***ไม่มีสมมุติใดจะมากีดขวางจิตที่ว่างได้
วันที่ 13 มกราคม 2549 เวลา 18:30 น.
สถานที่ : วัดเจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ วัดเจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ไม่มีสมมุติใดจะมากีดขวางจิตที่ว่างได้

ปี ๒๔๘๓ มังเราจากที่นี่ไป ดูเหมือนเป็น ๒๔๘๓ มาตอนนั้นมันหลงตะวันหลงทิศ เอาทิศตะวันออกเป็นตะวันตกไปเลย หลง ที่มาเที่ยวหลังๆ นี่ตรงแน่วมาเลย รถยนต์มา จำทิศจำทางมาเรื่อยๆ เลย จึงแม่นยำ เข้าใจ แต่ก่อนที่เรามา มารถไฟ หลงทิศ ตะวันตกเป็นตะวันออกไปเลย ก็อยู่อย่างนั้นละ เวลาขากลับมาเที่ยวหลังนี้มาจากทางนู้นเลยอุดรเลย ตรงแน่วมา ดูทิศดูทางมาเรื่อยๆ จึงจำได้ ทิศตะวันตก-ทิศตะวันออกจำได้แน่นอน หายสงสัยตั้งแต่นั้นมาก็เลยจำได้หมด ตะวันตก-ตะวันออกรู้หมด ลองหลงทิศทางเสียอย่างเดียวชี้อะไรไม่ถูกนะ ทีนี้เมื่อเราจำทิศจำทางได้แล้วชี้ถูกทั้งนั้นละ

เวลานั้นมันยังหนุ่มน้อยอยู่ พรรษา ๖ พรรษา ๗ พรรษา ๖ มาอยู่ที่นี่ กำลังแข็งแรง พรรษา ๗ ก็สอบเปรียญได้ ทั้งนักธรรมเอกก็ได้พร้อมกันที่นี่ เพราะมันสุกมาแล้วเปรียญ สอบตกๆ มันสุกมาพอมันยังจะเละ พอมาถึงที่นี่นักธรรมเอกก็ได้พร้อมกันเลย พรรษา ๗ จากนั้นก็เข้ากรุงเทพฯ ออกจากกรุงเทพฯก็เข้าป่าเลยละ นี่สมเด็จนี่ท่านเจ้าคุณอยู่ด้วยกันอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงด้วยกัน ท่านมาเป็นผู้ใหญ่ปกครองอยู่ที่นี่ โห ท่านเมตตามากทีเดียว ติดพันสมเด็จนี่ มาอยู่กุฏิเดียวกับท่าน ทีแรกอยู่กุฏิหนึ่งก่อน ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ ตอนนั้นมันหลงตะวันมันจำไม่ได้ ตอนนั้นมาอยู่กับท่าน ท่านให้อยู่กับท่าน คอยรับใช้ท่าน เป็นหัวหน้าคณะของท่านทั้งหมด เราเป็นคนดูแลคณะ

นี่กรรมฐานท่านไม่ได้ยากนะ (หลวงตาท่านยกขวดน้ำดื่ม ไม่ต้องหาแก้วใส่) สอนนายกฯด้วยนะนี่ นายกฯไปหาที่สวนแสงธรรม พอไปเขาก็เอาขวดมาให้นายกฯ แล้วเขาก็รีบไปหาแล้ว โอ๋ย ไม่จำเป็น เราว่าอย่างนั้นเลย เราจับปุ๊บของเราขึ้นมานี่ นี่ๆอย่างนี้ นายกฯก็ใส่ปุ๊บเลย (ยกขวดน้ำขึ้นดื่มทันทีโดยไม่ต้องใช้แก้ว) ไปเยี่ยมทีไรก็ใส่ปุ๊บเลย โอ้สอนง่ายอยู่นะ สมเป็นผู้ใหญ่โว้ย เรื่องธรรมไม่ยากนะ เรื่องธรรมไม่ได้ยากนะ โลกนี่ยากไม่มีสิ้นสุด ยากไม่หยุดไม่ถอย ยุ่งไม่หยุดไม่ถอย ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย หาเวลาว่างไม่ได้คือเรื่องของโลก เรื่องของธรรมมีเวลายุติได้ พอเป็นขั้นๆ เรื่องของธรรม

เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงต่างกันมากทีเดียว โลกนี้ไม่มีสิ้นสุดยุติ หมุนกันตลอด ไม่หมุนไปไหนละ เหมือนมดแดงไต่ขอบด้ง หมุนไปหมุนมา ของเก่าของใหม่ หากไม่หยุดหมุนตลอดเวลา ความยุ่งตั้งแต่เกิดมาเลยละ จนกระทั่งถึงวันตาย ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาดหมุนแบบเดียวกันหมด เพราะกงจักรใหญ่คือกิเลสมันครอบหัวใจให้หมุนตลอดเวลา สิ่งที่จะระงับเหล่านี้ให้สงบแล้วขาดสะบั้นลงไปได้ก็มีแต่ธรรม ธรรมก็เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีธรรมของผู้ใดศาสนาใด พูดให้ตรงไปตรงมา ตามศัพท์ตามแสงที่จะจี้เข้าหาจุดตัวมหาเหตุคือใจ ซึ่งมีทั้งกิเลสทั้งธรรมนี้ได้เหมือนกับพุทธศาสนา

พุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาที่แน่นอนแม่นยำ อันนี้พิสูจน์ทางภาคปฏิบัติ เพียงเราเรียนตามตำรับตำรา เรียนไปไหนๆ ก็ตาม ส่วนใหญ่เราเชื่อ อย่างว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มีอย่างนี้ พรหมโลก-นิพพานมี พวกเปรตผีประเภทต่างๆ มี ส่วนใหญ่เชื่อ แต่ส่วนที่มันจะไปแบ่งกินนั้นมีหรือไม่มีน้า นั่น มันแทรกเข้าไปส่วนย่อย บาปมีหรือไม่มีน้า บุญมีหรือไม่มีน้า นี่ส่วนย่อย บางคนปฏิเสธ ปัดเลย บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก-นิพพานไม่มี

สิ่งที่มีก็มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน เป็นทิฐิมานะอันเต็มไปด้วยกิเลส หมดทั้งตัว เวลาทำไปตามกำลังของมันที่มันพาให้หมุน เมื่อไม่เชื่อบุญจะทำบุญหาอะไร นั่น เมื่อว่าบาปไม่มีแล้ว กิเลสมันก็เป็นตัวปฏิเสธบาปว่าไม่ให้มี มันก็ให้ทำตามความชอบใจ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่บาปทั้งนั้น นี่ละที่นามว่ากิเลส คือตัวจอมปลอมที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส ที่แม่นยำที่สุดไม่มีอะไรเกินธรรม ธรรมนำมาประกาศคือศาสดาเอก เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว พระทัยเป็นธรรมล้วนๆ มาสอนโลกด้วยโลกวิทู รู้แจ้งโลกถนัดชัดเจนทุกแง่ทุกมุม อาโลโกอุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่ากลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน พระทัยของท่านผู้บริสุทธิ์คือพระพุทธเจ้า สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดจะไม่เห็น ไม่มี

นี่ละที่ท่านนำธรรมมาสอน บาปท่านรู้แล้วเห็นแล้วท่านจึงนำมาสอนว่าบาปมี พระพุทธเจ้าผ่านมาหมดแล้วจึงนำมาสอนโลก ด้วยสวากขาตธรรมคือตรัสไว้ชอบทั้งนั้น ไม่ผิด นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้ว จึงไม่มีแง่สงสัยว่าจะผิดไปที่ตรงไหน ไม่มี จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ดังที่เราทั้งหลายสวดอยู่ทุกวันนี้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว พูดย่อๆ ก็เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว

บาปก็ทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์พระทัย ไม่มีคำว่าหลอกลวงโลก แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะนำคำสอนมาหลอกลวงโลกนี้ไม่มี เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มี มีแต่ความจริงล้วนๆ ตลอดทั่วถึงหมด ว่าบาปมี พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นบาปอย่างถนัดชัดเจนในพระทัยเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาสั่งสอนสัตว์โลก คำว่าบาปนี้เป็นอย่างไรผลของมัน ก็คือทำความทุกข์ร้อนแก่สัตว์ที่ทำบาปนั้นแหละ ไม่ไปทำความทุกข์ร้อนแก่ผู้หนึ่งผู้ใดที่เขาไม่ได้ทำ เป็นความทุกข์ร้อนคือเป็นผลแห่งบาปที่ตนทำลงไปนั้นแล กลับมาเป็นข้าศึกศัตรูต่อตัวเอง

ว่าบุญมีก็ทรงทราบถนัดชัดเจนด้วยพระทัยแล้ว คุณค่าแห่งบุญเป็นอย่างไร ส่งเสริมสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ จากความกังวลวุ่นวายไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน นี่คือบุญ ส่งไปถึงขนาดนั้น ว่านรกมี นรกนี้มีมากี่กัปกี่กัลป์ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่ตรัสรู้ในโลกนี้ผู้ไม่เห็นนรกไม่มี คือนรกมีอยู่แล้วตั้งแต่กาลไหนๆ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ ก็ได้มาเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วนี้คือนรกหลุมต่างๆ สวรรค์-พรหมโลก-นิพพานก็พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์พระทัยเรียบร้อยแล้ว นำสิ่งที่มีนี้มาสั่งสอนโลก เพราะสิ่งที่มีนี้ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ฝ่ายนรก-สวรรค์-พรหมโลกเป็นธรรมชาติที่มีมาดั้งเดิมอยู่แล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ว่าพระองค์ใดมาตรัสรู้ทีหลังสิ่งที่มีอยู่แล้วนี้ทั้งนั้น

เพราะงั้นเวลาตรัสรู้ทรงรู้ทรงเห็นก็นำสิ่งเหล่านี้มาสอนโลกด้วยพระเมตตา สิ่งที่ไม่ดีท่านสอน เช่นว่า นรกคือสถานที่รับเคราะห์รับกรรมของสัตว์ผู้ทำชั่วช้าลามก ที่จะไปตกนรกได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อยตามกรรมของตนที่ทำ พระองค์ก็สอนไว้ อย่าพากันทำ การสอนไว้นี้ไม่ใช่พระองค์จะคอยรับบุญรับบาปกับสัตว์ทั้งหลาย แต่ทรงเมตตาสัตว์ทั้งหลายที่มืดบอด ไม่รู้ พระองค์ก็ทรงสั่งสอนไว้อย่าทำ ถ้าทำก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เป็นอื่น

ทำความดีก็เหมือนกัน ทั้งการทำความดีและการทำความชั่วไม่มีที่แจ้งที่ลับ เกิดอยู่กับตัวเองผู้ทำ ใครเป็นผู้ทำ ทำในที่มืดก็ตาม ที่แจ้งก็ตาม ผู้ทำคือเราคนเดียว นั้นละเป็นผู้จะได้รับผลจากกรรมดีกรรมชั่วของตน มืดแจ้งไม่ได้มารับผลดีผลชั่ว แต่เป็นผู้ทำดีทำชั่วเสียเองเป็นผู้ได้รับผล พระองค์ก็ทรงสั่งสอนไว้อย่างถนัดชัดเจน สมเป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีคำว่าหลอกลวงสัตว์โลก ไม่มีเลย คือหนึ่งไม่มีสองได้แก่พระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าหนึ่งไม่มีสอง แล้วพระญาณหยั่งทราบสิ่งใดแล้วเป็นแน่นอน ไม่มีสองเหมือนกัน

การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกสั่งสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ ไม่มีสองเช่นเดียวกัน ผิดกันกับกิเลสมันก็แนะนำสั่งสอนกระซิบกระซาบภายในหัวใจของสัตว์รายใดก็ตาม มันจะเอาความดีงามมาสั่งสอนสัตว์โลก ให้ได้ความสุขความเจริญเพราะกิเลสนี้ไม่มี มีแต่เรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นให้สัตว์โลกตายใจแล้วทำไปตามมัน แล้วก็รับเคราะห์รับกรรมจากการหลอกลวงของมันนั้นแล ทั่วหน้ากันในโลกอันนี้ ที่สัตว์ยังจมอยู่ในวัฏวน ต้องได้รับกรรมจากกิเลสหลอกลวงตัวเองเสมอ

ทางดีก็สอน ตั้งแต่พื้นๆมนุษย์เรานี้ไปจนกระทั่งถึงสวรรค์-พรหมโลก-นิพพาน ทรงรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลกว่านี่เป็นสถานที่ดี คนที่จะไปสู่สถานที่นี่ได้ต้องเป็นผู้สร้างคุณงามความดี แล้วไปตามนี้ทั้งนั้น ผู้ที่จะไปทางชั่วก็ต้องสร้างตั้งแต่บาปแต่กรรม แล้วก็ไปตามความทุกข์ร้อนตลอดไป จนกระทั่งถึงนรกอเวจี นี่คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้อย่างนี้เป็นความแน่นอนตายตัว ใครฝืนพระพุทธเจ้าก็เท่ากับทำลายตัวเองเป็นลำดับลำดาไป ใครยอมรับตามพระพุทธเจ้าก็เหมือนคนตาดีจูงคนตาบอด คนตาดีจูงไปไหนปลอดภัย เพราะอาศัยคนตาดี เราตาบอด

ไม่เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด จูงลงเหวลงบ่อ ลงขวากลงหนาม ลงอันตรายทั้งนั้น คนตาบอดจูงคนตาบอดก็คือคนที่เต็มไปด้วยกิเลส สอนโลกด้วยความมีกิเลสของตน จะเป็นศาสนาใดก็ตาม ซึ่งเป็นศาสนาที่เต็มไปด้วยกิเลสแล้วจะเอาแนวทางธรรมมาสอนด้วยความถูกต้องเหมือนพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้ว เป็นเจ้าของศาสนานี้ไม่มี ต้องสอนไปตามแนวทางความรู้ความเห็นของตน ความรู้ความเห็นอันนั้น ก็เป็นความรู้ความเห็นของกิเลส ก็ต้องสอนไปตามแนวทางของกิเลส ก็เป็นเหตุให้สัตว์ทำชั่วตลอดไป เพราะแนวทางนั้นเป็นแนวทางของกิเลส จากคำสอนของตนที่เป็นศาสดาของเขา แต่กิเลสเต็มอยู่ในหัวใจ จึงผิดจึงพลาดไปได้

ดีไม่ดีว่าฆ่าคนตายเรียบร้อยแล้ว ใครฆ่าคนตายได้เท่าไรยิ่งไปสวรรค์เร็ว บางศาสนาน่าทุเรศหรือไม่พิจารณาเอง ตั้งแต่สัตว์เขายังสงวนรักษาชีวิตของเขา เรื่องความตายไม่มีใครจะไปศึกษาเล่าเรียนจากโรงเรียนใดมา แต่กลัวตายด้วยกันทุกคนทุกสัตว์ เรายังว่าฆ่าสัตว์แล้วไปสวรรค์ ยิ่งฆ่ามนุษย์แล้วยิ่งไปสวรรค์ พระเจ้าพาไปสวรรค์เลย พระเจ้าองค์ไหนมันวิเศษวิโสกว่าพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ แล้วเราอยากตายไหม ถ้าเราอยากไปสวรรค์นี้นั่งอยู่ด้วยกันนี้ เอามาฆ่าไปสวรรค์เร็วๆนี้จะพากันไปไหม หลวงตาบัวสอนว่าท่านทั้งหลายอยู่ที่นี่ทั้งหมด ฆ่ากันให้ตายหมดนี้จะไปสวรรค์เร็วๆ จะมีใครยอมเชื่อไหม เพราะผู้สอนนี้ก็ไม่ได้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น

ความตายกลัวด้วยกันทุกคน สัตว์เขาก็กลัวตายทำไมจะสอนให้ไปฆ่าเขา แล้วไปสวรรค์-นิพพาน มันมีอย่างเหรอ นี่ละหลักของศาสนกิเลส ไม่ใช่ศาสนธรรม กิเลสเป็นเจ้าของ กิเลสเป็นผู้บ่งการ กิเลสเป็นผู้เสี้ยมสอน มันก็ไปตามแถวแนวของกิเลสที่จะพาให้สัตว์โลกให้ล่มจมนั้นเอง แนวทางของศาสดาองค์เอกนั้นพระองค์ทรงหลุดพ้นแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายประจักษ์พระทัย สั่งสอนโลกจึงไม่มีคำว่าผิดเพี้ยน ที่จะดึงลงไม่มี มีแต่ดึงขึ้นตลอดเวลา นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนโดยถูกต้อง

คำว่าศาสนาๆนั้นมีเต็มโลก แต่ศาสนาใดที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอนถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดก็คือพุทธศาสนานี้เท่านั้น ไม่ได้พูดเหยียดหยามทำลายผู้หนึ่งผู้ใด เอาหลักความจริงมาพูด เพราะเหล่านั้นที่เป็นเจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส คนมีอะไรก็ต้องเอานั้นมาสอนโลก มีกิเลสก็ต้องนำกิเลสออกมาสอน ผู้มีธรรมก็นำธรรมมาสอนดังพระพุทธเจ้า กิเลสไม่มีในพระทัย สอนโลกก็สอนด้วยอำนาจแห่งธรรมล้วนๆ จึงถูกต้องแม่นยำตลอดไป นี่มันต่างกันอย่างนี้คำว่าคำสอนๆ

เราอย่าเห็นแต่ว่าศาสนาๆ แล้วคว้ามับๆ นะ ต้องเลือกเฟ้น ท่านสอนไว้แล้วนี้ก็เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนโลกว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ให้พินิจพิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยทำ ในกิจการต่างๆจะไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าไม่ใช่ความพินิจพิจารณาผิดพลาดแทบทั้งนั้น หรือทั้งนั้นแหละ นี่คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่พระองค์พินิจพิจารณาละเอียดลออ บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วจึงนำมาสั่งสอนโลก จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่ผิด การที่เราปฏิบัติตามศาสดาองค์เอกจะผิดพลาดไปไหน ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไปจมลงนรกไม่เคยมี แต่ปฏิบัตินอกลู่นอกทางจากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าลงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีที่จะให้ไปเป็นทางชั่ว

ย่นเข้ามาหาจิตตภาวนา เรื่องจิตตภาวนานี่เป็นวิธีการที่ค้นคว้าหาต้นตออย่างแท้จริงของทั้งคุณและโทษ ซึ่งเกิดอยู่ภายในจิตใจอันเดียวกัน ท่านจึงเรียกว่าใจนี้คือมหาเหตุ เหตุอันใหญ่หลวงอยู่ที่ใจ เบื้องต้นยกกิเลสขึ้นก่อน เหตุอันใหญ่หลวงคือกิเลสเป็นผู้ครองหัวใจ เป็นผู้บ่งการให้ทำสิ่งต่างๆ ไปตามอำนาจของกิเลส เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงได้รับความผิดพลาดจากการกระทำตามกิเลสบ่งการนั้นมากต่อมาก มหาเหตุอันหนึ่งก็คือธรรม ธรรมบ่งการคือพระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนแล้วนำธรรมนั้นไปปฏิบัติตน นี่ก็เรียกมหาเหตุ ดำเนินไปตามแนวทางนี้แล้วเป็นความแคล้วคลาดปลอดภัยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหลุดพ้นได้

ที่จะวินิจฉัยให้ชัดเจนจริงๆ คือภาคปฏิบัติ อันนี้ชัดเจนมาก เป็นเครื่องยืนยันกับพระพุทธเจ้าได้เลย แม้จะปรินิพพานสักนานปีเท่าไรก็ตาม แต่คำสอนคือความสัตย์ความจริงที่ถูกต้องแม่นยำที่เรียกว่าสวากขาตธรรมนั้นวางไว้โดยถูกต้อง ไม่ได้คลาดเคลื่อนไปไหน แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานพระธรรมที่ทรงสอนด้วยความถูกต้องแล้ว ไม่ได้เคลื่อนคลาด จากหลักความจริงนี้ไปเลย เรานำมาปฏิบัติตามหลักความจริงย่อมมีความแคล้วคลาดปลอดภัยไปเรื่อยๆ ดังที่พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกอรหัตอรหันต์ได้บรรลุตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากเท่าไร คิดดูซิ

นี่ละก็ดำเนินตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้แล พระอรหันต์ที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราทั้งหลายจึงมีไม่น้อย มีมากต่อมาก ก็ดำเนินตามทาง นี้ละทางที่ถูกต้องแม่นยำ ใครดำเนินตามก็รู้ก็เห็น เฉพาะภาคปฏิบัตินี้ละเอียดลออมากทีเดียว เวลาได้เกิดความรู้ความเห็นขึ้นมาภายในใจนี้ จากภาคปฏิบัตินี้ไม่ได้เหมือนภาคปริยัตินะ ภาคปริยัติเราเรียนมา อย่างเขาว่าสอบได้ชั้นนั้นชั้นนี้ สอบได้ชั้นไหนๆ ก็ตั้งชื่อตั้งนามให้กัน ได้ชั้นนั้นชั้นนี้ แต่กิเลสไม่เคยถลอกปอกเปิกเลย ในเวลาเรียนอยู่ก็ตั้งใจปฏิบัติด้วยกิเลสก็ค่อยหลุดลอยไปเรื่อยๆ ถ้าตั้งใจจะเรียนอย่างเดียวเพื่อเอาชื่อเอานาม หรือเอาชื่อเอาเสียงเพียงเท่านั้น มันก็ไม่เหมือนอะไรกับเขาเรียนทางโลกกัน

เรียนทางโลกเขาเรียนไปอย่างไรก็จำไปได้ด้วยกัน เรียนทางธรรมเรียนมากน้อยเพียงไรก็จำไปได้ แต่ไม่สนใจปฏิบัติที่พอจะชำระกิเลสได้บ้าง กิเลสก็ไม่ถลอกปอกเปิก เรียนจบพระไตรปิฎกกิเลสก็ยังเต็มหัวใจอยู่นั้นแล ถ้าไม่ได้เป็นภาคปฏิบัตินะ ถ้าภาคปฏิบัตินำธรรมที่เรียนมานั้น ซึ่งเป็นแบบแปลนแผนผังแล้วมาปฏิบัติ แยกแยะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เริ่มจากจิตตภาวนาไปละ นี่ภาวนาเข้าไป ภาวนาเข้าไป ท่านสอนให้มีความสงบจิตใจด้วยวิธีการใด

อย่างเบื้องต้นที่เรากำลังปฏิบัตินี้เริ่มต้นฝึกหัด จิตใจมันว้าวุ่นขุ่นมัวตลอดเวลาทุกดวงใจนั้นแหละตามธรรมดา เพราะไม่มีน้ำดับไฟคือธรรมระงับดับมันให้สงบลงได้ มันก็ฟุ้งซ่านตลอดไป ก่อไฟเผาตนตลอดเวลา ทีนี้เมื่อเวลาเรานำธรรมเข้ามากำกับรักษาใจ ให้เป็นน้ำดับไฟ เช่น ท่านสอนในเบื้องต้นว่าให้ใช้คำบริกรรมภาวนา คำบริกรรมจะเป็นธรรมบทใดก็ได้ตามแต่ความถนัดใจของเรา เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ หรือมรณัสสติ หรือธรรมอื่นใดก็ได้ ถ้านอกจากนี้ไปแล้วตามจริตนิสัยชอบ แล้วนำธรรมนั้นที่ตนชอบนั้นแลเข้ามากำกับใจ

เช่น พุทโธๆ ให้คำว่าพุทโธติดกับสังขารความคิดปรุงภายในใจนั้น ซึ่งอยู่กับใจเราเอง แล้วมีสติกำกับรักษาไว้ให้ดี ให้มีตั้งแต่คำบริกรรมคือพุทโธกับสตินี่เท่านั้น ประหนึ่งว่าโลกอันนี้ไม่มีสิ่งใด มีแต่คำบริกรรมติดกับใจ นี่เรียกว่าน้ำดับไฟ ใจเมื่อเวลาได้ทำงานกับธรรม มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา เช่นพุทโธๆ กับสติเป็นต้นแล้ว ใจมันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนก็ไม่พ้นที่จะเป็นความสงบลงได้ เพราะน้ำดับไฟ ได้แก่การภาวนาด้วยความมีสติของเรา

เมื่อทำอยู่เรื่อยๆ ทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอย จิตใจที่เคยกำเริบเสิบสานอยู่ตลอดเวลา จะค่อยสงบตัวเข้ามา สงบตัวเข้ามา จนเป็นใจที่สงบ ความคิดความปรุงทั้งหลายระงับดับตัวลงไป เหลือตั้งแต่ความรู้ที่สง่างามภายในจิตใจ เพราะอำนาจแห่งน้ำดับไฟได้แก่คำบริกรรมโดยมีสติเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ใจก็สงบเย็น นี่ละทีนี้เห็นล่ะ ตั้งแต่เราเกิดมาเราก็ไม่เคยเห็นใจเป็นความสงบ ใจเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ เห็นตั้งแต่สิ่งภายนอก อะไรมาดีหมดๆ แปลกประหลาดอัศจรรย์หมด คว้ามับๆ เหมือนกันกับลิง จิตใจมันเร็วกว่าลิง อะไรก็คว้าๆ คว้าลงแล้วเป็นคว้าน้ำเหลวเสียทั้งนั้น ไม่ใช่ของจริง

ทีนี้พอเราคว้าพุทโธ เป็นต้นนะ เข้าสู่จิตใจ คว้าให้ติดกับใจจริงๆ มีสติคุ้มครองรักษา ใจจะค่อยสงบร่มเย็นลง สงบเย็นลง นี่เบื้องต้นแห่งการอบรมภาวนา เพื่อดับมหาเหตุ คือไฟเผาหัวใจเราทุกท่านทุกคนให้สงบตัวลงด้วยน้ำคือคำบริกรรมภาวนา มีสติคุ้มครองรักษาเสมอ แล้วใจจะสงบเย็น ทีนี้พอใจสงบเย็นแล้วเราจะสะดุดใจในตัวของเราเอง เออ ตั้งแต่วันเกิดมาเราก็ไม่เคยเห็นว่าใจนี้เป็นอย่างไร เห็นแต่ใจนี้วิ่งกับสิ่งต่างๆ เป็นบ๋อยกลางบ้านกลางเรือนก็วิ่งตามเขา ตัวเองไม่มีค่าไม่มีราคา สิ่งทั้งหลายที่ตนต้องการนั้นมีค่ามีราคามากกว่าก็วิ่งตามเขา ก็มีแต่คว้าน้ำเหลวๆ

แต่บัดนี้ใจได้ปรากฏเป็นความสงบเย็นขึ้นมา ใจเป็นของแปลกประหลาดได้รู้ได้เห็นเสียแล้ววันนี้ นั่นสะดุดเข้ามาหาใจตัวเองแล้วทีนี้ จะได้เห็นใจเป็นของสำคัญขึ้นมา ใจเมื่อได้รับการอบรมเรื่อยๆ ความสงบไม่มีเพียงเท่านั้น จะสงบแนบแน่นเข้าไป แนบแน่นเข้าไป ใจสงบมากเท่าไรยิ่งเป็นความละเอียดลออ เป็นความสุข สุขละเอียดลงไปจนปรากฏเป็นความอัศจรรย์ภายในใจของตน แล้วก็ได้ย้อนกลับมาเห็นหัวใจตนเองว่าเป็นของแปลกประหลาดและอัศจรรย์ แต่ก่อนเห็นแต่สิ่งอื่นใดว่าเป็นของดิบของดี คว้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ผลเลย

ทีนี้มาปรากฏจิตเป็นความสงบเย็นใจมีคุณค่าขึ้นมาแล้ว จิตใจย่อมปล่อยวางความว้าวุ่นขุ่นมัวกับสิ่งทั้งหลายภายนอกเข้ามาหาใจ ยิ่งเวลาเข้ามาหาใจมากใจก็ได้รับการบำรุงรักษาเรื่อยๆ ก็แสดงความสง่างามขึ้นมาๆเป็นขั้น เป็นขั้นทีเดียวทีนี้ ขั้นใดก็ตามเป็นขั้นที่มีรสมีชาติเหนือสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งนั้น ใจก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นมา สว่างไสวขึ้นมาเท่าไรก็ยิ่งเห็นความอัศจรรย์ของใจตัวเองเป็นลำดับลำดาไป นี่เพียงขั้นสงบเท่านี้เราก็พออยู่พอกินแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกที่เคยยึดเคยถือมาแต่ก่อนจนหนักอึ้งจนจะยกไม่ขึ้น มันก็เบาลงๆ เพราะใจนี้รู้ธรรมแล้ว ปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น เพราะไม่มีอันใดที่มีรสชาติหรือวิเศษวิโสยิ่งกว่าธรรมภายในใจ ใจยึดอันนี้หนาแน่นเข้าไป หนาแน่นเข้าไป สิ่งภายนอกค่อยปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยเองนะ เพราะรสชาติสู้จิตใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันนี้ไม่ได้ สงบเย็น เพียงเท่านี้เราก็เห็นความแปลกประหลาด เห็นความอัศจรรย์ของจิตขึ้นมาแล้วในตัวของเรา นับตั้งแต่วันเกิดมาพึ่งมาเจอระยะนี้ ทีนี้ก็ขยับเข้าไปเรื่อยๆ จิตใจย่อมมีความสง่างามขึ้น

จากนั้นปัญญาก็กระจายออกไป ปัญญานี้สำคัญมากนะ ละเอียดลออสุขุมมาก ลึกซึ้งมากก็คือปัญญา แก้กิเลสได้ทุกประเภท ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะเหนืออำนาจแห่งสติปัญญานี้ไปได้เลย แก้เข้าไป แก้เข้าไป จิตยิ่งสว่างกระจ่างแจ้ง ปล่อยออก สิ่งทั้งหลายปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา สุดท้ายแม้สกลกายของเราที่รักที่สงวนมากมายที่สุด ซึ่งไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะปล่อยวางกันได้ มันก็ปล่อยวางของมัน เพราะสิ่งเหล่านี้ก็หยาบเหมือนกันกับสิ่งทั้งหลายภายนอก อย่างร่างกายของเรานั้นแล มันก็ปล่อยเข้ามา

สุดท้ายความคิดความปรุงทั้งหลายที่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นของดิบของดี หลอกเจ้าของตลอดเวลา นี่ก็ปล่อยเข้ามา รู้เท่าทันเข้ามา ปล่อยเข้ามาหมด จนกระทั่งถึงจิต ถึงจิตก็มีตัวสำคัญอยู่ภายในจิต ถึงตัวนั้นแล้วปล่อยตัวนั้นขาดสะบั้นลงไป ท่านเรียกว่าอวิชชาจอมวัฏจักร พาสัตว์ให้หมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตายขาดสะบั้นลงไปจากใจ จิตดีดขึ้นเป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ เรียกว่านิพพานทั้งเป็นของผู้ที่มีชีวิตอยู่ เท่านั้นละทีนี้ โลกธาตุนี้กับใจดวงนี้เป็นคนละฝั่งละฝา ถ้าว่าโลกก็เป็นคนละโลก ไกลกันอย่างลิบลับทีเดียว แต่ท่านไม่ให้ชื่อว่านิพพานก็เป็นฝั่งอย่างอะไรละ พอเป็นเครื่องเทียบเคียงเท่านั้นเอง

นั้นแหละจิตเวลามันปล่อยแล้วปล่อยหมดนะ ไม่มีอะไรติด สุดท้ายจิตเองก็อันใดที่พาให้ติดอยู่นั้นมันก็ปล่อยหมด ตัวจิตเองจะปล่อยอะไร จะยึดอะไร พอตัวเรียบร้อยแล้ว นั่นคือจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วน พิสูจน์ได้ในตัวเอง กระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกๆ พระองค์ ว่าท่านตรัสรู้อย่างไร ธรรมนั้นคือธรรมอย่างไร มาปรากฏเป็นอันเดียวกันแล้วกับใจ คำว่าพระพุทธเจ้า-พระธรรม-พระสงฆ์ก็รวมเข้ามาเป็นอันเดียวกันแล้วอยู่ภายในใจดวงเดียวกัน เป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี้เรียกว่าปล่อยโดยสิ้นเชิง ในบรรดาสมมุติทั้งหลายไม่มีเหลือเลย แม้กิเลสจะเป็นส่วนละเอียดขนาดไหนมันก็เป็นสมมุติ ปล่อยวางโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกันหมด

นั่นละเรียกว่าจิตท่านผู้ปล่อยวาง ทั้งว่าง ทั้งวาง วางไปหมด ว่างไปหมด จิตนี้สว่างจ้าครอบโลกธาตุ เรามองเห็นกันรูปร่างกลางตัวเป็นหญิงเป็นชายนี้ ส่วนความว่างนี้ทะลุไปหมดแล้วนะ เราเห็นก็อย่างนี้เห็น แต่ธรรมชาติอันหนึ่งของจิตใจที่ว่างอยู่ในตัวโดยสมบูรณ์นั้นจะทะลุออกไปหมดเลย ว่างไปหมด นั่นจึงเรียกว่าว่าง นี่ละจิตว่าง ไม่มีสมมุติใดที่จะมากีดขวางจิตที่ว่างนั้นได้เลย จึงเรียกว่าจิตหมดสมมุติ ไม่มีอันใดที่จะไปขวาง สิ่งที่ไปขวางก็คือสมมุติทั้งมวลเข้าไปขวาง เช่นกิเลสอย่างละเอียดก็คือสิ่งกีดขวางอย่างละเอียด ขาดสะบั้นลงไปจากใจหมดแล้ว สว่างจ้าขึ้นมาเลย

นั่นละธรรมของพระพุทธเจ้าถ้าผู้ปฏิบัติตาม เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนานี้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานในผลของตนที่บำเพ็ญมาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่ง สนฺทิฏฺฐิโก วาระสุดท้ายประกาศกังวานขั้นสุดยอดแห่งธรรม ขาดจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านเรียกว่าตรัสรู้ธรรม หรือบรรลุธรรม ถึงแดนพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง จากคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง มีพระองค์เดียวเท่านี้ พุทธศาสนานี้เท่านั้น บอกให้ชัดเจน เราไม่ดูถูกเหยียดหยามผู้ใด แต่เราพูดตามหลักความจริง เพราะนี่สอนถูกต้องตามทางก็หลุดพ้นจากทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น

เราทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เลิศเลอ อย่าให้เป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่เฉยๆ นะ ให้นำกอบัวไปบูชาพระ สิ่งใดที่เกิดมีขึ้นมาให้แยกแยะ อันใดที่จะบำเพ็ญในทางการกุศลก็ให้เป็นไป สิ่งใดที่จะเอามาหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ปูวายของเรา เราก็นำมาหล่อเลี้ยง เช่นที่อยู่ที่อาศัย-ปัจจัย เครื่องอาศัยของธาตุขันธ์ เอาเราแบกมาไว้ ส่วนใดที่จะให้เป็นสมบัติอันล้นค่าของจิตใจ คือการบุญการกุศลเราก็ทำบุญให้ทานไป ผลบุญนั้นจะไหลเข้ามาสู่ใจของเรา กลับเป็นเรือนใจที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาโดยลำดับ จนกระทั่งเรือนใจสุดยอด ได้แก่นิพพาน นี่เรือนใจนี้ออกจากบุญที่เราขวนขวายหามาเพื่อเยียวยาธาตุขันธ์ ความเป็นอยู่ปูวายและเพื่อบำรุงรักษาจิตใจของเรา ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวให้ได้รับความสมบูรณ์พูนผลด้วยบุญด้วยกุศลแล้ว จะไปเป็นสุคโต อยู่ที่ไหนไปที่ใดผู้มีบุญเป็นสุคโต อยู่ดีกินดี ไปดี อยู่ที่ไหนดีทั้งนั้น บุญส่งเสริม

ให้พากันตั้งอกตั้งใจ อย่าปล่อยตัว อย่าเห็นสิ่งใดภายนอกยิ่งกว่าจิตใจ เวลานี้จิตใจกำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากตัวเองแต่ละคนๆอยู่ตลอดเวลา แต่ตัวเองหากไม่ได้คิด ว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่มี ขวนขวายหาตั้งแต่ภายนอกโดยถ่ายเดียว โดยลืมจิตใจที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือนั่นไปเสียโดยสิ้นเชิงก็มี ผู้สนใจในทางด้านจิตใจก็มี ส่วนมากมันจะวิ่งหาแต่สิ่งภายนอก ส่วนใจเหือดแห้งด้วยศีลด้วยธรรมด้วยคุณงามความดี เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของนี้มากต่อมากนะ เพราะเราวิ่งเต้นขวนขวายหาแต่สิ่งเยียวยามาเพื่อธาตุเพื่อขันธ์และเพื่อความทะเยอทะยานอยาก ได้เท่าไรก็ไม่พอ ได้เท่าไรก็ไม่พอ

ตายแล้วสิ่งที่เราหวังเรามุ่งหมายอยู่นั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไร เจ้าของตายแล้วเวลาไปเผาเห็นแต่คนหยอมแหยมๆ ไปเผา เผาก็โลเลโลกเลก ไม่รู้ว่าคนที่ตายแล้วนี้ไปเกิดที่ไหน ตายที่ไหน ไปเผากันเต็มเมรุ แล้วไปถามสักรายว่าคนนี้เขาตายเขาไปเกิดที่ไหน ไม่มีใครทราบนะ โลเลไปด้วยกันทั้งหมด สิ่งที่ไม่โลเลก็คือบุญกุศลของผู้สร้างไว้นั้นแล ผู้นี้แลเป็นผู้ฝากเป็นฝากตายได้อย่างแท้จริง ใครเขาไปส่งเพียงเมรุเท่านั้น เพียงป่าช้าเท่านั้น เขาไม่มีทางไปก็กลับบ้าน ส่วนบุญส่วนกุศลส่งถึงสวรรค์-นิพพาน นี่ที่เราสร้างเอาไว้

นี้ละเวลานี้จิตกำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเราทุกคนๆ ให้พากันสร้างให้สม่ำเสมอกัน ทางธาตุทางขันธ์ก็มีความจำเป็น มีกินอยู่ปูวาย อาศัยสิ่งนั้นสิ่งนี้จนกระทั่งชีวิตหาไม่ถึงจะหยุดจากการกังวลในการเลี้ยงดูธาตุขันธ์ของเรา ส่วนจิตใจนี้ก็เสาะแสวงหา หรือว่าเรียกร้องหาความช่วยเหลือเพื่อความสุขความเจริญ ความแน่นหนามั่นคงภายในจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เราก็ให้เสาะแสวงหา ทางร่างกายก็หามาเพื่อร่างกาย ทางจิตใจเราก็หามาเพื่อจิตใจ เช่นได้กินก็ได้ทาน อย่างนี้เป็นต้นนะ

คำว่าได้กินได้ทาน คือทำมาเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ก็มี เพื่อบุญเพื่อกุศลของเราให้แก่ใจของเราก็มี จึงเรียกว่าทั้งกินทั้งทาน กินก็คือธาตุขันธ์กิน ทานก็คือเพื่อให้จิตใจได้รับความเสวยจากความดีงามของเรา คำนี้เป็นคำที่แน่นอนมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ให้ท่านทั้งหลายยึดไว้เป็นหลัก อย่าเห็นแก่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของดิบของดี โดยเห็นจิตใจนี้เป็นมูตรเป็นคูถไปเสีย ไม่มีค่าไม่มีราคาอะไรเลย เวลาตายแล้วจิตใจที่ไม่มีใครเหลียวแลนั่นละจะพาเราไปจม ไม่มีผู้ใดพาไปจมนะ สมบัติเงินทองข้าวของมีล้นฟ้าล้นแผ่นดินก็ช่วยเราไม่ได้นะ สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือการบุญการกุศลที่เราทำบุญให้ทานมากน้อย ไม่สูญหายไปไหน ไม่ว่าทำที่ลับที่แจ้ง จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่ทำลงไปแล้วฝังอยู่ในจิตใจแล้ว เป็นกุศลที่เรียกว่าฝากเป็นฝากตายได้แล้วในจิตใจของเรา

เพราะงั้นจึงขอให้ทุกๆท่านได้แบ่งสันปันส่วนให้พอเหมาะพอดี ทางธาตุทางขันธ์ก็เป็นความจำเป็น ไม่ได้อยู่ได้กินได้หลับได้นอนไม่ได้ ต้องวิ่งเต้นขวนขวายมาเพื่อเขาตลอดไป จนกระทั่งวันสิ้นลมหายใจ เรื่องจิตนี้เวลาออกจากร่างนี้แล้ว แต่เวลาอยู่ในร่างนี้ก็เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ ถ้าเจ้าของไม่เหลียวแล บุญกุศลไม่มีก็ไปจมอีกแหละ จมของจิตนี้จมไม่ฉิบหายนะ ธาตุขันธ์ของเราตายลงไปก็เป็นดินน้ำลมไฟ ไม่ไปไหน ลงนรกก็ไม่ลง ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ขึ้น แต่จิตนี้ลงได้ทั้งนรก ไปได้ทั้งสวรรค์และนิพพาน จึงต้องให้เสาะแสวงหาความดีงามให้จิตไปสู่สถานที่ดี คติที่สมมักสมหมายเป็นลำดับไป เรียกว่าเป็นผู้สม่ำเสมอ อยู่โลกนี้ก็ไม่ขาดทุนสูญดอก ไปโลกหน้าสมบัติความดีงามก็มีเต็มหัวใจเราแล้วไม่สงสัย ใครจะมาส่งที่เมรุไม่มาไม่สำคัญ บุญส่งสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว นั่นเอาตรงนี้นะ

การส่งเป็นประเพณีของโลก เวลาใครตายก็ไปแสดงความปลงธรรมสังเวช เกี่ยวโยงกันตลอดเวลา อย่างชาติไทยของเรานี้ใครตายที่ไหนก็ต้องเป็นอย่างนั้นด้วยกัน นี้เป็นธรรมดาของโลกที่มีความจำเป็นอย่างนี้ ส่วนธรรมบุญกุศลที่จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ไปสู่สถานที่ดีคติที่เหมาะสมให้สร้างให้ดี ใครมาส่งไม่ส่งไม่สำคัญ อันนี้สำคัญมากนะ ขอให้พยายามทำอันนี้ให้ดี ทำจิตให้มีความผ่องใส สั่งสมคุณงามความดีเข้าสู่ใจ ใจจะมีความสงบร่มเย็นเป็นสุขนะ พากันจดจำเอาทุกคนๆ

เรื่องจิตตภาวนาเราพูดตะกี้นี้ก็พูดถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว ก็คือศาสดาองค์เอกของเราสอนแล้วไม่เป็นที่สงสัย คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นคำสอนที่แน่นอนมากทีเดียว เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาแล้วได้ปฏิบัติตาม อย่างนี้นับว่าเป็นบุญลาภของเรา อย่าปล่อยวาง ให้พากันอุตส่าห์พยายาม ทุกข์ยากลำบากมันทุกข์ด้วยกันนั้นละโลกอันนี้ แม้แต่สัตว์เขาก็เป็นทุกข์ ทำไมมนุษย์เราจะไม่เป็น เป็นเหมือนกัน แต่มนุษย์เรามีความเฉลียวฉลาด เป็นทุกข์ทางโลกก็มี เป็นทุกข์ขวนขวายหาบุญกุศลเพื่ออรรถเพื่อธรรมเข้าสู่หัวใจก็มี ทุกข์อันนี้เป็นทุกข์เพื่อจะเป็นสุขต่อไป ให้พากันจดจำให้ดีนะ

วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ)

เวลาพระอรหันต์ตายกับเราตายนี้ต่างกันราวฟ้ากับดินนะ พระอรหันต์ตายท่านไม่มีกังวลอะไรกับเรื่องความเป็นอยู่และตายไป มีน้ำหนักเท่ากัน ความเป็นอยู่กับความตายไปตามหลักธรรมชาติของใจท่านแล้วท่านมีน้ำหนักเท่ากัน ท่านไม่กังวลกับความเป็นอยู่และความตายไป เท่าที่ท่านมีความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าก็เวลามีชีวิตอยู่ท่านได้สงเคราะห์โลก ทำประโยชน์ให้โลกด้วยการแนะนำสั่งสอน ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นความดีแก่โลก มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แก่โลกเท่านั้น ท่านจึงยกให้ความเป็นอยู่มีน้ำหนักกว่าการตายไป ถ้าธรรมดาท่านแล้วมีเท่ากัน

ท่านไม่เคยหวั่นไหวกับเรื่องความเป็นความตาย เพราะท่านเรียนจบทุกอย่าง จิตท่านถอนออกจากสมมุตินี้ทั้งหมดแล้ว ร่างกายของเรานี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตท่านไม่เป็นสมมุติ ถึงจะใช้กิริยาใดก็ตาม ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาตินั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ๆตายตัว เรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตนี้เที่ยงต่อความบริสุทธิ์แล้ว จะเอียงไปอย่างไรไม่ได้สำหรับจิต แต่ส่วนกิริยาอากานี้มีได้เป็นได้ดังโลกสมมุติทั่วๆ ไป นี่ละพระอรหันต์ตายกับเราตายต่างกัน ต่างกันอย่างมาก

แล้วผู้มีศีลธรรมอบรมจิตใจตายไปกับผู้ไม่มีศีลธรรม นี้ต่างกันอีกเหมือนกันนะ ผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมทางด้านศีลด้านธรรม พอจามฟิกๆ โห เป็นอย่างไรวันนี้จามแล้วไปหาหมอ เอาตามหมอมา แน่ะมันเป็นบ้าแล้วนะนั่น มันเป็นโรคใจมากกว่าโรคเป็นหวัด มันเป็นทุกข์มากแล้วนั่น ถ้าจิตมีศีลมีธรรมแล้วท่านไม่ค่อยกังวล อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน จิตที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้นแหละไม่มี รักษาก็รักษาไปอย่างนั้นละ ได้ก็ได้ ไม่ได้สลัดทีเดียวไปเลย นั่นมันต่างกัน

นี่ละจิตดวงนี้ละ คือมันปล่อยโดยสิ้นเชิงแล้วตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ อาศัยกันไป เยียวยารักษากันไป รับผิดชอบกันไปเท่านั้นเอง ที่จะให้ท่านยึดท่านถือท่านไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง เป็นสัญชาตญาณแต่ความรับผิดชอบ นี่เป็นสัญชาตญาณ เป็นหลักธรรมชาติ เช่น อย่างเดินไปอย่างนี้นะ ลื่นอย่างนี้นะ พระอรหันต์ลื่นจะหกล้มกับปุถุชนลื่น ต้องช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยวเหมือนกันใช่ไหม ไม่ควรล้มไม่ยอมให้ล้ม นี่เป็นสัญชาตญาณ แต่ท่านไม่ยึด มีต่างกันเท่านั้น

พระอรหันต์นิพพานไม่ค่อยมีในประวัตินะ ไม่ค่อยมีมาก เพราะท่านไปอย่างสบาย ปรกติท่านอยู่ในป่าในเขา พอถึงกาลเวลาแล้วท่านสุกหัวเข้าไปที่ร่มไม้ร่มใด ถ้ำใด เงื้อมผาใด ดีดผึงไปเลย เงียบ เงียบไปเลย เพราะฉะนั้นประวัติของพระอรหันต์นิพพานจึงไม่ค่อยมีมาก มีนิดๆ หน่อยๆ แต่องค์ที่มีชื่อเสียงนะ เช่น พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ พระอานนท์ เป็นต้น มี เพราะชื่อเสียงท่านโด่งดัง นอกจากนั้นเงียบเลย ๆ เพราะท่านไปอย่างสบายของท่าน ในตำราไม่ค่อยมีจริงๆนะ คือเราต้องเอาตำราเป็นหลัก พระอรหันต์นิพพานไม่ค่อยมีนะ มีนิดหน่อย คือท่านนิพพานเงียบๆ ไปสบายๆ

พระอรหันต์นิพพานกับเราตายนี้มันต่างกันนะ พวกเราตายนี่มันเป็นอันธพาล เข้าใจไหม พวกเราจะตายแต่ละคนๆเป็นอันธพาล อาละวาด บางทีตกเตียงตกอะไรไปก็มี ไม่มีสติพวกอันธพาล พระพุทธเจ้านิพพานดีดผึง พระสาวกนิพพานดีดผึง แต่พวกอันธพาลตายมันไม่ดีดนะ ร้องเวิ้กว้ากๆ เป็นบ้าไปหมดพวกอันธพาล นี่พวกเราพวกอันธพาล ตกที่หลับที่นอน ตกเตียงไป ไม่มีสติ พวกอันธพาลจะตาย เข้าใจไหมล่ะ ฝึกให้ดีซิ เมื่อฝึกให้ดีแล้วมันจะแน่ตลอดเวลา

เมื่อพูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัสกับเรื่อง เราก็ไม่เคยพูดให้ใครฟังละ พูดกับวงหมู่เพื่อนธรรมดาฟังธรรมดา ที่จะมาพูดสาธารณะนี้เราก็ไม่เคยพูดละ มันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับเราพูดกับพระของเรานะ ถึงเวลามันจะไปนะ ชัดเจนมากทีเดียว มันเป็นหลักธรรมชาติ ถ่ายท้อง ปีนั้นย้อนกลับมาจำพรรษาที่หนองผือ เพราะเห็นบุญเห็นคุณของพี่น้องชาวหนองผือ เรานี้จะเรียกว่าเป็นกตัญญูก็ได้ นิสัยเราเป็นอย่างนั้น ที่จะเนรคุณไม่มี ใครทำบุญให้ทานมันหากฝังลึกๆ ของมันอยู่นั้นแหละ

นี้ก็หนองผือ พ่อแม่ครูอาจารย์ไปอยู่นั้นได้ ๕ ปี ๖ ปี พี่น้องทางหนองผือนั้นน่ะ หลังคาเรือนมี ๗๐ หลังคาเรือน แล้วพระเณรนี้หลั่งไหลเข้าไปเท่าไรเขาเลี้ยงได้หมดเลย ทั้งๆที่ไม่มีตลาดตเลที่จับจ่ายค้าขายกัน ไม่มี เขาอุตส่าห์หามาเลี้ยงตัวเอง พอเป็นพอไปตลอดเลย ทีนี้พอพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นล่วงไปนี้ องค์นั้นก็ไปองค์นี้ไป วัดหนองผือเลยจะเป็นวัดร้าง เราถึงได้พอจำได้ ผู้ที่ไปเล่าให้ฟังชื่อโยมผาน อยู่ทางวาริชภูมิ เราจะไปจำพรรษาที่อำเภอวาริชภูมิกับท่านเพ็งสององค์

ลงมาจากเขาก็ลงมาด้วยกัน เขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ลงมาด้วยกัน และเราก็จะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ พอดีโยมผาน นี่ละแกไปเยี่ยมที่หนองผือ ไปเห็นสภาพของวัด เหมือนบ้านร้าง โศกเศร้าเหงาหงอย เงียบไปหมดนะ แล้วพระก็มีหลวงตาอยู่สองสามองค์เท่านั้นเอง ไปเห็นแล้วสลดสังเวช แกว่าอย่างนั้นนะ แกไม่นึกว่าเราคิดอย่างไรเวลาแกพูดให้ฟัง เรานั่งนิ่งเลยนะ ไม่พูดนะ ไปเห็นสภาพโอ้ยน่าสงสารเหมือนบ้านร้าง วัดก็เหมือนวัดร้าง พระก็มีอยู่สองสามองค์เป็นหลวงพ่อหลวงตาแหละ

ที่น่าสงสารคือบรรดาประชาชน โศกเศร้าเหงาหงอยเหมือนบ้านร้าง โอ้โห เป็นบ้านที่มีบุญมีคุณต่อพระเจ้าพระสงฆ์ เวลาพระไปมากน้อยเพียงไร เขาเลี้ยงดูทั่วถึงหมดเลย เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่นั้นพระหลั่งไหลเข้าไป เลี้ยงดูได้หมดเลย ทีนี้เวลาท่านล่วงไปแล้ววัดก็จะเป็นวัดร้างไปอย่างไรละ พอเขาเล่าให้ฟังเราไม่ถามสักคำนะ มันถึงใจมากทีเดียว เราไปอยู่ถ้ำแล้วนะนั่น จะไปจำพรรษาที่ถ้ำอำเภอวาริชภูมิ ขึ้นไปแล้วกับท่านเพ็งสององค์

แกก็ได้ทราบเราไปที่นั่นแกก็ขึ้นไปหา แกเล่าให้ฟังแกก็กลับ เราไม่ตอบสักคำเดียว มันถึงใจมากทีเดียว เราไม่ตอบอะไรสักคำเลยมันถึงใจมาก พอตื่นเช้าวันหลังไปอยู่ได้สองสามคืน ไปอยู่ที่ถ้ำว่านี่นะ พออย่างวันนี้แกก็เล่าให้ฟังตอนบ่ายๆ พอตื่นเช้าฉันเสร็จแล้ว “เอาเพ็งเตรียมตัว จะพาไปจำพรรษาหนองผือ” “เหอ ไหนว่าจะมาจำพรรษาที่นี่” “ที่นี่ไม่สำคัญเท่าหนองผือ” ว่าอย่างนั้นเลย เตรียมลงมาเลย ไปถึงหนองผือเดินนะไม่มีรถนะ ถึงหนองผือวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ๑๕ ค่ำก็รวมเข้าพรรษา พอไปถึงนั้นเรื่องมันกระเทือนออกไป พระเณรหลั่งไหลเข้าไป ปีนั้น ๒๘ องค์ แต่ก่อนก็มีแต่หลวงตาสองสามองค์ พอเราไปนั้นเต็มไปหมดเลย เราจึงไปอยู่ที่นั่น

ทีนี้กลับมาเข้าจุดได้ไอ้นั่นใจ มันก็ชัดอยู่แล้ว แต่ก็เรียกว่ามันตีตราเป็นพยานขึ้นอีกทีหนึ่ง ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ วันนั้นมันมาดล ปากเรานี่สำคัญนะ มันกระเทือนใจมองเห็นผางเข้านี่ เขาไปขายยาจำหน่ายยาที่นั่น พอเราปัดกวาดาแล้วเราเดินไปหน้าศาลา เขาพักอยู่ที่ศาลา เราก็เห็นเขาสี่ห้าหนเขาจำหน่ายยา เขาก็บอกเขาอยู่โรงพยาบาลนครพนม บอกว่าห้อง ๘ นู่นน่ะมันจำได้ขนาดนั้นนะ พอเราขึ้นไปนั่งปั๊บเขาก็เปิดกระเป๋าขึ้นมา

พอเปิดกระเป๋าขึ้นมายาขวดหนึ่งมันสะเทือนใจอย่างแรงเลย “โธ่ ไม่ได้นะยาขวดนั้นใครกินตายนะนั่นน่ะ” เขาจนหน้าซีดหมดเลย ก็พูดอย่างไม่มีมารยาทนี่ มันกระเทือนแรง ผางเข้ามานี่ก็ออกเลยทันที ยาขวดนี้ใครกินไม่ได้นะตายนะนั่น เราว่าอย่างนั้น พอจากนั้นมาก็เลยพลิกใหม่ เขาหน้าซีดหมดแล้วละพวกนั้นพวกเขามาจำหน่ายยา แล้วมันเป็นยาอะไรล่ะยาขวดนี้ เขาว่ายาถ่าย เขาว่าอย่างนั้น ไม่เป็นอะไรละครับ พวกผมมียาระงับ พอฉันขนาดไหนแล้วเอายาระงับมาแก้มัน มันก็หาย

ทีนี้มากล่อมคนเก่งแล้วนะ คนปากเปราะ เขาก็เอามาตักช้อนหนึ่ง ปาดอย่างนี้ละช้อนหนึ่ง ให้ฉันองค์ละช้อนๆ พระก็ถ่าย องค์ละหกเจ็ดครั้งก็หยุด พอเขาเอายาระงับให้หยุด เราก็นี้เท่ากันกับเขา ฟาดเสียนี่ ๒๕ ครั้งถึงตอนเช้านะ ไม่หยุด ยาห้ามไม่หยุด ไม่มีเลย มันดัดคนปากเปราะสักหน่อย ทีนี้ก็ถึงวาระละทีนี้นะ พอถ่าย ๒๕ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้งนะ นั่นน่ะฝาส้วม เวลามันออกมันไม่ใช่ธรรมดานะ มันพุ่งนี้เศษอาหารติดฝานู่นน่ะ มันรุนแรง อาเจียนพุ่งติดฝาๆ

พออาเจียนสองหนเต็มเหนี่ยวแล้วทีนี้อ่อนลงเลย ทางนี้หดเข้ามาปุ๊บเลย ความรู้ทางข้างบนนี้หดเข้ามา ข้างล่างหดเข้ามาอย่างรวดเร็วนะ มันหดเข้ามามาอยู่ตรงกลาง ความรู้อยู่เท่านั้น จากนั้นก็ดับ ทุกขเวทนาที่เป็นแสนสาหัสดับโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ คือมันปล่อยหมดร่างกายของมัน ความรับผิดชอบในร่างกายมันก็ปล่อยไปอีกแล้ว จนเข้าไปถึงนี้ปั๊บแล้วอยู่นี้เลย ก็ทราบชัดแล้วนี่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์แล้วนี่ พอเปอร์เซ็นต์ที่ร้อยก็ดีดทีเดียวก็ออกเลย ก็เลยมีวิตกขึ้นมาว่านี่จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ มันไม่ได้เผลอนะ เป็นหลักธรรมชาติต่อธรรมชาติเจอกัน ว่าอย่างนั้นเถอะ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป

ทีนี้จิตนี่เป็นสมมุติอันหนึ่งนะจ่อเข้าไปตรงนั้นปั๊บ แทนที่จะช่วยให้ไปกลับไม่ไปนะ มันไปหนุนอะไร ความรู้อันนี้ฟื้นมาอีกนะ ขยายออกไป ลงข้างล่างก็ลง ข้างบนนี้ออกขึ้นไปข้างบนทุกสัดทุกส่วน ทุกขเวทนาก็เริ่มมีขึ้นมา ตอนนั้นดับหมดนะ เพราะฉะนั้นคนเราถ้ามีสติอยู่แล้วเวลามันจะตายนี้ทุกขเวทนาต้องดับหมด ไม่มีอะไรเหลือ หมดโดยสิ้นเชิง พอร่างกายหมดความหมายทุกขเวทนาซึ่งเกี่ยวกับกายก็หมดไปตามๆ กัน หมดโดยสิ้นเชิง ก็ยังเหลือแต่ความรู้ เราบังคับไว้ยังไม่ให้ออก

นี่จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอาไปก็ไป สมมุติอันหนึ่งคือสติจับเข้าไปตรงนั้น แทนที่มันจะไปไม่ไปนะ มันเลยซ่านกลับออกมา เหอ ไม่ไปเหรอ ไม่ไปก็อยู่ซี ก็ว่าอย่างนั้นแหละ มันชัดขนาดนั้น นี่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์หมดแล้วนะ ถอนออกหมด ร่างกายเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน หูหนวกตาบอดหมด เลยบอดเลยหนวกเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน เหลือแต่ความรู้ ที่ว่ารู้นั่นก็พูดไม่ถูกนะ จะว่าจุดไม่มี มีแต่รู้เท่านั้น พอสติซึ่งเป็นสมมุติอันหนึ่งจับเข้าไปปั๊บเท่านั้น เอาจะไปก็ไป แทนที่จะไปมันเลยไปหนุนอันนั้นขึ้นให้ฟื้นขึ้นมา เราก็กลับตามเดิม ทุกขเวทนาก็มีมาตามเดิม

นี่ละพูดให้ชัดเจน แล้วเป็นอย่างไรจิตไหวไหม ไม่มีเลย เพราะร่างกายตายก็เป็นร่างกาย จิตก็เป็นจิตอยู่แล้วจะเป็นอะไรอีก จะไปหาอะไรมาเพิ่ม มาเอาออกอีก มันพอตัวของมันโดยหลักธรรมชาติ ทุกขเวทนาจึงเกิดขึ้นเต็มที่ทีเดียว เกิดขึ้นมาก็เกิดขึ้นมาในร่างกาย มันไม่ได้เข้าหาจิตนี่นะ จิตเป็นจิตอยู่จะเป็นอะไร พูดให้มันเต็มยศก็ร่างกายเป็นสมมุติ จิตเป็นจิตตวิมุตติ มันเข้ากันได้อย่างไร นั่นพูดให้มันชัดเจนอย่างนั้นแหละ แต่พูดเล่าตามเรื่อง แถวแนวที่มันจะไปมันไปอย่างนั้น ถึงขั้นมันจะไปแล้วทุกขเวทนาต้องดับหมด ในร่างกายนี้ดับหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ที่จะดีดเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ดีดออกเลย นี่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ พอสติกลับเข้ามันก็ซ่านออกมาอีก ก็เลยยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นอย่างนั้นละ แล้วถามอะไรอีกจี้เข้ามา (ที่ซ่านขึ้นมาใหม่นี้ก็คือพลังจิตจากสัญญาเวทยิตนิโรธใช่ไหมคะ) มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเข้าใจไหม อย่างว่าสตินี้ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งที่เข้าไปหาธรรมชาตินั้น เข้าไปหากันก็ไปช่วยกัน ช่วยในสมมุติด้วยกันนั่นแหละ มันก็เลยฟื้นขึ้นมา

ที่ว่าจะมีวิตกวิจารณ์ความเป็นตายอะไรไม่มีเลย มีแต่ถาม เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ แน่ะ เอาไปก็ไป แน่ะ ก็ธรรมดานะ แต่พออันนี้เข้าไปมันไปช่วยสมมุติด้วยกัน มันก็ฟื้นขึ้นมา อันนั้นที่อยู่ในนั้นมันก็อยู่ด้วยกันมา ก็เลยไม่ตาย เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ นี่เวลาฝึกให้มันเต็มที่แล้วมันเป็นอย่างนั้น มันไม่มีกังวลกับอะไรนะ หมดโดยสิ้นเชิง ที่จะวิตกวิจารณ์เรื่องเป็นเรื่องตาย เรื่องกล้าเรื่องกลัวไม่มี เป็นหลักธรรมชาติโดยสมบูรณ์ตลอดไปเลย ถึงอันนี้จะหมดความหมายทุกอย่างก็มีแต่ถามกัน เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เท่านั้นละนะ เอาไปก็ไป แน่ะอย่างว่าอีกนะ ทีนี้เมื่อมันไม่ไป หือไม่ไปเหรอ ไม่ไปก็อยู่ซี แน่ะมันก็ธรรมดาเหมือนกัน

นี่ละจิตหลักธรรมชาติสุดขีดของมันละนี่ เพราะฉะนั้นจึงได้พูดชัดเจนว่า คนเรานี่ถ้ามีสติอยู่แล้วเวลาจะตายจริงทุกขเวทนาต้องดับหมดในร่างกาย ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่นี่มันมีไม่ถึงขนาดนั้น สติสตังมันไม่มี ตกที่หลับที่นอนตกเตียงตกอะไรไป ไม่มีสติ อันนี้มันมีโดยหลักธรรมชาตินะ ไม่มีคำว่าตั้งสติก็ไม่เห็นตั้ง มันเป็นหลักธรรมชาติด้วยกัน ไม่วิตกวิจารณ์เลย (หลวงตาค่ะ แล้วยังคนที่สลบไม่รู้สึกตัวนานๆ เวลาตายเขาสงบไปเรื่อยๆ) มันก็แล้วแต่บุญแต่กรรมยังมีอยู่นั้น จิตอันนี้ไม่ได้มีบุญมีกรรมเข้าใจไหม อันนี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตที่ว่านี้ไม่มีบุญมีกรรม หมด ผ่านไปหมดแล้ว มีรอแต่เรื่องของขันธ์รับผิดชอบกัน ปล่อยเมื่อไรมันก็ไปของมันเท่านั้นเอง เรื่องบุญเรื่องกรรมไม่มี ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียแล้ว ก็คือผู้พ้นแล้ว บุญบาปเป็นสมมุติหนุนขึ้นถึงที่แล้ว ก็เหมือนเราขึ้นบันได ถึงที่แล้วบันไดก็เป็นบันไดไปเสีย

นี่เราพูดถึงแดนที่มันพ้นสมมุติโดยประการทั้งปวงเป็นอย่างนั้น เป็นโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีต้องจะบังคับบัญชา คือเป็นหลักธรรมชาติตายตัวแล้ว อะไรจะเป็นอย่างไรนี้ก็ดูกันอยู่เฉยๆ รู้กันอยู่เฉยๆธรรมดา จะเป็นอารมณ์ห่วงใยอะไรแม้เม็ดหินเม็ดทรายมันก็ไม่มี เป็นหลักธรรมชาติอีกเหมือนกัน มีแต่คอยดูว่า เหอ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ นั่น เวลานั้นมันดับหมดแล้วทุกอย่างหมดแล้ว ร่างกายมันก็หมด เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนแล้ว ทุกขเวทนาหมดไปแล้ว คือทุกขเวทนามันอยู่กับร่างกายใช่ไหม เมื่อร่างกายมันหมดความหมายแล้ว ทุกขเวทนาก็หมดไปตามๆกัน นั่นละจุดของมัน ดีดคราวนี้ก็ไปเลย จะให้มันวิตกวิจารณ์มันก็ไม่เห็นมี ไม่มี ไม่ต้องบังคับเป็นหลักธรรมชาติ

นี่ละจิตที่ฝึกให้มันเต็มที่แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น จะให้ว่าอย่างไร ประจักษ์อยู่ในหัวใจ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดก็คือว่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจนี้เป็นสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด ขาดสะบั้นลงไป รู้แล้วนั่น เท่านั้น ไม่จำเป็นอะไรจะต้องมาซ้ำๆซากๆกันอีก หนเดียวพอ ทีนี้เวลามันเป็นอย่างนี้มันก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะให้ดิ้นไปไหนอีก มันก็เท่านั้นเอง เรื่องฝึกจิตฝึกเป็นอย่างนั้น

รอยของจิตนี่มัน แหม ไม่ใช่เล่นๆ นะ ร่องรอยของจิต คือมันจะไปเกิดในภพใดชาติใดนี้มันมีร่องรอยของมันไป เวลามันรู้นี่มันกระจายของมัน มันรู้ของมันเอง มันเคยเป็นมาอย่างไรๆ มันมีร่องรอย เหมือนเรามาจากอุดรมานี้มันก็มาตามร่องรอยของมัน ใช่ไหมล่ะ มันมีร่องรอย จิตนี้ออกจากนี้ไปภพไหนๆ มันก็เป็นร่องรอยของมันไปเรื่อยๆ อย่างนั้น แต่เราไม่มีความรู้นี้มันก็ไม่ทราบว่ามาอย่างไรต่ออย่างไร เกิดแล้วตายไปแล้วไปเกิดที่ไหนอีกมันก็ไม่รู้ เพราะมันจำไม่ได้นี่ซี

ตามหลักความเป็นจริงแล้วมันมีร่องรอยมาโดยลำดับ ร่องรอยไปสัมผัสสัมพันธ์อะไรกับใครต่อใครอะไรนี้มันรู้ นอกจากไม่พูดเฉยๆนะ มันรู้ รู้อยู่ลึกๆ เคยเกี่ยวข้องเคยเป็นญาติเป็นวงศ์เป็นอะไรๆกันอย่างนี้ มันพับมองปั๊บๆมันรู้ทันที รู้แล้วๆ อย่างนั้น แต่รู้แล้วก็เหมือนไม่รู้นะ เพราะมันไม่เป็นอารมณ์ เข้าใจหรือเปล่า ไม่ไปยึดไปเหนี่ยวไปเกาะอะไร มันรู้ตามสายทางของมันมาที่เคยเป็นอย่างไรมันก็รู้ของมันเฉยๆ นอกจากจะฟื้นขึ้นมาพูดเท่านั้น ถ้าไม่ฟื้นก็เป็นธรรมดาเหมือนไม่รู้เรื่อยไป

ที่พูดเหล่านี้ออกหมดแล้วนะนี่ ออกทางวิทยุ ให้โลกได้เห็นเสียบ้าง ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรให้โลกได้เห็น วันนี้เรากระจายออกแล้ว หลักความจริงล้วนๆ ไม่สะทกสะท้าน เป็นความจริง วันนี้พูดถึงความละเอียดลออของจิต พูดสุดขีดของจิตเลย วันนี้พูดสุดขีดเลยละวันนี้ ให้พรนะ

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก