ที่สุดของจิตไม่มีคำว่าสูญ
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 18:30 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

ที่สุดของจิตไม่มีคำว่าสูญ

(พระสงฆ์วัดสังฆทานมากราบถวายทองคำหลวงตา) คณะศิษย์และพระอุปัฏฐากหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก ถวายทองคำน้ำหนักรวม ๓๕ บาท สาธุพร้อมกัน มันหากได้เมื่อไร ท่านเหล่านี้ละจะทำหน้าที่แทนหลวงพ่อสังวาลย์ หลวงพ่อสังวาลย์ล่วงไปแล้วลูกหลานไม่ล่วง ต่อแขนงสืบทอดกันไปเรื่อยๆ เอาละขอบบุญขอบคุณมากๆ นะ วันนี้ก็หาทั้งวันพึ่งมาเจอนี้ ๓๕ บาทของง่ายเมื่อไร

เรารักสนิทสนมกันมากกับหลวงพ่อสังวาลย์ เพราะท่านได้ช่วยชาติบ้านเมือง เคียงบ่าเคียงไล่กันมาโดยลำดับ ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวาง มีบริษัทบริวารมาก สมบัติเงินทองมีเท่าไรก็ทุ่มเข้ามา ทุ่มเข้ามาเพื่อชาติ รู้สึกว่าท่านเด่นมากในการช่วยชาติ แต่มันเป็นกฎอนิจจัง เสียดายเท่าไรท่านก็จำเป็นต้องตายเหมือนเรานั้นแหละ เป็นกฎของอนิจจังมีอย่างนั้น ผู้ทำดีลูกหลานก็ให้สืบทอดกันไปนะ ทำความดีไม่ครึไม่ล้าสมัย อยู่ในป่าในเขาร่มไม้ก็มีค่า ผู้มีคุณธรรมภายในใจอยู่ที่ไหนมีค่าอยู่ตลอด

แต่ผู้ไม่มีธรรมภายในใจ พลิกกลับไปอีกว่าบวชมาแล้วเสาะแสวงหาแต่ยศแต่ลาภ แต่ความสรรเสริญเยินยอ ซึ่งเป็นเรื่องโลก อยู่ที่ไหนก็ไม่มีค่า ตั้งให้เลยสมเด็จขึ้นไปก็หาค่าหาราคาไม่ได้ เพียงลมปากเสกเอาก็ได้ แต่ความดีนี้ต้องเอาจริงเอาจัง ไม่จริงจังดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้มีคุณธรรมภายในใจด้วยความเอาจริงเอาจัง จึงเป็นผู้ที่ประชาชน เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายเคารพนับถือและกราบไหว้บูชา ขอให้ลูกหลานทั้งหลายอุตส่าห์พยายามสืบทอดศีลธรรม ซึ่งเป็นสมบัติอันล้นค่าของพระไว้ด้วยดี และให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ (ไอ้โบ้เดินผ่านหน้าหลวงตา) ไอ้นี่มันมาอะไรนี่ มันมาทำลายธรรมาสน์กูเหรอมึงน่ะ

นี่เรื่องสิ่งที่คุณค่ามากของพระ ไม่มีอะไรเกินธรรม ธรรมนี้มีคุณค่าเลิศเลอ ทีนี้เรามาบวชในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแหล่งแห่งธรรมล้วนๆ แล้ว ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติหาศีลหาธรรมเข้าสู่ใจ ใจจะมีคุณค่ามีราคา อยู่ที่ไหนๆ มีค่าทั้งนั้นถ้าใจมีธรรม ถ้าใจไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว จะออกประกาศทั่วโลกดินแดนก็เหม็นคลุ้งไปหมด หาความเป็นมงคลไม่ได้ นั่นเป็นความประกาศอวดอ้างเฉยๆ ทั้งที่หาความดีไม่ได้ ประกาศเท่าไรก็ยิ่งเลวไปๆ ยศศักดิ์สูงขนาดไหนยิ่งต่ำลงๆ ภายในจิตใจ แต่ธรรมมีภายในจิตใจอยู่ที่ไหนสูงเด่นๆ

จึงขอให้ลูกหลานยึดหลักอันนี้ไปปฏิบัตินะ เราขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่สืบทอดหลวงพ่อสังวาลย์มาโดยลำดับจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งวันนี้ก็ได้ทองคำ ตั้ง ๓๕ บาท หาได้ง่ายเมื่อไร ผมจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลายพร้อมทั้งศรัทธาที่ช่วยกันบริจาคโดยทั่วกันนะ (สาธุ)

วันนี้ก็ไปด่านเขาใหญ่ ได้ของให้มากพอสมควรอยู่ แต่ผลไม้ที่ต้องการไม่ได้ เช่นอย่างทุเรียนยังไม่มี ก็เอาผลไม้อย่างอื่นทดแทนกันไป นับว่ามากพอสมควร ๑๔ กอง กองให้ เงินสดนั้นให้ครอบครัวละหนึ่งพัน ๑๔ คนก็เท่ากับ สิบสี่พัน ไปวันนี้ เราเป็นห่วงสงสาร ท่านเหล่านี้อยู่ด้วยความอดอยากขาดแคลน แต่หน้าที่การงานบังคับ หรือจำเป็นให้ต้องอยู่ก็ต้องอยู่ ด่านนี้ ๑๔ ครอบครัว เราก็จัดไปให้พร้อมหมด คือได้ทราบแล้วจากไปคราวที่แล้ววว่า ๑๔ ครอบครัว ของเลยไม่ได้วันนั้นะ ครอบครัวสุดท้ายที่ ๑๔ เลยได้ให้เงินพันเดียว

อันนี้เรียกว่าเราโง่อยู่ ถ้าฉลาดกว่านั้นก็จะคิดปุ๊บเดี๋ยวนั้น สิ่งของเหล่านี้ราคาเท่าไรๆ คำนวณ เอาเงินแทนกันปุ๊บให้ได้ราคาเท่าเทียม ได้เท่าเทียมกัน นี่เราก็โง่ มาคราวหลังจึงต้องเตรียม สมมุติมาอีกเราจะให้แบบนี้ คราวนี้ได้สมบูรณ์ สมบูรณ์หมด ๑๔ ครอบครัว เราสงสารท่านเหล่านี้รักษาสมบัติของชาติซึ่งเป็นส่วนรวม ถ้าไม่มีผู้รักษาสมบัติของชาติเหล่านั้นจะแหลกเหลวไปหมด ไม่มีความหมาย สัตว์ที่เต็มอยู่ในป่าในดงก็ตายหมด ต้นไม้ใบหญ้าอะไรที่เป็นเครื่องประดับชาติก็จะฉิบหายด้วยการทำลายของมนุษย์ยักษ์ผีกินไม่รู้จักประมาณนั่นแหละ

มีผู้รักษาอยู่เป็นสุขๆ สิ่งเหล่านั้นจึงยังอยู่ ให้ลูกหลานทั้งหลายเราได้อาศัย เป็นร่มเงาของชาติเรา มีอยู่หลายแห่ง อย่างห้วยขาแข้ง ภูหลวง แล้วที่ไปวันนี้เขาใหญ่ เท่าที่ทราบนี้กี่แห่ง เขาใหญ่เนื้อที่ก็กว้างขวาง ดูว่าตั้ง ๓๐ กว่าจุด ด่านที่เขารักษารอบเลย ดูว่า ๓๐ กว่า ตั้งเป็นจุดๆ รักษารอบเขาใหญ่ เนื้อที่กว้างขวางก็จรดทางนครนายก ดีไม่ดีจะมาทางสระบุรีด้วยนะ สี่จังหวัด สมบัติของชาติอยู่ในจุดกลาง ให้รักษากันเรื่อยมา ทางจังหวัดเลยก็เขาเรียกภูหลวง อันนั้นเนื้อที่ดูว่าเป็นแสนๆไร่เหมือนกัน คิดว่าไม่กว้างเท่าเขาใหญ่ ที่ภูหลวงนะ ห้วยขาแข้งกว้างขวางมากนะ

กี่แห่ง เหอ ในประเทศไทยของเรา สมบัติของชาติที่ได้รักสงวนรักษาอยู่ทุกวันนี้ มีที่ไหน เขาใหญ่ ภูหลวง ห้วยขาแข้ง แล้วที่ไหนอีกทราบไหม (ทางปักษ์ใต้ก็มีครับ) (กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ครับ) ถ้าเรายังมีสมบัติของชาติอยู่ เมืองไทยเราก็สง่างามนะ เหล่านี้ละที่รักษากันอยู่เวลานี้คือสมบัติของชาติ เป็นเครื่องประดับชาติให้สวยงามและแน่นหนามั่นคงได้เป็นอย่างดี จึงทุกๆ คนควรจะเห็นความสำคัญในสมบัติส่วนรวมของตน ไม่ควรจะเห็นแก่ตัว เอาพุงหลวงนี่ไปกางเป็นไฟบรรลัยกัลป์ เผากันทั้งประเทศ ด้วยการทำลายสมบัติของชาติที่เป็นส่วนรวม นี้ดูไม่ได้เลยนะ

ขอให้คิดกว้างขวางพอสมควรเถอะ มนุษย์เราเฉพาะเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าทรงละเอียดลออสุดยอด ในสามโลกธาตุนี้ไม่มีใครเสมอ ไม่มีใครเปรียบเทียบพระพุทธเจ้าที่ทรงบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว ยังเป็นผู้รอบคอบขอบชิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย แหลมคมเหนือมนุษย์ทั้งหลายด้วย และพระญาณหยั่งทราบก็เป็นโลกวิทูแจ้งไปหมดเลย ท่านทรงเล็งเห็นการใกล้การไกล เห็นหมด สั่งสอนสัตว์โลกให้ใช้ความคิดความอ่าน และปฏิบัติหน้าที่การงานเฉพาะตนและส่วนรวมไปด้วยความราบรื่นดีงามโดยอรรถโดยธรรม บ้านเมืองก็จะสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคง

ความเห็นแก่ตัวก็คือข้าศึกของธรรม เรียกว่ากิเลส กิเลสนี้ถ้ามันได้แทรกเข้าไปตรงไหนแล้วเป็นเหมือนไฟ เผาไหม้แหลกไปหมดเลย ที่จะให้ไฟถอยเชื้อนี้ไม่มี ไสเข้าไปเท่าไรหมด นี่ละกิเลส คือกินไม่เลือก กินไม่มีประมาณ กินไม่มีกาลไม่มีสถานที่เวล่ำเวลา คือกิเลสความโลภ ความทะเยอทะยาน ไม่ได้คิดถึงความตายเลยทีเดียว มีแต่จะให้ได้อย่างใจ ให้ได้อย่างใจ สิ่งเหล่านั้นที่ได้มาแล้วใจก็รับไม่ได้ ว่าให้ได้อย่างใจ แต่ใจเป็นผู้ที่ว่าให้ได้อย่างใจ หามาเพื่อใจให้ได้อย่างใจ ใจกลับไม่ได้สิ่งเหล่านั้นนะ ไม่ได้

ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าสิ่งที่ใจได้นั้นคือกรรม บาป บุญ กรรมดี กรรมชั่ว นี้ควรแก่จิตใจโดยตรง สิ่งเหล่านั้นทางด้านวัตถุใครจะโลภขนาดไหนก็ตามก็เป็นเรื่องไขว่คว้าให้สมใจๆ แต่ว่าใจแท้เลยกลายเป็นผู้รับเคราะห์สิ่งที่จะให้ตนสมใจไปเสีย ธรรมพระพุทธเจ้าใส่เข้าไปในเรื่องบุญเรื่องกรรม นี้เป็นส่วนสำคัญ เป็นของคู่ควรกันกับใจโดยแท้ ท่านจึงสอนเน้นหนักลงที่กรรม สัตว์โลกใครจะเก่งขนาดไหนก็ตาม บอกไม่มีใครเหนือกรรมไปได้แม้รายเดียว ต้องอยู่ใต้อำนาจแห่งกรรมทั้งนั้น

ถ้าทำดี จะทำอยู่สถานที่ใดๆก็ตาม ไม่มีคำว่าที่ลับที่แจ้ง กาล สถานที่ เวล่ำเวลาไม่มี มีอยู่กับการกระทำของผู้ทำเอง จะเป็นที่ใดก็คือผู้นั้นเป็นผู้ทำ ทำดีก็เป็นดีขึ้นในผู้นั้น ทำชั่วก็เป็นชั่วขึ้นในผู้นั้น นี้เป็นหลักตายตัว ไม่มีสิ่งใดจะมาบล้างให้สูญไปได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนสัตว์โลกให้ถือกรรม กรรมดี-กรรมชั่วนี้เป็นพื้นฐานประจำใจสัตว์โลก ที่จะพาให้ไปดีไปชั่ว ไปสูงไปต่ำ ไปทางสุขและทุกข์ ขึ้นอยู่กับกรรมนี้ทั้งนั้น ไม่นอกเหนือจากกรรมนี้เลย

ส่วนกิเลสมันไม่มีเหตุมีผล มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ให้ได้อย่างใจๆ ใจก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร คำว่าให้ได้อย่างใจก็คือใจของกิเลสนั้นแหละ ใจที่มีธรรมต้องปัดสิ่งเหล่านี้ รับไม่ได้ แต่ใจที่มีกิเลสเหนือเป็นเจ้าอำนาจครองอยู่นั้นมันก็จะให้อย่างใจของกิเลส ใจของกิเลส เจ้าของผู้ที่จะรับเคราะห์กรรมคือใจโดยแท้แล้ว จะรับผลของกรรมจากการกระทำของกิเลสที่กว้านเข้ามาๆ นี่โลกที่ไขว่คว้า โลกไม่มีที่ยึดที่เกาะ จึงต้องดีดต้องดิ้นด้วยกันทั่วหน้า ไม่มีสถานที่ใดจะอยู่ได้เป็นปรกติสุขด้วยความอบอุ่นใจ ไม่มี ต้องดีดต้องดิ้นไขว่คว้า โดยความสำคัญว่าได้สิ่งนั้นมาแล้ว ได้สิ่งนี้มาแล้วจะสมใจๆ นี่เป็นความคิดความคาด ความด้นเดา ความทะเยอทะยานของกิเลส จึงเหมาเอาเลยว่าให้ได้สมใจ ผิดถูกชั่วดีไม่คำนึง โลกก็ไขว่คว้า

จิตใจจริงๆที่เป็นของคู่ควรกับใจก็คือดีกับชั่ว บุญกับบาป นี่ละออกมาจากผิดกับถูกซึ่งเป็นต้นเหตุ ทำผิดก็เป็นต้นเหตุให้เป็นพิษเป็นภัยขึ้นมา ทำถูกก็เป็นต้นเหตุที่จะให้เป็นคุณมหาคุณขึ้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงวางรากฐานไว้ที่กรรม เพราะลบล้างไม่ได้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่จะได้มาลบล้างกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์นี้ ลบล้างไม่ได้เลย จึงต้องยอมรับกันทั่วแดนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ว่ากรรมเป็นของสำคัญ ยกให้กรรมเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของสัตว์โลก

ท่านจึงแสดงไว้ว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอำนาจใดจะเหนืออำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้ ในโลกแดนสมมุตินี้ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรมไปได้ นี่เป็นที่ยอมรับของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีพระองค์ใดปฏิเสธว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว เป็นโมฆะไปเลยอย่างนี้ไม่มี จะไปทำสถานที่ใดก็ตาม ก็คือตัวผู้ทำ ผู้ก่อเหตุคือผู้ทำนั้นแหละ ผลก็เกิดขึ้นจากผู้ก่อเหตุคือผู้ทำ จะล่วงไหลเข้าสู่ผู้ทำทั้งนั้น ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ไม่ลำเอียงคืออำนาจของกรรม หรือธรรมครอบเอาไว้ในกรรมทั้งหลายดี-ชั่ว

โลกเมื่อกิเลสหนาๆแล้ว สิ่งที่จะเป็นสาระสำคัญดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสั่งสอนไว้ให้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้มีขอบมีเขต ข้างนอกข้างใน วัตถุ-นามธรรมให้แยกให้แยะให้เหมาะสมกันอย่างนี้ ไม่มีใครทราบไม่มีใครเข้าใจ ท่านสอนอย่างละเอียดลออ เช่น วัตถุทั้งหลายเป็นที่อาศัยของโลกสมมุติทั่วๆไป ก็ให้ทราบ นี่เป็นฐานที่ถูกต้องดีงามโดยแท้ วัตถุทั้งหลายเป็นของคู่ควรกันกับธาตุกับขันธ์ ชีวิตจิตใจของสัตว์ที่เกิดมาทั่วหน้ากันจะต้องอาศัยสิ่งที่เป็นวัตถุเหล่านี้ครองตัวอยู่ได้ จนกระทั่งถึงวันสิ้นชีพวายชนม์ ปราศจากวัตถุเหล่านี้ไม่ได้

อันนี้เป็นวัตถุสำหรับความเป็นอยู่แห่งธาตุขันธ์ของสัตว์โลกที่อยู่ร่วมกัน ต้องได้อาศัยเหล่านี้เป็นสำคัญ นี่ท่านแยกไว้ประเภทหนึ่ง นี่นามธรรม นามธรรมก็คือบาปและบุญ รวมแล้วเรียกว่าธรรม เมื่อรวมแล้วเรียกว่าธรรม แยกบาปแยกบุญซึ่งเป็นของคู่ควรที่ใจจะต้องรับโดยไม่ต้องสงสัยนี้ออกจากด้านวัตถุทั้งหลายเสีย แล้วเราวิ่งเต้นขวนขวายทางด้านวัตถุ เพื่อธาตุเพื่อขันธ์ก็เป็นความถูกต้องในด้านวัตถุกับแดนสมมุติที่อยู่ร่วมกัน ในความดีงามทั้งหลายความชั่วเป็นสิ่งที่ควรละ เพราะเป็นภัยต่อผู้ทำ

เราก็พยายามละความชั่ว แล้วขวนขวายหาความดีงามอันเป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้สำหรับจิตใจของผู้เป็นเจ้าของในการกระทำนั้น ทำดีผู้นั้นก็ได้ดี ทำชั่วผู้นั้นก็ได้ชั่ว แยกออกมาเสียอย่างนี้ นี่ถ้าเป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่กิเลสมันกว้านเข้ามาคละเคล้ากันหมด เลยไม่ทราบอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นกิเลส สุดท้ายก็มีแต่กิเลสเต็มโลกเต็มสงสารแห่งสมมุติทั้งหลายนี้ไปเสียหมด ไม่มีธรรมแทรกอยู่เลย

โลกทั้งหลายจึงมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะดีดดิ้นไปตามกิเลส ความสุกเอาเผากิน ไม่มีเหตุมีผล ใครจะอยู่ที่ไหนเราจะหาบุคคลที่วิ่งตามกิเลส เอาความสุขความเจริญอันเป็นผลจากการวิ่งตามของกิเลสด้วยการขวนขวายของตัวเองนั้นเอามาอวดกัน ว่าข้ามีความสุขเท่านั้นมีความสุขเท่านี้ไม่มี ใครจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เฉลียวฉลาดแหลมคมขนาดไหนก็เหมือนความรู้ของนักโทษในเรือนจำ ความรู้ของสัตว์โลกนี้อยู่ในขอบเขตของวัฏจักรซึ่งเป็นอำนาจของกิเลสครอบครองอยู่ทั้งนั้น จึงไม่มีความรู้ใด ที่จะพาสัตว์โลกให้เล็ดลอดออกจากความทุกข์ความทรมาน เพื่อเป็นความสุขความเจริญโดยลำดับจนกระทั่งถึงนิพพาน แข่งคำสอนของพรพุทธเจ้าได้ นี่ละมันต่างกันอย่างนี้

โลกทั้งหลายไม่มีศาสนา คือไม่มีศาสนธรรมที่ถูกต้องดีงามจากองค์ศาสดา ที่เป็นพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์พุทโธโดยแท้จริงมาสั่งสอน หรือว่าสั่งสอนแล้วมันไม่ยอมรับ มันก็คว้าเอาแต่เรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้ โลกจึงมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนทั่วหน้ากัน เราอย่าไปคิดคาดดังกิเลสที่มันหลอกลวง ว่าบ้านนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ ไม่มีใครเจริญแหละ เอาหัวใจซึ่งเป็นผู้รับรองความเจริญ ความเสื่อม ความสุข ความทุกข์นี้ออกมากาง เราอย่าเอาด้านวัตถุมากาง วัตถุที่ไหนมันก็มี ไม่ว่าบ้านใดเมืองใดอยู่กับวัตถุ ร่างกายของเราก็เป็นวัตถุ อยู่สถานที่แห่งใดก็เป็นวัตถุด้วยกัน เป็นของคู่ควรกันอยู่ด้วยกันได้ นี่เรียกว่าด้านวัตถุ

ทีนี้ด้านวัตถุนี้จะให้ความสุขความเจริญแก่เราทางด้านจิตใจนี้ไม่มี ต้องอาศัยด้านนามธรรม คือธรรม เกี่ยวข้องกับบุญบาปดีชั่วทั้งหลาย คัดเลือกออก ปฏิบัติบำเพ็ญความดีงาม อันนี้เป็นของคู่ควรกันกับใจโดยแท้ เวลาตายแล้วสิ่งทั้งหลายกองเกลื่อนอยู่ทั่วโลกอันนี้ก็ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวติดใจไปเลย แต่สิ่งที่ติดใจโดยแท้นั้นคือบุญและบาป บุญและบาปเป็นนามธรรมติดไปได้ในจิตใจของผู้สร้างมากน้อย ใครสร้างบาปมากคนนั้นก็จมลงมาก จนกระทั่งจมลงหมดความหมายไปเลยก็มี

ใครสร้างคุณงามความดีมากผ่านพ้นได้ถึงพระนิพพาน เป็นสถานที่ยุติแห่งกองทุกข์ทั้งหลายอยู่กับใจของผู้บริสุทธิ์ ได้ถึงแดนแห่งนิพพานแล้ว ท่านเหล่านี้เป็นสถานที่ขาดสะบั้นของสมมุติทั้งหลาย ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย ท่านเรียกว่านิพพาน นิพพานคือแดนวิมุตติ พ้นแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวง นั่นเป็นแดนวิมุตติ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทุกพระองค์เรียกว่าถึงแดนอันเกษมสำราญเป็นอนันตกาล แดนแห่งความเที่ยงตรงแล้ว ไม่มีหวั่นไหวโยกคลอนไปตามกฎแห่งอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นกฎแห่งสมมุติทั้งหลายเลย

นั่นละจิตของท่านที่พ้นไปแล้วนั้น หมดโดยสิ้นเชิงและหมดตลอดไป ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย นี้คือฝ่ายธรรม ผู้เสาะแสวงหาธรรมสร้างคุณงามความดี เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ เหมือนน้ำตกลงมาทีละหยดละหยาด ตกไม่หยุดไม่ถอยสามารถทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้โดยไม่ต้องสงสัย การสร้างคุณงามความดีของแต่ละรายๆ ก็สร้างเต็มกำลัง ตามกำลังของตนที่มีกำลังมากน้อย ทีละหยดละหยาด ทีละเล็กละน้อย ก็มากขึ้นๆ สุดท้ายความดีทั้งหลายนี้แหละจะหนุนขึ้นไปโดยลำดับ ควรแก่สถานที่ที่เป็นความสุขในชั้นใดภูมิใด

ดังที่ธรรมท่านแสดงไว้ว่า สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก็ต้องไปเกิดในแดนที่เหมาะสมกับบุญกรรมของตนในชั้นนั้นๆ เช่น สวรรค์ก็มีถึงหกชั้น เรามีบุญกุศลแค่ใดเราก็ไปเสวยสมบัติของตนอยู่ตามอำนาจแห่งกรรมของตนที่ทำได้มากน้อย ควรแก่สวรรค์ชั้นใดก็ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นๆ เรื่อย สูงขึ้นไปก็คือพรหมโลก นี่คือความดีส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ๆ จากพรหมโลกนี้อายุตั้งหลายๆ หมื่นปีทิพย์ เก้าหมื่นปีทิพย์ สิบหมื่นปีทิพย์ ไม่ใช่น้อยๆนะ ปีทิพย์ไม่ใช่ปีธรรมดาเรา กว่าจะได้เลื่อนลงมาเกิดเป็นมนุษย์สร้างบารมีสูงเข้าไปอีก ทีนี้ผ่านถึงนิพพานเลย จากนั้นก็คือถึงนิพพาน

นี่ละอำนาจแห่งการสร้างความดีงามทั้งหลาย ไม่ไปไหน นี่เป็นสาระคุณ เป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของผู้สร้างผู้จัดผู้ทำผู้บำเพ็ญได้เป็นอย่างดี ไม่มีทางสงสัย ถูกต้องตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม สัตว์โลกที่พยายามดำเนินตามนี้แล้วจะเป็นความราบรื่นดีงามของตน ในชีวิตจิตใจอันนี้ซึ่งเป็นของไม่ตายจะได้อาศัยสมบัติอันดีงามนี้เป็นเครื่องพยุงตนไปเรื่อยๆ หนุนขึ้นไปๆ

เมื่อความดีงามของเราที่สร้างมาทีละเล็กละน้อยมากต่อมาก หลายปีหลายเดือนเข้ามา จนกระทั่งเต็มภูมิแล้วก็เด่นถึงนิพพานทันที นี่คือที่พึ่งของใจ ได้แก่บุญแก่กุศลนี้แล บาปเป็นสิ่งที่ทำลายจิตใจ เป็นภัยต่อจิตใจ สองอย่างนี้แหละติดแนบกับใจ ควรแก่ใจ นอกจากนั้นไม่มี วัตถุจะมีมากน้อยไม่เป็นของคู่ควรกันกับใจ เพราะฉะนั้นใจจึงต้องเรียกร้องหาความสุขหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา แต่แทนที่จิตใจจะได้รับความสุขภาคภูมิใจในสมบัติเหล่านั้น กลับเกิดความเดือดร้อน เรียกร้องหาความสุขจากเจ้าของ เพราะใจไม่ได้ไปรับสิ่งเหล่านั้น รับตั้งแต่อารมณ์

อารมณ์ขุ่นมัวมั่วสุม มีได้ทั้งเศรษฐี มีได้ทั้งคนจน ถ้าผู้มีธรรมเศรษฐีก็ทำตนให้สงบร่มเย็น คนทุกข์คนจนก็ทำให้สงบร่มเย็นได้ นี่สำคัญตรงนี้ ไม่สำคัญที่อื่น ใจนี่รับได้เฉพาะเรื่องนามธรรมคือบุญกับบาป ร่างกายรับได้ทางวัตถุธรรม ดังที่เห็นกันอยู่นี้แหละ มันคนละฝั่ง ให้พากันเข้าใจ อย่าพากันดีดกันดิ้นจนกระทั่งลืมเนื้อลืมตัว เห็นวัตถุทั้งหลายเป็นของเลิศของเลอไปเสียทั้งสิ้น เห็นอรรถเห็นธรรมซึ่งเป็นของคู่ควรกับใจเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา หรือเป็นสิ่งต่ำทรามไปเสีย จิตใจผู้นั้นจะต่ำทรามเรื่อยไป แม้ไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไปต่ำทรามอยู่นั้นแหละ ไปที่ไหนก็ต่ำทราม จิตใจไม่มีที่เกาะที่ยึด

ท่านสอนไว้อย่างนี้ให้พากันจำให้ดี ไม่มีคลาดเคลื่อนคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้แยกให้แยะเสียตั้งแต่บัดนี้ เราไม่ลืมตัว เอามีเท่าไรมีเถอะสมบัติเงินทองข้าวของ มีด้วยความชอบธรรม ไม่ได้ไปฉกไปลักปล้นจี้สะดม รีดไถคดโกงผู้อื่นผู้ใดมา ซึ่งเป็นการก่อความเสียอกเสียใจก่อความฉิบหายให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เราเสาะแสวงหามาด้วยความชอบธรรม สมบัติเหล่านี้ก็เป็นธรรม เราก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไร แล้วนำสมบัติเหล่านี้แจกแจกออกไป เป็นบุญเป็นกุศลให้กลายเป็นนามธรรมคือบุญขึ้นมา บุญนี้ก็มาควรแก่จิตใจของเรา จากวัตถุที่เรานำมาบริจาคหรือทำบุญให้ทานด้วยความชอบธรรม สิ่งเหล่านั้นก็มากลายเป็นบุญเป็นกุศล เป็นนามธรรม เป็นของคู่ควรแก่จิตใจของเราโดยลำดับลำดา

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้แยกส่วนแบ่งส่วนให้เป็นคนละฝั่ง ด้านวัตถุเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ชีวิตจิตใจสกลกายของเราก็ให้ทราบเอาไว้ ด้านนามธรรมคือบุญคือกุศลที่เป็นของคู่ควรกันกับใจก็ให้แยกเอาไว้ ให้เสาะแสวงหาความดีงาม ทางด้านจิตใจก็มีบุญเป็นเครื่องเสวย เพราะเจ้าของก็บำเพ็ญขวนขวาย หาบุญเข้าสู่ใจอยู่ตลอดเวลา ทางด้านวัตถุคือการครองชีพเราก็ขวนขวาย เรียกว่าเป็นผู้สม่ำเสมอ อยู่ในโลกนี้ก็ไม่เดือดร้อน ท่านแสดงไว้ในธรรม อิธ นนฺทติ คนผู้ที่สมบูรณ์ด้วยการบำเพ็ญทั้งด้านวัตถุเพื่อร่างกาย และทั้งบุญกุศลด้านจิตใจให้สม่ำเสมอกันแล้วอยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง เปจฺจ นนฺทติ ละจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปรื่นเริงบันเทิงในโลกสวรรค์ ท่านแสดงไว้อย่างนี้

ให้พากันพินิจพิจารณา เราเป็นลูกชาวพุทธ เป็นผู้ที่ควรจะพิจารณาไตร่ตรอง อย่าทำแบบสุกเอาเผากินตามกิเลสฉุดลากไป ซึ่งเคยเป็นมาดั้งเดิม มีศาสนาแล้วก็ไม่มีความหมาย ให้กิเลสสร้างความหมายเอาฟืนเอาไฟมาเผาเราเสียทั้งตนๆ ตายแล้วก็จม ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ขอให้พากันพินิจพิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ ที่เป็นที่แน่ใจก็คือว่าใจนี้เป็นของไม่ตาย ไม่ตายมาแต่กาลไหนๆ และจะไม่ตายตลอดไป คำว่าตลอดไปจนถึงที่สุดแห่งความไม่ตายของจิต ก็คือจิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วเป็นธรรมธาตุ นั่นไม่ตาย นั้นละที่เที่ยงตรงของจิต อยู่ที่จิตบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเป็นธรรมธาตุขึ้นมา

นี่เที่ยงด้วยความบริสุทธิ์ เหล่านั้นเกิดตายๆ มันมีแต่เรื่องร่างกายนะ สวมร่างนั้นสวมร่างนี้ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของตนที่สร้างมามาน้อย เวลาตายลงไปแล้วใจมันไม่ตาย มันออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้นๆ แล้วแต่อำนาจแห่งบุญกรรมที่จะพาไปสร้างร่างใดขึ้นมา เราเป็นมนุษย์ถ้าเราไม่ได้สร้างความดีไว้ ตายจากเป็นมนุษย์เราก็ไม่มีทุนมีรอนคือบุญกุศล มันจะไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานประเภทต่างๆไป โดยไม่ต้องสงสัย เกิดไปตามกรรมของตัวนั่นแหละ มันควรแก่กำเนิดใดมันจะเกิดในกำเนิดนั้นๆ จนได้

ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวางกรรมดี-กรรมชั่วนี้ได้เลย ถ้ากรรมชั่วมีเราตายจากนี้เราไม่มีคุณสมบัติภายในจิตใจ ไม่สร้างบุญสร้างกุศล จากสภาพมนุษย์กลายเป็นอาศัยร่างของสัตว์ดิรัจฉาน ไปเกิดแล้วนะนั่น ของเปรตของผีของนรกอเวจี ไปไม่มีที่สิ้นสุด จิตดวงนี้ถึงจะไปตกนรกอเวจีนานสักกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม แต่ใจนี้ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ในแดนทรมานเหล่านั้น แต่ที่จะให้ฉิบหายไม่มีคือใจดวงนี้ เวลาฟื้นตัว สถานที่ใดก็ตามมันเป็นแดนสมมุติ อยู่ในกฎอนิจจังเหมือนกัน ไม่เที่ยง แต่เปลี่ยนแปลงช้าหรือเร็วต่างกัน เช่นอย่างไปตกนรกอย่างนี้ตั้งกี่กัปกี่กัลป์ จะค่อยเปลี่ยนขึ้นมา

ไม่ได้เหมือนเห็ดเกิดตามพื้นดิน ตอนเช้าเป็นตุมพอตอนบ่ายมาเหี่ยวยุบยอบไปแล้ว นี่เปลี่ยนแปลงเร็ว แต่กรรมของสัตว์นี้มันเปลี่ยนช้า เช่นไปตกนรกอย่างนี้ตั้งหลายกัปหลายกัลป์กว่าจะได้ผ่านพ้นขึ้นมา ก็คือเปลี่ยนมานั้นเอง ก็ไม่ตาย เรื่องความตายของจิตนี้ไม่มี แล้วก็ค่อยฟื้นตัวขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งความดีงาม เมื่อกรรมนั้นค่อยหมดไป ภาษาเราเรียกพอลืมหูลืมตาได้ และสร้างความดีงามขึ้นมาเป็นเครื่องประดับตน ก็ค่อยมีหูมีตาอ้าปากได้ ก็รู้จักบุญกับบาป สร้างขึ้นมา ทีนี้ก็ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา

ทีนี้ฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งถึงขั้นจะให้สุดยอดนะ ฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งถึงบำเพ็ญตนให้ถึงความพ้นทุกข์ เมื่อพ้นทุกข์ไปแล้วนั้นละทีนี้ที่ท่านว่าธรรมธาตุ คือจิตบริสุทธิ์สุดส่วนพ้นสมมุติไปหมดก็ไม่ตาย จิตนี้ไม่ตายจนกระทั่งถึงธรรมธาตุ ลงตรงนั้น เที่ยง นิพพานเที่ยง คือจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเป็นธรรมธาตุขึ้นมา ดังพระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายจิตของท่านเป็นธรรมธาตุทั้งนั้น ไม่มีคำว่าเปลี่ยนแปลง สมมุติเข้าไม่ถึง

นี่ละจิตดวงนี้ละ ที่สุดของจิตดวงนี้คือเป็นธรรมธาตุเที่ยงตรง ไม่มีคำว่าสลายคำว่าสูญหายไปไหน ไม่มี เรื่องว่าตายแล้วสูญนั่นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงสัตว์โลก ที่เคยหลอกลวงมานาน ใครเชื่อมันก็ต้องจมไปตามมัน เมื่อเชื่อว่าตายแล้วสูญแล้วคนเราย่อมหมดหนทาง ทำบาปก็ไม่เป็นบาป เพราะตายแล้วก็สูญ ไม่มีใครจะมารับเสวยบาปเสวยบุญอีกแล้ว ทำบุญก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตายแล้วมันสูญไปแล้ว ทีนี้อยากทำอะไรก็ทำ นั้นละความอยากทำคือเชื้อใหญ่ของกิเลส ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก จนกระทั่งถึงวันตาย ตายแล้วทีนี้มันไม่สูญละซี ก็ไปจมอยู่นั้น จมอยู่นั้น

ผู้ที่ว่าตายแล้วสูญเป็นผู้ที่ปิดหูปิดตาปิดทางเดินของตน ทั้งๆที่มีชีวิตอยู่หาค่าหาราคาไม่ได้ คอยแต่วันจะจมเท่านั้น เป็นคนหมดคุณค่าแล้วนะ คนที่เข้าใจว่าตายแล้วสูญหมดคุณค่าจริงๆ จะสร้างแต่บาปแต่กรรมเผาตัวเอง เพราะตายแล้วไม่มีใครมาเสวย นี่เป็นความสำคัญต่างหาก ไม่ใช่ความจริง ความจริงแล้วจิตนี้ไม่มีคำว่าสูญ จิตนี้ไม่สูญ เอาปัจจุบันนี้พูดให้ฟังชัดๆ ดังที่กำลังเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายทราบนี้แหละ เอาใจหลวงตาบัวออกพูด เอายันกันตรงนี้เลย

ตั้งแต่เวลาล้มลุกคลุกคลานฟัดกับกิเลส กิเลสกับธรรมฟัดกันหมุนติ้วๆๆ นั่นเวลาลำบากลำบน ลำบากจริงๆ ไปภาวนาจนน้ำตาร่วงบนภูเขา เพราะสู้กิเลสไม่ได้ เอายันเลยนะ มายันพี่น้องทั้งหลาย ที่สอนพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้เอาธรรมโกหกมาสอนหรือ เราบำเพ็ญแทบล้มแทบตายได้อรรถได้ธรรมได้หลักความจริงมาสอน ยังจะเห็นเป็นของไม่สำคัญอยู่หรือ ถ้าไม่ใช่คนหมดค่าหมดราคาเป็นเศษมนุษย์อยู่เท่านั้นแล้ว ควรจะฟังคำนี้ให้ดีนะ

ปฏิบัติตนมาอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มแรก หมุนติ้วๆ ไม่หยุดไม่ถอย เพราะอำนาจแห่ง เชื่ออรรถเชื่อธรรมเชื่อครูเชื่ออาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งคือหลวงปู่มั่น ลงใจในจุดนี้แหละ ท่านแสดงเรื่องมรรคผลนิพพาน เหมือนท่านแบมือให้เห็น นี่เห็นไหมมรรคผลนิพพานสดๆร้อนๆ ฟังถึงใจๆ นั่นละที่จะให้สละเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาเป็นก็เป็น ตายก็ตาย เพื่อมรรคผลนิพพานเท่านั้นๆ เลย นี่ความเพียรมันก็กล้า เมื่อความเพียรกล้าการชำระกิเลสมันก็แข็งแกร่งของมันไปเอง ความเพียรก็เพียรละกิเลส จากนั้นมาจิตก็มีความสงบร่มเย็นขึ้นมา

นี่ผลแห่งการบำเพ็ญ จิตดวงนี้ละ คำว่าสงบร่มเย็นคือสิ่งแวดล้อมของจิต กิเลสหนาๆ มันทำจิตให้เดือดร้อนวุ่นวาย เมื่อธรรมซักฟอกเข้าไปกิเลสก็ค่อยบางเข้าไป มีความสงบเย็นใจ ใจเป็นสมาธิ มีความสงบเย็น อยู่ที่ไหนสบายไปเลย กิเลสไม่มารบ กวน นี่ก้าวออกทางด้านปัญญาพิจารณา ซักฟอกกิเลส ไม่ว่าประเภทใดของกิเลส สติปัญญาซักฟอก ขาดสะบั้นลงไป ขาดสะบั้นลงไป ใจยิ่งมีความผ่องใสขึ้นโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงขั้นได้อุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ตนเอง

นี่ละถอดออกมาจากหัวใจ ยืนลำพึงอยู่ ทำไมใจของเราถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวน้า นี่มันถึงขั้นมันว่างนะ ว่างอัศจรรย์ อยู่ที่ไหนว่างหมด ต้นไม้ภูเขามองไปไหนเห็นพอเป็นเงาๆ แต่ฐานใหญ่ของมันคือความว่าง มันว่างไปหมดเลย ทำไมจิตของเราถึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวน้า นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ถึงขั้นมันขัดเกลามันลงไป ๆ จนกระทั่งถึงความอัศจรรย์ จากความอัศจรรย์นี้แล้วก็ฟาดขาดสะบั้นลงไป กิเลสทั้งนั้นละจะอยู่ขั้นใดๆ เป็นสมมุติทั้งมวล กิเลสต้องแฝงอยู่ทุกขั้นของธรรมที่บำเพ็ญไป

พอชำระกิเลส เอากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปหมด บรรดาสมมุติทั้งหลายกิเลสเป็นยอดแห่งสมมุติ กิเลสมีละเอียดมากน้อยเพียงใดกวนใจอยู่มากน้อยเพียงนั้น พอกิเลสทุกประเภทขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วจ้าขึ้นมา นั่นทีนี้ธรรมธาตุ สูญไหมล่ะ ฟังซิน่ะ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมาจนกระทั่งถึงกิเลสขาดสะบั้นลงไป จิตดีดผึงขึ้นมา นั่นเป็นธรรมธาตุแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมธาตุอยู่ในหัวใจนี่ มาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ สอนโลกนี่สอนแทบล้มแทบตาย เราหวังเอาอะไรกับท่านทั้งหลาย เราไม่ได้หวังเอาอะไรนะ ที่ดีดที่ดิ้นอยู่ทุกวันเพราะความเมตตาสงสาร

โง่เง่าเต่าตุ่นให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ไม่ว่าสัตว์ตัวใดบุคคลใด จะเรียนต่ำเรียนสูง มียศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเพียงไรก็คือพวกที่ชมสมบัติในเรือนจำนั้นแหละ ฟังซินักโทษชมสมบัติในเรือนจำ เรานักโทษ นักโทษวัฏจักร ชมสมบัติในเรือนจำที่จะพาให้จมๆ ด้วยความลืมตัวของตัวเองนั้นแหละ นี่เวลาจิตมันดีดขึ้นนี้แล้วมันเป็นธรรมธาตุแล้ว นี่ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว ฟังซิธรรมนี้ถึงใจไหม

เราปฏิบัติแทบสลบไสลแต่ไม่เคยสลบนะ ไม่เคยสลบเราก็บอกไม่เคยสลบ เฉียด เฉียดตลอด เพราะความเพียรกล้าตลอดเวลา ความเพียรนี่กล้ามากเพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นที่จะถึงแดนพ้นทุกข์ในชาตินี้ จะไม่ให้ผ่านนี้ไปได้ เราต้องเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ด้วยความเชื่อมั่นในโอวาทคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ท่านเป็นตัวยืนยัน นั้นละอรหันต์องค์หนึ่งยืนยัน สอน ฟัดกันเสียจนกระทั่งถึงขั้นกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ที่ว่าว่าง ว่างหมด โลกธาตุนี้ก็ว่าง จิตใจก็ว่าง และปล่อยวางตัวเอง ไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง ว่างทั้งภายใน ว่างทั้งภายนอก นั่นละเป็นหลักธรรมชาติแท้ คือเป็นธรรมธาตุ จ้าขึ้นมาจากการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว

ให้เราพยายามปรับปรุงตัวของเราให้ดี อย่าพากันหูหนวกตาบอด หลับหูหลับตาตลอดเวลา ให้กิเลสพาฉลาด ฉลาดพาจมนะกิเลสพาฉลาด ไม่ได้พาไปสวรรค์นิพพานเพื่อความพ้นทุกข์นะ กิเลสพาฉลาดจะพาให้ล่มให้จม อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กิเลสมันหนาขึ้นทุกวันๆ ความรู้เรียนมามากน้อยก็ความรู้ในเรือนจำแห่งวัฏจักร เป็นความรู้ของกิเลสผลิตให้ทั้งนั้นนะ ครั้นได้มาแล้วมันจะวิเศษวิโสมาจากไหนก็ความรู้ของกิเลส มันก็มาเพิ่มความทะนงตัว ว่าเรียนมาชั้นนั้นชั้นนี้ ดอกเตอร์ดอกแต้อะไรก็ไม่รู้ละ ตัวเองเผาอยู่ตลอดเวลา ภูมิตำราโอ่อ่าฟู่ฟ่าภายนอกให้โลกได้เห็น แต่หัวใจของดอกเตอร์ดอกแต้มันเป็นไฟ ธรรมจับเข้าไปเห็นหมด นี่เป็นอย่างนั้นนะ

เพราะงั้นจึงแก้มันออก ให้มันหมดคำว่าความทะนง ท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วท่านไม่มีทะนงอะไร ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวต่อความเป็นความตาย ความทุกข์ความยากลำบาก ต่อสมมุติทั้งหลาย ท่านไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว เป็นธรรมชาติที่พอตัวแล้วทุกอย่าง ความสรรเสริญเยินยอก็เป็นส่วนเกิน ความติฉินนินทาก็เป็นส่วนเกิน ธรรมชาตินั้นพอตัวแล้ว นั่นธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอน ให้พากันยึดกันถือทุกคน ให้ฝังใจนะ เราอายุแก่ขนาดนี้แล้วมันจะอยู่ไปสักกี่วัน ท่านทั้งหลายพิจารณาซิ

แล้วดึงออกมาจากหัวใจที่มาสอนนี้โกหกท่านทั้งหลายหรือ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน ใครจะว่าบ้าว่าบอ ว่าอวดอุตริมนุสธรรม ก็ให้มันยกโคตรมาว่าซิ โคตรของธรรมมี โคตรของกิเลสตัณหามี ปากอมขี้มี ปากอมธรรมมี ให้มันว่าไปตามปากของมัน ปากพระพุทธเจ้า-ปากสาวกทั้งหลายปากอมธรรม ยังประโยชน์ให้สำเร็จจากการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและสาวก ปากอมขี้นี้มันทำใครให้มีความสงบร่มเย็น มีผลมีประโยชน์ไม่มีเลย จะฟังปากไหน เอาไปฟังให้ดีนะ ฟังให้ถึงใจนะ เทศน์มาพอแรงแล้ว

เวลาเราไปบำเพ็ญอยู่ในป่าไม่มีราค่ำราคาเลย ถึงขนาดนั้นนะ แต่จิตใจมันพุ่งๆ นะ เพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อมรรคผลนิพพาน ความทุกข์ความยากความลำบากนี้ไม่ต้องพูด อาหารการกินที่กินอยู่ทุกวันนี้เป็นอย่างไร เหมือนอาหารแดนสวรรค์นะ อย่างวัดป่าบ้านตาดท่วมท้นเหมือนอาหารแดนสวรรค์ เวลาเราไปอยู่ไปกินในป่าในเขาอาหารสัตว์นรก ถ้าว่าอาหารนักโทษยังดีกว่าเราอีกนะ นั่นเป็นอย่างนั้น ไม่สนใจเรื่องการอยู่การกินทุกอย่างไม่สนใจ สนใจแต่ความพ้นทุกข์ จิตมุ่งมั่นๆ ทีนี้ความทุกข์ความลำบากทั้งหลายที่ว่าเป็นอุปสรรค ไม่เป็น ขาดสะบั้นไปหมด เพราะความมุ่งมั่นมีกำลังรุนแรงมากกว่า เอาได้เลย นั่นเห็นไหม

แล้วจิตที่ว่าสูญ สูญหรือไม่สูญ ฟังซิเดี๋ยวนี้ ที่ว่าธรรมธาตุนี้สูญไหม มันครองอยู่ในหัวใจเดี๋ยวนี้ธรรมธาตุ แล้วเป็นนิพพานเที่ยงด้วย นั่นมันสูญเหรอ ท่านทั้งหลายเอาไปฟังนะ พูดเดี๋ยวนี้เอาความจริงมาพูด ไม่ได้มาหลอกลวง เราปฏิบัติตนแทบเป็นแทบตาย ปฏิบัติตนเพื่อหลอกลวงตนเหรอ แล้วมาสอนโลกทั้งหลายเพื่อความหลอกลวง เหรอ ให้เอาไปพิจารณาให้ดีนะ สงสารนะ

วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ พูดไปพูดมามันก็ลำบากลำบน ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ความเป็นสิริมงคลจะอยู่กับท่านทั้งหลายที่อาศัยธรรมเป็นร่มเงา แล้วให้บืนไปตามธรรมนะ ถ้าบืนไปตามกิเลสจะจม เฉพาะอย่างยิ่งใครว่าตายแล้วสูญผู้นี้จมแต่ยังไม่ตาย จำให้ดีนะ เอาละขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ)

วันที่ ๑๙ วันนี้ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำวันนี้ ได้ ๑ กิโล ๑๒ บาท ๒๕ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ วันมาถึงทีแรกจนกระทั่งบัดนี้ได้ ๒ กิโล ๑๒ บาท ๖๓ สตางค์

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก