เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙
ธาตุขันธ์มีกำลังแล้วทับจิต
ก่อนจังหัน
วัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลยตั้งแต่สร้างวัดมา ขาดตลอดเป็นประจำมา ดูเหมือนได้ ๕๐ ปีนี้มัง สร้างวัดที่นี่ดูเหมือน ๕๐ ปี สร้างปลายปี ๒๔๙๘ ดูเหมือน ๕๑ ปีแล้วมัง พระที่มาฉันที่นี่และไม่ฉัน ขาดมาตลอด ที่พระจะมาฉันครบองค์นี้ไม่มี ต้องขาดทุกวันๆ ๕๐ กว่าปีพระท่านขาดมาตลอด ทำไมพระท่านถึงขาด ท่านถึงไม่มาฉัน การไม่มาฉันนี้ก็คือการประกอบความพากเพียร เข้มงวดกวดขันทางสติเป็นสำคัญ เกี่ยวกับเรื่องอาหาร ถ้าอาหารน้อยสติจะดีขึ้นๆ พักอาหารสติตั้งได้ง่าย ดีขึ้น รวดเร็ว ปัญญารวดเร็ว
การปฏิบัติตัวต้องใช้ความสังเกต พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาคือจอมปราชญ์ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตจะจอมโง่แข่งพระพุทธเจ้าไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องตามรอยพระบาท ที่ท่านทรงแสดงไว้แล้วอย่างไร ปฏิบัติมาอย่างไร ให้ถือนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ อย่าถือสิ่งใดมาก หนักยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัย ธรรมก็ดี วินัยก็ดี นั้นคือองค์ศาสดา ใครมีความจงรักภักดี เคารพพระพุทธเจ้าแล้ว ให้เคารพหลักธรรมหลักวินัย หลักศาสนา
พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราประกาศได้เต็มหัวใจของเรา เพราะเราได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มกำลังความสามารถตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อมรรคผลนิพพาน ต่อจากนั้นกระจายออกไปหมด ยกนิ้วให้เลย พุทธศาสนาคือศาสนาคู่โลกคู่สงสารโดยแท้ ไม่ใช่ศาสนกิเลส กิเลสเป็นศาสนาใช้ไม่ได้นะ ผู้ที่กิเลสเป็นศาสนา เป็นเจ้าของศาสนา คือเป็นคลังกิเลสอยู่ภายในใจ ยกตนออกไปประกาศศาสนา เป็นศาสนาใดก็ตามไม่พ้นที่เป็นคลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนาจนได้นั้นแหละ
พุทธศาสนา เจ้าของศาสนาคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลส คำว่ากิเลสคือข้าศึกต่อธรรม หรือข้าศึกต่อความดีงาม เรียกว่ากิเลส ความเศร้าหมองมืดตื้อ ความเป็นภัย ความเป็นฟืนเป็นไฟคือกิเลส กิเลสนั้นเราจะไปหาที่ไหนไม่เจอ หาต้นไม้เป็นต้นไม้ หาภูเขาเป็นภูเขา หาดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ หาทั่วแดนจักรวาลก็เป็นแดนจักรวาลไป ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้ กิเลสแท้อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ฟัดได้เหวี่ยงกันตลอด ผู้ที่จะบำเพ็ญเพื่อความดีงามตลอดถึงมรรคผลนิพพาน จึงต้องเป็นผู้เข้มงวดกวดขันในเครื่องมือที่จะกำจัดสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย เป็นผู้ที่เสาะแสวงหาเครื่องมือที่ดี
สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม นี่สำคัญมาก ดังที่ท่านแสดงไว้ว่าพละ ๕ กำลัง ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เรียกว่าอินทรีย์ก็ได้ คือความเป็นใหญ่ พละ ๕ ก็ได้ ทั้งสองอย่างนี้ให้อยู่ภายในจิตใจ ถ้าใครมีธรรมเหล่านี้อยู่ในใจแล้วจะเป็นผู้ใกล้ชิดติดพันกับองค์ศาสดาตลอดไป อยู่ไม่มีคำว่าที่ลับที่แจ้ง ก็หมายถึงให้มีธรรมมีวินัยด้วยสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุมตัวเองอยู่เสมอ นั่นละอยู่ที่ไหนเท่ากับอยู่ใกล้ชิดติดพันกับศาสดา ศาสดาคือธรรมคือวินัย อย่าไปเห็นข้างนอกทางโน้น ข้างนอกทางนี้ยิ่งกว่าศาสดาภายใน
เทวทัตก็อยู่ภายในใจของเรา แทรกอยู่ในนั้น ส่วนมากเทวทัตมักจะมีอำนาจมากกว่าศาสดาภายในใจของเรา เทวทัตนี้จะออกตลอดเวลา กิริยาอาการใดแสดงออกมีแต่พวกเทวทัตคือสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะทำลายตนและส่วนรวม ส่วนธรรมนั้นออกได้ยากมาก จึงขอให้พากันตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ดังที่ท่านอดอาหาร ในวัดป่าบ้านตาดนี้เรียกว่าเด่นมาตลอด ใครจะว่าบ้าก็ให้ว่ามา หลวงตาบัวเป็นสมภารวัดป่าบ้านตาด พาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายดำเนินมา ผิดถูกประการใดให้พิจารณา
เราเรียนมาก็เรียนมาเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่ออรรถเพื่อธรรมอย่างสูงทีเดียวตั้งแต่ต้นเลย การมาปฏิบัติก็เพื่อปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเหล่านี้จึงแน่ใจว่าไม่ผิด เช่น อดอาหาร ผ่อนอาหาร อาหารนี่เป็นสำคัญพยุงทางธาตุขันธ์ แต่เป็นภัยต่อจิตใจได้ถ้าผู้ไม่พินิจพิจารณา เพราะฉะนั้นจึงให้แบ่งสันปันส่วนกันให้พอดี ธาตุขันธ์ก็ให้พอเป็นไปอย่าให้เหลือเฟือจนเกินไป จะกลายเป็นหมูขึ้นเขียงแล้วไม่ยอมลง ต้องมีการฝึกการทรมาน
พระเราถ้าฉันมากๆ สติไม่ดี ดีไม่ดีล้มเหลว จำให้ดีนะข้อนี้พระ พอผ่อนอาหารลงไปสติจะเริ่มดีขึ้น ผ่อนลงไปหรือตัดอาหารเป็นวันๆ ไป สติดี ดีขึ้น ปัญญาจะสอดแทรกไปตามๆ กัน ส่วนมากอดอาหารผ่อนอาหารนี้ถูกจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติมากทีเดียว มากกว่าข้อปฏิบัติอย่างอื่นๆ อย่างท่านว่าธุดงค์ ๑๓ นั่นก็เพื่อกำจัดกิเลส คำว่าธุดงค์ๆ ก็แปลว่าเครื่องกำจัดกิเลสนั้นแหละ อะไรที่ถูกกับจริตนิสัยของตนให้ยึดมาปฏิบัติ เช่นท่านบอกว่าเนสัชชิ ไม่นอน จะกำหนดสักกี่วันกี่คืนก็แล้วแต่แล้วปฏิบัติตามนั้น ผลเป็นยังไงบ้าง เราสังเกตดูผล ถ้าไม่ได้ผลทั้งที่เราก็พยายามทำเต็มกำลังตามธุดงค์ข้อนั้นๆ เราก็แยกเสีย เห็นว่าไม่ถูกก็พลิกไปข้ออื่น
สำหรับอดอาหารนี้ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในธรรมข้ออื่น เช่น บุพพสิกขา ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่ก็มีอยู่ในธรรมเช่นเดียวกัน เช่นบุพพสิกขาเป็นต้น ในบุพพสิกขาท่านแสดงไว้ว่า ถ้าพระอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดแล้วปรับอาบัติทุกความเคลื่อนไหวเลย ไม่ว่าจะอยู่อาการใดปรับอาบัติเป็นโทษทั้งนั้นๆ ห้ามอด พูดง่ายๆ ถ้าฝืนอดไปก็ปรับโทษตลอด อดอาหารเพื่อกิเลสตัณหา คืออดเพื่อโอ้เพื่ออวด เพื่อให้เขายกยอตนว่าเป็นผู้รู้ผู้ฉลาดเพราะอดอาหารอย่างนี้ ปรับอาบัติตลอดเวลา นี่คือข้อธรรม มีในคัมภีร์ เรายกมาแสดงให้ฟัง แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วอดเถิด เราตถาคตอนุญาต นี่ธรรมเหมือนกัน คืออดเพื่ออรรถเพื่อธรรมอดเถิด เราตถาคตอนุญาต
การอดนี้ก็ต้องสังเกตดูจริตนิสัยของตน เหมาะสมกับการอดอาหารหรือไม่เหมาะ ส่วนมากเหมาะ เพราะอาหารกับธาตุขันธ์มันเข้ากันได้ ธาตุขันธ์นี้มีกำลังทับจิตใจ การภาวนาไม่ค่อยสะดวก จึงต้องได้ผ่อนสั้นผ่อนยาวอยู่เสมอ ผู้ปฏิบัติอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าด้นๆ เดาๆ สักแต่ว่าทำไม่เกิดประโยชน์ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมทุกอย่าง การฝึกฝนอบรมนี้ด้วยความฉลาดของพระองค์ เราอย่านำความโง่ไปแข่งพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้เลย ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
สำหรับผมเองไปๆ มาๆ เข้าๆ ออกๆ แต่ศาสดาคือธรรมวินัยอยู่กับท่านทั้งหลายเอง ให้รักษาธรรมวินัยคือองค์ศาสดาไว้ในหัวใจและกายวาจาของตนด้วยดี จะเป็นผู้สม่ำเสมอ ครูบาอาจารย์ไม่แน่นักการไปการมาเป็นธรรมดา แต่เรื่องธรรมเรื่องวินัยนี้เป็นสำคัญกับตัวของเราที่จะให้ติดแนบกับตน อย่าได้ปล่อยวาง มรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติ
อย่าไปหลงกลกิเลสว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย เรียวแหลมอย่างนั้นอย่างนี้ มันเรียวแหลมอยู่กับคนผู้มันโม้ๆ อยู่นั้นละ มรรคผลนิพพานไม่มีก็อยู่กับคนนั้น คนโมฆะ โมฆบุคคล ไม่มีประโยชน์นั่น พูดอะไรขวางอรรถขวางธรรม ถ้าเป็นทางกิเลสมันคล่องตัวๆ มันเป็นศาสดาเหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้า ก็คือพวกกิเลสหนาๆ นั้นแหละ ผู้ที่กิเลสบางท่านไม่เหยียบม ความเคารพ
ใครจะตรัสหรือพูดได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในโลกทั้งสามนี้ไม่มี หาใครมาพูดให้ถูกต้องแม่นยำดังพระพุทธเจ้าไม่มี นอกนั้นมันเป็นปากกิเลส ปากกิเลสมันก็ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ปากอมขี้พ่นออกมาเหม็นคลุ้งไปหมด เป็นอันตรายต่อสังคมมากทีเดียว ปากอมธรรมไม่เป็น ปากอมธรรมพ่นไปที่ไหนๆ โลกได้รับความสงบร่มเย็นๆ พากันจำนะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนมีความสะดวกๆ มันขากุดขาด้วนหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เอารถมาแทนขา เอารถเป็นขา ไปไหนขึ้นแต่รถแต่รา พระกรรมฐานสมัยนี้เราไม่อยากเรียกว่ากรรมฐาน คือดูมันผิดกันคนละโลกกับกรรมฐานแต่ก่อน แต่ก็ยังดีสมัยที่เราออกเที่ยวกรรมฐานสถานที่ที่อาศัยการไปมานี้สะดวกเพื่ออรรถเพื่อธรรม คือไม่มีรถมีรา มีแต่ป่าแต่เขา เดินด้นดั้นไปไหนไปได้หมด แล้วสงัดหมด สะดวก นับว่าดีตอนที่เราเที่ยวกรรมฐาน
รถสมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ต้องพูด เดี๋ยวนี้มันมีแต่รถแต่รา ไปที่ไหนมีแต่ขึ้นรถลงรถ พระกรรมฐานก็ขาด้วนไปหมดแหละ พระกรรมฐานไม่มีขานะเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากดูขากรรมฐานให้ไปหาดูตามรถตามราก็ได้ พวกนี้ไม่มีเนื้อหนังเป็นของตัวแหละ อาศัยขาคนอื่น ภาวนาก็เลยเป็นกรรมฐานขุนนางไป นั่งรถนั่งราไปภาวนาอะไร นั่น เดินจากที่นี่ไปที่นั่น เดินจากที่นั่นไปที่นี่ เท่ากับเดินจงกรมทั้งวัน มันต่างกัน คือไม่มีที่ว่าเสียเวลา ก้าวออกจากที่นี่สมมุติว่าจะไปเขาลูกนั้น ไปป่านั้นอย่างนี้นะ จากนี้ปั๊บเป็นเดินจงกรมตลอดเลย ไม่มีคำว่าเสียเวล่ำเวลา วันนี้เดินทางเสียเวลาไม่ได้ทำความเพียร ไม่มี เดินจงกรมตลอดเวลา ถึงที่ก็ถึงด้วยความเพียรๆ ตลอด
พูดเรื่องกรรมฐานเรื่องภาวนานี้ โลกชาวพุทธนี้แหละมันเชื่อเมื่อไร มันหนักขนาดนั้นนะ ชาวพุทธๆ จะเชื่อเรื่องกรรมฐานเดินภาวนาหาอรรถหาธรรมนี้มันไม่เชื่อเสียมากต่อมาก ยิ่งว่าสำเร็จมรรคผลนิพพานมันไม่เชื่อ เกือบว่าไม่เชื่อเลย มันหนาขนาดไหนกิเลสในหัวใจสัตว์โลก คือมันมีแต่กิเลสมีแต่ฟืนแต่ไฟเครื่องหมุนอยู่ตลอดเวลา จักรของกิเลส วัฏจักรหมุนอยู่ในหัวใจ หมุนติ้วๆ โลกก็เพลินไปตาม โลกก็โลกกิเลสจะว่าไง มันก็ต้องหลงไปตามกิเลสจนได้นั่นแหละ ไขว่โน้นคว้านี้คว้าโน้น โลกอันนี้มันโลกไขว่คว้า หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้เลย เราอยากพูดให้เต็มปาก เพราะไม่มีธรรมในใจ
ธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะให้เป็นที่ตายใจ ไปด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุคโตๆ อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุขถ้ามีธรรมในใจ ถ้าขาดธรรมเสียอย่างเดียวใครอย่าเอาเหล่านี้มาอวดธรรม มันเท่ากับมูตรกับคูถ เท่ากับกองฟืนกองไฟ ไปอวดธรรมได้ยังไง ธรรมท่านเลิศเลอทุกอย่าง เพียงจิตตภาวนาเข้าสู่ความสงบปั๊บเท่านั้น วันนั้นทั้งวันจิตไม่ไปไหนเลย แต่ก่อนมันก็ไปของมันธรรมดา ไปธรรมดา ส่วนจิตของคนทั่วๆ ไปไม่ต้องพูด จิตเราที่เป็นนักบวชมันก็ออกโน้นออกนี้ธรรมดา แต่พอจิตได้รวมปึ๋งเข้าไปเท่านั้นวันนั้นทั้งวันอยู่นี้หมดเลยไม่ไปไหน มันปีติยินดี เป็นอารมณ์อยู่ในนั้น จะภาวนาไม่ภาวนามันก็ปีติยินดีอยู่ในผลที่ได้ผ่านมาแล้วเมื่อคืนนี้ว่างั้นเถอะน่ะ ขนาดนั้นนะ พอธรรมได้สัมผัสเข้าสู่ใจเท่านั้นมันจะปล่อยทุกอย่างเข้าไปทันที เพราะรสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสไหนจะเหมือนรสของธรรม
นี่เกิดมาไม่เคยได้ยินคำว่าธรรม มันไม่เคยมี ว่าพุทโธคำเดียวแอ้ๆ มันจะตายแล้ว พุทโธก็ไม่จบ แล้วจะมีความสุขมาจากไหน สงบร่มเย็นที่ไหน มีแต่กิเลสหุ้มห่ออยู่ภายในจิตใจ ไฟเผากันตลอดเวลาคือไฟกิเลส แล้วจะเอาความสุขมาจากไหน เราพูดท้าทายได้ในสามแดนโลกธาตุนี้ เรียกว่าเรารู้หมดแล้ว กระจ่างแจ้งไปหมดแล้ว มันสนุกดูถ้าว่าสนุก แต่จะสนุกอะไรไฟเผาโลกอยู่นี้ พูดสอนนี้ด้วยความสลดสังเวชต่างหาก ไม่มีใครเห็นธรรมชาตินั้น ธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมสอนโลกมา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ มีใครเห็นบ้าง เราจะเห็นได้ในเฉพาะที่สำคัญๆ เช่นอย่าง....
เราไม่ได้ยกยอกรรมฐาน แล้วเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น เราเอาความจริงมาพูด จะหาได้ตามป่าตามเขาที่พระท่านอยู่เงียบๆ เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองๆ อยู่ในนั้น นี่หมายถึงพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านจะไม่สนใจกับอะไร โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่สติกับจิตพันกันอยู่นี้ กิเลสอยู่ในนี้ ฟัดกันอยู่ในนี้ตลอดเวลา พอกิเลสจางไปๆ ธรรมจ้าขึ้นมาๆ นี้ท่วมท้นไปหมดเลยธรรม กิเลสมุดมอดไปจากหัวใจๆ จากนั้นกิเลสพังหมด จ้าหมดเลย นั่น
เป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พวกหูหนวกตาบอดพวกเรานี้เป็นยังไง ชาวพุทธเรานี้แหละ เฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์หลวงตาบัวเป็นยังไงบ้าง มันลืมหูลืมตาหรือเปล่า ที่สอนอยู่เวลานี้สอนถอดออกมาจากหัวใจมาสอนนะ มันกำลังจะตายแล้วรีบพูดเสีย ทุกอย่างกิริยาของโลกมันดูไม่ได้ถ้าจะดู มันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาอยู่ในหัวใจ อย่าเอาสมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์มาอวดนะ อวดธรรมไม่ได้ ธรรมจ้อเห็นหมดเลย มาอวดได้ยังไง
พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยบรมสุข ท่านไม่ได้สอนด้วยความทุกข์จนข้นแค้นความทุกข์ความทรมานนะสอนโลก โลกทั้งหลายโลกทรมาน ธรรมสอนโลกจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นบรมสุขสอนโลก มหาเศรษฐีสอนทุคตะเข็ญใจ พูดง่ายๆ ว่างั้น พระพุทธเจ้า พระสาวกถ้าลงได้จ้าเข้าไปตรงนั้นแล้วเหมือนกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ความบริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่มีคำว่ายิ่งหย่อนกว่ากัน นี้คือจิตของผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น
ท่านสอนโลกท่านสอนด้วยความเมตตาสงสารจริงๆ ท่านไม่ได้ยุ่งอะไรกับโลกามิสต่างๆ ไปไหนมีแต่สงเคราะห์โลก มุ่งหัวใจโลกเป็นสำคัญยิ่งกว่าวัตถุสิ่งของเงินทองไทยทานต่างๆ อันนั้นเป็นเรื่องนอกต่างหาก ท่านมุ่งต่อธรรมต่อหัวใจคนต่างหาก ถ้าหัวใจไม่รับอะไรแล้วมีความหมายอะไร แน่ะ วัตถุสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว แล้วความทุกข์จางไปจากโลกไหมล่ะ ถ้าเอาเหล่านี้มาเป็นความสุข โลกควรจะมีความสุขมากที่สุดแล้ว แต่นี้จนที่สุดทุกข์ที่สุดคือโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุ เพราะเอาเขามาเป็นตัวของตัวมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นได้ยังไง เขาเป็นเขา เราเป็นเรา วันยังค่ำ ธรรมกับเราเป็นอันเดียวกันได้ เอาตรงนี้ซิ ให้พากันพิจารณาเสียบ้าง
เรายิ่งห่วงนะ จวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเจ้าของไม่ห่วงนะ ยิ่งห่วงโลกห่วงสงสารหนักเข้าทุกวันๆ พูดจึง... อย่างนี้ละถ้ากิเลสมันฟังก็ว่า โอ๊ย วันนี้ท่านเทศน์ดุเทศน์ด่า มันเป็นบ้าไปอีก เทศน์สอนให้เป็นผู้เป็นคนมันกลับเป็นบ้าไป สอนให้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง มันลืมตัวตลอดเวลานะเดี๋ยวนี้ ใหญ่เท่าไรยิ่งกิเลสกองใหญ่กองโต มีอำนาจบาตรหลวงอย่างที่กิเลสมันเสกสรรกันให้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นนั้นเป็นนี้ แล้วเป็นบ้าไปเลย พวกนี้พวกบ้าหนักที่สุด พวกยศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ ที่ไม่มีธรรมในใจนี้พวกบ้าที่สุด บ้าไม่มีสถานีที่จอดแวะ แต่เจ้าของยังภูมิใจ กิเลสมันก็ภูมิใจแหละ ภูมิใจเป็นบ้าไปอีกสองชั้นสามชั้น ธรรมดูแล้วสลดสังเวชจะตายไป
ใหญ่โตเท่าไรยิ่งเป็นบ้าหนัก ได้เท่าไรไม่พอๆ เอาจนตายไม่มีพอเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไม่มีคำว่าพอ สิ่งเหล่านี้ไม่มีวัย มีอยู่กับหัวใจของสัตว์โลกตลอดไปเลย ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วหมด ไม่มีอะไรทุกข์ในหัวใจ กิริยาอาการความเคลื่อนไหวไปมานี้เป็นเรื่องสมมุติ คือธาตุขันธ์เป็นทุกข์เป็นธรรมดาของมัน แต่เรื่องใจท่านไม่เป็น ท่านไม่มีอะไร ต่างกันอย่างนี้นะ
ขอให้ธรรมเข้าสัมผัสใจเถอะน่ะ มันจะปล่อยเข้ามา มันจะเคยยึดสามโลกธาตุก็ตามมันจะปล่อยหมด เมื่อธรรมเข้าสู่ใจเต็มเหนี่ยวแล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง บรมสุขขึ้นที่ตรงนั้น จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |