจักรอันนี้มีตั้งแต่เรื่องความเกิดความตาย ท่านเรียกว่าจุตูปปาตญาณ คือความเกิดความตายของสัตว์นั้นแหละ ในมัชฌิมยามได้บรรลุธรรมอันนี้ขึ้นมา ดูชาติความเกิด ปุพเพนิวาสานุสสติญาณของพระองค์ แล้วหาประมาณไม่ได้การเกิดการตาย แล้วสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างไร มีการเกิดการตายหมุนเวียนกันอย่างนี้หรือไม่ ก็พอดีมัชฌิมยามก็ทรงบรรลุแจ้งทะลุขึ้นมาว่าสัตว์ทั้งหลายก็เป็นแบบเดียวกันกับเราการเกิดการตาย ที่เรียกว่าจุตูปปาตญาณ ทรงหยั่งทราบความเกิดความตายของสัตว์โลก ในยามที่สองคือมัชฌิมยาม

          ทีนี้พระองค์ก็ทรงประมวลเอาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ แล้วก็ดูสัตว์ทั้งหลายที่เกิดตายๆ ด้วยจุตูปปาตญาณ ก็พิจารณาเป็นแบบเดียวกันกับพระองค์ แล้วทรงประมวลทั้งสองประเภทนี้ คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณและจุตูปปาตญาณเข้ามาพินิจพิจารณา การเกิดการตายทั้งเขาทั้งเราหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่นี้อะไรเป็นสาเหตุ จึงต้องได้มาเกิดมาตายไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้ตลอดมา และจะตลอดไป ไม่มีสิ้นสุดยุติ มันเป็นเพราะอะไร อะไรเป็นสาเหตุ

          นี่ตอนนี้ตอนที่พระองค์ทรงพิจารณาปัจจยาการ ปฏิจจสมุปบาท คือความต่อเนื่องมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา เรื่อยไป นี่ละทรงพิจารณา นี่ต้นตอแห่งความเกิดความตาย ความหมุนเวียนของสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นจากตรงนี้ พระองค์ก็พิจารณาทั้งอนุโลมทั้งปฏิโลม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา พิจารณาตามแถวแนวที่พาให้เกิด อะไรเป็นต้นเหตุ ก็อวิชชาเป็นต้นเหตุ สังขารต่อเนื่อง วิญญาณ นามรูป เรื่อยไปจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งสมุทัยที่พาให้เกิดตลอดไปนี่

          ท่านจึงสรุปว่า เราพูดเร็วๆ ก็ไม่ทัน เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ...สมุทโย โหติ เราย่อเอาเลยนะ ท่านทั้งหลายก็เรียนมาแล้ว ผมจำบาลีไม่ค่อยได้ แต่ธรรมดาจำได้อยู่ เวลาจะมาพูดในปัจจุบันนี้มันจับไม่ทัน เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ...สมุทโย โหติ ตั้งแต่อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มาจนกระทั่งถึงจุดนี้เป็นสมุทัยทั้งนั้น ท่านสรุปความลงมา นี่เป็นอนุโลม ทีนี้พอพิจารณามันเป็นมาจากอะไรๆ ย่นเข้ามาก็คือมาหาอวิชชาอันเดียวกัน  ก็มาทำลายอวิชชาให้ขาดสะบั้นลงจากพระทัย เสร็จแล้ว อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธเมื่ออวิชชาดับ กิ่งก้านสาขาดอกใบ เช่นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา กิ่งก้านสาขาดอกใบดับไปพร้อมกันหมด ทีนี้ก็ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธโหติ เหล่านี้เป็นนิโรธดับหมด เมื่อสมุทัยดับ เรียกว่าสังขาร วิญญาณ นามรูป ดับลงพร้อมกันหมดเลย นี่พระองค์ตรัสรู้ในปัจจยาการ นี่เป็นเรื่องสำคัญ

          เมื่อทรงเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับการบำเพ็ญถูกต้องตามทางเดินของศาสดาที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็บรรลุธรรมขึ้นมาด้วยอานาปานสติ เป็นธรรมสอนโลกขึ้นมา พระองค์ทรงบำเพ็ญลำบากลำบนขนาดไหน ต้นเค้าแห่งพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาจากสิทธัตถราชกุมาร ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลา ๔ อสงไขย แสนมหากัป มาบรรจบครบรอบสมบูรณ์เต็มที่ในวันเดือนหกเพ็ญ ที่ว่าตรัสรู้ในวันเดือนหกเพ็ญด้วยอานาปานสติ

          นี่ละเป็นความถูกต้องชอบธรรม ควรแก่ความเป็นศาสดาได้เต็มองค์ จึงได้มาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ จากศาสดาองค์เอกนี้แหละสอนโลก นี่แถวแนวของพระพุทธเจ้าท่านดำเนินมาอย่างนี้ บำเพ็ญเมื่อถูกต้องแล้วก็ได้บรรลุอรรถบรรลุธรรมขึ้นมา จากนั้นก็สอนธรรมแก่สัตว์โลกทั้งหลายตลอดมาด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เพราะทรงประทานพระโอวาทแก่นักบวชทั้งหลาย เช่นบวชเป็นฤาษีดาบสก็เรียกว่านักบวช มีเบญจวัคคีย์ทั้งห้า หรือดาบสทั้งสองที่ล่วงไปก่อนนั้นแล้ว แล้วก็มีเบญจวัคคีย์ทั้งห้า

          เมื่อได้รับพระโอวาทที่พระองค์ทรงแสดงด้วยความถูกต้องแม่นยำแล้ว เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้ก็ได้จักษุดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ในเบื้องต้นคือพระอัญญาโกณฑัญญะ อันดับต่อไปก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ทีแรกแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก่อน พอเสร็จนี่แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เปล่งอุทานขึ้นมาว่ายงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ สิ่งใดก็ตาม ธรรมที่เกิดขึ้นประจักษ์กับใจต้องเป็นธรรมที่รุนแรง เป็นธรรมที่สะดุ้ง เป็นธรรมที่อุทาน แล้วท่านอุทานขึ้นมาว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น

          นี่พูดอย่างเด็ดขาดไปเลย ในโลกธาตุนี้สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น แล้วอะไรเป็นเครื่องรับรองที่ว่าสิ่งไม่ดับคืออะไร เหล่านั้นดับทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ดับคือธรรมที่จ้าขึ้นภายในหัวใจ เป็นอริยบุคคลขั้นแรกคือพระโสดา มีดวงตาเห็นธรรม วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ นี่ละท่านแสดงขึ้นมา อันนี้ไม่ดับ ท่านเห็นนี้เป็นพยานแล้วจึงกล้าแสดงออกในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่า สิ่งใดเกิดแล้วดับทั้งนั้น อย่างเด็ดขาด เป็นคำอุทานของท่านผู้รู้ธรรมเห็นธรรม ที่สะดุดอย่างแรงกล้า จะพูดอย่างธรรมดาดังที่ท่านแสดงในปริยัตินั้นไม่ได้ เราเชื่ออย่างนั้น

          ทางปริยัติท่านแสดงไว้ว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา นี้เป็นคำลอยๆธรรมดา ไม่ใช่คำของผู้เห็นธรรม ผู้เห็นธรรมก็คือพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อประจักษ์ภายในจิตใจเต็มหัวใจแล้วก็อุทานขึ้นมาอย่างอาจหาญชาญชัย ประจักษ์ใจเลยว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ที่ไม่ดับคือธรรมชาติที่บรรลุเดี๋ยวนั้นเอง นี่คือธรรมชาติที่ไม่ดับ มีอันนี้เป็นเครื่องยืนยันกัน นอกนั้นดับทั้งนั้น แล้วอันใดที่ไม่ดับที่จะเกาะจะยึดได้ คือธรรมที่ท่านบรรลุนั้นแหละ อันนี้ไม่ดับ

          พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งพระอุทานรับกันทันทีเลยว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ ได้รู้แล้วหนอ ออกอุทานรับกัน ความเห็นธรรมภายในจิตใจไม่ต้องไปหาผู้หนึ่งผู้ใดมาเป็นสักขีพยาน จึงจะเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเต็มหัวใจเกิดขึ้นแล้วเป็นความจริงด้วยกัน ระหว่างธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นความจริงประจักษ์ใจ ประกาศตนป้างขึ้นมาได้ ว่าสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น สิ่งนี้ไม่ดับ สิ่งที่รู้เวลานี้ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมขึ้นมานี้ไม่ดับ

          จากนั้นพอวันคำรบต่อไปก็คือแสดงอนัตตลักขณสูตร ถึงเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรปล่อยให้หมด ย่นเข้ามา รูป เวทนา สัญญาณ สังขาร วิญญาณ นับแต่ทั่วแดนโลกธาตุขึ้นมา เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับทั้งนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรถือเป็นตัวเป็นตนเป็นเขาเป็นเรา ซึ่งเป็นภูเขาทั้งลูกกั้นทางมรรคผลนิพพาน เปิดออกให้หมด สลัดทิ้งให้หมด ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน สิ่งที่เป็นตัวเป็นตนคือกำลังพิจารณา กำลังรู้ กำลังภาวนาอยู่นี้ นั่นก็มารู้ตรงนี้

          ท่านแสดงอนัตตลักขณสูตร แสดงถึงเรื่องกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สุดท้ายก็ลงอนตฺตา อนตฺตา ปัดออกหมด บรรดาเบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ได้บรรลุธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรมด้วยธรรมะสูตรนี้ คืออนัตตลักขณสูตรนี้แล เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมด้วยอนัตตลักขณสูตรนี้ ส่วนชฎิลนั้นบรรลุด้วยอาทิตตปริยายสูตรท่านก็แสดงไว้เรียบร้อยคำว่าอนัตตลักขณสูตร ครึล้าสมัยไปหรือ เวลานี้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนัตตลักขณสูตร ไม่มีหรือในโลกอันนี้ ไม่มีหรือกับมนุษย์เรา ไม่มีหรือในเราที่เป็นลูกชาวพุทธ ไม่มีเหรอตัวของเราที่เป็นนักบวช หายไปหมดแล้วเหรอ

          มันจึงมีตั้งแต่โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี โมฆะภิกษุ ไม่มีใครทรงอรรถทรงธรรมตามทางของศาสดาเลย มันเป็นอะไร ให้ตั้งปัญหาไปถามตนเองตรงนี้นะ ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสดๆร้อนๆ รื้อสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ที่เคยจมในวัฏจักรนี้มานมนานให้หลุดพ้นไปได้โดยสิ้นเชิง เพราะธรรมประเภทเหล่านี้ แล้วเวลานี้ธรรมประเภทเหล่านี้หายไปไหนหมด ตัวของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา คือตัวของเราๆ ท่านๆ ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ทั้งพระทั้งเณรเต็มตัวอยู่ด้วยกัน เราทำไมจึงไม่พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง

          ก็เมื่อพิจารณาเห็นตามเป็นจริงแล้ว ทำไมจะรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อรู้เพื่อเห็น เพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความปล่อยวางโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ทำไมเราจึงมาฟังด้วยความยึดความถือความสำคัญตน ว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นนักบวชเป็นฆราวาส แล้วว่าตัวเป็นพระๆ พระมีแต่ชื่อก็มี พระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้ว พระเป็นพื้นฐานวางไว้ นี้คือเพศแห่งนักสู้ สู้เลย กิเลสตัณหามันจะเกิดมาจากไหน พระพุทธเจ้าท่านรบได้ ฆ่าฟันมันได้ แหลกไปได้ สาวกทั้งหลายฆ่ามันฉิบหายไปได้

          เราเป็นลูกตถาคต ธรรมเป็นประเภทเดียวกันที่สังหารกิเลส เอามาสังหารกิเลสซิ มันจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ในหัวใจเรา สังหารไปด้วยจิตตภาวนา เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องไปถามดินฟ้าอากาศ ฟ้าแดดดินลม ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหน ไม่จำเป็นต้องถาม  จะปรากฏจ้าขึ้นมาที่หัวใจของบุคคลผู้กำลังถูกกิเลสครอบงำอยู่นี้ ด้วยความมืดมิดปิดตา จ้าขึ้นมาจะรู้กันที่นี่เห็นกันที่นี่

          จึงขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายนำไปปฏิบัติ เราเป็นนักบวชนี้เรียกว่าเป็นผู้อยู่แนวหน้าแล้ว ที่จะเอื้อมถึงมรรคผลนิพพานก่อนผู้อื่นผู้ใด เพราะงานของเราไม่มีอะไร งานของพระเรามีงานเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี้เป็นงานของพระโดยแท้ ไอ้งานที่เป็นอยู่ตามโลกตามสงสารเวลานี้ ในวัดในวา ในพระในเณรนั้นเป็นงานของปลอม งานกาฝาก กาฝากมหาภัย ถือเอานั้นเป็นการเป็นงานไปเสีย นอกจากนั้นถือยศถาบรรดาศักดิ์ลมๆแล้งๆมาเป็นตัวเป็นตน มาเป็นสมบัติของตน มันก็เป็นโมฆะไปหมด ธรรมไม่มีในใจ ธรรมแห้งผากแล้วจะหาความดีงามมาจากไหนคนเรา

          เมื่อธรรมคือความดีงามเกิดขึ้นจากใจด้วยจิตตภาวนาแล้ว ศีลก็เต็มที่แล้วเรารักษามาตั้งแต่วันบวช สมาธิอบรมเข้าไป จิตมันจะวอกแวกคลอนแคลนยิ่งกว่าลิงร้อยตัว พ้นการปราบปรามด้วยธรรมนี้ไม่ได้ ความสงบร่มเย็นจะเกิดขึ้นจากจิตตภาวนา  จากนั้นจิตจะก้าวเข้าสู่สมาธิความแน่นหนามั่นคง ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลาย เป็นเอกจิตเอกธรรม ท่านว่าจิตเป็นสมาธิ คือจิตมีอารมณ์อันเดียวแน่นหนามั่นคง ไม่สนใจกับสิ่งอื่นใดเลย

          จิตอิ่มอารมณ์แล้วนำจิตที่อิ่มอารมณ์นี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา ตอนที่จิตกำลังหิวโหยอารมณ์นี้พาพิจารณาทางด้านปัญญา มันจะเถลไถลไปทางสัญญาอารมณ์ กลายเป็นกิเลสเป็นสมุทัยไปเสีย เพราะฉะนั้นจึงให้พิจารณา ท่านว่าสมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา สมาธิคือความอิ่มอารมณ์ของใจเป็นเครื่องอุดหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว ไม่หิวโหยโรยแรง พาทำการงานอะไรพิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราบวชแล้วทุกคน มีไหมในหัวของเราตัวของเรา นี่ละทางบุกเบิกแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐานห้า

          ที่ตั้งแห่งงานมีอยู่ห้าประเภท งานที่จะถอดถอนวัฏจักรออกจากใจเรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า แปลออกแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้พิจารณานี้ เวลาจิตใจยังไม่สงบก็เอากรรมฐานเหล่านี้มาเป็นอารมณ์ของใจ เพื่อกล่อมใจให้สงบ ใครจะบริกรรมในบทใดเกสาๆ ก็ได้ โลมาก็ได้ นขา ทันตา ตโจ บทใดก็ตาม เป็นเครื่องกล่อมใจให้อยู่กับอารมณ์ที่ว่านี้ใจก็จะสงบลงได้ นี่บทเบื้องต้นเป็นอารมณ์ทำใจให้สงบ อารมณ์ของสมถะก็อยู่กับเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

          ทีนี้เมื่อใจมีความสงบร่มเย็นลงไปแล้ว เราจะแยกออกทางด้านปัญญา ก็เอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้แลเป็นหินลับปัญญา พิจารณาคลี่คลายดูผม ดูขน ดูเล็บ ดูฟัน ดูหนัง ดูเนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง คลี่คลายออกไป นี่เป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น ทีนี้เลยเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาไป เรียกว่าเป็นหินลับปัญญา พิจารณาอันนี้ มันติดมันพันอยู่ด้วยกัน ต้องเอาธรรมประเภทนี้เข้าไปบุกเบิกให้เห็นตามหลักความจริงแล้วปล่อยวางโดยลำดับลำดา หมดสภาพแห่งร่างกายทั้งหมดนี้ ปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง

          ราคะตัณหาซึ่งเกาะอยู่กับร่างกายนี้จะขาดสะบั้นไป ในเวลาพิจารณาอสุภะอสุภัง พอตัวแล้วปล่อยอสุภะ เรียกว่าอิ่มแล้วในการพิจารณาอสุภะอสุภัง อิ่มแล้วก็เท่ากับละได้แล้วกามราคะขาดตรงนี้ ท่านทั้งหลายจำ ทีนี้เมื่ออสุภะอสุภังคล่องตัวแล้ว ราคะตัณหามันจะขาดพร้อมกันนี้ แต่อันนี้ไม่พูดให้ฟังมันจะขาดด้วยวิธีการใด พิจารณาอสุภะอสุภังให้เต็มตัวเข้าไปเถอะ มันจะรู้ตัวเอง เมื่อรู้ตัวเองมันก็ปล่อยของมันเอง

          จากนี้แล้วก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ พิจารณาฝึกซ้อมอารมณ์แห่งอสุภะอสุภังนี้แหละ เร็วเข้าไปๆ จนกระทั่งตั้งขึ้นพับดับพร้อมๆ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ไม่ได้ มันรวดเร็ว นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ฝึกซ้อมอันนี้ให้ละเอียดลออ ขั้นนี้ก็จะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป เช่นอวิหา อตัปป สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา นี่เป็นขั้นของพระอนาคามี เมื่อสอบได้แล้วตั้งแต่ขั้นต้นขึ้นอวิหา อตัปป ไปเรื่อยๆ นี่การฝึกซ้อมจิตใจของเราให้มีความชำนิชำนาญ จิตใจจะก้าวขึ้นสู่ธรรมเป็นลำดับลำดา เมื่ออันนี้เต็มภูมิแล้ว อกนิษฐาเต็มภูมิแล้ว แล้วนิพพานผางขึ้นมาเลย เราจะถามหานิพพานที่ไหน

          ขอให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสดๆร้อนๆ สอนเราผู้มุ่งหวังต่อแดนพ้นทุกข์ ผู้ฟังก็ต้องฟังสดๆร้อนๆแล้วก็ทันกัน แก้กิเลสได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เพราะกิเลสไม่ได้แปลกหน้าแปลกตามาจากที่ไหน ธรรมเครื่องแก้กิเลสก็ไม่ได้เป็นของแปลกหน้าแปลกตามาจากที่ไหน เป็นธรรมประเภทเดียวกัน กิเลสความโลภความโกรธราคะตัณหาเป็นประเภทเดียวกัน แก้ด้วยอรรถด้วยธรรมอันเดียวกัน พังไปด้วยกัน ถึงแดนวิมุตติหลุดพ้นเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ นั่นละคำว่าพุทธศาสนาคือแดนแห่งมรรคผลนิพพาน หรือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน หรือสถานที่สังหารวัฏจักรให้ขาดสะบั้นไปจากใจ ถึงพระนิพพานก็คือแดนเดียวกันตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

          ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นี้กิเลสมันหาอุบายวิธีการเหยียบย่ำทำลายศาสนา ซึ่งเป็นของจริงให้เป็นไปตามความจอมปลอมของมัน ว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้น มรรคผลนิพพานจะเบาไป ไม่มีแล้ว ศาสนาล่วงไปเท่านั้นปีเท่านี้ปี มรรคผลนิพพานไม่มีๆ กิเลสอยู่ในหัวใจมันมากี่กัปกี่กัลป์เมื่อไรมันจะลุล่วงไป เมื่อไรมันจะครึจะล้าสมัย ควรจะขาดจากหัวใจสัตว์ไปได้ มันไม่เคยพูด ถ้าธรรมไปสังหารมันมับอกว่าหมดสมัย ธรรมนี้กลายเป็นของครึของล้าสมัยไปเสีย ไม่ให้เอาไปแก้มัน ไปสังหารมัน

          เมื่อธรรมเป็นของทันสมัยอยู่แล้วฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป มันจะอยู่ในหัวใจเรามากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม มันจะพังลงไปด้วยอำนาจแห่งอาวุธคือธรรมนั้นจนได้สดๆร้อนๆ เป็นอรหันต์ขึ้นมาในหัวใจดวงที่กิเลสครอบงำอยู่นี้แล ไม่สงสัย จึงขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ มรรคผลนิพพานอยู่ที่หัวใจของเรา ที่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าสดๆร้อนๆนะ อย่าไปคิดว่ามรรคผลนิพพานอยู่ที่นู่นที่นี่ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ตัวกิเลสที่แท้จริงอยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานคือเครื่องแก้กิเลสก็อยู่ที่ใจ เครื่องสังหารกิเลสอยู่ที่ใจ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน จะจ้าขึ้นที่หัวใจด้วยกัน

          ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหีติ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน ด้วยสนฺทิฏฺฐิโก ผลงานที่ปฏิบัติมารู้มาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงผลงานอันสุดท้ายได้แก่สนฺทิฏฺฐิโกขั้นสุดยอด กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วประจักษ์ใจ นี่สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายจะประกาศขึ้นกับนักภาวนา ผู้ไม่นักภาวนานอนตายอยู่เฉยๆ ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกันหมด ไม่เกิดประโยชน์ เอาละนะการแสดงธรรมนี่ขอให้ลูกให้หลานทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ มรรคผลนิพพานอยู่สดๆร้อนๆ เรานี้ละเป็นแนวหน้าที่จะได้มรรคผลนิพพานก่อนอื่น เพราะงานของเราไม่มีอะไร มีแต่งานชำระกิเลสด้วยวิธีภาวนา มีการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาชำระกิเลสเสมอ กิเลสจะหลุดลอยไป ทรงมรรคผลนิพพานได้โดยสมบูรณ์ก็คือพวกแนวหน้า ได้แก่พวกเราพวกกล้าตายนี้แหละ

          เอาละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ) ฟังเอาไปปฏิบัตินะ ดีละขอบบุญขอบคุณที่ได้ทองคำมาช่วยเหลือชาติของเรา เริ่มต้นมาตั้งแต่หลวงพ่อสังวาลย์ท่านเอาจริงเอาจัง จึงเป็นเหมือนกับแขนซ้ายของผม ผมเป็นแขนขวาเดิน ท่านเป็นแขนซ้ายช่วยตลอดมา เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นบุญเห็นคุณของท่าน ไม่ลืมนะผม ไม่เหมือนใคร หลวงพ่อสังวาลย์เป็นพระที่หาได้ยากมาก เป็นนักเสียสละ และการช่วยชาติเอาจริงเอาจัง ทองคำที่ไหลเข้ามาสู่คลังหลวงมีน้อยเมื่อไร..หลวงพ่อสังวาลย์ สมบัติอย่างอื่นก็เหมือนกันไหลตามๆ กันมา มันถึงใจผม เออนี่ละผู้ที่จะช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ว่าอย่างนั้นเลย จึงต้องเกี่ยวพันกันมา วันนี้พอได้โอกาสก็ไปเยี่ยมท่านแล้ว ไปแล้ววันนี้กลับมา เอาละพากันกลับ

          วันนี้เทศน์ได้สักกี่นาที (๓๓ ครับ) ก็ได้เยอะอยู่นะ เทศน์เร่งอยู่นะ เข้มข้นๆ นับว่าได้มาก เทศน์ธรรมะปฏิบัติล้วนๆ ธรรมะแก้กิเลสล้วนๆ เลย สมกับพระผู้เป็นแนวหน้าฟาดกับข้าศึก ยิ่งเทศน์อบรมพระล้วนๆ แล้วเป็นเวลาที่ประชุมเทศน์นักปฏิบัติ พระนักปฏิบัติล้วนๆ แล้วมันจะพุ่งของมันเลย ยิ่งให้มีผู้มีอรรถมีธรรมเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันเป็นระยะๆ เป็นทางก้าวเดินของธรรมได้อย่างราบรื่น เวลาธรรมแสดงนี้พุ่งๆ ๆ เลย ไม่ค่อยมีผลอะไรมาฟังแบบหลับหูหลับตาเป็นอย่างหนึ่งนะ แม้จะเป็นนักปฏิบัติก็ตาม ต่างกัน ถ้าเป็นนักปฏิบัติด้วยแล้วมีภูมิอรรถภูมิธรรมเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันเป็นลำดับลำดาแล้ว เวลาเทศน์นี้พุ่งเลย

          (พระสงฆ์และญาติโยมชาวอินโดนีเซียมากราบนมัสการเรียนหลวงตาว่า กำลังสร้างวัดป่าอยู่ที่อินโดนีเซีย) กำลังสร้างวัดเหรอ (ครับผมสร้างวัดป่าครับ) สร้างวัดป่าที่ถูกจริงๆนะ ให้ไปหาเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์สำนักสำคัญๆ ที่ท่านปฏิบัตินำเป็นแบบฉบับไปปฏิบัติตน แล้วจะเป็นแบบฉบับที่ดีต่อคนทั้งหลาย  สักแต่ว่าสร้างวัดป่าเฉยๆ แล้วเวลาปฏิบัติธรรมโลเลโลกเลกใช้ไม่ได้ วัดป่าเป็นอย่างไร ความมุ่งหมายของวัดป่าท่านสร้างมาแล้วเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรมของผู้บำเพ็ญธรรมในป่าเพื่อมรรคผลนิพพานท่านบำเพ็ญอย่างไร ดำเนินตามนี้ หาอันนี้ยึดอันนี้ไปเป็นหลัก แล้วจะเป็นแบบเป็นฉบับ เป็นหลักเกณฑ์ขึ้นมา

          ถ้าสักแต่ว่าอยู่เฉยๆ เช่นว่าสร้างวัดป่า ใครสร้างก็ได้ ยากอะไรวัดป่า สร้างป่า ตั้งแต่ในป่าในรกเขาฟาดเสียจนเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมา เช่นอย่างดงวัดป่าบ้านตาด แต่ก่อนดงใหญ่ดงหนาป่าลึก เดี๋ยวนี้กลายเป็นอำเภอขึ้น อำเภอหนองแสง เขาสร้างก็ได้ สร้างป่าเป็นบ้าน สร้างป่าเป็นวัดก็ได้ จะสร้างแบบไหนเท่านั้นเอง เข้าใจเหรอ เราไม่อยากให้ทำโลเลโลกเลกนะ คือศาสนาพระพุทธเจ้านี้แม่นยำที่สุด ไม่มีคลาดเคลื่อนเลย แต่ผู้ปฏิบัตินี่โลเลโลกเลก ไม่เอาแบบเอาฉบับมาปฏิบัติ เอาแบบกิเลสถูไถกันไปเลย อยู่ที่ไหนมันก็ใช้ไม่ได้ เพราะของปลอมไปไหนมันก็ปลอมตลอด ถ้าของจริงยึดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นได้

          วันพรุ่งนี้เช้าชาวมาเลเซีย เขาตั้งใจมากคนคนนี้นะ คือทุกสิ่งทุกอย่างเขาขวนขวายเรื่องหน้าที่การงานเรียกว่าเป็นขั้นสำเร็จขั้นพอนะ ว่าอย่างไรผู้กำกับลองว่าซิ (เขาสำเร็จทางด้านธุรกิจ เขาจะวางมือให้ลูกทำต่อ เขาจะหันมาทางด้านพุทธศาสนา เขากำลังเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ครับ) เขาตั้งใจมาอย่างนั้น เพราะงั้นเราถึงตอบรับกันอย่างผางๆ เลย อย่างอะไรที่ขัดต่อธรรมตัดกันขาดสะบั้นไปเลย อย่างเมื่อวานว่าพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีกมาเกิดอีก ด้วยความเมตตามาสั่งสอนสัตว์โลกอีก ทางนี้ก็ใส่เปรี้ยงเลย อย่างนั้นละ

          เขาต้องรับ เราพูดด้วยความเป็นจริง เราไม่ได้พูดหลอกลวง อันนั้นมาหลอกๆลวงๆ แบบไม่จริงไม่จัง หลับหูหลับตามาพูดให้ฟัง กับธรรมที่ทรงอยู่ในหัวใจ พูดง่ายๆ  มันขวางกันทันทีเลย ทางนี้ก็ใส่ผางเลย เป็นไปไม่ได้เลย เราปฏิเสธเลยทันที  เขาก็ยอมรับแล้วนะ จะยอมรับแค่ไหนก็แล้วแต่เขา ถ้าเขาไม่ยอมรับเขาก็ปลอมไปอีก ถ้าหากเขายอมรับเขาก็จริงขึ้นมาโดยลำดับ เพราะนี้เป็นของจริงล้วนๆเทศน์ออกไป ไม่ได้เป็นอะไร แม้หัวใจเดี๋ยวนี้มันก็จ้าอยู่อย่างนั้น จะให้ว่าอย่างไร จะไปเกิดที่ไหนอีกละ มันก็รู้อยู่แล้ว

          ไม่อย่างนั้นประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเหรอว่า การทำประโยชน์ให้โลกเราจะทำเต็มความสามารถของเราในเวลามีชีวิตอยู่ ต่อจากนี้ไปแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว มันจ้าอยู่นี้ มันรู้อยู่ชัดๆ จะไปถามใคร ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร สาวกทั้งหลายไม่เคยทูลถามพระพุทธเจ้า นี้จะไปถามใคร ธรรมอันเดียวกัน ความรู้อันเดียวกัน ถึงขั้นพอมันพอ พระพุทธเจ้าคือใครไม่ต้องไปถาม จ้าขึ้นนี้เหมือนกันหมด ดังที่เคยพูดให้ฟัง เหมือนแม่น้ำที่ไหลมาจากสายต่างๆ ลงแม่น้ำมหาสมุทร คลองนั้นคลองนี้ก็เรียกได้ว่าคลองนั้นคลองนี้ พอลงมหาสมุทรปึ๋งเท่านั้นเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ไม่มีแยกว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้เลย

          จิตดวงนี้ผางเข้าไปหาวิมุตติธรรมอันเดียวกันแล้ว มันจ้ามันเหมือนกันหมด ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร มันชัดขนาดนั้นจะให้ว่าอย่างไร เพราะงั้นที่ว่าพระพุทธเจ้ามาเกิดอีกใส่เปรี้ยงเลยวันนั้น นี่ละเขามาหาของจริงเอาของจริงรับซิ อันนั้นเป็นของปลอม ว่ามหายงมหายานมหาอะไรก็ช่าง ตั้งชื่อตั้งนามตั้งไปเฉยๆ ความจริงความปลอมมันรู้กันคนเรา เขาตั้งใจมาหาของจริง จริงๆ เราก็ตอบรับให้ได้ของจริงไปเลย ไม่มีคำว่าอนุโลม พูดตามหลักความจริง

          วันนี้เขาจะไปค้างที่บางคล้านะ พรุ่งนี้เช้าเขาจะออกแต่เช้ามาขึ้นเครื่องบินไปวัดป่าบ้านตาด เขาจะไปดูซอกแซกซิกแซ็กทุกสิ่งทุกอย่าง คนคนนี้รู้สึกว่าตั้งใจจริงๆจังๆ พูดถึงขึ้นอรหันต์เลยนะ เราก็พอใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจึงโทรไปทางท่านสุดใจ ให้ท่านลภโทรไป บอกว่าคนคนนี้เขามีความตั้งใจมาจากมาเลเซีย มุ่งมาหาของจริง เวลาเข้าไปวัดป่าบ้านตาดแล้วให้ท่านสุดใจเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เขา เขาจะไปที่ไหนไปดูที่ไหนให้เขาไป บอกตรงๆ เลย ซึ่งคำพูดเช่นนี้เราไม่เคยพูดออกมา ไม่เคยอนุญาตให้ใครไป เมื่อถึงกาลเวลาที่ควรจะเป็นแล้วมันก็เป็นเองของมันอย่างนี้ละ

          เอาให้เขาไป หรือจะไปดูกุฏิเราก็ดู หรือจะเปิดดูก็ได้ถ้าสมควรที่จะเปิดดู จะมีอะไรอยู่ในนั้นกุฏิเรา มันไม่มีอะไรละกุฏิเรา ก็มีแต่หนังสือสองสามเล่มวางไว้ นอกนั้นไม่มีอะไร ก็เราไม่เอาอะไรนี่ ขนอะไรมาปาเข้าป่าหมด มีมากๆ มาไว้ทำไมนี่ปาเข้าป่า ของหลักธรรมชาติมีอยู่ในหัวใจแล้วมันพอไปหมดนี่นะ ไอ้เรื่องกิเลสตัณหามันไม่พอ ได้เท่าไรก็ไม่พอ ตายทิ้งเปล่าๆ ด้วยความไม่พอ นั่นละกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมแล้วพอตลอด

          ดังที่เราช่วยโลกนี่ก็เหมือนกัน พูดป้างๆ เลย เราไม่มีมลทินติดหัวใจเราแม้นิดหนึ่งไม่มี ไม่ว่าดอลลาร์ ไม่ว่าทองคำ เงินไทย สมบัติอะไรที่เพื่อโลกนี้ออกตลอดเลย  ไม่มีที่ว่าเก็บไม่มี เปิดๆ ด้วยความเมตตา ช่วยโลกด้วยความเมตตาสงสาร ด้วยความพอแล้วของหัวใจเรา เราไม่ต้องการอะไรแล้ว พอทุกอย่าง ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นส่วนเกินทั้งหมด ไม่ว่าความนินทา ความสรรเสริญเป็นส่วนเกิน นินทามาก็ตกไปเองมี สรรเสริญตกไปเอง

          ไม่มีธรรมชาติใดที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าคำว่าพอแล้วโดยธรรมที่เลิศเลอ เราทำประโยชน์ให้โลกเราทำอย่างนี้ เราจึงพูดได้เต็มปากว่าเราไม่มีมลทินเกี่ยวกับโลก ได้มาเท่าไรอย่างที่ได้มานี้ มาไหนเอาไปทำประโยชน์ให้โลกหมด เราไม่เคยสนใจนะ อย่างนี้ตลอดมา ก็เท่านั้นแหละ

          สร้างวัดป่าให้สร้างจริงๆ นะ สร้างวัดป่าหาแบบหาฉบับที่แท้จริงเข้ามาปฏิบัติ อย่าเพียงแต่สักแต่ว่าสร้างป่า เหมือนเขาไปสร้างอำเภอที่ดงวัดป่าบ้านตาด เป็นอำเภอหนองแสงแล้วเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนเป็นดงใหญ่ เดี๋ยวนี้เขาสร้างป่าให้เป็นบ้าน อันนี้เราสร้างป่าให้เป็นวัด หาแบบหาฉบับมาปฏิบัติให้ดี สักแต่ว่าสร้างมันไม่เป็นหน้าเป็นหลัง ออกไปประกาศศาสนาๆ มันไปขายตัวเองนี่ละมากพระเรา ไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้นำเขา เพราะเรานำเราไม่ได้ ไปนำใครได้ละ ถ้าเรานำเราได้แข็งแกร่งอยู่ในหัวใจทุกอย่างพร้อมนี้หมดแล้วสอนได้ เขาจะเอาก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เอาเป็นเรื่องของเรา เราไม่มีได้มีเสียอะไร เราที่กำลังพร้อมทั้งได้ทั้งเสียนี่ส่วนมากเสียมากกว่า อย่างนี้ไปสอนใครมันไม่ได้นะ ต้องสอนเขาด้วยความแน่นหนามั่นคงทุกอย่าง ให้ตั้งใจปฏิบัติไปศึกษาวัดป่า ท่านทำอย่างไรวัดป่า ที่แท้จริงของผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆท่านปฏิบัติอย่างไรให้ไปดู อย่าสักแต่ว่าสร้างเฉยๆ ผมไม่เห็นด้วยสร้างเฉย ต้องมีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ มีเท่านั้นละนะ

          เราไปเห็นพระเสียด้วยนะ สมภารใหญ่ด้วย สลดสังเวชจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ยังไม่ลืม ในห้องจนหาที่นอนไม่ได้ มีแต่อย่างนี้ละ มีแต่ขลังๆ เต็มในห้อง โห แล้วหัวใจมันมีอะไรขลังบ้างไหม นั่นสำคัญจุดนั้นนะ หัวใจแห้งผาก สิ่งเหล่านี้มาปรนปรือไปอย่างนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ฟาดหัวใจมันจ้าอยู่แล้วไม่มีอะไรจำเป็น พอหมด นั่น

          ฟังๆ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๙ ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำวันนี้ได้ ๒ กิโล ๓๐ บาท ๒๐ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๘ เมษา ถึงค่ำวันนี้เป็น ๔ กิโล ๕๘ บาท ๑๕ สตางค์ นู่นน่ะ ๔ กิโลแล้วนะ สรุปทองคำประเภทน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๑๗ เมษายน ทองคำที่หลอมแล้วได้ ๒๓๗ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๙ แท่ง แท่งหนึ่งมี ๑๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๒๐ กิโล ๔๗ บาท ๓๕ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม ๒๕๘ กิโล ๑๔ บาท ๔๖ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบคลังหลวงแล้วนั้นก็เป็น ๒๙๕ กิโล ๔๗ บาท ๓๕ สตางค์ เกือบ ๓๐๐ แล้วนะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก