เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔(เย็น)
จิตเสื่อมเพราะขาดคำบริกรรม
โหย มันหามาจากไหน ๆ สิ่งเหล่านี้น่ะ เราเบื่อจริง ๆ นะ ไอ้วัตถุเอามาบำรุงบำเรอยุ่งไปหมด วัดนี้ขนาบกันมากนะถึงไม่ค่อยมีอะไร ๆ ไม่งั้นไม่ได้ แหลกไปหมดนะ กิเลสมันจะเหยียบไปหมด กิเลสคือพวกวัตถุ วัตถุเป็นเครื่องล่อใจคน ธรรมไม่ค่อยสนใจแหละ วัดนี้จึงเข้ากันไม่ได้ ต้องดุกันอยู่เรื่อยนะ วัดนี้เราไม่ได้สนใจกับวัตถุ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปพอแล้ว นั่น เท่านั้นพอ แต่ธรรมภายในใจนี้จะขยับตลอดเวลา ภายนอกไม่เอามายุ่งเลย เรื่องนั้นเป็นเรื่องของโลกล้วน ๆ เรื่องธรรมเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ ต้องมุ่งอรรถมุ่งธรรมตลอด ไม่งั้นไม่ได้นะ ต้องเข้มงวดกวดขัน อย่างเก้าอี้เก้าแอ้อะไรที่จะเอามาอย่างนี้ไม่เอา เราไม่ให้มายุ่งนะ เวลาเขามีเขาก็ทำของเขาเองเราไม่ไปยุ่งนะ เช่น เขามีเขาก็มีข้างนอกเขา เราไม่ให้มายุ่งให้มาเป็นภาระอะไร ไม่เอาเลย มีแต่ขนาบเรื่อย โห มันขวางหูขวางตามากนะด้านวัตถุกับธรรมะเป็นข้าศึกกันสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างเดียวไม่ยุ่งกับอะไร
เห็นไหมนั่นพระท่านฉันจังหัน เราฉันจวนอิ่มแล้วท่านถึงด้อม ๆ มานั่งฉัน ฉันไม่กี่คำท่านหยุดแล้วท่านไปแล้ว ๆ ท่านไม่ได้อิ่มนะ ท่านฝึกท่านเอง ฉันแต่น้อย ๆ ท่านฉันจังหันนี้พอฉันสักประเดี๋ยวประด๋าวท่านลุกไปแล้ว ๆ คือท่านฉันให้พอประมาณ ให้พอดิบพอดีกับผู้ประกอบความเพียรซึ่งมุ่งธรรมเป็นใหญ่ อันนี้เพียงอาศัยไปวันหนึ่ง ๆ เหล่านี้เราเคยมาแล้ว มองเห็นพระรู้ทันที เพราะเราเองมาสอนพระก็ดีเรื่องเหล่านี้เราดำเนินมาก่อนแล้ว สอนพระนี้สอนจริง ๆ เราปฏิบัติมาอย่างนั้นจริง ๆ เราจึงกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ความทุกข์ความลำบากแสนทรมานนี้คือการฆ่ากิเลสว่างั้นเลยนะ งานการใด ๆ ที่เราเคยผ่านมานี้ว่าหนักก็ยอมรับว่าหนัก แต่เราไม่เคยสละชีวิตกับมันงานเหล่านั้นนะ แต่งานฆ่ากิเลสนี้ทั้งหนักทั้งสละชีวิตด้วย เอาเลย ๆ อย่างนั้นตลอดนะ ไม่ได้ถอย เอาจริงเอาจัง จึงว่าหนักมาก
งานในชีวิตจิตใจของเราตั้งแต่เป็นฆราวาสมา งานบวชนี้หนักมากที่สุด เด่นในหัวใจไม่ลืมเลย งานฆราวาสถึงจะหนักขนาดไหนก็ยอมรับเป็นกาลเป็นเวลา แต่ยังไงก็ตามเราไม่เคยสละชีวิตกับงานนั้นเลย แต่งานภาวนางานฆ่ากิเลส โอ๋ย สละมาเรื่อย ๆ ถึงขั้นเป็นเอาเป็น ถึงขั้นตายเอาเลย พุ่งเลย นี่สละมาเรื่อยนะ แต่ที่ว่าสลบเราไม่เคยสลบ เราก็บอกเราไม่เคยสลบ ทุกข์มากลำบากมากเฉียดสลบ ๆ เราก็บอกว่าเฉียดแต่ไม่เคยสลบ เราก็บอกไม่เคยสลบ จริง ๆ จะไม่เคยสลบก็ตาม เมื่อถึงขั้นมันจะเลยสลบไปถึงขั้นตายเราก็ยอม เช่น ยกตัวอย่างนะ เช่นวันนี้เราตั้งสัจจะไว้แล้วว่าจะนั่งตลอดรุ่งอย่างนี้นะ นี่ละถ้าไม่ถึงตลอดรุ่งแล้วตายก็ตายไปเลย ถึงไม่สลบมันจะถึงขั้นตายก็ตายได้ใช่ไหมล่ะ เราไม่เคยสลบ แต่เมื่อถึงขั้นที่มันจะตายมันก็ตายได้ ที่จะให้สัจจะความจริงใจที่ตั้งไว้นี้ตัดไม่ลง ต้องตัดชีวิตไปก่อนเลย
นี่ละถึงเราไม่เคยสลบเราก็บอกไม่เคยสลบ เฉียด ๆ สลบแต่ไม่เคยสลบ ถึงไม่เคยสลบก็ตามถึงขั้นตายเราจะตายได้ไม่ห่วงอะไรเลยด้วยคำสัตย์ของเรานี้ พุ่งเลย เราจึงทุกข์มากจริง ๆ การประกอบความพากเพียร แต่ทีนี้เวลาได้ผลมาแล้วนี้ ความทุกข์ทั้งหลายมันเป็นปุ๋ยอันดีงาม ๆ ทั้งนั้นนะ หาที่ต้องติไม่ได้ เหตุผลมันสมกัน มันสมน้ำสมเนื้อกัน คือเวลาเราทำนี้เราเอาจริง ๆ ทีนี้เวลาทำวันไหนได้ลงขนาดนั้นแล้ว วันนั้นวันที่เราได้เป็นของอัศจรรย์เต็มหัวใจเรา ทีนี้มันก็ย้อนไปหาความเพียรของเราซิ คือความเพียรของเราเป็นยังไงผลถึงเป็นอย่างนี้ ๆ เช่นยกตัวอย่าง เรานั่งตลอดรุ่งทุกคืน ๆ คืนไหนก็ตามนะ เราไม่เคยพลาดที่จะรู้จิตอัศจรรย์อย่างนี้เลย ก็เพราะว่าเด็ดกันถึงขนาดตายเลย
วันนั้นเป็นวันตั้งสัจจอธิษฐานจะนั่งตลอดรุ่ง เมื่อเราตั้งสัจจะขนาดนั้นเรียกว่าทุ่มกำลังไปแล้ว จิตจะไปคิดยิบ ๆ แย็บ ๆ ไม่ได้เป็นอันขาดนะ ขนาดนั้นนะ ตั้งแต่เริ่มตั้งลงไปแล้ว จิตจะออกคิดยิบ ๆ แย็บ ๆ เรื่องนอกไม่ได้เด็ดขาด ต้องให้อยู่ในวงอริยสัจตลอดรุ่งเลย เป็นเวลาที่ดัดกันเต็มเหนี่ยว มันจะไปคิดออกนอกลู่นอกทางไม่ได้เลย ต้องเอาเด็ดขาด จึงว่าเด็ดทุกอย่าง บังคับกระแสจิตไม่ให้มันคิดก็บังคับเต็มเหนี่ยว เอา มันพิจารณาถึงเรื่องอริยสัจ เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้เอาเต็มเหนี่ยว ๆ ให้อยู่ในวงนี้ทั้งนั้น
ทีนี้เวลามันทุกข์มาก ๆ นี้ โถ แต่ได้ชมถึงเรื่องความสัตย์นี้เก่งมากนะ คำสัตย์คำจริงนี้เด็ดมากเชียว ไม่เคยเห็นคิดในหัวใจของเราเลยว่า มันถอยออกมามันจะมีท่าทางจะลุกจะออกไม่เคยมีนะ เวลาทุกข์มาก ๆ มันน่าจะถอยหาทางออกใช่ไหมล่ะ มันไม่ออกน่ะซิ มันทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนเข้าไป ๆ นั่นละตรงมันเอากัน เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้ว่า คนเรานี้ไม่ได้โง่ตลอดไปหนา เวลามันจนตรอกจนมุมมันหาทางออกได้ นี่ก็คือเราจนตรอกจนมุม คือธาตุขันธ์ของเรานั่งอยู่นี้มันเหมือนท่อนฟืน ว่างั้นเถอะนะ ทุกขเวทนาที่เผาเรานี้เหมือนไฟ เผาร่างกายของเราทั้งร่างนี้ เวลามันทุกข์มากถึงขนาดนั้นนะ จนตัวสั่น
ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็พิจารณาทางด้านปัญญาแยกแยะออก อันไหนเป็นทุกข์ ๆ ไล่ไปหมดเลย ไล่ให้อยู่ในวงไม่ยอมให้ออกเลย ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนหนักเข้า ๆ ไล่หาผม หาขน หาเล็บ หาฟัน หาเนื้อ หาหนัง หาเอ็น หากระดูก ว่าตรงไหนมันเป็นทุกข์ ๆ ไล่กันไป เช่นว่ามันเจ็บมากตรงนี้ ว่าหัวเข่าเป็นทุกข์เหรอ ถาม ว่าตรงไหนสติปัญญาต้องจ่ออยู่นั้นไม่ใช่ถามลอย ๆ นะ ถามตรงไหนจ่อตรงนั้น ๆ มันจะเป็นอริยสัจ เป็นมรรค ๆ คือสติปัญญาอยู่ในนั้น ๆ กับทุกข์ สมุทัย ความทุกข์ก็เห็นชัด สมุทัยถ้ามันจะหลอกตัวเองก็ โอ๋ย จะไปไม่ไหว นี่สมุทัย ทางนี้จ่อเข้าไปจ้อเข้าไป
เวลามันทุกข์มาก ๆ นี้ทีแรก โอ๋ย มันออกร้อนตามหลังมือหลังเท้าออกร้อนมันกลายเป็นขี้ปะติ๋วไป เวลามันหนักจริง ๆ แล้วข้อมือทุกข้อเหมือนว่าจะขาดออกจากกัน ๆ ทุกท่อน ๆ ติดต่อกันตรงไหนรู้หมดเลย คือมันเจ็บมันปวดเหมือนมันจะขาดจากกัน นั่นละเวลามันเอาจริง ๆ นะ จึงเป็นเหมือนกับว่าไฟเผาเราทั้งร่างนี้เลย ไฟนี้คือทุกขเวทนามันเผาเราทั้งร่างนี่ นั่นละที่นี่สติปัญญามันได้หมุนตัวมันไล่เข้าไปเลย มันทุกข์ตรงไหนเอานั้นเป็นจุดสำคัญ เช่นว่ามันทุกข์เข่าหัวเข่าเป็นทุกข์ มันเจ็บเข่ามากเข่าเป็นทุกข์หรือ ไล่เข้าไป ถ้าว่าเข่าเป็นทุกข์ คนตายแล้วเข่ายังมีอยู่ไหม มีอยู่เอาไฟเผาเข่าว่าไง เข่าไม่เห็นว่าไง เผาจนเป็นเถ้าเป็นถ่านเข่าไม่เห็นว่าไร เดี๋ยวนี้ทำไมถึงว่าเข่าเป็นทุกข์ ครั้นเวลาทุกข์ดับไปแล้วเข่าก็ยังมีอยู่ มันก็ไม่เห็นเป็นทุกข์ เอาไปเผาไฟกับคนตายก็ไม่เห็นแสดงความทุกข์
เวลานี้ทุกข์มันเกิดขึ้นจากอะไร ใครเป็นผู้สำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ ไล่อยู่อย่างนั้นวกไปเวียนมาจี้เข้า ๆ สักเดี๋ยวก็มีช่องออกผางขึ้นมาเลย มันก็ปล่อยได้หมดที่นี่ ทุกข์ มันจะทุกข์มากทุกข์น้อยเท่าไร ๆ มันเลยกลายเป็นของจริงไปตาม ๆ กันหมดเลย ว่าเนื้อว่าหนังว่าเอ็นกระดูกอะไร เขามีอยู่ตั้งแต่เราเกิดมาโน้น ไอ้ทุกข์นี้มันเกิดขึ้นดับไป ๆ ของมัน เปลี่ยนของมันไปเรื่อย ๆ ส่วนอันนี้หนังเป็นหนัง เนื้อเป็นเนื้อมาตั้งแต่วันเกิด เขาไม่เห็นเปลี่ยนไปไหน ทำไมจึงว่าอันนั้นเป็นทุกข์อันนี้เป็นทุกข์ ถ้าว่ากายเป็นทุกข์ ทุกข์ดับไปแล้วกายต้องดับไปด้วยซี นี้ทุกข์ดับไปกายไม่เห็นดับไป มันจะเป็นอันเดียวกันได้ยังไง แยกกันไปแยกกันมา สุดท้ายมันก็รู้ พอรู้มันก็ผาง ลงเลยนะ อย่างนั้นแล้ว ต้องเอาถึงขนาดนั้น
เวลามันจนตรอกจนมุมแล้วจึงว่าคนเราไม่ได้โง่ตลอดไปหนา มันฉลาด เอา ถอดออกจากหัวใจเรานี้เลย เวลามันจนตรอกมันได้ตรงนั้นละ คือจิตมันจริงมันจังมันเด็ดมันขาด ฟัดกันด้วยสติปัญญากับทุกข์ สมุทัย มรรคนี้เรียกว่าพวกสติปัญญา นิโรธคือความดับทุกข์ เมื่อมรรครอบ พิจารณาสติปัญญารอบแล้วมันดับเองทุกข์ ยากอะไร เพราะสุขเป็นผลของมรรคนี่นะ พอทุกข์ดับไปแล้วสุขก็ขึ้นมาเอง อัศจรรย์ไหม นี่ถ้าพูดถึงเรื่องความพากเพียรเรานี่หนักจริง ๆ นะ จึงรู้สึกว่าจะเทียบกับใครยากเหมือนกัน มันก็ไปคนละแบบ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ เด็ดไปคนละแบบ ของเราก็ไปแบบหนึ่ง
ไม่มีใครสอนมันเป็นของมันเอง เวลาจนตรอกจนมุมแล้วมันหากฟิตตัวของมันเอง สติปัญญาเราที่กล่าวมาแล้วนี้ได้รับถึงขั้นอัศจรรย์ทุกคืน ๆ ไม่มีพลาด ก็เพราะเราผลิตของเราขึ้นมาเองไม่ได้สอนจากใครนะ เวลานั้นมันเป็นความรู้ความแปลกประหลาดหรือความคิดค้นของตัวเองในปัจจุบัน ๆ มันก็รู้ขึ้นมาในปัจจุบัน แก้กันได้แล้วทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์ เห็นไหม นี่ละเวลามันเป็นของจริงเต็มส่วนแล้ว ทุกข์จะทุกข์มากเท่าไรก็เป็นของจริงอันหนึ่งของมัน กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ จิตก็เป็นจิต รู้กันอยู่ ต่างอันต่างจริง เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วก็ไม่กระทบกัน ไม่กระทบกันเอาอะไรมาเป็นทุกข์ อย่างนั้นซิ
ก่อนที่จะพิจารณาทุกขเวทนานั้น ต้องเคลื่อนมาจากสมาธิก่อนหรือเปล่าคะ หรือต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน
ส่วนมากเวลาที่มันลงอัศจรรย์ ตอนนั้นมันจะไม่ได้ไปเกี่ยวกับสมาธิ มันจะมีแต่สติปัญญาล้วน ๆ หมุนติ้วเลย เวลามันสงบมันก็เป็นสมาธิ จิตสงบ ครั้นเวลาทุกข์มาก ๆ นี้สมาธิแตกนะ ต้องปัญญาออกเดินแทนสมาธิไปเลย นี้จิตเวลาสงบอันนี้มันสงบด้วยปัญญา มันไม่ได้สงบด้วยสมาธิ สมาธิมันสงบเป็นพื้นฐานของมัน เข้าใจหรือเปล่า เวลาเราอบรมไป ๆ จิตนี้จะมีความสงบเย็นเข้าไป ๆ แน่นหนามั่นคงเข้าไป จนกระทั่งจิตแน่นหนาจริง ๆ แล้ว นั่นท่านเรียกสมาธิ คือจิตที่สงบเป็นครั้งเป็นคราว ๆ นี้เรียกว่าจิตสงบ แต่ความสงบเป็นครั้งเป็นคราวของจิตนั้น มันจะสั่งสมกำลังของมันขึ้น ฐานของมันขึ้น เป็นความมั่นคงของจิต เป็นความมั่นคงแห่งฐานของจิต มั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีนี้สงบเข้าเรื่อย ๆ มันก็ส่งเสริมกำลังเข้าไปให้ฐานสมาธิแน่นขึ้น ๆ ต่อจากนั้นจิตนี้แม้จะคิดเรื่องอะไร ๆ อยู่ก็ตาม ฐานของจิตคือความมั่นคงแน่นปึ๋งนี้จะมีประจำตัวของมัน นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ
เวลาสงบทีแรก พอความสงบหายไป ฐานยังไม่มี นี่เรียกว่าจิตสงบ ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนะ เวลาสงบมันก็สงบแน่วลงไป พอถอนขึ้นมานี้ฐานมันยังไม่มี มันก็ไม่มีฐานเป็นสมาธิคือความตั้งมั่นแห่งความรู้ยังไม่มี ทีนี้พิจารณาหลายครั้งหลายหนมันก็สงบไป หลายครั้งหลายหน ทีนี้ความสงบนี้มันไปสร้างฐานสมาธิให้มีฐานแน่นหนามั่นคงขึ้นมา ๆ ต่อไปจิตก็เลยเป็นสมาธิ เราคิดเรื่องราวอะไรก็ตามฐานนี้มันจะไม่ละนะ กำหนดย้อนมาทีไรมันจะเห็นฐานแห่งความมั่นคงของจิตแน่นปึ๋ง ๆ อยู่ตลอดเวลาเลย ทั้งที่เราเข้าสมาธิไม่เข้าก็ตาม ฐานของสมาธิมีประจำ นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น ทีแรกมันก็สงบแล้วหายไป ๆ ความสงบหายไปแต่ฐานของสมาธิยังมี
จากนั้นพิจารณาทางด้านปัญญา แต่สำหรับปัญญานี้มีโอกาสเมื่อไรเราควรจะพิจารณา ปัญญานี้จะถอดถอนกิเลสจริง ๆ นะไม่ใช่สมาธิถอน เพราะฉะนั้นการพูดถึงสมาธิเราจึงกล้าหาญอย่างเต็มเหนี่ยวเลยว่า ใครโกหกยากนะว่างี้ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือเวลามันเป็นสมาธิของมันเต็มตัว เราพูดได้เต็มเหนี่ยวเลยว่าเราสมาธิเต็มภูมิมาถึง ๕ ปี อยู่ที่ไหนไม่อยากคิดนะ แต่ก่อนมันอยากคิดเข้าใจไหมล่ะ ครั้นนั่งอยู่นี้มันต้องอยากคิดอย่างนั้นอย่างนี้ อยากรู้อยากเห็นอยากอะไรทุกอย่าง มันเป็นอยู่ในจิตมันดันออกให้คิดเข้าใจไหม กิเลสนั้นละพาให้คิด ไม่ได้คิดมันรำคาญ พอคิดแล้วก็เพลิน จากรำคาญก็เพลิน จากเพลินแล้วก็เป็นทุกข์เข้าใจไหมล่ะ มันขนทุกข์มาให้
ทีนี้พอจิตสงบลงไป ๆ หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิแล้วทีนี้ไม่อยากคิดเลยนะ อยู่ที่ไหนอยู่ด้วยความสงบไม่มีอะไรกวนใจ ความคิดความปรุงต่าง ๆ นี้เป็นเรื่องกวนใจทั้งหมดเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนจึงอยู่ได้ นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนครู่เดียว โอ้โห มันไม่ใช่ครู่เดียว คือมันลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือน มืดแจ้งอะไรมันไม่สนใจ มีแต่อันนี้แน่ว นี้อันเดียวนะสมาธิ มีแต่ความรู้ที่แน่วไม่มีอะไรมากวน ความคิดปั๊บปรุงขึ้นมามากน้อยนี้กวนแล้ว ๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากคิด ไม่อยากถูกรบกวนเข้าใจไหม มันก็อยู่นั่น แล้วมันก็อยู่แค่นั้นละนะ มันจะลงขนาดไหนมันก็เต็มภูมิของมัน เหมือนน้ำเต็มแก้ว ๆ สมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้วไม่ได้ผิดกันนะ
ทีนี้เวลาออกทางปัญญา น้ำล้นแก้วที่นี่นะ มันถึงได้เห็นคุณค่าของกันล่ะซี เราถึงได้เทิดพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ แหม สุดขีดนะ ท่านฟาดลงตรงไหนนี้เป็นอันตรายทั้งนั้นนะ เช่น ติดสมาธินี้ก็เป็นอันตราย ทำให้เกิดความล่าช้า ดีไม่ดีสมาธิไม่ถึงไหนก็ตายอยู่กับสมาธิไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ได้แค่นั้น ครั้นพอท่านลากออกจากนี้ซิ เพราะมันไม่อยากคิด ไปวันไหนท่านถาม เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ ก็กราบเรียนตามจริง สงบดีอยู่ ๆ ก็มันเป็นอย่างนั้นจะว่าไง ท่านก็นิ่งไปเฉยไป นานเข้า ๆ ถึงขนาด ๕ ปีว่างั้นเถอะนะ พอถึงนั้นแล้วบทเวลาท่านจะเอาเปลี่ยนหมดเลยนะ พวกสุ้มพวกเสียงพวกกิริยามารยาทเปลี่ยนหมดเลย
พอว่าเป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ ขึ้นเลยทันที ฟาดเอาหนักนะ เหอ ท่านรู้ไหมว่าสมาธินี้เป็นหมูขึ้นเขียง ท่านนอนอยู่ทำไมสมาธิ มันแก้กิเลสตัวใดได้ล่ะ นั่นเห็นไหมบทเวลาท่านจะเอา สมาธิเป็นหมูขึ้นเขียง ท่านรู้ไหมว่าความสุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน นั่นท่านยกออกมาขนาดนั้นนะ เนื้อติดฟันมันมีความสุขขนาดไหน สุขในสมาธิก็เท่ากันกับเนื้อติดฟัน มันเป็นยังไงความสุขในเนื้อติดฟันกับสุขในสมาธิเอามาเทียบกัน มันเท่ากันนั่นแหละท่านว่า นี่ท่านเอาละนะ ซัดลงเปรี้ยง ๆ โห ทีนี้ไม่มีชิ้นดีเลย ยกทิ้งหมดเลยสมาธิเรา ให้หาใหม่ว่างั้นเถอะนะ
จากนั้นมาก็ขึ้น ท่านรู้ไหมว่า สมาธิทั้งแท่งมันเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม สมาธิทั้งแท่งมันเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม นี้ก็เถียงท่าน ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหนก็ว่าอย่างนั้นซี อู๋ย สัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือนท่าน มันก็ลงล่ะซี เราเป็นสมาธิหมูขึ้นเขียง ไม่ได้ใช้ความพิจารณา สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญาท่านรอบตัวอยู่ในนั้น ไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงนอนจมไม่ยอมฟื้นตัวขึ้นมาเลย ชักตื่น ๆ ใจ
พอออกจากนั้นแล้วก็ออก ก็มันพร้อมแล้วนี่ สมาธินี่คือน้ำเต็มแก้วเต็มเหนี่ยวแล้ว เหมือนกับเครื่องครัวของเรา เครื่องครัวของเรามาแล้วจะทำอาหารประเภทใดก็ตาม เครื่องทำครัวมาพร้อมแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่นำมาประกอบให้เป็นอาหารประเภทนั้น ๆ ก็ไม่เป็น มันก็ทิ้งเกลื่อนอยู่นั้น สุดท้ายก็เน่าเฟะ นี่เรื่องสมาธิก็เพียงเท่านั้น ทีนี้เวลาจับนั้นมาผสมนี้ปั๊บก็เป็นแกงประเภทนั้น อาหารประเภทนั้นขึ้นมา ๆ ทีนี้พอปัญญาของเราออกนี้มันก็ขึ้นละที่นี่ สมาธิเป็นเครื่องหนุน ๆ ก็ก้าวออก บทเวลามันก้าวออก โถ นี่ที่ว่าน้ำล้นแก้ว
ทีแรกมันไม่อยากออกนะ คือมันติดสมาธิมันไม่อยากคิด คือใช้ปัญญามันก็ต้องใช้ความคิดใช่ไหมล่ะ ใช้ความคิดก็เรียกว่าทำงานมันไม่อยากทำ รำคาญ อยู่แน่วนี้สบาย ถึงขนาดที่ว่านิพพานคืออันนี้เอง ฟังซิลงปานนั้นละนะ ลงขนาดนั้นแล้ว ธรรมชาตินี้ละจะเป็นนิพพาน ๆ นิพพานขี้หมาอะไร บทเวลาท่านลากออกมา มันออกจากสมาธินี้แล้ว ทีนี้เป็นน้ำล้นแก้ว ปัญญานี้ไม่มีกฎมีเกณฑ์นะ สมาธิมีกฎ เต็มเหนี่ยวมันแล้วอยู่เท่านั้น จะทำอะไรให้ยิ่งกว่านั้นไม่ยิ่งนะ เต็มเหนี่ยว ๆ อยู่ตลอดเวลาแค่นั้น ทีนี้พอออกทางด้านปัญญานี้กระจ่างออก ทีแรกมันไม่อยากคิด บังคับให้คิด เพราะความเชื่อครูบาอาจารย์แล้ว ยอมรับท่าน ให้ออกทางด้านปัญญา พิจารณาอย่างนั้น ๆ เราก็ออก
ฝืน ๆ ทีแรกไม่อยากออก มันกวนใจกวนสมาธิไม่อยากออก พอมันออกทีนี้ปัญญามันไม่เหมือนสมาธิ สมาธิรู้อันเดียว ปัญญานี้แย็บออกตรงไหนรู้ตรงนั้น ๆ ทั้งโทษทั้งคุณรู้ไปพร้อม ๆ กัน ควรละอันไหน เห็นโทษอันไหนมันเห็นประจักษ์ ๆ ไม่ต้องถามใครนะมันหากเป็นในจิต ทีนี้เราก็ เอ๊ะ ๆ ชอบกล ๆ ที่นี่นะ มันจะเริ่มละนะที่นี่น่ะ เอ๊ะ ชอบกล ๆ คิดไปแง่ไหนมันรู้แปลก ๆ ภูมิสมาธิมันรู้อันเดียวเท่านั้น มันไม่มีอะไรเป็นแง่ให้สัมผัสสัมพันธ์ให้ได้ข้อคิด ให้มีความเข้าอกเข้าใจในสิ่งเหล่านั้น ทีนี้พอออกทางด้านปัญญา แย็บไปตรงไหน เช่นอย่างมองไปนี้ปั๊บเห็นหมา มองไปนี้มันเห็นนี้ มองไปนั้นเห็นนั้น มันแปลกต่างกันไปเรื่อย ๆ ทีนี้เห็นอะไรทั้งเป็นโทษเป็นคุณ มันก็แยกก็แยะ จากนั้นมันก็เข้าใจ ๆ ทีนี้ดื่มละที่นี่
เรื่องสมาธินี้จางไปแล้วไม่อยากเข้า ชักเพลินทางด้านปัญญา มันเข้าใจ ๆ ทีนี้แก้กิเลสมันก็แก้ด้วยปัญญา มันชัดอย่างนั้นนะ โห แก้กิเลสมันแก้ด้วยปัญญา ไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ สมาธิเราเป็นมานานเท่าไรไม่เห็นกิเลสเหล่านี้หลุดลอยไปเลย แต่เวลาออกทางด้านปัญญากิเลสนี้เห็นประจักษ์ มันหลุดไปลอยไปมากน้อยเพียงไรมันรู้ ๆ อ๋อ แก้กิเลสนี่แก้ด้วยปัญญาต่างหาก นี่ละเราเรียกว่าไม่พอดี คำว่าไม่พอดีคืออะไร ถ้าไปด้านปัญญามันก็เห็นคุณของปัญญา แล้วมาเห็นโทษของสมาธิเสียอย่างเดียว มันไม่พอดีกัน ถ้าพอดีกันแล้วก็คือว่า เวลาออกทำงานเพื่อผลประโยชน์ทางด้านปัญญาก็ให้ออก ครั้นเวลาเข้ามาพักสมาธิเพื่อเอากำลังก็ให้พัก เข้าใจไหม เรียกว่าเหมาะสม มันเหมาะสมอย่างนั้น แต่ทีนี้มันไม่ออกอย่างนั้น เวลาออกมันเพลินเลย ไม่สนใจกับสมาธินะ
ออกทางด้านปัญญามันไม่ได้สนใจกับสมาธิ ออกเท่าไรมันยิ่งรู้ยิ่งเห็นกระจายออกไปเรื่อย ๆ มันยิ่งเพลินน่ะซี ฆ่ากิเลสก็ฆ่าไปด้วยกัน เห็นโทษเห็นคุณมันไป เห็นคุณของธรรมเห็นไปด้วยกัน ฆ่ากิเลสปั๊บแล้วมันเห็นคุณขึ้นมา ธรรมเด่นขึ้นมา ๆ ที่ตรงไหนมันไม่เห็นคุณ คือกิเลสปิดไว้ ๆ ตามเข้าไป แก้เข้าไปตรงไหน กิเลสพังลงไปมากน้อยเพียงไร ธรรมก็แสดงขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ ทีนี้มันก็เพลินล่ะซิ เพลินจนขนาดที่ว่า โหย สมาธินี่มันนอนตายเฉย ๆ ลงขนาดนั้นนะ ไม่ได้แก้กิเลสตัวใดได้เลย แก้ด้วยปัญญาต่างหาก สมาธินี่มันนอนตายเฉย ๆ เมื่อลงถึงขั้นสมาธินอนตายมันก็ไม่สนใจกับสมาธิใช่ไหมล่ะ มันก็ฟัดทางด้านปัญญาไปเลย
โห เอาเสียจน บางคืนนอนไม่หลับเลยนะ เป็นคืนสองคืนนอนไม่หลับ คือมันหมุนตลอดเลย ที่นี่เวลาถึงขั้นมันหมุนนี้เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นเองนะ นี่ละขั้นมันจะฆ่ากิเลสมันเป็นเองของมัน เหมือนกับเวลากิเลสมันมีกำลังทางด้านจิตใจเรานี่นะ หมุนไปทางไหน คิดไปแบบไหน ๆ มันจะเป็นกิเลสทั้งนั้นไม่ได้เป็นธรรม มันจะลากเราไปเป็นกิเลส สร้างเนื้อสร้างตัวของมัน แล้วเอากองทุกข์ขนมาทับหัวใจเรา นี่เป็นอัตโนมัติของกิเลส ปุถุชนเรานี้คิดเรื่องใดก็ตาม กิเลสต้องเป็นอัตโนมัติของมันตลอด ๆ ไป นี่เวลากิเลสมีกำลังมากเป็นอย่างนั้นนะ
ทีนี้บทเวลาสติปัญญาขั้นนี้ขึ้นมามันรับกันล่ะซิ พอสติปัญญาขั้นนี้ขั้นมามันฆ่ากิเลส ทีนี้ฆ่ากิเลสมันก็เพลินในการฆ่ากิเลส เพลินไปเพลินมาเลยกลายเป็นอัตโนมัติไป หมุนติ้ว ๆ เลย อยู่ไม่ได้ต้องฆ่าตลอด ๆ นี้เรียกว่าวิวัฏจักร หมุนกลับ แต่ก่อนกิเลสมันเป็นวัฏจักร หมุนจิตเข้ามาสู่ความทุกข์ทั้งหลาย ทีนี้เป็นวิวัฏจักรด้วยสติปัญญาอัตโนมัตินี้ มันหมุนจิตกลับออกจากกองทุกข์ หมุนเรื่อย ๆ หมุนติ้ว ๆ จนกระทั่งกลางคืนทั้งคืน นั่งภาวนามันพิจารณาของมันตลอด นอนมันก็พิจารณาของมันตลอด อยู่อิริยาบถไหนเรียกว่าไม่มีอิริยาบถ คือมันเป็นสติปัญญาตลอดเวลาไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน มันจะเป็นสติปัญญาฟัดกับกิเลสตลอดเวลา แม้ที่สุดเราฉันจังหันอยู่นี้ จิตมันไม่ได้อยู่กับอาหารนะ มันจะทำงานของมันอยู่ในนั้น หมุนติ้ว ๆ ซัดกันอยู่ในนั้น นี่ละสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ละฆ่ากิเลสที่นี่ เริ่มละนะ เริ่มเรื่อย ๆ ๆ ไป
ทีนี้เวลามันไปเต็มที่แล้ว นั่งเหนื่อยแล้วนอน นอนให้มันหลับมันไม่ยอมหลับ มันหมุนของมันเหมือนกับนั่งอยู่นั้นละ หมุนฆ่ากิเลส เอ๊ นั่งก็เหนื่อย นอนก็เหนื่อย เอ้า ลุกขึ้นมานั่งอีก สุดท้ายแจ้งไม่หลับเลย อ้าว กลางวันยังจะไม่หลับอีกนะ มันยังหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา วันนี้ไม่หลับ วันหลังก็ไม่หลับอีกกลางคืน อ้าว มันจะตายแล้วนะ ทำไมเป็นอย่างนี้ เรื่องอ่อนน่ะอ่อนนะ คือมันจะเป็นความลำบาก เป็นความอ่อนเพลียภายในหัวอกของเรานี่ คือสติปัญญามันทำงานอยู่ตรงนี้ สังขารคือทำงานนั่นเข้าใจไหม มันทำงานอยู่ในนี้ สังขารมันทำงาน สังขาร สัญญา ที่คาดที่หมายที่คิดกับกิเลสจะฆ่ากิเลสมันไปด้วยกันนั่นแหละ แต่เป็นสังขารของมรรค สัญญาของมรรค ไม่เป็นสัญญาของสมุทัยสังขารของสมุทัยเหมือนแต่ก่อนเข้าใจไหมล่ะ แต่มันก็หมุนของมันอยู่นี้
ทีนี้มันก็เหนื่อยล่ะซิ ทำงานอยู่ตลอดเวลาเหนื่อย ทีนี้เราจะมาพัก พักมันก็ไม่ถอยมันหมุนของมัน เรียกว่าทางแพ้ไม่มีพูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้นนะ เรื่องแพ้ไม่มี เมื่อเรื่องแพ้มีมันก็ต้องหมุนของมันเรื่อย อันนี้ก็แจ้ง อู๋ย ยังไงกัน กลางวันก็เป็นอย่างนี้มันจะไม่ตายเหรออย่างนี้ วิตกนะ วิตกวิจารณ์ หือ ขนาดนี้มันจะไม่ตายเหรอ มันทำไมลำบากลำบนนักหนา จนกระทั่งถึงได้ย้อนหลังมาคิด ที่เราเคยคิดด้นเดามาแต่ก่อนด้วยความคาดความหมาย เวลานี้เราลำบากลำบนแต่ก่อนเพราะเรายังไม่ได้รากได้ฐาน แต่เวลาได้รากได้ฐาน จิตมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร การงานของเราจะค่อยเบาไป ๆ สะดวกสบายไปและพ้นทุกข์ไปเลย มันคาดนะนั่นน่ะ มันคิดมันด้นมันเดา แต่เวลามันได้เหตุได้ผลของมันมากเท่าไรมันยิ่งหมุนของมันใหญ่มันไม่ได้คิด
แต่เวลามันไปเจอจัง ๆ ที่เป็นปัจจุบันตัวเป็นเอง มันก็เอามาคิด โห ที่เราคาดคิดเอาไว้ว่าแต่ก่อนเวลาจิตเราหยาบนี้มันก็ต้องทุกข์ลำบาก เวลาจิตละเอียดเข้าไปเท่าไรมันก็จะค่อยสบาย ๆ อย่างนี้มันผิดทั้งเพ เวลามันได้ผลมันยิ่งหมุนของมันใหญ่เลย มันยังไงกัน ๆ คิดแย็บเดียวเท่านั้นเดี๋ยวมันก็หมุนของมันไปอีก ๆ จนกระทั่งไม่ไหวแล้วต้องวิ่งขึ้นหาพ่อแม่ครูจารย์ แต่สำหรับพ่อแม่ครูจารย์กับเรานี้ท่านจะเห็นเหตุผลอะไรไม่ทราบนะ ถ้าหากว่าเป็นไม้ก็ยกมาทั้งท่อนเลยให้ไปจาระไนเองให้ไปเลื่อยเอง ท่านไม่เลื่อยให้ไม่จาระไนให้ไม่อธิบายแยกแยะนะ ท่านจะโยนตูมมาให้เลย
อันนี้ก็เหมือนกันอย่างสมาธินี้ท่านก็โยนตูมให้เลย เรียกว่าไม่ให้มีสมาธิเลย สมาธิหมูขึ้นเขียงขึ้นเลยเทียวนะ คือให้เราทิ้งสมาธิให้หาใหม่ด้วยปัญญาของมันเอง ความหมายว่างั้น ทีนี้พอถึงขั้นปัญญาก็เอาอีกนะ พอถึงขั้นปัญญามันหมุนติ้วมันไม่หลับไม่นอนเลย ทั้งวันทั้งคืน ๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันจังหันแล้วลืมไปเลยนะ เรื่องร้อนเรื่องหนาวอย่ามายุ่งมันไม่ได้ออก มันหมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมจนออกร้อนฝ่าเท้าไม่รู้จักจบไม่รู้จักหยุด ถ้าลงได้ลงทางจงกรมแล้วทั้งวันอยู่ได้ ลงกลางคืนมันก็เอาของมันอย่างนั้น เวลานั่งก็เป็นหัวตอหมุนติ้ว ๆ ทีนี้มันจะมีเวลานอนที่ไหนเมื่อมันไม่สนใจกับการนอน สนใจตั้งแต่ทำงานอย่างนี้
ทีนี้ก็ขึ้นไปหาท่านล่ะซิ นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้พิจารณาทางด้านปัญญานั้น เวลานี้มันออกแล้วนะก็ว่างั้น มันออกยังไงว่าซิท่านว่า โอ๋ย มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนเลย เวลามันได้หมุนตลอดเลยทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นอน นี่ก็ไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยนะ นั่นละมันหลงสังขารท่านว่า นั่นฟังซิสังขาร ทางนี้ก็ปั๊บเข้าไป ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร นั่นเห็นไหม ท่านไม่แยกแยะนะท่านเอาทั้งรังทิ้งเลย ปัญญานี้เอาทิ้งเลยให้หาใหม่ เป็นอย่างนั้นละ
คำว่าหลงสังขาร คือทางกิเลสมันก็เอาสังขารความคิดความปรุงนี้ออกไปใช้เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้ทางมรรคทางปัญญาก็ต้องเอาสังขารนี้ออกมาใช้ทางด้านปัญญา เมื่อเวลาใช้มาก ๆ มันไม่รอบคอบต่อสังขารที่เป็นฝ่ายมรรค สังขารฝ่ายสมุทัยก็แทรกเข้ามา ๆ นั่นละมันหลงสังขาร คือหลงสังขารตัวมันเป็นสมุทัยเราไม่รู้เข้าใจไหม ท่านว่าอย่างนั้นทีนี้มันลงนะ เห็นจะเป็นอย่างท่านว่า แต่ความหมุนของเราที่มันหมุนด้วยปัญญานี้ไม่ถอยนะ เวลามันจะตายจริง ๆ ก็รั้งเข้ามาสู่สมาธิ รั้งเข้ามานะ
สมาธินี้มันเกรียงไกรขนาดไหน ฟังซิติดถึง ๕ ปีมันไม่ได้สนใจนะ เหมือนหมูขึ้นเขียงมันว่างั้น เวลามันจะตายจริง ๆ ก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ กำหนดภาวนาสมาธิ ถึงขนาดได้บริกรรม ทำไมถึงได้บริกรรม จิตของเรามันเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงมาขนาดไหน ทำไมจึงต้องใช้คำบริกรรมกำกับ ก็คือว่ามันเพลินกับเรื่องปัญญามากกว่าสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะถอนเข้ามาให้อยู่ในสมาธิมันไม่ยอมอยู่ มันจะพุ่งเข้าหางานแก้กิเลส เราจึงต้องบริกรรม คำว่าบริกรรมนี้นึกพุทโธ ๆ เราชอบพุทโธ เอาพุทโธติดไว้เลย ให้สติอยู่กับจิตให้ติดอยู่กับนี้ไม่ให้ออกไปทำงาน คือสติถ้าออกจากนี้มันก็ไปหางาน งานฆ่ากิเลสทางด้านปัญญา ทีนี้หมุนงานฆ่ากิเลสทางด้านปัญญาด้วยสตินั้นเข้ามาสู่สติกำกับคำบริกรรม มันก็อยู่กับคำบริกรรม บังคับไว้ เผลอไม่ได้นะ
แต่เราไม่อยากพูดคำว่าเผลอนี่ มันเผลอเมื่อไร ถ้าเราอ่อนนี้ทางปัญญามันจะออกทันที ออกพุ่งหาปัญญา จึงต้องบังคับ ๆ เอาไว้ พุทโธ ๆ ๆ ถี่ยิบเลยนะไม่ยอมให้มันคิดทางไหน สักเดี๋ยวมันก็แน่ว ๆ เมื่อคำบริกรรมกับสติติดแนบกันไม่ยอมให้ออกไปทำงานทางด้านปัญญาแล้ว ทางนี้มันก็ค่อยสงบตัวลง ๆ แล้วแน่วลงเลยนะ ลงสู่ฐานเดิมของสมาธิเราที่เคยเป็น ทีนี้ถึงลงขนาดนั้นแล้วมันยังต้องได้บังคับเอาไว้ คือความเพลินทางปัญญามันมีน้ำหนักมากกว่านี้อยู่ พอเบามือนี้มันจะพุ่งออกโน้นเลย เราต้องบังคับไว้ตลอด จนกระทั่งจิตสงบแน่วอยู่เต็มที่เต็มฐาน ทีนี้มันเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ความทุกข์ความลำบากลำบนในธาตุในขันธ์ที่มันอ่อนเปียกเพราะการพิจารณามาก มันจะสงบตัวลงไป ๆ เหมือนกันหมด ทีนี้จิตสงบแน่วไม่คิดไม่ปรุงอะไรเลย อยู่ด้วยความสงบอันเดียวเหมือนสมาธิแต่ก่อน
พออยู่นั้นแล้วมันจึงเป็นเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ความทุกข์ทั้งหลายที่ลำบากลำบนในการพิจารณานี้มันถอนออกหมดเลย เหลือตั้งแต่ความรู้ล้วน ๆ กับความเอิบอิ่ม นี่เรียกว่าหล่อเลี้ยงจิตด้วยสติ พักจิตด้วยสติ จิตมีกำลังขึ้นมา พอได้กำลังพอสมควรแล้วทีนี้เราก็เริ่มเคลื่อน ที่จะให้ออกทางด้านปัญญาไม่ต้องบอก มันเร็วที่สุดนะ ถึงขนาดเราต้องบังคับเอาไว้ให้อยู่ จนกระทั่งมันมีกำลังเต็มที่แล้ว แน่ใจว่าได้กำลังทางด้านจิตใจเต็มที่แล้วเราถึงปล่อย พอปล่อยพับก็ผึงเลยทางด้านปัญญา นี่อันหนึ่งที่มันเห็นประจักษ์นะ
พอจิตที่ได้รับความสงบนี้หนุนจิตให้มีกำลังเต็มที่แล้ว ปัญญาก็แกล้วกล้า คมเหมือนกับมีดเรานี้ลับหินว่างั้นเถอะ เราก็ได้รับการพักผ่อนนอนหลับเรียบร้อยแล้ว มีกำลัง หรือเข้าสมาธิก็เป็นกำลังอยู่แล้ว พอออกนั้นเรียกว่ามีดได้แก่ปัญญานี้ได้ลับหินคือสมาธิแล้ว ออกคราวนี้มันพุ่ง ๆ ๆ ยิ่งคล่องตัวยิ่งกว่านั้นนะ ตั้งแต่ก่อนเราก็ออกไม่ทราบว่าเอาทางสันลงเอาทางคมลง เวลามันหมุนของมันเต็มที่ แต่เวลาออกจากสมาธินี้แล้ว มันหมุนไปตรงไหนนี้ขาดสะบั้น ๆ มันก็จับได้ ๆ นี่ ทีนี้เวลามันจะตายจริง ๆ ธรรมดาไม่จริง ๆ มันไม่ยอมเข้ามาพักสมาธิ แต่มันก็จับเงื่อนได้ เวลามันจะตายจริง ๆ มันก็ถอนย้อนจิตมาสู่สมาธิ มันจะตายจริง ๆ มันถึงจะเข้านะ ไม่ตายจริง ๆ มันไม่ยอม คือมันเพลินทางด้านปัญญา อย่างนี้ตลอดไปเลยนะ
ท่านจึงเรียกว่าอุทธัจจะ ในสังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์ ๕ เบื้องบน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ๕ อย่างนี้เรียกว่าสังโยชน์เบื้องบน อรหัตมรรคเท่านั้นเป็นผู้ก้าวเดิน จะพ้นอยู่ในสังโยชน์เบื้องบนห้า สังโยชน์เบื้องต่ำห้า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ สังโยชน์เบื้องบนก็คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ทีนี้มันอยู่ในขั้นอุทธัจจะ คำว่าอุทธัจจะนี้มันเพลินในการพินิจพิจารณา ไม่ใช่ฟุ้งซ่านรำคาญแบบโลก ๆ เขานะที่ว่าสังโยชน์เบื้องบนนี่ มันเพลินการพิจารณาต่างหากคำว่าอุทธัจจะ ๆ มันไม่อยากพักสมาธิ มันเพลินกับการพิจารณาเพื่อแก้กิเลสโดยลำดับ ๆ มันเพลินของมัน จึงต้องได้รั้งเข้ามาสู่สมาธิเป็นกาลเป็นเวลา เวลามันผ่านไปแล้วมันก็รู้เอง
อย่างที่ท่านว่า นั่นน่ะมันหลงสังขาร ๆ บทเวลามันผ่านไปแล้วมันมาแยกแยะได้หมดนะ อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้นหมายความว่าอย่างนั้น ๆ มันย้อนรู้หมดเลยนะ นี่ที่ท่านเอาซุงทั้งท่อนมาให้เราไปจาระไนเอง ครั้นเวลามันรู้มันตามรู้ทั้งหมด อ๋อ ท่านให้เราคิดเอาความหมาย ท่านพูดให้พิจารณาหรือแจงให้ท่านก็อาจจะทำ แต่สำหรับเราท่านไม่เคยนะ อันไหนต้องโยนให้ทั้งท่อนเลยให้ไปจาระไนเอา มันก็ย้อนหลัง ๆ มาพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้ เช่น อุทธัจจะ ความฟุ้ง มันความเพลินในความเพียรมันไม่อยากเข้าสมาธิ มันเพลินถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องรั้งเข้ามาสู่สมาธิให้พอเหมาะพอดีกัน เป็นอย่างนั้น
หลวงตาเจ้าขา เวลาพิจารณาเห็นว่าเป็นธรรมแล้วจิตมันปล่อยเป็นสมาธิหรือว่าเป็นอะไร เราต้องปล่อยให้มันลงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ปล่อยลงไปเลยอย่างนั้นหรือคะ
ปล่อยซิ จะเป็นอะไรไป เมื่อถึงกาลเวลาแล้วมันก็ถอยของมันออกมาเอง แล้วก็พิจารณาตามที่เราเคยพิจารณา อันไหนถ้ามันรู้แล้ว ๆ จะบังคับให้มันติดให้มันยึดมันไม่ยึดแหละ มันรู้แล้วมันปล่อยทันที ๆ ของมันเลย ถ้ามันยังไม่ปล่อยบังคับให้ปล่อยมันก็ไม่ปล่อย เพราะฉะนั้นจึงต้องปล่อยด้วยการพิจารณา เข้าใจแล้วมันจะปล่อยของมันเอง ๆ ทุกอย่างนั่นแหละ ปล่อยเอง ๆ ที่จะบังคับให้มันปล่อย โอ๋ย ยังไงก็ไม่ได้ เมื่อถึงขั้นมันปล่อย คือมันอิ่มตัวแล้วมันก็ปล่อย เหมือนเรารับทานอาหารนี่ พออิ่มตัวแล้วมันก็ปล่อย นี่ก็เหมือนกัน อันใดที่พิจารณายังไม่เข้าใจ มันจะพยายามซอกแซกซิกแซ็กเอาจนเข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็หายสงสัย ปล่อยไป ๆ อย่างนั้น การพิจารณาเป็นอย่างนั้นนะ
ตอนปล่อยนั้นเป็นสมาธิหรือเปล่าเจ้าคะ มันไม่รับอะไรแล้วใช่ไหมคะ
ไม่รับละ มันอยู่อย่างนั้นละ เป็นหรือไม่เป็นก็ช่างหัวมันเถอะ นั้นชื่อต่างหากเข้าใจไหม เรารู้กับตัวของเรามันปล่อยแล้วมันยังอยู่ยังไงมันปล่อย มันไม่ยุ่งกับอะไรมันปล่อยของมัน ความสบายของมันอันนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี้เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งชื่อตั้งนามให้มันก็รู้เอง เอะอะไปตั้งชื่อแล้ว ยังไม่ถึงไหนตั้งชื่อแล้ว เดี๋ยวไปตั้งชื่อว่าขี้หมาอย่างนั้นก็ได้นี่นะ มันชอบตั้งชื่อนักเราก็เลยตั้งให้ ชื่อว่าอะไร นี่ชื่อขี้หมู นี่ชื่อขี้หมา นี่ละการพิจารณา เรานี้แจงให้ทราบละเอียดลออทุกอย่างนะให้ฟัง เพราะมันผ่านมาเสียทั้งหมดเลย ใครพูดแย็บมันรู้ทันที ๆ เพราะผ่านมาเสียจนพอตัวแล้ว
การพิจารณาของเรานี้มันโชกโชนมากจริง ๆ การพิจารณามันกว้างขวางของมันมากทีเดียว แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเหมือนกันหมด ตัวของเราเป็นอย่างนั้นสำหรับเราเอง เวลามันได้ออก โถ พูดไม่ถูกเลยนะ ผิดคาดผิดหมายทุกอย่าง มันได้ออกตามอะไรมันจะตามของมันจน มันเป็นของมันเองตามนิสัยว่างั้น มันจะรู้ของมัน เข้าใจของมันเรื่อย ๆ กระจ่างออก ๆ อย่างที่ว่านี้ในคัมภีร์เราไม่ได้คำนึงนะ เอาของจริงมาแล้วมันก็เข้ากันได้กับคัมภีร์เลย ไม่ต้องไปถามกันละกับคัมภีร์ คือความจริงนี้ คัมภีร์เป็นคัมภีร์ ออกจากความจริงนี้ไปจดจารึกเอาไว้ใช่ไหมล่ะ เมื่อเจอความจริงแล้ว เหมือนเราตามรอยโค เมื่อตามไปถึงตัวมันแล้วจะไปหารอยโคที่ไหนอีก รอยโคก็อยู่กับตัว อันนี้ความจริงอยู่นี้หมดแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น
เราถึงได้เตือนว่าให้ใช้ปัญญาหนา อยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ มันจะล่าช้า ให้ใช้ปัญญาให้มาก ปัญญาขั้นไหนก็ให้ใช้ปัญญาขั้นนั้น ให้ใช้ปัญญาตามขั้นตามภูมิของมัน
ที่ว่ามานะ เป็นนางงามจักรวาลใช่ไหมคะ
นางงามจักรวาลนั่นเรียกว่าถือใจถูกต้อง มันเป็นจริง ๆ ถึงขั้นอัศจรรย์นี้อัศจรรย์จริง ๆ นะ แต่อัศจรรย์ของนางงามจักรวาล เวลาผ่านไปแล้วมันถึงมารู้ โอ้โห นี่กองขี้ควาย ตอนนั้นมันเป็นนางงามจักรวาล จนขนาดที่ว่าได้อัศจรรย์ตัวเอง โถ จิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องความสว่างไสวก็พิลึกพิลั่น พูดอะไรพูดไม่ถูก รวมได้แต่ว่าทำไมถึงได้อัศจรรย์เอานักหนา มันอยู่ในขั้นนี้ ใครคาดไม่ได้นะ ต้องเป็นในตัวเอง ไปคาดไม่ได้ทั้งนั้นผิดหมด ต้องเป็นหลักความจริงที่ปรากฏในตัวเอง ทีนี้เวลามันผ่านของมันไปแล้ว อันนี้ก็เลยกลายเป็นกองขี้ควายไปเลยนะ เป็นนางงามได้ไง กองขี้ควายนั่น อะไรที่มันเหนือนั้นฟังซิน่ะ มันถึงได้มาตำหนิอันนี้ว่าเป็นกองขี้ควายได้ ไม่เหนือจะมาตำหนิได้ยังไง นั่นละธรรมชาตินั้นมันต่างกันอย่างนั้น มันเหนือกันจริง ๆ
เราสงสารมานอนตายกองกันอยู่นี่กี่ภพกี่ชาติ อยากให้พิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญานี้สำคัญมากนะ ให้ใช้ทางด้านปัญญา อยู่ขั้นใดภูมิใดให้พิจารณา พอสงบให้พิจารณา ที่ท่านว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา คือปัญญาเมื่อสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก คือจิตนี้มันอิ่มตัว ถ้าจิตกำลังฟุ้งซ่านวุ่นวายตลอดเวลาหาความสงบไม่ได้นี้ เราจะพาพิจารณาทางด้านปัญญามันกลายเป็นสัญญาไปเสีย มันเป็นกิเลสไปเสีย เมื่อจิตมีความสงบแล้วมันอิ่มอารมณ์ ไม่อยากสนใจกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรส นี่เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ จิตที่อิ่มอารมณ์ขณะนี้ให้พาพิจารณาทางด้านปัญญาได้ขณะนี้เข้าใจไหม ถ้ายิ่งอิ่มอารมณ์มากเท่าไร มันจะหมุนไปทางด้านปัญญาไปเรื่อยของมันเอง นั่นละที่ว่าสมาธิอบรมปัญญา
คือถ้าไม่มีสมาธิเลย ไม่มีความสงบอะไรเลย เราจะพิจารณาทางด้านปัญญามันเป็นสัญญาเป็นสมุทัยไปหมดไม่ได้เรื่อง เราเคยแล้ว แต่พอจิตเป็นสมาธิแล้วนี้หมุนทางด้านปัญญานี้ โหย พุ่ง ๆ อย่างว่านั่นแหละ นั่นท่านว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก แต่แปลทางด้านปฏิบัตินี้ ปัญญาเมื่อมีสมาธิหนุนแล้วเดินได้คล่องตัว เป็นอย่างนั้นนะ เดินได้คล่องตัว ทีนี้ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คำว่าโดยชอบคือไม่ผิด ปัญญาซักฟอกแล้วไม่ผิด พ้นไปได้เลย สองขั้นนี่
ขั้นแรกก็ สีลปริภาวิโต สมาธิมหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วย่อมมีความอบอุ่นตัว ไม่เป็นกังวลระแคะระคายกับศีลของตนว่าด่างพร้อยอะไร ๆ นี้ ไม่มี จิตก็อบอุ่น จะภาวนาจิตก็รวมได้ง่าย ทีนี้พอจิตรวมสงบลงไปแล้วจิตก็เป็นเครื่องหนุนปัญญาได้ดังที่ว่านี่ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา มันก็หนุนเป็นขั้น ๆ ถึงทะลุเลย อย่างที่เขามาพูดแบบเขาเรียนลัดฟังไม่ได้นะ โอ๋ย อย่ามาโกหกว่างั้นเลยนะเรา ว่าไม่ต้องสมาธิก็ได้ เดินปัญญาไปเลย พ่อมึงเคยเดินแล้วยัง อยากถามว่างั้นแหละเรา อ้าว จริง ๆ นะ พ่อมึงเคยภาวนาแล้วหรือมึงจึงมาอวดกูนี่นะ เราอยากว่าอย่างนี้ มันหลับตาพูดนี่วะ มันผ่านไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพูดอะไรจึงพูดได้ทั้งนั้น เวลาผ่านไปแล้วไม่มีสมมุติอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องได้เลย มันจ้าของมันตลอดเวลาครอบโลกธาตุ แล้วอะไรจะมาผ่านมันได้ มันจะไปติดกับอะไร มันรู้อยู่กับเจ้าของจะไปถามใคร เวลามันเป็นมันก็เป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าจึงว่า สนฺทิฏฺฐิโก คำเดียวเท่านั้นพอ ประกาศขึ้นมาป้าง สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองประจักษ์ พอ ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่เห็นถามใคร พระสาวกตรัสรู้ธรรมก็ไม่เห็นถามพระพุทธเจ้า ก็ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศด้วยกันในหัวใจนั้นแล้วหมดปัญหา แล้วที่เราเคยพูดคือมันประจักษ์เอาต่อหน้าต่อตาเรานี้ โดยไม่ต้องไปเรียนคัมภีร์ไหน ๆ แต่เป็นคัมภีร์หลักธรรมชาติปรากฏขึ้นในใจ อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันนี้เราไม่เคยคิดแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรมเป็นพระธรรม พระสงฆ์เป็นพระสงฆ์ ฝังจิตมาตลอดจนถึงขณะนั้นเลย ขณะสุดท้ายนั้นนะ มันถึงได้มาเปิดโล่งให้เห็นชัดเจนประจักษ์ตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร เวลามันปรากฏขึ้นมาผึงนี้แล้วมันก็ขึ้น
ขึ้นเบื้องต้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ รู้อย่างนี้ละหรือ อย่างที่เป็นอยู่ในนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ ถามใครล่ะ อ๋อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ นี่อันดับหนึ่ง อันดับสอง หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง แต่ก่อนเราไม่เคยคิดว่ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ไม่เคยคิดเลย ต้องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นประจำ จนกระทั่งมาถึงขณะนั้นนะ แต่เวลามันเจอเข้าอย่างจัง ๆ แล้วนี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ รวมเป็นธรรมชาติอันเดียวกันหมดแล้ว แล้วมันก็เอานี้ออกยันกัน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง คือมันเป็นแล้วนั่นน่ะเข้าใจไหม มันเห็นแล้วนั่นน่ะ แล้วจะไปถามใคร ถ้าลงประจักษ์แล้วเป็นอย่างนี้ จะไปถามใครว่างั้นเลย อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ยอมรับ ๆ
การบำเพ็ญธรรมนี้เราพูดจริง ๆ สำหรับเรานี้หนักมากแต่รู้สึกมันคุ้มค่านะ คุ้มค่าในการปฏิบัติของตัวเอง คือพิจารณาย้อนหลังจะมีความเสียอกเสียใจเพราะความพากเพียรของเรานี้ หย่อนยานตรงไหน อ่อนแอตรงไหน ไม่มี มันหมุนของมันตลอดเลย ถึงขนาดที่เวลามาถึงปัจจุบันนี้เราพิจารณาย้อนหลังอย่างนี้นะ จนขยะ ๆ นะ ขยะความเพียรของตัวเอง โอ๋ อย่างนั้นก็ทำได้ ๆ คือทุกวันนี้มันทำไม่ได้มันตายเลยเข้าใจไหมล่ะ แต่นั้นมันทำได้สบายของมัน ถ้าจะพูดถึงเรื่องธาตุขันธ์ของเรามันก็ไม่เหมือนในระยะนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องจิตใจ ความมุ่งมั่นของมันเต็มเหนี่ยว ๆ พูดง่าย ๆ ให้เต็มยศก็คือว่าเพื่ออรหันต์เท่านั้น
ทีนี้เวลามาอยู่ปัจจุบันนี้ ความมุ่งมั่นอย่างนั้นมันก็ไม่มี ความอยากโน้นอยากนี้อย่างแต่ก่อน เช่น อยากไปนิพพานนี้ พูดก็สาธุ ไม่ได้ประมาทนะ แต่ก่อนมันอยากไปนิพพานกับอยากเป็นพระอรหันต์เป็นอันเดียวกัน ทีนี้อยากไปนิพพานมันก็ไม่อยาก ความอยากเป็นพระอรหันต์ก็ไม่อยาก ทีนี้เมื่อไม่มีอย่างนั้นมันก็ไม่มีกำลังซิความเพียรใช่ไหม แล้วจะไปบืนอย่างนั้น โอ๊ย ตายเลย กำลังใจไม่มี อันนั้นเต็มไปด้วยกำลังใจ ทุกอย่างเต็มไปด้วยกำลังใจ หมุนติ้ว ๆ ตลอด จึงว่า โถ ขนาดนั้นมันก็ทำได้ ๆ อย่างนั้นนะ นี่เรื่องความเพียร ที่เราจะได้ตำหนิของเราว่า เอ๊ เวลานั้นความเพียรของเราอ่อนเปียกถอยหน้าถอยหลัง ไม่มี มีแต่ปลื้มใจ โถ ๆ ไม่ขนาดนั้นมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ ๆ มันเรียงกันมาเป็นลำดับลำดานะ
นี่ละคำว่าความเพียรว่าทุกข์ เราทุกข์จริง ๆ แต่ผลมันก็หนุนกันมาตลอด ๆ หนุนจริง ๆ ความเพียร โห ไม่ใช่เล่น ๆ นะ จึงว่าทุกข์มากเรื่องความเพียร ความเพียรของเราในการบวชนี้เพียรฆ่ากิเลสนี้ เรียกว่าทุกข์มากแสนสาหัสเลย การเรียนก็เป็นธรรมดามันก็เป็นตามนิสัย คือการเรียนนิสัยของเรามันก็เป็นอย่างนี้ มันไม่ได้ท้อแท้ไม่ได้ขี้เกียจ ทำอะไรมันจริงทุกอย่าง การเรียนก็จนกระทั่งสมองทื่อ เรียนหนังสือจะให้มันจำให้ได้ ๆ จนสมองทื่อไปเลยคือมันไม่ยอมจำ อยากจะให้จำเท่าไรมันก็ไม่จำ ตกลงก็ต้องพักเสียก่อน คือความเรียนนั้นจะให้มันได้ให้จำได้อย่างนั้นนะ ทีนี้มันไม่จำให้ สมองเลยทื่อเลย เอ้า พักเสียก่อน เมื่อมันไม่ยอมรับแล้วก็พักเสียก่อน ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยเรียนใหม่ อย่างนั้นเป็น ถึงสมองทื่อก็เป็น คือมันไม่ยอมถอยแต่มันไม่จำให้
เวลาเรียนมันก็หนักของมันอย่างหนึ่ง แต่เราไม่ถือว่าหนักนะ ธรรมด๊าธรรมดาไม่เห็นมีข้อหนักแน่นกับมันว่าเรียนเราเป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ว่า ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นทุกข์ไปทางการเรียนเหมือนกัน แต่มันไม่ถึงสละชีวิตนั่นซี หลักใหญ่อยู่ตรงนั้นนะ แต่เวลาออกมาปฏิบัตินี้มันสละมาเลยนะ ถึงขั้นที่ควรตาย เอ้า ตายเลยมันไม่ได้ถอย อย่างที่ว่าเราไม่เคยสลบนี้เราก็บอกไม่เคย เป็นแต่เพียงว่าเฉียด ๆ เวลามันหนักมากจริง ๆ นี้เฉียดไป แต่มันไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ อย่าว่าแต่ไม่เคยสลบเลย ถึงขั้นตายก็ให้มาเถอะน่ะ มันจะตายจริง ๆ นะ เช่นอย่างเรานั่งตลอดรุ่งนี้ไม่ถึงเวลาเราจะลุกไม่ได้เลย อย่าว่าแต่มันไม่สลบเลย มันจะเลยสลบไปแล้วไปตายมันก็ยอมเลย เอ้า ตายก็ตาย ถ้าไม่ถึงเวลาแล้วยังไงมันก็ไม่ลุก เป็นอย่างนั้นนะ
หลวงตาคะ เดี๋ยวตั้งสัจจะแล้วสัจจะมันล้ม
โอ๋ย มันล้มตั้งแต่ยังไม่ตั้ง จะมาพูดอะไรว่าตั้งสัจจะ สัจจะล้มคือมันล้มตั้งแต่ยังไม่ตั้ง
ตอนสู้กับเวทนาหลวงตาเคยน้ำตาไหลไหมเจ้าคะ
โอ๊ย น้ำตาไหลมันสู้กิเลสไม่ได้ต่างหากหนา ความนั่งมากไม่ได้ทุกข์จนน้ำตาไหลอย่างนี้ไม่มี คือตั้งสติไม่ได้ ตั้งสติล้มผล็อย ๆ กิเลสเหยียบเอา ๆ มันไม่มีอะไรเป็นความเพียรเลย ตั้งสติไม่อยู่เลย พอตั้งพับล้มไปพร้อม ๆ กันเลยแล้วเราจะเอาปัญญามาจากไหน มันก็เป็นสัญญาไปร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถ้าตั้งสติไม่อยู่ปัญญามีความหมายอะไร สติต้องจับปัญญาซิปัญญาถึงจะเป็นปัญญาไปได้ เพียงตั้งสติไม่อยู่แล้วจะเอาปัญญามาจากไหน ทำยังไงมันก็ไม่เป็น จิตมันหนุนเข้ามาเป็นอำนาจของกิเลส ๆ ให้เห็นอยู่ชัด ๆ โห มันเสียใจมากนะ เพราะฉะนั้นถึงได้พูด มึงเอากูถึงขนาดนี้เทียวหนา คือมันไม่มีเลยความเพียร มีแต่ขึ้นไปก็ให้เขาตีเอา ๆ นักมวยสู้เสือด้วยกำปั้น
อันนั้นน้ำตาร่วงเรื่องเสียใจเพราะสู้กิเลสไม่ได้ ตั้งสติไม่อยู่เลย ไม่มีความเพียรว่างั้นเถอะ ความเพียรไม่มีเลย นั่นต่างหากนะที่น้ำตาร่วง ไอ้ที่น้ำตาร่วงเพราะสู้ทุกขเวทนาไม่ได้ไม่มี ตายก็ตายไปเลย ให้ถอยไม่มีถอย การนั่งตลอดรุ่งนี้เราไม่เคยผิดพลาดนะ นั่งตลอดรุ่งมาได้เก้าคืนสิบคืนแต่ไม่ได้ติดกัน ดูเว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้างแล้วนั่งทีหนึ่ง ๆ นั่งตลอดรุ่ง บางทีถึงอาทิตย์หนึ่งก็มี ในคืนที่เรานั่งตลอดรุ่ง ๆ ไม่มีพลาดเลยว่าไม่ได้เห็นจิตลงอัศจรรย์ ได้ทุกคืน เป็นแต่เพียงว่าช้าหรือเร็วต่างกัน คำว่าช้าคือยังไง นี่มันก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณา คือมันลงได้ช้า เช่นเวลานานมันถึงลงก็มี มันลงได้เร็วก็มี ถ้าเราพิจารณายังไม่รอบมันก็ไม่ลง ยังไงมันก็ไม่ยอมลงถ้ามันไม่รอบตัวของมัน เมื่อมันรอบหมดแล้วมันก็ผึงของมันเอง
ตอนที่พิจารณารอบหรือไม่รอบ ถ้าพิจารณายังไม่รอบเมื่อไร นานกี่ชั่วโมงมันก็ไม่ยอมลง ตอนที่มันไม่ยอมลงง่าย ๆ มันบอบช้ำร่างกาย ทุกข์มากนะ โถ ทุกข์มากที่สุด วันไหนที่จิตลงไม่ได้ง่ายวันนั้นบอบช้ำมาก ทีนี้ลงมันก็เป็นระยะนะ ส่วนมากมันจะลงสองหนสามหนในคืนหนึ่ง ลงหนเดียวนี้ดูไม่เคยมีปรากฏว่านะ ลงแล้วมันได้จังหวะเรียกว่าอิ่มตัวของมันแล้วมันก็ขยับขึ้นมา พิจารณาอีกแล้วลงได้อีก สองหนบ้างสามหนบ้างแล้วก็สว่าง สว่างเป็นวันตัดสินกันเรื่องความสัตย์ ถ้ายังไม่สว่างแล้วมันจะตายก็ให้ตายไปเลยเป็นลุกไม่ได้ ไม่ยอมลุก นี่เรียกว่าคำสัตย์ปักเอาไว้เลย
ในช่วงนี้ถ้าวันไหนมันพิจารณาได้ง่าย ๆ ลงผึงได้ง่าย ๆ วันนั้นร่างกายไม่บอบช้ำนักและไม่บอบช้ำ คือไม่บอบช้ำนักและไม่บอบช้ำ วันไหนพิจารณามันเกาะติดปั๊บ ๆ เหมือนคีมเรานี้ปากมันแหลมคมเกาะติดปั๊บ ๆ พิจารณาลงแล้ว ๆ ผึงเลย อย่างนี้ไม่นาน เวลามันลงไปแล้วมันไม่มีทุกข์ มันมีอยู่ตอนที่เราพิจารณานี้ เป็นทุกข์มาก ถ้าพิจารณายากเท่าไรนานเท่าไรมันก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก ๆ กว่าจะลงได้ทุกข์เสียมากมาย วันนั้นต้องบอบช้ำมากทีเดียว บางทีนอนกลางวันนี้ คือตอนไหนที่กลางคืนเราไม่นอนกลางวันเราพักให้นะ เรามีคำสัตย์อีกประเภทหนึ่ง ในพรรษาที่เคยพูดให้ฟัง พรรษาที่ ๑๐ อยู่บ้านนามน
อันนี้เราบังคับไว้กลางวันเราจะไม่นอนถ้ากลางคืนไม่ได้นั่งตลอดรุ่งนะ ถ้านั่งตลอดรุ่งแล้วกลางวันจะพักให้ นอกจากนั้นไม่ยอมพัก กลางวันจะเดินจงกรม ถ้ามันจะง่วงก็ไปเดินจงกรมบ้าง อาบน้ำบ้างอะไรบ้าง เป็นประจำ แล้วก็ไม่ได้นอนตลอดสามเดือนเหมือนกันกลางวันนะพักนอน เว้นแต่วันไหนนั่งตลอดรุ่งวันนั้นจะพักให้ นี่ละเวลาเราพักกลางวัน เราภาวนากลางคืนมันบอบช้ำเสียจน
เหมือนร่างกายนี้จะเป็นศพไปเลย เวลานอนกลางวันทั้ง ๆ ที่หลับ มันสะดุ้งผึงเลย คือมันเป็นของมันเองจนกระทั่งเราตื่น ทั้ง ๆ ที่นอนหลับมันสะดุ้งตัวของมัน มันเจ็บมันปวดมันเป็นอะไรไม่รู้แหละ มันสะดุ้งเหมือนกัน สะดุ้งผึงขึ้นมาก็มี คือผลของมันมาจากการบอบช้ำในกลางคืนนั้น
ถ้าวันไหนลงได้ง่ายอย่างนี้มันไม่เป็นนะ พอลุกจากที่แล้วไปเลย นี่เรียกว่ามันลงได้ง่าย ถ้าวันไหนมันลงได้ยาก ๆ วันนั้นต้องเตรียมตัวไว้เลยเพราะเราได้บทเรียนแล้ว คืนแรกที่เรานั่งตลอดรุ่งนี้ เวลาลุกขึ้นมาร่างกายเหล่านี้มันตายหมดแล้ว ตั้งแต่นี้ลงไปตายหมดแล้วไม่รู้จักเจ็บจักปวดอะไร คือมันตายหมดแล้ว ทีนี้พอลุกแล้วก็มันไม่เจ็บเราก็นึกว่าไม่มีอะไร พอลุกขึ้นนี่ล้มทั้งหงายเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ล้มลงไปแล้วขายังไงอยู่อย่างนั้น คู้ก็ไม่ได้เหยียดก็ไม่เป็น อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ มาจับดูขา โอ๊ย มันตายแล้วไม่รู้จักเย็นจักร้อนอะไรเลย แต่มือรู้นะว่าขานี้เย็น ก็ปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้นก่อน ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละขา คือเวลาเราลุกขึ้นมันล้มลง ล้มลงทีนี้ลุกไม่ขึ้น ก็เลยปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน
จนกระทั่งเลือดลมค่อยเดิน ๆ พอเลือดลมเดินมันค่อยรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ทีนี้เรากำหนดดู เราคู้ดูเราเหยียดดู ถ้าคู้ได้เหยียดได้ทุกอย่างแล้วเราก็ลุกได้ คืนแรกเราไม่รู้ ล้มตูมเลยเทียว จากนั้นมามันก็เป็นบทเรียน บทเรียนยังไง คือวันนี้มันเป็นอย่างนี้ ถ้าวันไหนมันเป็นมาก ๆ อย่างนั้น วันที่จะลุกต้องเตรียมตัว ต้องขออภัยนะ เช่นเรานั่งขัดสมาธิอย่างนี้ ต้องเตรียมตัว เตรียมตัวยังไง นี่ได้เวลาที่จะลุกแล้วนะ อันนี้มันตายหมดแล้ว ได้เวลาแล้วเราก็ต้องจับขานี้ออกมาวาง จับขานี้มาวาง มันไม่รู้เรื่องมันตายหมดแล้ว มาวางทิ้งไว้นั้นก่อน คอยทดสอบดู ค่อยคู้เข้าแล้วเหยียดออกไปดู ถ้ามีความรู้สึกในขาเราแล้ว มันจะเริ่มเหยียดได้อะไรได้ ต่อไปความรู้สึกก็เด่นขึ้น ๆ เป็นธรรมดาแล้ว เราคู้ได้แล้วก็ลุกไปเลย
เมื่อมันได้บทเรียนแล้วเราต้องทดลองมันเสียก่อน ที่เราไม่รู้ทีแรก ล้มตูมเลยนะ นี่เป็นอย่างหนึ่งนะ ที่อย่างหนึ่งถ้าจิตลงได้ง่ายวันนั้นลุกไปได้เลย มันรู้ตั้งแต่อยู่ภายในที่ยังไม่ลุกนะ คือร่างกายไม่บอบช้ำเพราะจิตมันบอกอยู่ในตัว พิจารณาแล้วมันลง ถ้าจิตได้ลงแล้วทุกข์ไม่มีละเรื่องร่างกายนะ ไม่มีอะไรมากวนเพราะจิตไม่เกี่ยวกับกันเลย มันอยู่แต่อันเดียวเท่านั้น ทีนี้เวลาลุกออกมามันก็ไปได้เลย
การภาวนามันมีเรื่อง อุตุสัปปายะ ดินฟ้าอากาศเป็นที่สบาย นี้ยอมรับเรา คือถ้าวันไหนอากาศร้อน ๆ แหม วันนั้นภาวนาตลอดรุ่งนี้หนักมากนะ ผลไม่ได้เท่าที่ควรทั้ง ๆ ที่ลงอัศจรรย์เหมือนกัน แต่มันไม่ได้ลงได้เป็นเวลานานหนึ่ง และลงยากหนึ่ง แล้วบอบช้ำร่างกายถ้ามีอากาศร้อน ๆ นะ แต่ถ้าวันไหนอากาศเย็น มิหนำซ้ำเวลาเรานั่งตลอดรุ่งให้ฝนพรำนั่นเหมาะที่สุดเลย ฝนพรำแล้วเย็นสบาย นั่นพิจารณาได้คล่องตัว ๆ วันนั้นไม่ลำบากเลยนะ พุ่ง ๆ พุ่งเลยตลอด ๆ นี่มันต่างกันนะ คำว่าอุตุสัปปายะดินฟ้าอากาศช่วย มันเย็นอย่างนี้ นั่งภาวนาสะดวก เป็นอย่างนั้น
เรานี้เป็นทุกอย่างก็พูดได้หมดล่ะซี การนั่งบอบช้ำมากก็คือ จิตลงได้ยาก นานลง กว่าจะลงได้ จิตลงได้ง่ายแล้วลงได้นาน ลุกขึ้นมาแล้วไปเลย ทั้ง ๆ ที่เรานั่งอยู่เวลาเท่ากัน ตั้งแต่เริ่มมืดจนกระทั่งเป็นวันใหม่ขึ้นมา อย่างน้อยต้องเป็นวันใหม่ขึ้นมา มากกว่านั้นจะสายเท่าไรไม่ว่า ขอให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้ ต้องเป็นวันใหม่นะ เลยจากนั้นเราไม่ว่าเพราะมันเลยสัจจะไปแล้วใช่ไหมล่ะ เวลาเท่ากันก็ตามนะถ้าจิตของเราลงได้ง่ายนี้ลุกไปเลย ถ้าจิตของเราลงได้ยากนี้ลุกขึ้นก็อย่างว่านั่นนะ บอบช้ำมาก มันต่างกันที่ใจของเรา ถ้าใจของเราลงได้ง่ายแล้วง่ายทุกอย่างนั่นแหละ ไม่บอบช้ำ
เราถึงพูดว่าปีที่เราหนักมากที่สุด คือพรรษา ๑๐ หนักมากที่สุดเลยในการฝึกทรมานทางด้านจิตตภาวนา เพราะปีนั้นมันบังคับทั้งสองด้านเลย ๑) บังคับร่างกาย เวลานั่งตลอดรุ่งนี้จิตจะแย็บออกไปคิดอะไรไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ นั่นละที่ว่ามันจริงทุกอย่างเรานะ จิตนี้จะแย็บไปคิดอะไรไม่ได้ ต้องให้อยู่ในวงนี้เท่านั้น นี่ก็เป็นบังคับอันหนึ่งใช่ไหมล่ะ ทีนี้ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นภายในกาย ก็บังคับไม่ให้จิตมันออกไปไหน สู้กับอริยสัจตลอดเวลาจนได้ของจริงขึ้นมา นี่ก็เป็นทุกข์อันหนึ่ง จากตั้งแต่นั่งทีแรกจนกระทั่งสว่าง นี้คือปิดตายเลยเทียวนะ จึงทุกข์มาก บังคับทั้งจิต บังคับทั้งกาย กายไม่ยอมให้ลุก จิตไม่ยอมให้คิดไปไหน ให้คิดแต่ในวงของสัจธรรม ทุกข์มาก นี่อันหนึ่ง นี่เรียกว่าทุกข์ทั้งร่างกาย ทุกข์ทั้งด้านจิตใจ จิตใจก็บอบช้ำมาก เรื่องทุกข์ทางจิตก็บังคับกันมาก
กลางวันก็ไม่นอนอีกด้วยนะ ในพรรษานั้นเราไม่นอนเลยกลางวัน เว้นแต่วันไหนที่นั่งตลอดรุ่งแล้วนอนให้กลางวัน นอกจากนั้นไม่ยอมนอนเลย คำสัตย์เราตั้งไว้ยังไงไม่มีเคลื่อนนะ นิสัยเราเป็นอย่างนั้น ถ้าลงว่ายังไงแล้วขาดสะบั้นไปเลยไม่มีคำว่าเคลื่อน นี่ที่เรียกว่าพรรษาที่หนักมากที่สุดในชีวิตของเราที่ปฏิบัติจิตตภาวนา พรรษาที่สิบนี้มันพร้อมกันทั้งร่างกายและจิตใจที่ถูกทรมานด้วยกัน จากนั้นแล้วก็ไม่เสมอกันนะ ที่จิตเป็นสมาธินี้มันก็สบายไปแบบหนึ่งเสีย ไม่ยุ่งกับอะไร แต่ก็ขะมักเขม้นอยู่ในความเพียรทางสมาธินั้นเสีย ทั้งวันมันอยู่ได้ คือมันไม่ขี้เกียจมันก็อยู่กับสมาธิเสีย ทีนี้ออกทางด้านปัญญามันก็หมุนทางด้านปัญญา ด้านปัญญาร่างกายก็ไม่บอบช้ำอะไรมากนัก แต่ปัญญากับสติปัญญาที่หมุนอัตโนมัตินี้ก็หมุนของมันตลอด มันก็หนักไปทางจิตเสีย ร่างกายไม่หนักก็หนักไปทางจิตเสีย
ถ้าพูดถึงเรื่องจิตเป็นสมาธินี้ ร่างกายไม่ค่อยบอบช้ำ จิตเพลินอยู่ในนั้นเสีย มันก็เป็นความเพียรของมันได้ตลอดเวลาเหมือนกัน เป็นขั้น ๆ ไปไม่เสมอกันเหมือนพรรษาที่สิบ อันนี้ทุกข์เสมอกันเลย ทั้งร่างกายก็บอบช้ำมาก ทั้งจิตใจก็บีบบังคับมาก นอกนั้นไม่เสมอกัน ทางใจมันก็ก้าวของมันไปเรื่อย ๆ ทางร่างกายก็ไม่ค่อยอะไรมากนัก แต่จิตมันหากหมุนของมัน เดินจงกรมไม่เร็วก็ตาม ช้าเร็วมันอยู่กับความพอดีของเจ้าของเอง เพลินอยู่นั้นละ มันเพลินของมันอยู่ภายในไม่ได้ออกข้างนอกนะจิต เป็นอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัตินี้จะไม่ออกข้างนอกเลย มันจะหมุนอยู่ข้างใน
กิเลสอยู่นี่ ธรรมอยู่ที่นี่ มันฟัดกันอยู่บนเวทีคือหัวใจ เรียกว่าเวทีของกิเลสกับธรรมะฟัดกัน เวทีที่สองคือร่างกาย เวทีที่หนึ่งคือใจ มันฟัดกันอยู่นั้น ที่เวลามันรู้นั่นซีพูดให้ใครฟังไม่ได้นะ เราจะพูดได้เฉพาะที่พอจะเป็นประโยชน์แก่โลกบ้างยิบ ๆ แย็บ ๆ นิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนั้นที่ไม่เกิดประโยชน์มันก็ปิดของมันเองเหมือนไม่รู้ ไปที่ไหนเหมือนไม่รู้ เขาหูหนวกเราก็หนวกไปเสีย เขาบอดเราก็บอดไปเสีย เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ เพราะไม่หนัก มีเหมือนไม่มี คือไม่มีการกดการถ่วงเหมือนกิเลสมี การกดการถ่วงของกิเลส ความรู้วิชาที่เรียนมาด้วยอำนาจของกิเลสนี้มันจะหนักของมัน ไม่ได้ระบายอยู่ไม่ได้ ไม่ได้คุยไม่ได้โม้อยู่ไม่ได้ คือมันหนัก ต้องระบายแล้วเบาหน่อย ธรรมะไม่มีนะ ยิ่งถึงขั้นเต็มเหนี่ยวของมันแล้วพูดไม่ได้เลยว่าพอดีขนาดไหน พอดีในธรรมชาตินั้นเท่านั้น
เราจะเอาความพอดีในโลกนี้ไปเทียบไม่ได้เลย แน่ะฟังซิน่ะ ถ้าว่ารู้ก็เหมือนกัน มันไม่ได้เหมือนอะไรเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติกับธรรมธาตุแล้วอย่าเอาเข้าไปแตะกันเลย ว่างั้นเท่านั้นได้ความนะ คือไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เช่นอย่างที่เอามาพูดได้พอเป็นวี่ ๆ แวว ๆ บ้าง เช่นอย่างว่าว่างไปหมดอย่างนี้ จะให้รู้ตามที่ธรรมชาตินั้นจริง ๆ แล้วอันนี้มันก็ไม่ถูกแต่ก็พอพูดได้ พอเป็นเงา ๆ พอให้พวกบ้าตาบอดได้ลูบได้คลำบ้างก็เอา ธรรมชาตินั้นมันไม่มีอะไรสงสัยแล้วว่างั้นเถอะ ความสงสัยเป็นเรื่องของสมมุติทั้งหมด มันไม่มีอะไรกับธรรมชาตินั้น มันพอดี คำว่าพอดีก็เหมือนกัน มันก็เลยอันนี้ไปอีกเสีย คำว่าพอดีก็เป็นเรื่องสมมุติเขาใช้กัน อันนั้นมันก็เลยอีกเสีย อย่างนั้นนะ
ทีนี้เมื่อสมมุติเขามีมันก็ต้องมีกรุยหมายป้ายทาง เช่น นิพพาน ๆ ผู้ไปถึงนิพพานท่านถามอะไร ก็อย่างนั้นแล้ว ผู้ที่ยังไม่ถึงผู้ทำกรุยหมายป้ายทาง อย่างเรามาวัดป่าบ้านตาดก็ต้องบอกเส้นทางมา มีลูกศรมา บางทีเลยไปบ้านกกสะทอนก็มีนะพวกบ้า คือติดไว้นั้นลูกศรบอกมาวัดป่าบ้านตาด มันไม่ดูลูกศรดูแต่ถนนมันก็ฟาดไปถึงบ้านกกสะทอน เลยไปโนนเดื่อ ถามวัดป่าบ้านตาดอยู่ไหน อู๋ย ผ่านมาแล้วเลยได้กลับคืนมาอีก มาก็ไม่ดูลูกศรอีก ถามคนว่าเข้านี้ก็เข้ามาเลย เวลามาถึงวัดป่าบ้านตาดแล้วไปถามหาอะไรใช่ไหมล่ะ มันก็รู้เอง เวลายังไม่ถึงก็เป็นอย่างนั้นละ ต้องทำกรุยหมายป้ายทางไว้อย่างนั้น เพื่อให้มา ถึงอย่างนั้นยังผิดไปได้นะ ฟาดไป กกสะทอน โนนเดื่อ จนได้พวกบ้านี่
พูดเรื่องจิตนี่พูดไม่ถูกละพูดจริง ๆ นะ จิตธรรมชาตินี้พูดไม่ถูกเลย เพราะฉะนั้นเราถึงพูดให้ฟังเราพูดได้สำหรับผู้ที่มีนิสัยใจคอที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมต่อความจริงอยู่แล้ว เราก็แย็บออกมาให้ฟัง เช่น พูดอย่างที่ว่าเราไม่เคยสะทกสะท้านอะไรกับสามแดนโลกธาตุนี้ เราพูดเต็มหัวใจซึ่งเป็นอย่างนั้น เพราะโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติสะทกสะท้านอะไรกับมัน เข้าใจไหมล่ะ ธรรมชาตินั้นกับธรรมชาตินี้ต่างกันยังไง แล้วจะไปกลัวไปกล้ากับมันหาอะไร ถึงวาระที่จะพูดออกมาในธรรมะที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกหนักเบามากน้อยไม่ต้องบอก มันจะผางของมันออกเลยทันที ๆ เมื่อไม่สมควรที่จะออกดึงก็ไม่ออกนะ มันหากพอดีอยู่ในนั้นแหละ พอดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรเลยความพอดี พอดี๊พอดี
ก่อนหน้าที่จะไปถึงความพอดี พ่อแม่ครูจารย์พูดถึงจิตอุเบกขา แล้วยังมัธยัสถ์อีก
โอ๊ย อันนี้ก็พูดยากเหมือนกันนะ เพราะก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ๆ ธรรมชาตินั้นหากรู้เองนะ ไม่ต้องพูดก็รู้เอง พอดีของเจ้าของเอง แต่เวลาจะแยกให้คนอื่นพอดีด้วยนั่นซิมันลำบาก มันจะเตลิดไปโนนเดื่อ กกสะทอน เสียอย่างนั้น มีลูกศรไปวัดป่าบ้านตาดไม่ไป โน่นไปโนนเดื่อ กกสะทอน พวกนี้พวกโนนเดื่อ พวกกกสะทอนทั้งนั้น มันไม่มาตามลูกศรนะ
โห เวลาสติปัญญามันได้ออกมันออกจริง ๆ นะ ทั้ง ๆ ที่กำลังฆ่ากิเลสมันก็ออกของมันรู้ของมัน สิ่งภายนอกอะไร เกี่ยวข้องอะไรมันรู้ของมัน ๆ แต่มันไม่สนใจยิ่งกว่าการฆ่ากิเลสเท่านั้นเอง จะปิดไม่ให้มันรู้ไม่ได้นะ เป็นหลักธรรมชาติของมันที่เป็นของผู้นั้น ๆ เองนะ มันจะรู้ของมันทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับจิต จิตเป็นตัวธรรมชาติที่จะสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน สมควรแก่กัน ดังเคยได้พูดแล้ว เช่นอย่างต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศนี้ เรายกทั้งประเทศเมืองไทยเรานี้ หรือว่าโลกอันนี้ว่างั้นเลย โลกนี้มีกว้างแคบขนาดไหน แผ่นดินนี้เขาเรียกว่าโลกใช่ไหม เวลาจิตมันได้ออกเต็มเหนี่ยวของมันแล้ว คำว่าโลกอันนี้ไม่มีความหมายนะ แผ่นดินหนาแน่นขนาดไหน กว้างแคบขนาดไหน มันไม่ได้มีความหมายกับสิ่งเหล่านี้ เพราะมันไม่ใช่วิสัยของกัน
ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ เป็นธรรมชาติของเขา เขาไม่ได้รับดีรับชั่วรับบาปรับบุญกับใคร ธรรมชาตินี้เป็นธรรมชาติอย่างนั้น ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|