เทศน์อบรมฆราวาส
ณ สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ถ.พระอาทิตย์ กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙ (๑๖.๐๐ น.)
ไม่สิ้นคนดีบ้านเมืองเราจะมีความสงบ
(รวมเวลาแสดงธรรม ๑ ชั่วโมง ๕ นาที)
คุณสนธิ : กราบนมัสการพ่อแม่ครูบาอาจารย์นะครับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน กระผมนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นตัวแทนของญาติธรรม แล้วลูกศิษย์ลูกหา ตลอดจนพนักงานในเครือข่ายกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการนะครับ เป็นธรรมเนียมทุกๆ ปีที่พวกเราได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ลงมาที่สำนักงานแห่งนี้ เพื่อมาเทศน์แสดงธรรมให้แก่พวกเราได้รับทราบ ปีนี้ ๒๕๔๙ ก็เป็นวาระดิถีซึ่งได้รับความเมตตาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ลงมาแสดงธรรมให้เราฟัง เป็นครั้งแรกของปีนี้ ก็เลยอยากจะเป็นตัวแทนบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายและพนักงาน เนื่องจากว่าทุกวันนี้ปัญหาความวิกฤตในสังคมนั้นมีมากในเรื่องของความคิดความขัดแย้ง และตลอดจนความไม่สบายใจของหลายๆ ฝ่าย ที่เห็นว่าชาติบ้านเมืองนั้นกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต
โดยที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ได้สั่งสอนให้ลูกหลาน ให้ทุกคนนั้นทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พวกลูกหลานตลอดจนตัวเกล้านั้นก็ได้ยึดถือคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์โดยยึดเอาชาติ เอาศาสนา เอาพระมหากษัตริย์เป็นหลัก แล้วก็เอาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ซึ่งได้สอนมา เป็นธรรมที่จะนำหน้านะครับ ฉะนั้นแล้วการที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านอาจารย์ใหญ่ได้มามอบความเมตตาให้กับพวกเราในการที่จะลงมาแสดงพระธรรมเทศนาครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่พวกเราในที่นี้ เกล้าก็ขออาราธนาถวายคุณแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกเราตั้งจิตพร้อมกันนะครับ
หลวงตา : อาราธนาศีลนั้น พากันรู้จักศีลไหมละ อาราธนาวันนี้ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม นั้น ว่าข้าพเจ้าขอรับศีลพร้อมทั้งถึงพระสรณะ คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พากันรู้จักศีลไหมละนี่ หรือรู้จักตั้งแต่เป็นบ้าไอ้หลังลายกันนั่นเหรอ ศีลไม่มองดูเลย ขอแต่ได้แต่ร่ำแต่รวย แต่สวยแต่งาม ตกแต่งกันเป็นบ้าไปเลยอย่างนั้นเหรอไง เราวันนี้มีโอกาสที่จะมาถามพี่น้องทั้งหลายนะ
วันนี้ถูกนิมนต์มาเทศนาว่าการในสถานที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เบื้องต้นท่านทั้งหลายได้อาราธนา มยํ ภนฺเต คือขอรับศีล ว่าอย่างนั้น แต่มันก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง พากันรู้จักศีลหรือเปล่าก็ไม่รู้ เวลาให้ศีลไปนึกว่าเป็นอะไรไปอีก มาขอรับศีล เวลาให้ศีลไปเลยกลายเป็นสูญไปหมด เข้าใจไหมละ ถ้าธรรมดาเราก็ไม่ค่อยให้ศีล วันนี้จะให้ศีลท่านทั้งหลาย คำว่าศีลนี้ก็คือความแน่นหนามั่นคงของจิตใจ เทียบกันได้กับหิน ศิลาแปลว่าหิน ทำจิตใจของเราให้แน่นหนามั่นคงต่ออรรถต่อธรรมทั้งหลาย เหมือนกันกับหินไม่หวั่นไหวกับอะไร เชื่อบุญเชื่อกรรมเป็นของสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ศีลจึงถือว่าเป็นความแน่นหนามั่นคงของใจ ที่ว่ารับศีล
ปาณา คือท่านห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ สัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ตัวน้อยสงวนรักษาชีวิตของตนได้ด้วยกันหมด ไม่มีไปโรงร่ำโรงเรียนใด สัตว์เกิดมาในน้ำบนบกบนฟ้าอากาศที่ไหน รักชีวิตจิตใจของตนเหมือนกันหมด ไม่ต้องไปหาเรียน ไม่มีครูมีอาจารย์มาสอน สัตว์โลกรู้ทั่วถึงกันหมด เพราะฉะนั้นคำว่าการให้ศีลจึงมองดูหัวใจชีวิตจิตใจของกันและกันในบรรดาสัตว์ทั่วโลก เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา เรารักชีวิต เขาก็รักชีวิต อยู่ที่ไหนรักชีวิตด้วยกันทั้งนั้นบรรดาสัตว์
เพราะฉะนั้นการรับศีลนี่จึงประกาศความจงรักภักดีต่อกัน ไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ทำลาย ไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้อภัยกันอยู่เสมอ ชีวิตจิตใจเขาเหมือนกันกับเราๆท่านๆนี้แหละ ท่านจึงให้ความเสมอภาคต่อกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน นี่เรียกว่ารักษาศีล ปาณาคือชีวิตของสัตว์โลกทั่วๆ ไป เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ชีวิตของเราเป็นอย่างไร เรารักสงวนขนาดไหน ชีวิตของสัตว์โลกทั่วๆ ไปก็มีความรักความสงวนชีวิตของตน ไม่อยากจะให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปแตะต้องทำลายชีวิตของตนได้ เขารักชีวิต
เพราะฉะนั้น จึงประกาศความอิสรภาพในชีวิตของกันและกันขึ้นด้วยการรักษาศีล จะไม่ทำลายเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี่เป็นศีล เป็นข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองคือ อทินนา การฉก การลัก การปล้น การสะดม ด้วยความไม่ชอบธรรม เขาไม่ได้เสียสละ แต่เราหาอุบายวิธีการต่างๆ เอาด้วยความสกปรกโสมมของเรา ซึ่งเป็นการทำลายสมบัติและจิตใจนั้นเป็นส่วนมาก การทำลายจิตใจกันนี้เป็นสำคัญมากทีเดียว สมบัติเงินทองยกให้กันเป็นล้านๆ ด้วยความพออกพอใจ ย่อมมีความปีติยินดีทั้งผู้ให้และผู้รับไป ระลึกถึงบุญถึงคุณกันตั้งแต่วันได้รับการสงเคราะห์มาจนกระทั่งมาถึงวันตายไม่ลืมเลย นี่การให้กันด้วยความสงเคราะห์สงหาซึ่งกันและกัน
แต่การไปฉกไปลักไปปล้นไปสะดมบีบบี้สีไฟเอาด้วยวิธีการต่างๆ ทรัพย์สมบัติก็เสียไป จิตใจเจ้าของผู้เป็นเจ้าของสมบัตินั้นก็ชอกช้ำมากที่สุด ก่อกรรมก่อเวร ตามจองล้างจองผลาญกันจนได้นั่นแหละ นี่ละคือเขาไม่ลงใจให้ แต่เราไปบีบบี้สีไฟเอาด้วยอำนาจป่าๆเถื่อนๆ ของเรา ได้มาแล้วสิ่งที่ได้มานั้นก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ในหัวอก ไม่ได้ไปที่ไหน ใครทำผิดความผิดอยู่กับคนนั้น ทำคนอื่นให้เดือดร้อนเสียใจ ทั้งสมบัติเงินทองและเสียใจในนามความเป็นเจ้าของนี้ก็หนักพอแล้ว ผู้ที่ได้ไปก็นึกว่าภูมิใจในตัวเอง ได้ฟืนได้ไฟจากสมบัติของเราที่ไม่ลงใจจะให้นั้น กลับไปเผาหัวอกตนเองอยู่ภายในใจอย่างลึกลับ
นี่ละท่านว่านตฺถิ กมฺม สมํ พลํ พลังอำนาจใดไม่เหนืออำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้ ท่านสอนไว้อย่างนี้ ให้เราระมัดระวัง นี่อธิบายเรื่องศีลให้ฟังก่อน การฉกการลักการปล้นการสะดม ด้วยวิธีการใดๆ ที่เขาไม่ลงใจให้เป็นความผิดโดยลำดับลำดา ถึงขนาดเป็นความผิดอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากที่สุด ศีลธรรมท่านเห็นใจซึ่งกันและกัน ตลอดสมบัติซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาก็ไม่ไปล่วงเกินฝ่าฝืน นอกจากเขาให้ด้วยความพออกพอใจก็เป็นมงคลด้วยกันทั้งผู้ให้และผู้รับไป ท่านจึงให้ตั้งอยู่ในศีลถือความเป็นใหญ่ให้กันและกันทั่วหน้ากันหมด ไม่ดื้อดึง ไม่ฝ่าฝืน ไม่ไปปล้นไปจี้ ไม่บีบบี้สีไฟเอาด้วยวิธีการต่างๆ ให้ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ นี่ท่านเรียกว่าอทินนาทาน คือไม่ฉกไม่ลักไม่ปล้นไม่จี้สมบัติและหัวใจเจ้าของเขา
นี่อธิบายถึงเรื่องศีลห้าย่อๆให้ท่านทั้งหลายฟัง กาเมสุมิจฉาจาร ห้ามการล่วงล้ำสามีภรรยาลูกเต้าเหล่ากอของผู้ใดก็ตาม เป็นสมบัติของเขาที่ปกครองหรือครองกันมาด้วยความสงบร่มเย็น และมีความอบอุ่นตามลำดับมา อย่าไปแตะต้องทำลายข้ามเกินซึ่งกันและกัน เพราะอันนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก ผัวใครใครก็รัก เมียใครใครก็รัก ลูกหลานของใครใครก็รักด้วยกันทั้งนั้น ให้ดูหัวใจว่าหัวใจเราว่าเรารักลูกรักเมียรักผัวเราไหม เรารักลูกรักหลานญาติวงศ์ของเราไหม เรารัก เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่ต้องการที่จะให้ใครมาล่วงล้ำเขตแดนแห่งความรักของเรา ซึ่งเป็นการทำลายจิตใจกันอย่างหนักมาก
ท่านจึงห้ามกาเมสุมิจฉาจารให้มีขอบมีเขต ผัวใครเมียใคร สมบัติของใครนำไปครองสมบัติของตนเป็นความสุขร่มเย็น และมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เมียก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อผัว ฝากเป็นฝากตายซึ่งกันและกัน ผัวก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อเมีย ประหนึ่งว่าเป็นทองแท่งเดียวกัน นี่ละความสุข ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เป็นเศรษฐี แต่มีเมียมีผัวเป็นร้อยๆคนนะ มีเท่าไรก็สร้างฟืนสร้างไฟเผาตัวเองทั้งนั้น แต่มีมาด้วยความบริสุทธิ์ ครองกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันนี้เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ เงินทองกองเท่าไรก็ตามสู้ความสุจริตระหว่างครอบครัวผัวเมียนี้ไม่ได้เลย
จึงพารักษาสมบัติอันล้นค่านี้ไว้ให้มีความอบอุ่นต่อกัน อย่าได้มีระแคะระคาย ผัวไม่ไว้ใจเมีย เมียไม่ไว้ใจผัว นี้ไฟเริ่มเกิดขึ้นแล้วในครอบครัวและในหัวอกของทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็ระเบิดเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้แตกกระจัดกระจาย เมียก็อย่าจากผัว ผัวก็แตกจากเมีย ลูกเต้าหลานเหลนก็แตกกระจัดกระจาย ทำอะไรหน้าที่การงานไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะความเสียอกเสียใจ นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก เป็นโทษมากทีเดียว อย่าพากันทำกาเมสุมิจฉาจาร เรียกว่าเป็นผู้ตั้งโดยศีลธรรม ให้สิทธิซึ่งกันและกัน นี่เป็นข้อที่สาม เราพูดย่อๆ ให้ฟัง
ข้อที่สี่ อย่าโกหกพกลมซึ่งกันและกัน พูดต่อกันให้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นความสัตย์ความจริงที่ไว้วางใจกันได้ แล้วก็เชื่อถือกัน เป็นตายก็เชื่อถือกันด้วยความสัตย์ความจริง อย่าเอาความโกหกพกลมมาหลอกลวงกัน เสียหายมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งสามีภรรยาไปหาตกนรกทั้งเป็นมาจากหลุมไหนๆ ก็ไม่ทราบ ครั้นกลับมาบ้าน ไปไหนเมื่อคืนนี้ หายหน้าไปไหน แล้วก็หาแก้ตัวโกหกออกมาว่าไปฟังเทศน์ ว่ะ ความจริงมันไปฟังเทศน์ที่ไหน นั่นละ ไปฟังเทศน์มา และฟังเทศน์วัดไหน ไม่บอก กลัวเขาจะรู้ล่องรู้ลอย ไม่บอก เดี๋ยวผู้หญิงจะติดธรรม เราจะได้เฝ้าบ้าน หาอุบายพูดกันอย่างนั้น
นี่คำโกหกเช่นนี้เป็นความเสียหายมากทีเดียว โกหกต้มตุ๋นหลอกลวงให้เขาล่มจม สมบัติเงินทองข้าวของเสียหายไปจากความโกหกพกลมต่อกันและกันนี้มีไม่น้อย นี้เป็นข้าศึกอันใหญ่หลวง ธรรมพระพุทธเจ้าจึงสอนอย่าให้โกหกกัน คนเราเห็นหน้ากันแล้วให้ทักทายพูดถามกันด้วยความสัตย์ความจริงต่อกัน ก็ได้ความเป็นมงคล ได้ความสัตย์ความจริง ไปเป็นระโยชน์แก่ตน ไม่ใช่ได้ความโกหกไปเผาหัวอกตนเองและผู้อื่น นี่เป็นข้อที่สาม พูดย่อๆ ให้ลูกหลานทั้งหลายฟัง
พูดข้อที่สี่ สุรายาเมา ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ตรัสรู้ขึ้นมา ท่านสอนว่าสุรายาเมานี้เป็นพิษเป็นภัย เป็นอันตรายต่อตนเองและสังคมมากทีเดียว อย่าพากันดื่ม คนอยู่ดีๆ นี้เรียกว่าเป็นคนร้อยเปอร์เซ็นต์ พอดื่มสุราเข้าไปนี้ขาดไปแล้ว ขาดไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นต์ สามสิบเปอร์เซ็นต์ สุดท้ายเป็นบ้า เวลากินสุรามากๆ นี่ขี้ราดเยี่ยวราด ไม่ได้เลือกที่เลือกฐาน นอนที่ไหนขี้ที่นั่น นั่งที่นั่นเยี่ยวราดที่นั่น นี่คือคนเมาสุรา เป็นคนดีไหมคนเมาสุรา
ทำไมจึงยกยอกันเอานักหนาว่าสุราเป็นของดี จอมปราชญ์ทั้งหลายท่านตำหนิติเตียนกันมาตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตำหนิเรื่องสุรายาเมาซึ่งทำคนให้เสียทำคนให้เป็นบ้ากันทั้งนั้น แต่พวกเราชาวพุทธทำไมจึงพออกพอใจ ดีไม่ดีเอาแก้วเหล้านั่นมาโชว์ให้เขาถ่ายหนังสือพิมพ์ ยิ่งเลวที่สุดคนประเภทนี้ คนไม่มีศาสนาเป็นอย่างนั้น นี่สุรา ท่านทั้งหลายจะรับศีลในวันนี้ จะอธิบายศีลทั้งห้าข้อนี้ให้ฟังโดยย่อนะ
ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา ได้พูดให้ฟังย่อๆ ต่อไปนี้เวลารับไปก็ให้รับไปรักษาจริงๆ เราจะรักษาได้กี่วันกี่เวลาให้มีกำหนดกฎเกณฑ์บังคับตนเอง ให้อยู่ในกรอบของศีลที่เรารักษาไว้นั้นด้วยดี อย่าไปทำลาย ไปทำลายก็เท่ากับมาโกหกพระ ให้พระท่านนำหน้ารับศีลไป ครั้นไปแล้วก็ไปทำลายคำสัตย์คำจริงของตัวเอง แล้วมาโกหกพระนี้ยิ่งเป็นบาปเป็นกรรม ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ นี่จะให้ศีล (หลวงตาท่านให้ศีล)
นี่พูดถึงการให้ศีลจบลงแล้ว อธิบายเรื่องศีลแต่ละข้อๆ ให้ท่านทั้งหลายจดจำไว้ และปฏิบัติตนตามศีลนั้นก็จะสรุปความลงว่า สีเลน สุคตํÔÔ ยนฺติ คนที่จะไปสู่ความสุคติโลกสวรรค์ได้ด้วยอำนาจแห่งศีลที่รักษาดีแล้วนี้ จนกระทั่งไปถึงนิพพานได้ ก็เพราะอำนาจแห่งศีลที่รักษาเรียบร้อยแล้วด้วยดี เพราะฉะนั้นจงเป็นผู้ชำระศีลของตนให้มีความสะอาดผ่องใสโดยทั่วกันเทิด นี่ท่านสรุปศีลห้าข้อนะ นี่เรียกว่าสรุปอานิสงส์ของศีลห้าข้อนี้ อยู่ในเราที่รักษาได้แล้ว ศีลธรรมเหล่านี้จะเป็นเครื่องทำเราให้ไปสู่สุคติ โลกไหนก็ตาม คนมีบุญกุศลแล้วย่อมมีความสุขความเจริญร่มเย็นเป็นสุขทุกโลกนั่นแหละ เพราะในโลกอันนี้มีหลายโลก มนุษโลก คนมีศีลมีธรรมแล้ว ย่อมมีความสุขความเจริญ สงบร่มเย็น ทั้งส่วนตัวครอบครัวตลอดวงงานต่างๆ
ถ้าต่างคนต่างมีศีลมีธรรม ปฏิบัติหน้าที่ต่อกันแล้วย่อมไว้วางใจกันได้ ถ้าปราศจากศีลธรรมเสียอย่างเดียวเป็นเรื่องร้าวรานแตกฉานกันไปโดยลำดับลำดา จนไม่มีชิ้นดีเลย ศีลจึงเป็นรั้วกั้นสำคัญสำหรับหน้าที่การงานและจิตใจของเราให้มีความแน่นหนามั่นคง และเชื่อถือตนได้ นี่ละศีลเป็นของสำคัญอย่างนี้ เราได้ปฏิบัติแล้วก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เราเกิดในแดนแห่งพุทธศาสนา คือศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว หาที่ตำหนิไม่ได้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธล้วนๆ เป็นศาสดาองค์เอก ตรัสธรรมออกมาสอนโลก ธรรมบทใดบาทใดเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามแล้วจะเป็นสิริมงคลแก่ตนโดยลำดับๆ ไม่ผิดไม่พลาดถ้าดำเนินตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนแล้วนี้
เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาแล้วอย่าปล่อยวางให้กิเลสขยำย่ำยีทั้งวันทั้งคืนไม่ดีเลย ความโลภก็บีบบี้สีไฟ ความโกรธก็บีบบี้สีไฟ ราคะตัณหาก็บีบบี้สีไฟ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนและสังคมทั้งนั้น ไม่มีชิ้นดีติดในสิ่งเหล่านี้ จึงขอให้พากันรักษาศีลรักษาธรรม เราเกิดมาในแดนพุทธศาสนานี้เรียกว่ามีวาสนาแล้ว ให้พากันไปปฏิบัติจิตใจของตนให้ดี ผู้ที่จะรับรองศาสนาไว้ได้คืออะไร ก็คือจิตใจของมนุษย์เรานี้แล อย่างอื่นไม่เป็นภาชนะที่เหมาะสมประการใดเลย
ส่วนจิตใจนี้เป็นภาชนะที่เหมาะสมแล้วกับธรรมทุกขั้น จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เพราะอำนาจแห่งจิตใจดวงเดียวนี้แล เป็นภาชนะรับรองไว้ได้หมด จึงพากันให้สำรวมระวังใจให้ดี ศาสนาท่านสอนลงที่ใจ ไม่ได้สอนลงที่อื่นที่ใด เพราะใจเป็นหัวหน้างานในร่างกายของมนุษย์และสัตว์แต่ละรายๆ ถ้าใจได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดี การเคลื่อนไหวไปมา การประพฤติตัวหน้าที่การงานจะเป็นสิ่งที่เรียบร้อยดีงามไปตามๆ กัน แต่ถ้าใจไม่รับการอบรม ถูกกิเลสเสี้ยมสอนไปในทางชั่วช้าลามกเสีย กายวาจาใจของเราก็เป็นโมฆะหาประโยชน์แก่ตนไม่ได้ นอกจากเป็นเครื่องมือนำฟืนนำไฟมาเผาตนให้แหลกเหลวไปเท่านั้น ขอให้ท่านทั้งหลายระมัดระวัง
ศาสนาเป็นเครื่องสอนมนุษย์เรา รู้จักดีจักชั่ว รู้จักบุญจักบาป รู้จักนรก-สวรรค์ พรหมโลก-นิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเต็มพระทัยแล้วจึงนำมาสอนโลก ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ไม่ใช่เป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยดังที่กิเลสมันเสกสรรปั้นยอตัวของมัน ให้เป็นทองทั้งแท่งขึ้นมาเหยียบอรรถเหยียบธรรม เหยียบบุญเหยียบบาป เหยียบนรก-สวรรค์ไปหมด ไม่ให้มี ให้มีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความงมงายเต็มเนื้อเต็มตัว เต็มจิตใจเท่านั้น
เพราะฉะนั้นโลกเมื่อเอนไปตามกิเลสแล้ว จึงกลายเป็นกิเลสไปตามๆกันหมด หาความสุขความเจริญตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับ เวลาที่เจอะเจอแต่ความผิดหวังๆ หมดหวังไปหมด หาความสุขไม่ได้ เพราะหาไปตามทางของกิเลสมันย่อมเอาฟืนเอาไฟมาเผาไหม้ตลอดไป ถ้าหาตามอรรถตามธรรมแล้วเราจะเจอความดีงาม ความเป็นมงคลแก่ตัวของเรา ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ให้เชื่อบุญเชื่อกรรม พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เชื่อกรรม กรรมเป็นพื้นฐานสำคัญของสัตว์โลกนะ มีศาสนาไม่มีศาสนาก็ตามการกระทำนั้นท่านเรียกว่ากรรม คือการกระทำ ทำดีทำชั่วเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นบาปเป็นบุญขึ้นมาในกิริยาที่ทำนั้นทั้งนั้น ใครจะทราบว่าเป็นบาปเป็นบุญหรือไม่ทราบก็ตาม แต่หลักธรรมชาตินี้เป็นอย่างนั้นแน่นอน
คำว่ากรรมมีอยู่ทุกตัวสัตว์ คือการกระทำ ไม่ทำดีก็ทำชั่ว อยู่อย่างนั้นแล ที่จะทำกลางๆ ธรรมดาไม่เรียกว่าบาปว่าบุญก็มี ท่านเรียกว่า อัพยากตกรรม กรรมไม่เป็นบาปเป็นบุญ กุศลเป็นกรรม เรียกว่ากรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล ปาปกรรมคือกรรมที่เป็นบาปเป็นกรรมจากการกระทำของเรานั่นแหละ ให้พากันระมัดระวัง เกิดมาเป็นคนทั้งชาติได้กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์บ้างหรือไม่ บางรายไม่มี นี่ที่น่าสลดสังเวชกับบรรดาพี่น้องชาวพุทธเราในเมืองไทยนะ
ควรที่จะมีพุทโธ ธัมโม สังโฆภายในจิตใจ หลักฐานอันใหญ่โตให้เชื่อบาปเชื่อบุญ นรก-สวรรค์เป็นของที่มีมาดั้งเดิม ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะมาอุตริบอกสอนโลกในปัจจุบันที่เป็นศาสดานี้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิม บาปก็ดี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี นิพพานก็ดี เป็นธรรมชาติที่มีมาแล้วดั้งเดิม พระองค์สอนตามแนวทางที่มีมาแล้วทั้งดีทั้งชั่ว ให้สัตว์ทั้งหลายได้รู้ผิดรู้ถูก แล้วละเว้นในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย แล้วทำความดีงามขึ้นสู่ตัวของเราเอง นี่เรียกว่าเป็นมงคลแก่เรา สมเกิดมาพบพุทธศาสนา
พุทธศาสนานี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย กระเทือนทั่วหัวใจของสัตว์โลกนั้นแล ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พุทธศาสนาของเรานี้เป็นศาสนาที่เอกอุ ใครอยากทราบผลของพุทธศาสนานี้ การทำบุญให้ทานก็เป็นความดีแต่ละประเภทๆ เป็นความร่มเย็นเป็นสุข ความสมัครสมานกันได้ด้วยความเสียสละ นี่ก็เป็นประเภทอันหนึ่งขึ้นมา ประเภทที่สำคัญที่จะไม่ต้องถามใครเลยนั้นคือจิตตภาวนา จิตตภาวนานี้คือความดูใจตัวเอง ท่านสอนให้ภาวนา ให้ดูใจตัวเอง เพราะใจนี้เป็นมหาเหตุ ส่วนมากมันจะผิดตั้งแต่เรื่องกิเลสตัณหาขึ้นมาตลอดเวลา ตัวเองก็เพลินไปกับมันไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลายเป็นบ๋อยของกิเลสเสียทั้งดวงในดวงใจดวงหนึ่งๆ นะ เป็นอย่างนั้น ธรรมะที่จะเข้าอบรมสั่งสอนนี้ไม่ค่อยมี
ถึงว่าเป็นพุทธศาสนาก็ตาม ก็มีแต่ชื่อแต่นาม เมื่อมีคนถามก็บอกว่าถือพุทธศาสนา แต่ความจริงมันไม่ได้ถือไม่ได้ปฏิบัตินี้มีมากต่อมากสำหรับชาวพุทธเรา จึงควรถือพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตนบ้าง เฉพาะอย่างยิ่งอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เจริญเมตตาภาวนาเป็นของสำคัญมากทีเดียว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกของโลกเกิดขึ้นจากการภาวนา พระสงฆ์สาวกที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ เกิดขึ้นมาได้ด้วยการภาวนา การภาวนาจึงเป็นแก้วเป็นสารพัดนึก เป็นรากเหง้าของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปอบรมใจ เวลาจะหลับจะนอนทำใจให้สงบลงด้วยบทคำภาวนา เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ ให้เจริญมีสติจับอยู่กับคำบริกรรมนั้นในขณะที่จะนอนให้นั่งภาวนาเสียก่อน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าห้านาที แล้วจิตใจจะสงบเย็นลงไป เพราะน้ำดับไฟคือธรรมได้แก่คำบริกรรมนั้นแหละ เป็นเครื่องระงับดับความฟุ้งซ่านวุ่นวายทั้งหลายลงได้เป็นลำดับ ใจเราจะมีความสงบเย็น เมื่อใจเป็นสงบเย็นขึ้นมาแล้วคุณค่าในโลกนี้มีอยู่ที่ไหนบ้าง
ใจนี้น้อมตัวไปเป็นบ๋อยของเขาตลอดเวลาก็ตามนะ แต่พอจิตตภาวนาได้ปรากฏผลขึ้นมาให้เป็นความสงบใจเพียงเท่านั้น จิตใจจะมีความเอิบอิ่ม มีความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมาภายในใจ แล้วสุดท้ายความแปลกประหลาดอัศจรรย์หรือสาระสำคัญที่สุดเลยมาอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้ แต่ก่อนเราเห็นว่าอันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี อะไรก็ดีไปหมด ไปหาเสกสรรปั้นยอว่าเขาดี ทั้งๆที่เขาไม่ได้ดี มันเลวอยู่กับใจที่ดีดที่ดิ้นนี้แหละ ทีนี้พอเข้าสู่ธรรมที่ถูกต้องแม่นยำ เช่นการอบรมจิตใจภาวนาให้มีใจสงบแล้ว ใจจะแสดงความแปลกประหลาด คือหนึ่ง ความสงบเย็น ปราศจากอารมณ์รบกวนทั้งหลาย สอง ความสว่างไสวจะเกิดขึ้นที่ใจ ข้อที่สาม ความอัศจรรย์จะเกิดขึ้นที่ใจ
ทีนี้เราก็มารวมได้แล้วว่า การหาความสุขทั่วโลกอันนี้ไม่มีความสุขที่ใดจะเสมอด้วยจิตตภาวนาที่มีความสงบแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่ใจของตัวเอง ทีนี้มันก็ปล่อยความกังวลวุ่นวาย ความดีดความดิ้นตามโลกตามสงสารไม่รู้จักประมาณนั้นเข้ามาสู่ความพอดิบพอดี ถึงกาลเวลาที่เราจะทำความสงบปล่อยงานข้างนอกให้หมด เข้าสู่ภายในจิตใจของเราด้วยบทบริกรรมภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าสู่ใจ ใจจะมีความสงบเย็นขึ้นมาๆ จากนั้นก็แปลกประหลาดอัศจรรย์
ทีนี้เวลาใจรวมตัวเข้าไปแล้ว ธรรมมีความสว่างไสวประจำใจแล้ว มันจะมองเห็นทีนี้ บาปที่เราว่ามีหรือไม่มีแต่ก่อนมันจะรู้ขึ้นที่ใจ ว่าบาปมีหรือไม่มีไม่ต้องไปถามใคร บุญมีหรือไม่มีมันจะรู้ขึ้นที่ใจของนักภาวนาที่ดูใจตัวเอง แล้วจะสว่างกระจ่างแจ้งออกไปเป็นลำดับลำดา สามารถที่จะรู้ได้เห็นได้ในสิ่งที่มนุษย์มนาธรรมดาทั้งหลายรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ แต่นักภาวนานี้สามารถรู้ได้ นอกจากรู้ความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตนแล้ว ยังสามารถที่จะรู้ได้ในสิ่งรอบตัว เช่นเปรต เช่นผี เช่นยักษ์ เช่นมาร ที่ท่านแสดงไว้ในธรรม แต่เราทั้งหลายไม่เคยรู้ แต่จะรู้ด้วยจิตตภาวนาจนได้ ปิดไม่อยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิม นี่ละจิตเมื่อได้รู้ได้เห็นแล้วจะแสดงความอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจของตนเอง
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อบรมจิตใจบ้างนะ ใจเป็นของสำคัญ เวลานี้มีแต่มูตรแต่คูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ จนแสดงความมีสาระขึ้นมาไม่ได้เลย มีตั้งแต่สิ่งที่ไร้สาระและเป็นโทษทั้งวันทั้งคืน ครอบหัวใจอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงขอให้เปิดใจออกด้วยจิตตภาวนา สิ่งเหล่านี้จะค่อยเพิกถอนออกไป จางออกไป ใจจะมีความสงบเย็นแปลกประหาดอัศจรรย์ขึ้นมา ความสว่างไสวจึงไม่มีอะไรสู้ใจได้ละ เวลาได้รู้รู้จริงๆ ใจ เวลาปิดก็ปิด พระอาทิตย์ร้อยดวงใจก็ไม่สว่าง พอใจสว่างขึ้นมาทีนี้พระอาทิตย์ร้อยดวงสู้ไม่ได้นะ มันสว่างอยู่ที่ใจ มืดก็เพราะใจมืดด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา เวลาบุกเบิกออกมาด้วยจิตตภาวนาแล้วมันจะสว่างไสว ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ทุกด้านทุกทางในโลกนี้มารวมอยู่ที่ใจทั้งหมดของนักภาวนา
พระพุทธเจ้าที่ว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลกท่านรู้ไปหมดทุกอย่าง ก็เพราะจิตใจท่านเปิดกว้างออกหมดแล้ว เรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง บรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ไม่เห็น พระองค์รู้เห็น พวกเปรตพวกผี สัตว์นรกอเวจีที่ไหนเห็นหมด นั่นละเรียกว่าใจกระจ่างแจ้งออกมาแล้ว เพราะการอบรมจิตใจ เปิดชำระล้างสิ่งที่มืดดำทั้งหลายได้แก่กิเลสออกจากจิตใจ ใจจะมีความสว่างไสวขึ้นมาๆ ใจได้รู้ได้เห็นสิ่งใดแล้วจะไม่ถามใครนะ ไม่เหมือนเราหูตาจมูกภายนอกมองเห็นแล้วยังสงสัยบ้างนะ เห็นแล้วมัวๆ บ้างอะไรบ้างไม่ชัด ฟังแล้วไม่ชัด แต่ใจได้รู้ได้เห็นจากจิตตภาวนาแล้วชัดเจน ไม่ต้องไปถามผู้ใด หากประจักษ์ในตัวเอง ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม สมบัติที่รู้ที่เห็นเป็นของตนล้วนๆอยู่กับใจตัวเอง
นี่ละพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้นำมาสอนโลก ท่านสอนด้วยความแม่นยำ เพราะท่านรู้อย่างแม่นยำ ไม่ผิดไม่พลาด ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ธรรมมีอย่างไร ความจริงมีอย่างไร ท่านจะแสดงไปตามหลักความจริงให้โลกได้รู้ได้เห็น สำหรับโลกที่มีนิสัยปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องธรรมทั้งหลายอยู่บ้าง นำไปปฏิบัติจะได้รู้ได้เห็นตามท่าน แต่โลกที่มืดบอดปะทะปรมะเหลือแต่ร่างกระดูกกับลมหายใจฝอดๆ เอาพระพุทธเจ้าร้อยองค์มาสอนมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เท่ากับคนตายแล้วเหลืออยู่ลมหายใจเท่านั้น เราอย่าให้เป็นคนตายแล้ว เหลือลมหายใจ ให้เป็นคนมีลมหายใจ จิตใจให้ระลึกถึงอรรถถึงธรรมภายในใจเสมอจะเป็นใจมีค่ามีราคา
เราจะเห็นได้ชัดในโลกธาตุนี้ ขอให้ใจเบิกกว้างออกเถอะ อะไรมันจะรู้จะเห็น ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะมารวมอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอประเสริฐยิ่งกว่าใจดวงที่สว่างกระจ่างแจ้งนี้แล้ว จากการชำระสะสางด้วยจิตตภาวนา อยากให้ท่านทั้งหลายเฉพาะอย่างยิ่งพระเรา อยู่ในป่าในเขาท่านก็ภาวนาอย่างนี้แหละ ให้ท่านภาวนาชำระจิตใจ อยู่ที่ไหนดูตั้งแต่จิตใจ คือตัวเหตุเป็นภัยแท้ๆอยู่ที่ใจ ชำระจิตใจด้วยจิตตภาวนาโดยความมีสติสตัง ระงับดับความคิดปรุงทั้งหลายอันเป็นเรื่องของกิเลสให้สงบตัวลงๆ ใจก็สว่างจ้าขึ้นมา สว่างจ้าขึ้นมา แล้วก็เป็นความอัศจรรย์อยู่ในตัวของตัว อยู่ในใจดวงนี้แล
ท่านผู้ภาวนามุ่งต่อมรรคผลนิพพาน ปฏิบัติตนให้ได้มรรคได้ผลเต็มกำลังความสามารถของตนแล้ว ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านก็สง่างามอยู่ในป่าในเขา เพราะธรรมเป็นเครื่องประดับใจ ส่วนอื่นมาประดับใจไม่เป็นท่านะ คอยแต่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เจ้าของ ส่วนธรรมประดับใจนี้เย็นตลอด อยู่ไหนเย็นหมด ๆ ดังพระกรรมฐานท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขา ท่านภาวนาชำระจิตใจ บำรุงจิตใจของท่านให้สง่างามด้วยความสงบเย็นใจ ธรรมที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้เห็นขึ้นมาจากการภาวนาของท่านเอง สุดท้ายก็เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลขึ้นมา ดังพระพุทธเจ้าก็ทรงมรรคทรงผลขึ้นจากการภาวนาอยู่ในป่าในเขา สาวกทั้งหลายก็ทรงมรรคทรงผลขึ้นมาจากการภาวนาอยู่ตามป่าตามเขา พระสมัยปัจจุบันนี้ท่านก็อยู่ในป่าในเขาตามทางของศาสดาที่ทรงดำเนินมา และสั่งสอนให้อยู่ในป่าในเขาตลอดมา ท่านก็ดำเนินอย่างนั้นเรื่อยมาอย่างทุกวันนี้
เพราะฉะนั้นท่านจึงทรงมรรคทรงผลได้โดยไม่สงสัย ใครจะตำหนิติเตียนอะไรก็ตาม ธรรมเป็นธรรม ลบไม่สูญ ลบไม่สูญ ผู้ทำดีได้ดี ผู้ทำชั่วได้ชั่วตลอดไป ผู้เสาะแสวงหาธรรมย่อมได้ธรรมตลอดไป ผู้เสาะแสวงหากิเลสก็มีแต่กิเลสมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ในหัวอกตลอดมาอย่างนั้นแล ให้พากันคัดเลือกนะ ทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนี้ไม่เลือกแม้คนเดียวที่จะไม่ตาย เป็นแต่เพียงว่าต่างกันก่อนกับหลังเท่านั้นเอง
เมื่อมีชีวิตอยู่อย่างนี้ขอให้ทดสอบตัวเอง ตั้งปัญหาถามตนเองบ้าง เราเกิดมานี้ได้กี่ปีกี่เดือนแล้วเวลานี้ เราได้สร้างความดีให้จิตใจอะไรบ้าง หรือสร้างแต่ความชั่วช้าลามกเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา พอลมหายใจขาดแล้วไม่ต้องถามเรื่องจ่านรกจะเป็นที่ไหนไป ก็เป็นกรรมของตัวเองนั้นแหละเป็นจ่านรกมาดลบันดาลบังคับตัวเองให้ตกนรกหมกไหม้ จะเป็นกรรมของใคร ไม่มีกรรมของใคร ท่านจึงเรียกว่ากรรมไม่ลำเอียง สม่ำเสมอตลอดไป คนสร้างความดีก็เหมือนกันตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา
กุสลาคือความเฉลียวฉลาด ท่านรอบตัวของท่านหมดแล้ว ตายเมื่อไรก็ได้ เช่นอย่างท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรม นับตั้งแต่พระโสดาสกิทาคาถึงขั้นอรหันต์ ท่านตายที่ไหนท่านตายสะดวกสบายทั้งนั้น ท่านไม่ได้มีความกังวลวุ่นวาย ความเป็นกับความตายท่านไม่ถือเป็นภาระ เพราะเป็นอริยสัจ พิจารณารอบคอบหมดแล้ว ปล่อยวางโดยความเป็นจริง ถึงเวลามีชีวิตอยู่ก็บำเพ็ญตัวไป เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วก็ดีดผึงไปตามความดีงามเลย ไม่จำเป็นต้องมีใครมากุสลาให้ท่าน
นี่ละการปฏิบัติธรรม เราจะไปหาคนอื่นมาช่วยอย่างนั้นไม่ได้ อย่างสมัยปัจจุบัน นี้มันเป็นอย่างนั้นนะพวกชาวพุทธเรา ตายที่ไหนไปกอบไปโกยไปกวาดต้อน เอาพระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ตัวเองไม่เคยสร้างความดีทั้งหลาย จะกุสลาหาอะไร ขอให้สร้างความดีงามเข้าสู่ตัวเถอะ อยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย ตายแล้วก็เป็นสุขๆ อย่างธัมมิกอุบาสกคนหนึ่งจะยกมาเป็นคติตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายฟัง ซึ่งเป็นฆราวาส ธัมมิกอุบาสกแปลว่าผู้แน่นหนามั่นคงในธรรม ปฏิบัติตนและมีจิตตภาวนาผสมกันไปด้วย
ทีนี้เวลาท่านจวนตัวลงมาท่านจะสิ้นชีพวายชนแล้ว บอกลูกๆ ให้ไปนิมนต์พระมาสวดธรรม ให้เป็นที่รื่นเริงในวาระสุดท้ายของพ่อ พ่อจะตายเร็วๆ นี้ ลูกก็ไปนิมนต์พระท่านมา ท่านมาท่านสวดธรรมให้ฟัง สวดธรรมให้ฟัง จิตใจก็คล้อยตามๆ มีความสงบเย็นขึ้นมา แสงสว่างของจิตโผล่ออกไปบนท้องฟ้า เห็นพวกเทวบุตรเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ ขับรถทิพย์มาเต็มอยู่บนท้องฟ้า ใครก็มาเชิญให้ไปสวรรค์ชั้นของตนๆ ท่านก็เพลิน จิตใจของท่านส่องแสงสว่างออกไปจากการภาวนาในเวลาฟังธรรม ท่านแสดงให้ฟังอยู่นั้น
ทีนี้มันก็เลยเป็นเรื่องจะเผลอหลุดปากออกไปก็ได้ ความจริงนั้นเป็นภาษาใจ พวกเทวดาทั้งหลายเวลาเขามาเชิญท่านให้ไปสวรรค์ชั้นของตนๆ สวรรค์มีหกชั้นนะ มาทุกชั้นเลยสวรรค์ รถทิพย์มาทุกชั้น จะไปชั้นไหนควรทั้งนั้น ท่านมีธรรมสมบูรณ์เต็มที่ควรแก่สวรรค์หกชั้นนั้นแล้ว เวลาเขาเชื้อเชิญอยู่นั้น บอกทีแรกเป็นภาษาของใจ ไม่ได้ออกเป็นภาษาคำพูดคำจาเหมือนเรา บอกให้เทวดาทั้งหลายรอไว้ก่อน รอไว้ก่อน เวลานี้เรากำลังฟังเทศน์ฟังธรรมของท่านที่แสดงให้ฟัง ให้รอไว้ก่อน
ทีนี้มันก็หลุดออกมาเป็นภาษาหยาบ ออกมาทางปาก บอกว่าให้รอไว้ก่อน ทีแรกเป็นภาษาใจ ครั้นต่อมาก็หลุดออกมาเป็นภาษาคำพูดของเรา พอพระทั้งหลายได้ยินและประชาชนได้ยินก็พากันเงียบ พระสวดมนต์เลยหยุดสวดมนต์ แล้วพระก็เตรียมออกจากบ้านธัมมิกอุบาสกคนนั้น ไปวัด พอไปถึงวัดก็ถูกพระพุทธเจ้าขนาบใหญ่เลย นี่พากันมาทำไม ไปสวดมนต์ให้อุบาสกคนนั้นฟังยังไม่จบแล้วมากันทำไม ก็อ้างกันว่าอุบาสกบอกให้หยุด ให้พักให้หยุดไว้ก่อน ก็เลยพากันมา
นี่อุบาสกคนนั้นเขาไม่ได้ห้ามเธอทั้งหลายนะ เขาห้ามพวกเทวดาทั้งหลายอยู่บนชั้นฟ้าท้องฟ้าอากาศนู้น ที่มาด้วยรถทิพย์เต็มอยู่บนอากาศนั้น เขาเชื้อเชิญให้อุบาสกคนนั้นให้ไปสวรรค์ชั้นของเขา แต่อุบาสกนั้นกลัวจะเป็นอันตรายต่อการฟังธรรม จึงบอกให้เขารอไว้ก่อนต่างหาก ไม่ได้บอกให้พระหยุดเทศน์นะ ไปกลับไปเดี๋ยวนี้ เลยไล่พระกลับคืนมา พอไล่พระกลับคืนมาแล้วพระก็กลับคืนมา พอดีอุบาสกคนนั้นจิตสว่างไสวรวมลงแล้ว พอจิตถอนออกมามองหาพระไม่เห็นทีนี้
พอจิตถอนออกมาแล้วมองหาพระไม่เห็น ได้ถามพระไปที่ไหน ก็คุณพ่อบอกให้ท่านหยุด พระท่านก็หยุดแล้วท่านกลับไปวัดแล้ว พ่อไม่ได้บอกให้พระท่านหยุดนะ พ่อบอกพวกเทวดาทั้งหลาย ทั้งในสวรรค์หกชั้นมาทุกชั้น รถทิพย์เต็มอยู่บนท้องฟ้านู้นต่างหาก ให้รอไว้ก่อน เวลานี้กำลังฟังธรรม อย่างนี้ต่างหาก ไม่ได้ให้พระหยุดการสวดมนต์นะ ไปรีบไปนิมนต์ท่านมาเดี๋ยวนี้ อุบาสกคนนั้นก็เลยรีบให้ลูกไปนิมนต์ท่านมา พอดีไปก็สวนทางกันกับพระ พระกำลังไปทางนู้น พระพุทธเจ้าขับไล่พระคืนมาอีก แล้วทางนี้ก็ให้ไปนิมนต์พระกลับคืนมาอีก มาสวดอรรถธรรมให้ท่านฟังโดยรื่นเริงบันเทิงนั้นละวาระสุดท้าย จากนั้นแล้วท่านก็ไปสวรรค์เลย
นี่ละอำนาจแห่งจิต เวลามันสงบลงไปแล้วมันออกรู้ได้ไม่สงสัย นักภาวนาจะเป็นผู้รู้ดีในเรื่องเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เปรตผีประเภทต่างๆ ใครไม่ภาวนาก็มีแต่หลับหูหลับตาลบล้างกันว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พวกเปรตผีประเภทต่างๆไม่มี ด้วยความตาบอดของตน ท่านผู้มีตาดีหูดีท่านรู้ท่านเห็น อย่างธัมมิกอุบาสกนั้นแหละ พูดกับเทวดาทั้งหลาย แล้วพวกพระก็เป็นพระอย่างแบบหลวงตาบัวนี้แหละ เขานิมนต์ไปสวดมนต์ พอบอกให้หยุดก็เผ่นเลย ถูกพระพุทธเจ้าขนาบกลับคืนมา มาสวดใหม่ พอสุดท้ายอุบาสกคนนั้นเป็นอันว่ายุติ พอพระท่านสวดมนต์กลับไปแล้วท่านมาบอกว่านี่พ่อจะลา ไปละทีนี้ถึงกาลเวลาแล้วก็ไปเลย ไปสวรรค์
นั่นเห็นไหมอำนาจแห่งความดี รู้จนกระทั่งยังไม่ตายก็รู้แล้วเห็นแล้ว ผู้ที่ภาวนาทั้งหลายท่านรู้ ท่านไม่ใช่ไม่รู้ ท่านมาสอนโลกแบบโกหกได้อย่างไร พระพุทธเจ้ารู้แล้วจึงมาสอนโลก ทั้งเทวดา อินทร์ พรหมลงมาเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ท่านสอนไว้หมด ทีนี้ผู้ปฏิบัติตามธรรมของศาสดาก็ไปรู้เห็นตามนั้น แล้วท่านก็ติดต่อกันได้ สื่อสารกันได้ เทศนาว่าการสอนกันได้ตลอดมา แต่พวกตาบอดหูหนวกว่าเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมอะไรไม่มี ลบล้างหมด ลบล้างหมด ลบล้างผู้ตาดีคือศาสดาองค์เอกสอนไว้แล้วด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง
พวกเรามันเป็นพวกตาบอดหูหนวก เวลานี้มันเชื่อไหมละว่าบาปมี บุญมี นรก-สวรรค์มี มันเชื่อตั้งแต่ความโลภ ได้เท่าไรไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ จนตายกับความได้ก็พอใจ มือของเรากอดกองเงินกองทอง ลมหายใจแขม่วๆ กำลังจะขาด อย่างนี้มันก็พอใจกอดกองเงินกองทอง มันไม่ได้พอใจกอดมาพิจารณาเรื่องความตายของตนแต่อย่างใดนะ มันยังเพลินกอดกองเงินกองทอง ไม่อยากตาย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ตาย เงินเป็นเงิน ทองเป็นทอง บาปเป็นบาป บุญเป็นบุญ สำหรับหัวใจผู้ทำชั่วลงเลย ไปเลย
สมบัติเงินทองช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเรานำมาเป็นประโยชน์ มาแจกแจงลงไป ทำบุญให้ทาน เฉลี่ยเผื่อแผ่อันนั้นกลายเป็นบุญกุศลขึ้นมาแก่เรา ถ้าหึงหวงไว้เฉยๆ ไม่สนใจที่จะออกแจกแจงที่ไหน หึงหวงไว้นั้น ตายแล้วกองเงินกองทองอยู่นั้นเจ้าของไปจมในนรก ให้พากันจำเอานะ หลักความจริงเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนไม่เคยหลอกโลกนะ แต่พวกเรานี้มันหลอกตัวเอง นอกจากหลอกตัวเองแล้วยังไปต้มตุ๋นพระพุทธเจ้าว่าบาป-บุญนรก-สวรรค์ไม่มี แล้วมาต้มตุ๋นกันอีก ให้เป็นบ้ากันทั้งบ้านทั้งเมืองมีแต่คนตาบอดชาวพุทธเรา มันไม่มีใครเป็นคนตาดีพอจะมองดูอรรถดูธรรม
ศาสนามีมาได้จากผู้ปฏิบัตินะ เพียงเรียนเฉยๆ จำได้เฉยๆ มันก็ไม่ผิดอะไรกับนกขุนทอง หรือดีไม่ดีเรียนแล้วไม่สนใจปฏิบัติ เอาชื่อเอาเสียงเอาชั้นนั้นชั้นนี้มาประดับโลก มันก็กลายเป็นหนอนแทะกระดาษไป มันไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรม แต่ผู้เรียนแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ผู้นี้แลที่จะนำแบบแปลนแผนผังที่เรียนมานั้นเข้ามาปรับปรุงแก้ไขตนเอง ได้ดอกได้ผลคือมรรคผลนิพพานขึ้นมาภายในใจ สมาธิไม่ต้องบอก ปัญญาไม่ต้องบอก ความหลุดพ้นไม่ต้องบอก ต้องเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัตินี้ทั้งนั้น
ท่านผู้รู้ท่านรู้จากภาคปฏิบัติจิตตภาวนานะ ท่านไม่ได้รู้ด้วยการเรียนมาเฉยๆโดยไม่ปฏิบัติ เรียนมาแล้วมาปฏิบัติตามนั้นน่ะ มรรคผลเกิดขึ้นที่นั่น ท่านจึงเรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว เป็นแบบแปลนแผนผังอันดีงาม แล้วนำแบบแปลนออกมา มาคลี่คลาย มาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วผลก็ปรากฏขึ้นมาเป็นปฏิเวธๆ โดยลำดับ จนกระทั่งบรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ท่านทรงไว้หมดในหัวใจของท่านผู้ปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัติเรียนก็เป็นนกขุนทอง สุดท้ายศาสนาก็เป็นศาสนาเศษกระดาษ ไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรมอะไรเลย ถ้าเราไม่นำมาปฏิบัติ
มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือนะ มรรคผลนิพพานไม่อยู่ในพระไตรปิฎก นั้นเป็นแบบแปลนแผนผังต่างหาก ชี้ออกมา ผู้จะทรงมรรคผลนิพพาน คือผู้นำแบบแปลนแผนผังหรือพระไตรปิฎกนั้นออกมาปฏิบัติ คลี่คลายปฏิบัติต่อตัวเอง แล้วผลก็เกิดขึ้น จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งถึงมรรคผลนิพพาน นี่คือผลปฏิเวธ เกิดขึ้นจากการเรียนมาแล้วปฏิบัติตาม เมื่อปฏิบัติแล้วผลก็ปรากฏขึ้นมาให้รู้ถนัดชัดเจนขึ้นที่ใจ นี่ละมรรคผลนิพพาน อยู่ที่ผู้ปฏิบัตินะ ไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ ไม่ได้อยู่กับลมปากของคนที่ไม่เคยสนใจปฏิบัติ อยู่ที่ผู้ปฏิบัติต่างหาก พระพุทธเจ้าสอนเพื่อปฏิบัติ
พวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธก็ให้ปฏิบัติตนบ้าง อย่านอนแล้วกิน กินแล้วนอน วันหนึ่งๆ มีแต่มืดกับแจ้งเกิดประโยชน์อะไร มันมืดกับแจ้งมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว เอาประโยชน์อะไรให้คน ถ้าเจ้าของไม่ทำประโยชน์และทำโทษแก่เจ้าของ มืดแจ้งทำอะไรไม่ได้ เราต้องเป็นผู้ทำเอง ทำชั่วก็ความชั่วละเผาเรา ทำดีก็เป็นความดี นั้นละเป็นเครื่องส่งเสริมเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ ให้เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีคำใดที่จะแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกที่สอนไว้แล้ว เรียกว่าสวากขาตธรรม หรือสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแแล้วหรือตรัสไว้ดีแล้ว ดีหมด ไม่ว่าชั้นใดภูมิใดเป็นความถูกต้องแม่นยำในธรรมทุกขั้น ผู้ปฏิบัติตามแล้วจะได้รู้ได้เห็นเป็นลำดับ จนกระทั่งทะลุถึงพระนิพพาน
พระนิพพานครึหรือล้าสมัยไปหมดแล้วหรือเวลานี้ ก็ตัวของเราเป็นคนครึ คนไม่มีราค่ำราคา มรรคผลนิพพานจะเลิศเลอขนาดไหนก็เข้ากันไม่ได้กับผู้ไม่สนใจปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพานมีอยู่ ปัจจุบันนี้ก็มี ไม่ใช่เวลาไหน ขอให้มีการปฏิบัติเถอะ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานนั้นแล จะเป็นที่ไหน กรรมดีกรรมชั่วมีประจำ ใครจะลบล้างอย่างไรก็ตาม ไม่สูญ กรรมเป็นของสำคัญ จึงพากันให้ระมัดระวังกรรมให้มากนะ ถ้าไม่ระวังก็มีแต่ความโลภ มันเขมือบนู้นเขมือบนี้ กลืนนั้นกลืนนี้
นี้ละตัวกิเลสมันจะพาเจ้าของให้ล่มจม และทำความกระทบกระเทือนแก่บ้านแก่เมืองได้โดยไม่สงสัย เพราะอำนาจของกิเลสกินไม่พอ ได้ไม่พอ เป็นบ้ายศบ้าลาภ บ้าอำนาจบาตรหลวงไป เลยขวางโลกขวางสงสารไป ขวางคนทั้งประเทศเขตแดนไปหมด ก็คือพวกบ้ายศบ้าอำนาจนี้เองจะเป็นผู้ใด ถ้าปฏิบัติตามศีลตามธรรมพระพุทธเจ้าแล้วโลกนี้กว้างแสนกว้างไม่เฟ้อ ต่างคนต่างปฏิบัติดี ดีด้วยกันหมด ของดีไม่เฟ้อ แต่ของชั่วนั้นมีนิดเดียวก็เฟ้อ เช่นอย่างขโมยนี่ มีตัวสำคัญมีขโมยในหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านนั้นทั้งบ้านนอนกันตาไม่หลับนะ ขโมยตัวนี้มันจะไปทำลาย จึงต้องได้เฝ้ากันแจอยู่อย่างนั้นตลอด
นี่ละคนเฟ้อ เพียงคนเดียวก็เฟ้อ ถ้าคนดีแล้วต่างคนต่างนอนหลับสนิท ตายใจกันได้ ตายใจกันได้ ไม่มีคำว่าเฟ้อ นี่ทำตัวให้เป็นคนดี อย่าให้เป็นคนเฟ้อด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาฉุดไปลากไปนะ ไม่ดี เราเกิดมาทั้งชาตินี้ตายจากนี้แล้วจะเกิดอีกนะ เราอย่าให้กิเลสมาหลอกนะว่าตายแล้วไมเกิด ตายแล้วสูญ นั้นเรื่องของกิเลสความมืดบอด พระพุทธเจ้าสอนว่าตายแล้วเกิดทั้งนั้น เรื่องจิตนี้ไม่เคยตาย พอออกจากร่างนี้ แล้วไปเกิดร่างนั้น ไปเกิดร่างนั้น ตามแต่บุญแต่กรรมของตนมีหนักเบามากน้อย จะต้องไปเกิดโดยไม่ต้องสงสัยนั้นแหละ
เราให้เชื่อกรรมนะ ใครไม่เชื่อกรรมคนนั้นจะจม คนนั้นจะเหนือกรรมไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกองค์ทรงยอมรับเรื่องกรรม นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอำนาจใดที่จะเหนือกรรมดี-กรรมชั่วนี้ไปได้ พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องอำนาจของกรรม มันหนักนะ ใครอย่าไปลบล้าง ถ้าไปลบล้างแล้วคนทำชั่วก็ทำไป ไม่ต้องมีนรกอเวจี ไม่มีเรือนจำตะรางขังกันละ เพราะมันเหนือกรรม แต่นี้มันไม่เหนือซี เวลาขโมยก็ขโมยได้ เวลาเขาไม่เห็นก็รอดตัวไป เวลาเขาเห็นติดแจกันอยู่ในเรือนจำ เห็นไหม ไปที่ไหนมีแต่คนที่เข้าใจตนว่าดิบว่าดีกว่าคนทั้งโลกนั้นแหละ
เขาจะจับไม่ได้แล้วติดคุกในเรือนจำ เขาเรียกนักโทษเป็นอย่างไร อันนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งเรือนจำในเมืองผีด้วยแล้ว กรรมตัวเองเป็นผู้ผูกมัดกรรมตัวเองลงไปนรก มันจะหนีไปไหนได้ละ ก็กรรมนั้นอาศัยคนอื่นเขาไปจับนะ เช่นไปเที่ยวขโมยที่นั่นที่นี่ เจ้าหน้าที่เขาไปตามจับ จับได้ก็เอามาใส่คุก จับไม่ได้ก็รอดตัวไป รอดตัวไป นี่เป็นกรรมของมนุษย์ แต่กรรมของสัตว์ที่ทำในตัวเองนี้แล้ว ทำชั่วขนาดไหนก็ทำเถอะน่ะ ใครเหนือกรรมไปไม่ได้ กรรมดีก็เหมือนกัน ทำลงไปมากเท่าไรไม่ต้องบอกเรื่องมรรคผลนิพพานเป็นสมบัติของผู้นั้นโดยตรง
ท่านเรียกว่ากรรม กรรมไม่ลำเอียง อย่าพากันลบล้างกรรมนะ โดยการกระทำความชั่วช้าลามก เชื่อกิเลสจะจมกันทั้งบ้านทั้งเมือง เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นลูกชาวพุทธ ให้รู้ตัวบ้างซิ เป็นอย่างไรธรรมพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอก เป็นผ้าขี้ริ้วไปหมดแล้วเหรอ มันเป็นทองคำทั้งแท่งแต่ตัวเราที่มีความโลภความโกรธความหลงครอบงำอยู่นี้เหรอ มีแต่ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงครอบหมดทั้งหัวใจ อันนี้หรือเป็นทองคำทั้งแท่ง ธรรมะพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอ ไม่เป็นสาระอะไรบ้างเหรอ
ให้พากันคิด ปัญหาไปถามตัวเองนะ เดี๋ยวจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ครั้นเวลาตายแล้วนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา เวลาไปก็ไปคุยกันอยู่ในเมรุในศพนั้นแหละ เสียงลั่นโลกมาระบายความทุกข์ต่อกัน คนนั้นเป็นทุกข์แบบนั้นคนนี้เป็นทุกข์แบบนี้ เวลาไปในงานศพเพื่อไปเป็นเกียรติให้กันและกัน มันไม่ได้เกียรติได้แกดอะไรละ มันระบายทุกข์ต่อกัน คนนั้นก็พูดคนนี้ก็พูด ไม่ทราบว่าใครจะฟังใคร มีแต่กองทุกข์ พระเทศน์ไม่สนใจเลย
เวลาตายแล้วต้องการอย่างนั้นเหรอ พิจารณาซิ เอาตัวให้แม่นยำซิ ทำตัวให้ดี ทำตัวให้ดี เมื่อดีแล้วอยู่ที่ไหนดีหมด ตายแล้วพระมากุสลาไม่กุสลาไม่สำคัญ ขอให้มันมั่นคงภายในใจ พูดอย่างจริงจัง ดังที่เทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้ เราก็เอาความจริงมาเทศน์ ใครจะตำหนิติเตียนอะไรก็ตาม สำหรับหลวงตาบัวตายจะนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา นี่ได้ฟิตตัวมาตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว (มีคนกำลังถ่ายภาพหลวงตา) นี่อย่ามาถ่ายภาพนะ เดี๋ยวนี้ปาก กำลังเทศน์อยู่นี่มายุ่งหาอะไร
เวลาหลวงตาบัวตายใครอย่านิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา ฟาดปากเอาได้ นี่ฝ่ามือเราก็มีฟาดปากเอาเลย เราสร้างความดีงามมาตั้งแต่วันเราบวช ไม่เคยด่างพร้อยทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์พูนผล อบอุ่น ศีลก็อบอุ่น ธรรมอบอุ่น ตั้งแต่สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ขึ้นไปโดยลำดับ ฟาดจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ จิตใจสว่างจ้าขึ้นมา นั้นละทีนี้หมด เรื่องสมมุติทั้งหลายขาดสะบั้นจากใจ เมื่อกิเลสทุกประเภทขาดจากใจแล้วสมมุติก็ขาดจากใจ เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้นเป็นทองทั้งแท่งขึ้นที่หัวใจแล้ว ถามหานิพพานหาอะไร
นี่พระพุทธเจ้าสอน สนฺทิฏฺฐิโก ธรรมะขั้นสุดยอด คือผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตนตั้งแต่ต้นจนอวสาน ถึงนิพพานเป็นสนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดแล้วถามใครที่ไหน ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เป็นธรรมแท่งเดียวกันแล้วไม่ต้องถามกัน นี่ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถนี้แล้วจึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้หลวงตาบัวมาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ พิจารณาซิน่ะ ปฏิบัติมาแทบล้มแทบตาย ผลที่ได้มาก็เป็นที่พึงใจๆ
จนกระทั่งปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ภายในจิตใจ เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้นเป็นธรรมธาตุเต็มหัวใจ แล้วก็นำกิริยาแห่งสมมุติคือธาตุขันธ์มาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ยังไม่มีค่ามีราคาอะไร หรือโกหกท่านทั้งหลายอยู่เหรอ ถ้าว่าธรรมนี้เป็นของจริงมาจากพระพุทธเจ้าแล้วให้เอาไปพินิจพิจารณานะ อย่าอยู่เฉยๆ กินเฉยๆ ทะเลาะเบาะแว้งกันทั่วโลกดินแดน มีแต่กิเลสพาทะเลาะเบาะแว้งเหมือนหมากัดกัน เกิดประโยชน์อะไร ตั้งแต่คนชั้นต่ำถึงชั้นสูง ตั้งแต่ธรรมดาชาวบ้านชาวเมืองเราก็ทะเลาะ ในครอบครัวผัวเมียก็ทะเลาะกัน ออกสังคมก็ทะเลาะกัน ฟาดขึ้นไปจนกระทั่งถึงรัฐบาลก็ไปกัดกับรัฐบาล กัดกันไม่พอ เอาตับเอาปอดของประชาชนมากัดมากินกันแหลกเหลวไปหมด เป็นของดีแล้วเหรอ
กิเลสมันเป็นอย่างนี้ อยู่ที่ไหนร้อนหมดถ้ากิเลส ความโลภไม่พอ เป็นบ้าอำนาจ อะไรก็ไม่พอ นี้คือกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลก ถ้ามีธรรมในใจแล้วไม่ต้องยุ่ง มีอะไรก็กินไปตามเกิดตามมี เป็นวงราชการงานเมือง เงินเดือนเขาให้เท่าไร เอามันจน เงินเดือนนี้ไม่พอ ข้าราชการผู้นี้เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งจน เงินเดือนไม่พอให้รู้นะ ได้ยินถึงหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะเรี่ยไรประชาชนทั้งหลายให้ไปช่วยข้าราชการคนนี้ ซึ่งเป็นคนดี มีเงินมีทองมาเท่าไรก็หมดด้วยการสงเคราะห์สงหา ไม่ดีดไม่ดิ้นกับเรื่องกิเลสตัณหาที่จะพาเป็นไฟ
แล้วสุดท้ายเงินทองข้าวของเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียในครอบครัวไม่มี หลวงตาบัวจะเรี่ยไรเงินขึ้นไปช่วยข้าราชการคนนั้น แต่นี้มันมีแต่ท้องป่องๆท้องเป่งๆ ทั้งนั้นนี่นะ ใครก็สมัครอยากเป็นข้าราชการงานเมือง ครั้นเป็นไปแล้วก็เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน เป็นอย่างไรปล่อยหมาเข้าถาน ปล่อยเข้าไปแล้วจับหางดึงออกจนหางขาดมันไม่ยอมออก ถ้าถานนั้นไม่หมดไม่ยอมออก หมาเข้าถานเป็นอย่างนั้น พวกความโลภเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวง ปล่อยเข้าในวงราชการงานเมืองซึ่งเป็นเหมือนกับถาน ปล่อยแล้วมันไม่ออกนะ ไล่มันก็ไม่ออก ประกาศกันทั่วโลก ขับไล่มันก็ไม่ยอมไป เพราะเหตุไร เพราะมูตรคูถอยู่ในส้วมในถานยังไม่หมด มันจะกินหมดทั้งตัวเองทั้งโคตรแซ่ของตัวเองไปหมด นั่นเห็นไหมละ นี่ปล่อยหมาเข้าถานเป็นอย่างนั้นละ
นี่ละความโลภ มันพอที่ไหนโลกอันนี้น่ะ ต้องเอาธรรมเข้าจับซิ เอาทุกข์ให้มันทุกข์ ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เป็นผู้นำชาติบ้านเมืองแล้วขอให้เป็นผู้นำที่ดีๆ ให้เขาชมเชยสรรเสริญ ข้าราชการผู้นั้นอดอยากขาดแคลนจนไม่มีอะไรจะกิน ตายไปขอให้ได้ยินสักทีเถอะ หลวงตาบัวจะเรี่ยไรเงินไปช่วยให้เป็นเศรษฐีขึ้นในปัจจุบันนั้นแล แต่นี้มันไม่เห็นน่ะซี มีแต่ขูดแต่รีดแต่ไถแต่กินแต่กลืนทุกแบบทุกฉบับ จนใครดูก็ดูไม่ได้แล้ว มันอิดหนาระอาใจจะตายไป พวกหมาเข้าถานนี่น่ะ เข้าแล้วมันไม่ยอมออก จับหางดึงออกหางขาดมันไม่ยอมออก ฟังซิ มันเหนียวแน่นขนาดไหน มันไม่เสียดายหางมันเลยยิ่งกว่ามูตรกว่าคูถที่มันกำลังกินกำลังกลืนบ้านเมืองอยู่นั้นนะ มันน่าทุเรศนะ
นี่ละธรรมสอนโลกท่านทั้งหลายฟังเอา พูดไปตามหลักความจริงล้วนๆ ไม่พูดอย่างอื่น อะไรที่จะผิดธรรมไม่พูด นี่พูดตามหลักธรรม เป็นความจริงอย่างไรพูดตามนั้น จึงเรียกว่าธรรม เหนือโลกตลอดเวลา ที่จะไปหาร้ายคนนั้นคนนี้โดยไม่มีเหตุมีผลหาไม่ได้ ธรรมไม่หา ธรรมไม่ลำเอียง นี่พูดถึงเรื่องความดีความชั่ว ใครจะสร้างที่ไหนก็ตาม สร้างความชั่วช้าลามกนี้คนอื่นไม่เห็น เจ้าของก็เห็น อยู่ในที่มืดเจ้าของก็ทำในที่มืด รู้ในที่มืด ทำในที่แจ้งเจ้าของก็ทำในที่แจ้ง รู้ในที่แจ้งนั้นแลทั้งทำดีทำชั่ว การทำดีทำชั่วจึงไม่มีมืดกับแจ้ง ไม่มีนตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับไม่มีในโลก มันจะลับอะไรเจ้าของเป็นผู้ทำ รู้รู้กันอยู่ เห็นเห็นกันอยู่นี้มันลับที่ไหน กรรมก็ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ใครทำเป็นกรรมแก่คนนั้น
ให้พากันพินิจพิจารณานะลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลาย วันนี้คุณสนธิเป็นผู้มี ศรัทธาอันยิ่งใหญ่ได้ทำบุญให้ทานเลี้ยงพระเป็นร้อยกว่าองค์ ตั้ง ๑๓๐ องค์ คนตระหนี่ถี่เหนียวจะทำได้เหรอ พิจารณาซิ พระตั้งร้อยกว่าองค์นี้องค์หนึ่งๆ กินเต็มพุงๆ กว่าจะอิ่มแล้วเงินมันหมดไปเท่าไรๆ เสียสละหมด นอกจากนั้นที่แขกศรัทธาทั้งหลายเข้ามาร่วมงานเสียสละทั้งนั้น เลี้ยงทั้งนั้น หมดเป็นหมด ยังเป็นยัง เป็นคนใจบุญสุนทาน เพื่อชาติบ้านเมืองเสียจริงๆ เราขออนุโมทนาสาธุการกับความเป็นผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง เห็นแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษากันไว้ด้วยดี
จึงให้พี่น้องทั้งหลายให้ฟังเสียงคนดีนะ คนชั่วอย่าไปฟัง คนชั่วมันมีแต่จะกลืนบ้านกลืนเมือง ฟังเสียงคนดีนั้นละให้เป็นกำลังใจของคนดีที่จะได้ดำเนินเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อไป บ้านเมืองเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ไม่สิ้นคนดีบ้านเมืองเราก็จะมีความสงบร่มเย็น แน่นหนามั่นคงต่อไป วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ พูดไปพูดมาก็เหนื่อย เอาคนแก่มาเทศน์จะให้ว่าอย่างไร จะให้เทศน์จ้ออยู่เหมือนคนหนุ่มมันเทศน์ไม่ได้ละ นี่กำลังจะหมดกำลังแล้วนะ หมดกำลังแล้วก็จะขอเวล่ำเวลายุติเท่านั้นเอง
การเทศนาว่าการนี้จะหนักจะเบาอะไรขอให้ท่านทั้งหลายฟังเป็นธรรมนะ หลวงตาไม่ได้พูดหนักคนนั้นเบาคนนี้ พูดไปตามหลักความจริง หนักเบาก็เหมือนเขาถากไม้ ถ้าไม้ตรงไหนมันตรงมันตรงเขาก็ถากเรียบๆ ถ้าตรงไหนมันคดมันงอมากนายช่างถากเขาก็ถากอย่างหนักมือ อันนี้การสอนธรรมควรหนักก็หนัก ควรเบาก็เบา ถ้าเรียบๆ ก็เอาเรียบๆ ถ้ามันหนัก มันคดมันงอที่ตรงไหนก็ถากให้หนักๆ ถ้าเรียบๆไปแล้วเสร็จเป็นต้นเป็นเสาแล้วไม่ต้องไปยุ่งกัน เมื่อถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วหมด โทษทั้งหลายไม่มี ไม่ได้สอนกัน แต่พวกเรานี่มันไม่ใช่พวกวิมุตติหลุดพ้น มีแต่พวกมูตรพวกคูถเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มผู้เต็มคน จะไม่ชำระล้างอย่างไร ต้องสอนกันนะ
เอาละวันนี้การแสดงธรรมนี้เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย มีท่านเจ้าภาพคือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมทั้งคณาญาติของท่านเป็นต้น ขอให้มีความสวัสดีโดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|