ศาสนากับโลกแยกกันไม่ออก
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ศาสนากับโลกแยกกันไม่ออก

โรงพยาบาลศูนย์อุดรวัดนี้ช่วยมากที่สุดนะ รถดูเหมือนให้ไปแล้ว ๔ คัน เครื่องมือมีแต่เครื่องมือสำคัญๆ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ อุลตราซาวด์ก็ ๒ เครื่องใหญ่เครื่องละ ๓ ล้าน ให้ๆ แล้วเครื่องมือผ่าตัดสมอง ผ่าตัดที่สำคัญๆ ให้ทั้งนั้น เฉพาะตานี้เรียกว่าสมบูรณ์เลย เครื่องมือตาให้ครบสมบูรณ์เลย แล้วเปิดทางให้ด้วยสำหรับตาให้สมบูรณ์ และเครื่องมืออะไรที่เกี่ยวกับตา หากว่าสิ่งที่ควรต้องการสำหรับตาแล้วให้สั่งมาเลย เราว่างั้น เมื่อของตกมารับรองคุณภาพเรียบร้อยแล้วให้ส่งบิลมา ส่งบิลมาเราก็จ่ายๆ เงิน

เพราะฉะนั้นทางตาเราจึงสมบูรณ์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์ เครื่องมือตานี้สมบูรณ์เต็มที่เลย ไม่แพ้กรุงเทพว่างั้นเถอะ ครบเลยๆ มิหนำซ้ำยังเป็นเครื่องมือใหม่เอี่ยมๆ ด้วย โรงพยาบาลศรีนครินทร์ยังต้องมาอาศัยนี้สำหรับตานะ ศรีนครินทร์ยังต้องมาอาศัยอุดร เพราะเราเห็นคุณค่าของตามากทีเดียว ตานี้สำคัญมากทีเดียว ใช้หู จมูก ลิ้น อะไรๆ นี้มาลงอยู่ที่ตานะ ตื่นขึ้นมาพับมองเห็นแล้ว ไปเที่ยวที่ไหนๆ ต้องเอาตาเป็นสำคัญ ไปเที่ยวที่ไหนๆ ก็ตามเอาตาเป็นสำคัญทีเดียว

เช่นอย่างเราไปที่ไหนเที่ยวที่ไหน อยากดูอยากรู้อะไร ตาเป็นที่หนึ่งละ เที่ยวดูไป หูจะหนวกบ้างไม่เป็นไร ขอให้ตายังดี ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวหมดความหมาย มันมืดตลอด มีสมบัติเงินทองกองเท่าภูเขาก็ไม่มีความหมาย สำหรับคนตาบอดเป็นอย่างนั้น เป็นเจ้าของสมบัติ ให้ขึ้นไปนั่งบนกองเงินกองทองก็ไม่มีความหมายอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นตาจึงเป็นของสำคัญ เราคิดในแง่นี้แล้วจึงต้องขวนขวายหาเครื่องมือตาให้ได้ครบ

นี้คิดแล้วยังพูดไว้อีกด้วยว่า ถ้าหากว่าพอเป็นไปได้ ความคิดเราคิดไว้เรียบร้อยแล้วนะ เป็นแต่เพียงว่าสมบัติเงินทองไม่อำนวยเท่านั้น จะไปเที่ยวตามจุด จุดไหนที่สำคัญแล้วก็ไปช่วยตามจุด จุดนั้นก็จะให้สมบูรณ์แบบเดียวกันนี้ คือช่วยทางตาโดยเฉพาะ เพราะตานี่สำคัญมาก นี่ก็เลยติดต่อกับผู้ว่าฯชัยพร เกี่ยวกับทางเครื่องมือแพทย์สำหรับตา ว่าจะลงจุดไหนควรอย่างไร เช่นอย่างทางภาคอีสานไปทางตะวันออกไม่มี จำเป็นมาก คิดว่าจะตั้งที่นั่นสักแห่งหนึ่ง แล้วแยกไปภาคไหนๆ พยายามตามภาคต่างๆ ในเมืองไทยของเรา ให้ได้ทุกภาคๆ แล้วดี ตาสำคัญมาก

การเงินการทองนี่สำคัญไม่ทันนะเรา เราช่วยโลกช่วยมากจริงๆ เรียกได้เต็มปากว่า สมบัติเงินทองในวัดนี้เพื่อโลกทั้งนั้นว่างั้นเลย ไม่ได้เพื่อเรา ได้มาเท่าไรๆ ก็ช่วยตลอดๆ เพื่อโลก สำหรับวัดเราก็ไม่เห็นมีอะไรบกพร่องขาดเขิน ทางอื่นซิขาดเขินมากจึงต้องไปช่วย หากว่าพอเป็นไปได้แล้วก็เอาจุดใดจุดหนึ่งเรื่องเครื่องมือตา ให้ได้อย่างอุดร อุดรนี้พูดเต็มปากได้แล้วว่า เครื่องมือตานี่สมบูรณ์เต็มที่เลย สุดท้ายนี้เขาขอมา ๗ ล้านกว่า ก็ให้ไปหมดแล้ว ของตกมาแล้ว ทางเวียงจันทน์ก็น่าจะตกมาหมดแล้ว

คือมันจ่ายมากต่อมากเราจึงจำไม่ได้นะ อะไรตกมาๆ จำไม่ได้ เพราะจ่ายมากต่อมากรอบด้านเลย โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่ช่วยชาตินะ แล้วโรงเรียนก็อันดับต่อมา ที่ราชการต่างๆ ก็พอๆ กันกับเหล่านี้ ที่ราชการต่างๆ ช่วยไม่ใช่น้อยๆ  คำว่าที่ราชการมันแตกกระจายไปหลายแง่หลายแขนงเหมือนกัน อย่างเรือนจำอุดร หนองบัวลำภู สว่างแดนดิน อำเภอพล ที่ไหนบ้างที่ช่วย ที่ว่าเหล่านี้ไม่ช่วยน้อยๆ นะ เป็นล้านๆ ขึ้นไปทั้งนั้น เราก็จำไม่ได้ อุดรเป็นอันดับหนึ่งสำหรับเรือนจำ ช่วยหลายด้านหลายทาง สร้างตึกให้แล้วก็ยังที่หลับที่นอน ห้องน้ำห้องส้วม อันนี้ก็หลายล้าน อย่างนั้นละอุดรเป็นที่หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเรือนจำ ช่วยมาก

เราได้พยายามที่สุดแล้วที่ช่วยโลกช่วยสงสาร พูดถึงเรื่องสมบัติเงินทอง ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวตลอดมา มีก็มีเพื่อจะช่วยๆ อย่างนั้นแหละ ช่วยทุกแง่ทุกมุมที่จะช่วยได้ อันนี้มีความเมตตาครอบตลอดนะ ความเมตตามันเป็นเองอยู่กับจิตดวงนั้นแหละ ความเมตตากับจิตนั้นเหมือนหนึ่งว่าเป็นอันเดียวกัน อ่อนนิ่มไปเลย ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว ได้มาเกี่ยวกับโลก ช่วยโลกมานานแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง ๖-๗ ปีนี้ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นกิริยาอาการแสดงออกของหลวงตาบัว มีทุกแบบทุกฉบับ เหล่านี้มีเมตตาครอบทั้งนั้นนะ ไม่ได้มีพิษมีภัยเลย

บางทีดุด่าว่ากล่าวเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดอย่างนี้เขาว่าหยาบโลนหยาบเลน มีแต่แง่ของธรรมออกต่างๆ กัน แล้วเมตตาครอบๆ ที่จะมีจิตใจเคียดแค้นให้ใครเรียกว่าไม่มีเลย หัวใจไม่มีกิเลสเสียอย่างเดียว ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นกิเลส มันจะมาจากไหนเมื่อหัวใจไม่มี นั่น ทีนี้ก็มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ช่วยโลก เราช่วยจริงๆ  อย่างที่เกี่ยวกับบ้านเมืองทุกวันนี้ ไม่พ้นแหละที่จะมาเกี่ยวข้องกับเราบ้านเมืองทุกวันนี้ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้

ทำไมเราถึงได้เกี่ยว ก็ความสกปรกกับความสะอาดเป็นคู่เคียงกัน กิเลสเป็นความสกปรก ไม่มีอะไรเกินกิเลส ธรรมเป็นธรรมชาติที่สะอาด ไม่มีอะไรสะอาดเหนือธรรม นั่นมันก็เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้จะแยกกันออกได้ยังไง พอเห็นสกปรกก็ชะล้างกันไปๆ ผิดถูกชั่วดีเป็นยังไงในโลกนี้ ธรรมก็วินิจฉัยใคร่ครวญชี้แจงแสดงบอกเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น มันก็มีอย่างนั้น การชี้แจงแสดงบอกต่างๆ ก็คือเอาน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งที่ผิดพลาดเป็นความสกปรก มันก็เกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้นศาสนากับโลกจึงแยกกันไม่ออก ถ้าโลกยังหวังสารคุณแก่ตนอยู่แล้ว ธรรมะนี้จะแยกไม่ออกเลย นอกจากคนหมดคุณค่าหมดราคาเสีย เป็นปทปรมะ เหมือนคนไข้ที่เข้าไปห้องไอซียู หมอจะวิเศษขนาดไหน ยาจะเลิศเลอขนาดไหน ก็ไม่มีความหมาย เพราะคนหมดความหมายแล้วอยู่ในห้องไอซียู อันนี้ธรรมจะเลิศเลอขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะคนๆ นั้นหมดความหมายโดยสิ้นเชิงแล้ว เรียกว่าไม่ยอมรับธรรมเลย รอตั้งแต่ลมหายใจจะขาดถ้าเป็นคนไข้ คนเป็นอยู่นี้ก็รอตั้งแต่จะลงตูมเท่านั้น

เรื่องนรกอเวจีเราพูดจริงๆ คอขาดเรายอมรับเลย ว่านรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีหรือไม่มีนี้ หมอบราบเลยเทียว ยอมรับตามพระพุทธเจ้าทุกแง่ทุกแขนง รวมลงแล้วจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าจะแง่ใดมุมใด พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสผิดพลาดไปเลย และหลอกลวงโลกไม่มี จึงว่าน้ำสะอาดสุดยอด กิเลสมีแต่เรื่องสกปรก มากน้อยเป็นเรื่องสกปรกทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว จึงต้องได้ชะได้ล้างตลอดเวลา หัวใจเรากับร่างกายเรานี้มันสกปรกตลอด

ร่างกายก็ต้องได้ชะล้างอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ คนไปอยู่ที่ไหนจะขัดจะถูให้สะอาดสะอ้านขนาดไหน ถ้าลงได้คนเข้าไปนั่งไปนอนอยู่ในนั้นแล้วต้องชะต้องล้าง เพราะคนมันตัวสกปรก อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์เราสกปรก ต้องชะต้องล้างต้องเช็ดต้องถู ต้องขัดต้องเกลาต้องทำความสะอาดตลอดเวลา บ้านเรือนทำสะอาดเพื่ออะไร ก็เพื่อของสกปรกในร่างกายของเรา มันไปที่ไหนกลิ้งไปไหนมันเหมือนมูตรเหมือนคูถในตัวของเรานี้ทุกคนๆ ต้องได้ชำระล้างๆ ตลอด

ทีนี้จิตเวลามันแสดงออกก็เหมือนกัน จิตก็สกปรกเต็มเหนี่ยวของมัน ความสกปรกของจิตเป็นพิษร้ายแรงมาก ไม่ได้เหมือนความสกปรกของร่างกายซึ่งมีด้วยกันทั้งท่านทั้งเรา แม้พระอรหันต์ก็มี ร่างกายอันนี้ท่านยอมรับ ต้องชะต้องล้างเหมือนกันกับโลก ผิดกันแต่จิตของท่านบริสุทธิ์แล้วกับใจของเราที่สกปรก ต่างกันตรงนี้ ใจของท่านไม่ต้องขัดต้องเกลาอะไรอีกแล้ว พอบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นหมดเรื่องมลทินทั้งหลาย รวมแล้วเรียกว่าสมมุติทั้งมวลขาดสะบั้นลงไป เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้นเต็มหัวใจ จะทำอะไรให้เป็นอะไรอีกไม่เป็นแล้ว เรียกว่าพอสุดยอดแล้ว

จิตที่บริสุทธิ์พอสุดยอด ทีนี้เวลาแสดงออกกระจายออกไปเป็นความเมตตาสงสารหมดเลย ที่จะมีแย็บหนึ่งที่ว่าเป็นความเคียดแค้นให้คนนั้นคนนี้ ไม่พอใจคนนั้นคนนี้ไม่มี พูดไปตามธรรม แนะไปตามธรรม ผิดถูกชั่วดีหนักเบามากน้อย เป็นไปตามธรรมที่จะชำระล้างสิ่งต่างๆ ที่สกปรกทั้งมวลนั้นแหละ ธรรมเป็นธรรมชาติที่สะอาด เป็นอย่างนั้นเรื่องของธรรม ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

อย่างที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้เหมือนกัน จนร่ำลือในประเทศไทยเรื่องการดุด่าว่ากล่าวเด็ดขาด หรือสกปรกโสมมอะไร มารวมอยู่ที่นี่หมด กิริยาอันนี้ออกไปชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งนั้นนะ ที่ว่าหยาบโลนก็คือสิ่งเหล่านั้นหยาบโลน ธรรมะก็ต้องหนักใส่กันอย่างนั้น แต่ธรรมะไม่ได้หยาบโลน กิเลสมันมาต่อสู้กับธรรมต่างหาก ให้มันนอนจมเหมือนหมูอยู่ในตมในโคลนอย่างนั้นเขาชอบอย่างนั้น เราดึงขึ้นมาจากตมจากโคลนมันฟ่อๆ เลย เห่า กัด มันไม่อยากฟัง

ธรรมะที่จะว่าหยาบโลนตามโลกสมมุติไม่มี แต่กิริยาสำหรับตอบรับสิ่งสกปรกหนักเบามากน้อยมีตลอด จะแยกกันไม่ได้เลย ควรเด็ดก็เด็ด ควรดุก็ดุ สำคัญที่สุดเอาน้ำหนัก ธรรมะนี้เอาน้ำหนัก เช่นว่า สกปรกหรือหยาบโลน สิ่งนั้นเป็นยังไงมีน้ำหนักขนาดไหนรับกันมันถึงจะลงกันได้ แต่โลกสกปรกมันไม่ได้มองดูความสกปรกของมัน มันหึงหวงความสกปรก ธรรมะชะล้างลงไปมันเห่าฟ่อๆ เลย เหล่านี้ออกไปเป็นของสะอาดทั้งนั้นธรรมะที่ออกไป หัวใจที่สะอาดสุดยอดแล้ว ธรรมะที่กระจายออกไปจากหัวใจนี้จึงเป็นธรรมชาติที่สะอาดด้วยกัน

กิริยาของท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วไม่มีภัยต่อโลก หมด ไม่มีเลย กิริยาอาการที่แสดงออกแบบใดก็ตาม เป็นเรื่องของธรรมแสดงออกเพื่อการชะล้าง ให้สิ่งสกปรกทั้งหลายมากน้อยนั้นสะอาดไปโดยลำดับลำดาเท่านั้น นอกนั้นไม่มี ธรรมท่านไม่มีความสกปรก บอกชัดๆ เลยว่าไม่มีความสกปรกของธรรม การแสดงออกนั้นแสดงออกตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะรับกันหนักเบามากน้อย ท่านแสดงออกตามสายธรรมที่เห็นว่าเหมาะสมแล้วจะลงในแง่ใดมุมใด ควรหนักหนัก ควรเบาเบา เป็นเรื่องของธรรมที่สะอาดล้วนๆ แล้วทั้งนั้นออกไปแสดง ท่านไม่มีคำว่าหยาบโลนๆ

ที่ออกไปจากธรรมที่สะอาดนี้จะเป็นความหยาบโลนไม่มี มีแต่ความสะอาดล้วนๆ หนักเบามากน้อย เหมือนเขาถากไม้ อย่างที่เคยพูดแล้ว เขาถากไม้มาทำเป็นต้นเสา ถ้าไม้ต้นใดเรียบๆ เขาก็ถากเรียบๆ ถ้ามีคดมีงอตรงไหนเขาก็หนักมือในการถาก ถากหนักถากเบาเพื่อจะเอาไม้เป็นต้นเสามาทำประโยชน์ เขาไม่ได้ถากให้เป็นความเสียหาย การแนะนำตักเตือนสั่งสอนไม่ว่าหนักเบามากน้อย เหมือนเขาถากไม้นั่นแหละ ควรหนักหนัก ควรเบาเบา

พระพุทธเจ้าท่านจึงแสดงไว้ว่า นิคฺคยฺห ปคฺคยฺห อย่างที่เขาออกทางนสพ.สยามรัฐไม่ใช่เหรอ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีทั้งการดุด่าว่ากล่าว มีทั้งการยกยอสรรเสริญ ธรรมะพระพุทธเจ้าเรานี่ออกเป็นพุทธภาษิตที่เขาออกในสยามรัฐ ทุกวันนี้มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ มีทั้งการตำหนิติเตียน มีทั้งการชมเชยสรรเสริญ คำว่าตำหนิติเตียนก็มีแง่หนักแง่เบาเหมือนกัน ควรหนักขนาดไหนหนักลงไปความตำหนิติเตียน ควรชมชมขนาดไหนชมเต็มเหนี่ยว นั่น นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น เวลาแปลออกแล้วนะ เราจะตำหนิติเตียนหรือข่มขู่สิ่งชั่วช้าหรือบุคคลที่ชั่วช้าลามกทั้งหลาย เราสรรเสริญผู้ที่ดี ดีขนาดไหนเราจะสรรเสริญตามขั้นภูมิแห่งความดีของผู้นั้น นั่นแปลออกนะ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ

ธรรมะมีทั้งชมมีทั้งตำหนิ มีมาดั้งเดิม และสิ่งชั่วทั้งหลายก็มี สิ่งดีก็มี คนชั่วก็มีคนดีก็มี เพราะฉะนั้น นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ จึงไปด้วยกัน ควรตำหนิตำหนิ ควรชมชม ไปอย่างนั้น ชมก็ชมเพื่อส่งเสริมให้มีกำลังใจ ตำหนิก็ตำหนิเพื่อให้แก้ไขตัวเอง แนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว เรียกว่าให้ชำระตัวเองๆ ตรงไหนไม่ดี ท่านแนะนำสั่งสอนไปอย่างนั้น ควรหนักก็หนัก เอาไว้ไม่อยู่แล้วก็อัปเปหิ ขับ อย่างพระที่อยู่ด้วยกัน แนะนำตักเตือนสั่งสอนหนักเบามากน้อยเพียงไร

อย่างปรับอาบัตินั่นดูซิ ฟาดไปสุดยอดเลยตั้งแต่ปาราชิก สังฆาทิเสส เรื่อยไป นี่ละโทษหนักเบา ถ้าลงโทษถึงขนาดหนักแล้วปัดออกทันที อัปเปหิๆ อยู่ไม่ได้ ที่ควรฝึกทรมานกันอย่างหนักก็มี เช่นต้องอาบัติสังฆาทิเสสนี้ เรียกว่ารองประหารชีวิตลงมา ปาราชิกนี่ประหารชีวิตขาดสะบั้น หมดสภาพในความเป็นพระ เอาไว้ไม่ได้ นี่จะว่า นิคฺคยฺห ไม่ นิคฺคยฺห ก็อัปเปหิ ขับออกเลย ถ้าควรเยียวยาได้ก็เอามาเยียวยา แต่ทรมานกันอย่างหนัก ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทรมานอย่างหนักกว่าจะพ้นโทษขึ้นมาได้ พระสงฆ์ตั้ง ๒๐ รูปที่มาเป็นภาระแก้ไขถอดถอนสิ่งชั่วช้าลามกของพระผู้นั้น ต้องอาบัติสังฆาทิเสส มีพระตั้ง ๒๐ องค์มาประชุมกันชำระโทษอันหนักถึงจะพ้นไปได้

ต่อจากนั้นก็ยอมรับกันเฉพาะบุคคล พระต่อพระ ผิดถูกประการใดแสดงโทษของตนให้พระทั้งหลายท่านทราบ แล้วท่านก็ตอบรับ ต่อไปให้ทำความสำรวมระวังต่อไป บอกอย่างนั้นเรื่อยๆ ไป นี่ละเรื่องของศาสนาเป็นอย่างนี้ ควรตำหนิตำหนิ ควรอัปเปหิอัปเปหิ ควรฝึกทรมานยังไงฝึกทรมานเป็นขั้นเป็นภูมิไป เมื่อต่างคนต่างมีศีลบริสุทธิ์ด้วยกันแล้วอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ถ้าผู้ใดมีศีลด่างพร้อย กิริยาอาการต่างๆ เป็นภัยต่อผู้ทรงศีลด้วยกันแล้วจะตักเตือนสั่งสอนกัน แนะนำกันให้ชะล้างให้แก้ไขตัวเอง ถ้าไม่ยอมแก้ไขก็ อัปเปหิ อีกเหมือนกันนี่ก็ดี ถึงจะเป็นโทษน้อยกว่านั้นก็ตามแต่ทิฐิมานะมันสูงมันไม่ยอมรับ ขับออก แน่ะ เป็นขั้นๆ นะ

ทีนี้เวลาท่านมาเทศน์สอนโลก ท่านไม่ไปบีบบังคับอย่างนั้น แต่อาการของธรรมทั้งหลายท่านสอนอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะต้องมีความผิดอย่างนั้นๆ ท่านก็ว่า แต่คนนั้นเขาจะไปดัดแปลง เขาไม่แก้ไขเขา อะไรก็แล้วแต่เขา สำหรับพระเป็นโดยแท้ แตกแยกจากกันเป็นสังฆเภทไปเลย ถ้ามีจำนวนมากตัดออกเป็นสังฆเภท นี่สงฆ์แตกกันแล้วนั่น ยกตัวอย่าง เช่นอย่างเมืองโกสัมพี พระธรรมกถึกกับพระวินัยธรทะเลาะกันด้วยอาบัติ วินัยธรแปลว่าผู้ทรงไว้ซึ่งวินัยเคร่งครัดตามหลักพระวินัย ธรรมกถึกคนหนึ่งเป็นนักเทศน์ แนะนำสั่งสอนคน เป็นนักเทศน์ ธรรมกถึกแปลว่านักเทศน์ ทั้งสององค์นั้น ฝ่ายธรรมกถึกไปผิดพลาดในพระวินัย พระวินัยธรเตือน เตือนแล้วไม่ยอมฟังเสียง เมื่อไม่ยอมฟังเสียงก็ยกพวกเข้าเอากันแหละ พระวินัยธรก็มีบริษัทบริวารมาก ธรรมกถึกก็มีบริษัทบริวารมาก ต่างก็ยกขบวนใส่กันเลย ทะเลาะกัน

พระพุทธเจ้ามาชำระเรื่องราวไม่ยอมฟังเสียง ฟังซิน่ะ ไม่ฟังเสียงศาสดา สู้หมากันไม่ได้ วิชาหมากัดกันเก่งกว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จหนีเลย การเสด็จหนีก็ทรงทราบด้วยญาณทุกอย่างแล้ว พระญาณหยั่งทราบหมดแล้ว หนีไปอยู่ในป่าเลไลย์ ช้างอุปถัมภ์อุปัฏฐากอยู่เป็นเวลา ๓ เดือน นี่ละที่แยกจากพระสงฆ์จำนวนมากแตกกัน พระสงฆ์ทั้งสองฝ่ายเรียกว่าแตกกัน พระสงฆ์ฝ่ายธรรมกถึกกับวินัยธรแตกกัน เพราะไม่ลงรอยกันในพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แม้พระพุทธเจ้ามาแนะนำสั่งสอนชี้แจงไม่ยอมฟัง พระองค์ก็สลัดเลย หนีไปอยู่ป่าเลไลย์

พอพระองค์เสด็จออกไปเท่านั้นก็เหมือนบ้านร้างเมืองร้างเลย พระสงฆ์มีจำนวนมากเท่าไรไม่ว่าฝ่ายผิดฝ่ายถูก ประชาชนเขาถือพวกนี้เหมือนหนึ่งว่าเป็นเทวทัตด้วยกันทำลายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสั่งสอนไม่ยอมรับ พวกนี้เป็นพวกเทวทัตอย่างนี้ก็ไม่ผิด พอพระพุทธเสด็จออกไปแล้วเขาไม่ใส่บาตรให้กินละซีที่นี่ เขาไม่ยอมเคารพนับถือไม่ยอมกราบไหว้บูชา จึงเป็นเหมือนกับวัดร้างไปเลย ไม่ว่าวัดธรรมกถึก ไม่ว่าวัดวินัยธร แตกกระจัดกระจายกัน บิณฑบาตเขาชี้หน้า นี่วินัยธร นี่ธรรมกถึก เขาว่านะ เขาไม่ใส่บาตรให้กินเลย

อยู่ไม่ได้เห็นโทษของตัวเอง จึงมาขอร้องพระอานนท์ให้ไปทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จกลับมาโปรดอีก ยอมรับหมดแล้วที่นี่ ตั้งแต่ยังไม่ชำระคดีนะยอมรับหมดแล้ว เพราะเห็นโทษอย่างร้ายแรง พระมีจำนวนมากขนาดไหนไม่ว่าธรรมยุตมหานิกาย เป็นหมาสองฝ่ายกัดกัน พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของหมาชำระล้างมันไม่ยอมรับ พระพุทธเจ้าเสด็จออกก็ยังมีแต่หมาไม่มีเจ้าของละซิที่นี่ เมื่อหมาไม่มีเจ้าของมันจะตายมันอด ทีนี้ก็เลยจับมือกันยอมรับโทษตามเหตุผล ที่ผิดที่ถูกประการใดยอมรับโทษ แล้วให้พระอานนท์ไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาโปรด นั่นเห็นไหมล่ะ พระองค์ทรงทราบหมดแล้ว จะดัดสันดานพวกนี้ความหมายก็ว่างั้น

พอพระองค์เสด็จมาเท่านั้น ทางนู้นยอมหมดแล้วแหละ พอเสด็จมาถึงปั๊บพวกประชาชนญาติโยม ฟังซิอุบายพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกเป็นยังไง พอพระองค์เสด็จมาปั๊บพวกประชาชนทั้งหลายก็รุมเข้ามา พอรุมเข้ามาก็ชี้ไหนธรรมกถึก ไหนวินัยธร ยกโทษพวกธรรมกถึกพวกวินัยธร พวกประชาชนจะยกโทษฟ้องร้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่าหยุด นั่นเห็นไหมล่ะ ลูกเราตถาคตเราตถาคตจะชำระแนะนำสั่งสอนกันเอง ลูกเธอทั้งหลายยังมีทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกตถาคตก็เป็นคนมีกิเลสทำไมจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ได้ เราจะชำระของเรานี่เป็นลูกของเรา ลูกของท่านทั้งหลายให้ชำระตัวเอง นั่นเห็นไหมล่ะท่านสอน ลูกของเราเราจะชำระอย่ามายุ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ

พระองค์ก็ประทานพระโอวาท พระสงฆ์ทั้งหลายบรรลุพระอรหันต์น้อยเมื่อไร ขนาดที่ว่าเหมือนฟ้าดินถล่มพระองค์ประทานโอวาท หรือว่าสับเขกว่างั้นเถอะนะพูดภาษาให้เต็มเหนี่ยว สับเขกพวกพระสงฆ์ลูกของพระองค์ ทั้งสองฝ่ายคือลูกของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวนั่นแหละ มาก็สับเขกลงไปเลย หมอบราบ บรรลุธรรมสำเร็จอรหัตผลไม่ใช่น้อยๆ นะ นี่ละเมื่อมากเข้าไปมันแตกกันได้อย่างนี้ แตกกันได้แล้วก็กลายเป็นสงฆ์สองฝ่ายไปแล้ว เป็นสังฆเภทแล้วในขณะนั้น พระพุทธเจ้ามาระงับ พอระงับเสร็จแล้วพระสงฆ์ที่แตกกระจัดกระจายกันเป็นสมานสังวาส เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่ต้องญัตติ ไม่ต้องมีชำระอธิกรณ์ใดๆ พระองค์ทรงชำระอย่างเดียวเรียบไปหมดเลย พระที่แตกเป็นสองนิกายก็ไม่มี จะมาญัตติให้เป็นนิกายนั้นให้นิกายนี้ไม่มี รวมเป็นผู้ยอมรับด้วยกันแล้ว ศีลก็ต่างคนสำรวมบริสุทธิ์ไปด้วยกัน

นี่เราพูดถึงเรื่องความแตกร้าว ความหนักเบาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระสงฆ์ก็อย่างนี้ ควรหนักก็หนัก ถึงพระพุทธเจ้าสลัดปั๊วะเลย พระองค์ก็ทำ แต่เวลาสมควรที่จะแนะนำสั่งสอนให้เป็นของดิบของดีขึ้นมา พระองค์ก็ทำเองไม่มีใครมายุ่ง เช่นอย่างประชาชนเขามาชี้หน้าชี้ตาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ทะเลาะกัน ไหนพวกธรรมกถึก นี้เป็นพวกวินัยธรหรือ พระองค์ก็บอกอย่ามายุ่ง นี้ลูกเราตถาคตเราจะสั่งสอนเอง ลูกของเธอทั้งหลายก็ยังมีการทะเลาะกัน แล้วลูกของเราก็เป็นคนมีกิเลสก็ย่อมมีการทะเลาะกันเป็นธรรมดา เราจะชำระลูกของเรา ลูกของท่านทั้งหลายให้ไปชำระเองเราไม่ไปเกี่ยวข้อง ฟังซิน่าฟังไหม ลูกของเราตถาคตเราจะชำระเอง อย่ามายุ่ง พระองค์ก็ชำระเอง เรื่องราวเป็นอย่างนั้น

ฟังซิอุบายวิธีการพระพุทธเจ้าสอนโลกเป็นยังไง น่าฟังทุกแง่ทุกมุม ลูกของตถาคต ตถาคตจะชำระสะสางจะปฏิบัติหน้าที่ของเราผู้เป็นบิดาเอง ลูกของเธอทั้งหลายเราไม่ยุ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ ลูกของเราอย่ามายุ่ง น่าฟังไหมพิจารณาซิ นี่ละเรื่องราวของธรรม เรื่องราวของศาสดา พูดถึงเรื่อง นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ ควรชมเชยควรสรรเสริญ ก็ชมเชยสรรเสริญ ควรดุด่าว่ากล่าวขนาดถึงอัปเปหิ ขับ ท่านก็ทำเองในพระโอวาทมีทั้งสองอย่าง ไม่มีแต่ชมเชยอย่างเดียว เพราะคนมีทั้งคนดีคนชั่ว จึงต้องมีทั้งการตำหนิติเตียน มีทั้งการชม เป็นอย่างนั้น

เราก็ให้ปฏิบัติตัวของเรา ไอ้เรานี้มันก็เป็นเทวทัตตัวหนึ่งๆ อยู่ในตัวของเรานี้ละ ฝ่ายหนึ่งก็จะทำความพากความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาชำระ กาย วาจา ใจ ของตนให้เรียบร้อยสวยงาม จิตใจก็ให้เย็นนี่ฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งตัวเทวทัตอยู่ภายในนั้น โอ๊ย นอนก่อนดีกว่า นอนเสียก่อน นอนสบายๆ แล้วตื่นขึ้นมาเมื่อไรค่อยทำความเพียรก็ได้ ทางนี้ก็ล้มไปตามก็ได้ยินแต่เสียงหลับครอกๆ บริเวณวัดนี้เหมือนฟ้ากระหึ่มละ พวกนี้นอนหลับดีกว่าเดินจงกรม พวกนอนหลับดีกว่า

ทีนี้พระพุทธเจ้าธรรมท่านสอนมันไม่ฟังนะ พวกนี้พวกเทวทัตทำลายธรรมของพระพุทธเจ้า สอนว่าให้รีบทำความพากความเพียร ว่านอนเสียหน่อยก่อน แน่ะ มันเถียงแล้วนะ พักสักหน่อยก่อนวันนี้เหนื่อย วันนี้เจ็บท้องวันนี้ปวดศีรษะ เอาละนะเถียงธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถ้าท่านยังกลับมาสอนอีกได้อยู่ก็ดี แต่หลวงตาบัวไม่ทราบจะแบบไหนหรือแบบจะเผ่นไปเลยก็ไม่รู้ มันสู้ไม่ได้เพราะมันหนาเกินกำลังที่จะแนะนำสั่งสอนได้ เทียบเอาซิ อยู่ในวงนี้หลวงตาบัวเป็นผู้ปกครอง ไปที่ไหนเสียงหลับครอกแครกๆ มีแต่เสียงปืนผาหน้าไม้ เสียงระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนของกิเลสสู้ธรรม ธรรมสู้ไม่ไหวก็เผ่นซิเข้าใจไหมล่ะ เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ มีเรื่องอื่นอีกก็จะพูด จำเอานะที่พูดนี่

ผู้กำกับ ที่ ณ หนูแก้วเขามาพบหลวงตาแล้วเขาก็เอาไปลงหนังสือพิมพ์

“หลวงตามหาบัว” ลั่น สมณศักดิ์ที่ประกาศเป็นโมฆะ ในศาสนามีแต่กาฝาก การประกาศต้องเป็นสิทธิ์พระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเท่านั้น

หลวงตา เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช่ไหมล่ะ นี่ประกาศออกก่อนแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเท่านั้น แต่เรื่องความหยาบมันหยาบโลนมาก มันกระจายออกทางหนังสือพิมพ์เสียก่อนเป็นอำนาจ เหมือนว่าจะลากจูงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ปฏิบัติตามหนังสือพิมพ์ที่เขาต้องการ ขอลาภขอยศใช่ไหม แต่เรื่องราวอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว เราจึงชี้เข้าไปตรงนี้เลย เอ้า ว่าต่อไป

ผู้กำกับ ต่อนะครับ กรณีที่มีการเปิดเผยข่าวว่าได้มีประกาศตั้ง และเลื่อนสมณศักดิ์พระสังฆาธิการในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ซึ่งได้สร้างความสับสนแก่พระสังฆาธิการไปทั่วประเทศ

ขณะที่พระธรรมกิตติเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะโฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) ได้ออกมาปฏิเสธในทันทีว่าการตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์คราวนี้ยังไม่มีประกาศจากมส.แต่อย่างใด ถือเป็นสิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่งที่ใครจะออกประกาศก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา

ด้านเจ้าคณะปกครองหลายรูป ต่างไม่พอใจต่อการกระทำที่ล่วงต่อพระราชอำนาจและพระธรรมวินัย ตามที่มส.ได้พิจารณาเห็นชอบให้พระที่มีอาวุโสทางสมณศักดิ์ลำดับเกือบท้ายสุดให้ได้เลื่อนชั้นข้ามพระผู้ใหญ่อีกหลายรูป

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าว่า เมื่อเช้าวานนี้ (16 พ.ย.) พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้แสดงธรรมเทศนา ณ ศาลาวัดป่าบ้านตาด  ว่า เวลานี้ศาสนากาฝากกำลังแทรกพุทธศาสนาเข้ามาเรื่อยๆ กาฝากนี้เป็นกาฝากมหาภัยต่อพุทธศาสนา และต่อจิตใจของประชาชนชาวพุทธทั้งหลายผู้เคารพบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็เป็นศาสนากาฝากขึ้นมาอย่างนี้ละให้ดูเอา เรื่องศีลเรื่องธรรมมันไม่สนใจพวกนี้ เป็นโลกล้วนๆ เลยบอกชัดเจน เอาธรรมออกกางซิ พูดแล้วเอาธรรมออกกางมันถึงถูก ถึงมีหลักเกณฑ์ อันนี้มันมีที่ไหน สลับซับซ้อนด้วยการแย่งกันด้วยลาภด้วยยศนี้เป็นเรื่องของโลก นี้เลยโลกไปอีก พระเป็นโลกเลวกว่าโลกนะ

เวลานี้พระเราวิ่งตามโลก มันเลวกว่าโลกไปแล้วเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวตั้งนั้นขึ้นมาตั้งนี้ขึ้นมา พวกนี้ส่งเสริมที่ตรงไหนเอาหลักธรรมวินัยไปกางกันซิน่ะ ท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านอิดหนาระอาใจจะตายแล้วเวลานี้ ตั้งขึ้นมาสลับซับซ้อน มีแต่เรื่องจะกินจะกลืนพุทธศาสนาให้แหลกเหลวลงไปโดยลำดับลำดา นี่หลวงตาบัวพูดเอง เอ้า ถ้าผิดตรงไหนเอามาอ้างกันซิคัมภีร์มีอยู่ พวกเราบวชมาเพื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บวชมาตามหลักธรรมวินัย นี้ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัย

ใครจะใหญ่ไปไหนก็ใหญ่เถอะ ไม่เหนือพระพุทธเจ้าไปได้ ไม่เหนือธรรมวินัยซึ่งเป็นองค์ศาสดาแทนไปได้เลย เราจะเดินตามหลักธรรมหลักวินัยนี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่เล่นด้วย ตั้งมาเท่าไรไม่เล่นด้วย ปัดออกทั้งหมดเลย เพราะพวกนี้พวกกาฝาก ปลอมทั้งนั้นๆ

ภายหลังเทศน์จบแล้ว หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงการได้รับร้องเรียนจากพระเจ้าคณะปกครองจากส่วนกลางว่า เห็นไหมพระท่านเห็นว่าเราเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรท่านจึงร้องเรียนมาถึงเรา เรื่องนี้เราไม่ได้พูดว่าเราเป็นใหญ่ แต่เราเอาธรรมมาพูด เอาธรรมมากางกันเลย เรื่องอาวุโส-ภันเตนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเลื่อนสมณศักดิ์ให้ข้ามความอาวุโสภันเตไปไม่ได้ เป็นหลักธรรมวินัยแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านตั้งขึ้นมา แม้จะแสดงอาบัติก็ต้องตามอาวุโส-ภันเต ซึ่งเป็นพุทธพจน์นะ จะมาเหยียบความอาวุโส-ภันเตนี้ไม่ได้ บอกงั้นเลย

คือเรื่องธรรมวินัยนี้ต้องเป็นใหญ่ การจะตั้งสมณศักดิ์อะไรๆ ก็ต้องตามลำดับที่อาวุโสสูงกว่า จะข้ามอาวุโส-ภันเตนี้ใช้ไม่ได้ บอกไว้อย่างนั้นเลย เข้าใจหรือ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้พระธรรมวินัยล้มเหลวหมด ต้องเอาพระธรรมวินัยตั้งเอาไว้ จะตั้งจะเลื่อนสมณศักดิ์อะไรก็ตามจะฝืนคำตรัสของพระบรมศาสดาไปไม่ได้ การจะนั่งการจะประกอบศาสนพิธีใดๆ ก็จะใช้ไม่ได้เลย

หลวงตามหาบัว กล่าวต่อไปว่า ใครที่ประกาศออกมาก็ต้องไปหาต้นตอเอาที่เขาประกาศตรงนั้น การจะตั้งสมณศักดิ์ในหลวงจะโปรดหรือไม่โปรดก็ต้องสุดแท้ในหลวง ใครจะประกาศออกมาก่อนมันก็เป็นโมฆะทั้งนั้น ในหลวงท่านยังไม่ได้ประกาศออกมา เรื่องนี้เป็นสิทธิของพระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียว ที่จะพระราชทานสมณศักดิ์ให้แก่ใครก็ได้ นอกจากนี้แล้วต้องเป็นโมฆะหมด เข้าใจเหรอ “พวกพระเรานี่เหลวแหลก เรื่องนี้เป็นเรื่องของในหลวงท่านโดยตรง ใครๆ จะมาเป็นอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องของในหลวง สุดแท้จะพระราชทานอย่างไรออกมา เข้าใจเหรอ ในหลวงท่านต้องเป็นใหญ่ตลอด ให้ประกาศไปอย่างนี้เลยนะ เรื่องอะไรต้องฟังในหลวงทั้งนั้น จะประกาศอะไรออกมาก็ต้องเป็นโมฆะทั้งนั้น เพราะเรื่องจะต้องอยู่ที่ในหลวงเพียงพระองค์เดียว” หลวงตามหาบัว กล่าว

หลวงตา ว่าอย่างนั้นละ หลักธรรมวินัยใส่ปึ๋งเข้าไปตรงนั้น เอ้าค้าน ค้านก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าจะว่าไง ศาสดาองค์เอกแท้ๆ ตั้งมา อาวุโส ภันเต นี้เป็นพระบัญญัติของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมดา พระวินัยใครจะมาข้ามหัวพระพุทธเจ้า ตั้งสมณศักดิ์ลงมาแล้ว สมณศักดิ์นี้จะไปใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ต้องต่ำกว่าอาวุโส ภันเตตลอดไป สูงกว่านี้ไม่ได้ ก็มีเท่านั้น

ผู้กำกับ มีเรื่องคุณสนธิครับ “พล.ต.พฤณฑ์ ไม่กล้าสู้หน้า ส่งตัวแทนพบสนธิ”

เมื่อเวลา 10.00 น.ซึ่งเป็นกำหนดการที่ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ พร้อมนายทหารจำนวนหนึ่งเข้าพบ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อกดดันไม่ให้ นายสนธิ พูดถึงเรื่องพระราชอำนาจ และพูดจาพาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลากำหนดนัดหมาย พล.ต.พฤณท์ ก็ไม่ได้เดินทางมา มีเพียงการส่งตัวแทนซึ่งเป็นนายทหารคนหนึ่ง มายื่นหนังสือแทนแล้วกลับไป

หนังสือที่นายทหาร ซึ่งระบุว่าเป็นตัวแทนของพลตรีพฤณท์ ได้นำหนังสือหัวตราครุฑ ที่กห.0481.1/3307 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง ขอให้งดเว้นการกล่าวอ้างพาดพิงสถาบันเบื้องสูง โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวระบุว่า

“พวกเราซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ มีสำนึกและหน้าที่โดยตรงในการปกป้องรักษาประเทศชาติราชบัลลังก์ ทั้งได้พร้อมกันถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วว่า จักยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ภารกิจนี้เป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ทหารรักษาพระองค์ทุกนาย พร้อมกันถือมั่นว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ในช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมานี้ ท่านได้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสวนลุมพินี เป็นต้น ลักษณะของการดำเนินรายการเป็นไปในเชิงชี้นำความรู้สึกของผู้ฟังอันได้แก่ กลุ่มประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้เกิดความเข้าใจไปตามทิศทางที่ท่านต้องการอันเป็นการต่อสู้หรือตอบโต้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดๆ ที่เกิดปัญหาความไม่เข้าใจ หรือความขัดแย้งกับท่านโดยลักษณะการชี้นำดังกล่าวนี้ ประชาชนผู้รับฟังสามารถนำข้อมูลที่ท่านได้ชี้นำในประเด็นต่างๆ ไปพิจารณา ด้วยวิจารณญาณของแต่ละบุคคลว่ามีเหตุผลน่าเชื่อถือเพียงใด

การจัดทำรายการของท่านทุกครั้งได้มีการกล่าวอ้าง พาดพิงไปถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุดของปวงชนชาวไทย ซึ่งไม่สมควรที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดจะนำมาเป็นข้ออ้างและชี้นำ เพื่อประโยชน์ของตนในการสร้างความรู้สึกน่าเชื่อถือ หรือฉกฉวยมาเป็นพลังในการต่อสู้กับกลุ่มบุคคลที่มีข้อขัดแย้งกับตน รวมทั้งข้อความ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ซึ่งปรากฏในการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับประจำวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2548 ก็เป็นข้อความที่ลบหลู่สถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง เนื่องจาก ข้อความดังกล่าวแสดงนัยอย่างชัดเจนว่า ไม่มีพระราชอำนาจอยู่ในปัจจุบัน หรือพระราชอำนาจที่มีอยู่บกพร่อง ไม่สมบูรณ์ จึงต้องมีการถวายคืน ซึ่งความเป็นจริงพระองค์ท่านทรงใช้พระราชอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและนิติราชประเพณีโดยบริบูรณ์

ด้วยเหตุนี้พวกเราซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ และมีความสำนึกตระหนักในหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ จึงขอให้ท่านยุติการกล่าวอ้างพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะข้างต้นอีกต่อไป พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ได้แจ้งให้ท่านได้ทราบนี้ จะทำให้ท่านได้มีความเข้าใจและดำเนินการให้เหมาะสมถูกต้องต่อไป ขอแสดงความนับถือ ลงชื่อ “พล..พฤณฑ์ สุวรรณทัต" ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์”

สำหรับรายละเอียดคำแถลงข่าวของนายสนธิ มีใจความโดยย่อ ดังนี้

ผมก็เบื่อหน่ายเหลือเกินกับสภาพความเกเรและอันธพาลของรัฐบาลชุดนี้ “ท่านกล่าวหาผม 2-3 ข้อ ข้อแรก ท่านบอกท่านเป็นทหารรักษาพระองค์ ผมก็อยากถามกลับว่า ท่านรักษาพระองค์ หรือรักษาบัลลังก์ทักษิณ ผมถามตรงๆ อย่างนี้ ท่านบอกว่าท่านจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ระหว่างผมกับท่าน และประชาชนไทย ที่ร่วมต่อสู้กับผมกับท่านนี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าใครจงรักภักดีมากกว่ากัน ท่านบอกว่าผมดึงพระองค์ท่านลงมาต่ำ ดึงอย่างไร ขอตัวอย่างนิดหนึ่ง ผมพูดถึงเรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ รัฐบาลก็ออกมายืนยันว่ามีอยู่พระองค์เดียว มีเอกสารเสร็จ ผมก็เอาเอกสารยืนยันกลับไป บอกรัฐบาลโกหก รัฐบาลก็ไม่กล้าตอบผมสักคำ

คำถามที่ผมอยากจะถามทหารทุกคนว่าเวลาพวกท่านเดินสวนสนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าน พล..พฤณฑ์ สุวรรณทัต ท่านสวนสนาม ท่านบอกท่านจะนำทหารสวนสนามถวายให้สัตย์ปฏิญาณกับธงชัยเฉลิมพลในวันที่ 2 นี้ เวลาท่านให้คำสัตย์ ท่านให้คำสัตย์แบบไหน ท่านจะปกป้องราชบัลลังก์ใช่ไหม ถ้าท่านจะปกป้องราชบัลลังก์อย่างนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาท่านมองไม่เห็นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะท่านเป็นเพื่อนนายกรัฐมนตรี เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 หรือนายร้อยตำรวจรุ่น 26 หรือว่าประเทศไทย ถ้าในวงการตำรวจต้องนายร้อยตำรวจรุ่น 26 ถ้าเป็นทหารต้องเตรียมทหารรุ่น 10 ถึงจะรักพระเจ้าอยู่หัว คนอื่นเขาไม่รักพระเจ้าอยู่หัวกันเลยหรือไง

ผมจะถามท่านใน 3 สถานภาพ สถานภาพแรก ในฐานะประชาชน จะเป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 หรือว่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือจะเป็นผู้บัญชาการอะไรก็ตาม ท่านเป็นประชาชนที่ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่ออยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว ท่านยอมรับกติกานี้ไหม เมื่อยอมรับกติกาแล้ว รัฐบาลก็ดำเนินการภายใต้รัฐธรรมนูญด้วยการให้ ...สำเนียง และ ..ไทยรักไทย มาแจ้งความจับผม ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถามว่ากติกานี้ท่านยอมรับไหม ถ้ายอมรับแสดงว่ากระบวนการยุติธรรมเริ่มแล้ว ตำรวจว่ายังไง ถ้าผมผิดก็ไปขอหมายศาลมาจับ จับผมก็สู้คดีในศาล นั่นคือฐานะประชาชนผู้ซึ่งมีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมด

สถานภาพที่ 2 ผมขอเรียนถามท่านในฐานะเป็นทหาร ที่ท่านไม่มาครั้งนี้ ผมรู้เพราะอะไร 1 ท่านไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ท่านชวนคนมาแล้วอาจมีหลายคนไม่มา เสร็จแล้วการที่ทหารจะตบเท้ามา ท่านขออนุญาตแม่ทัพภาค 1 หรือยัง แล้วท่านขออนุญาตผู้บัญชาการทหารบกหรือยัง นั่นคือสถานภาพอันที่ 2 ตลอดจนกระทั่งถึงคำสัตย์ปฏิญาณสาบานตนของทหารรักษาพระองค์

สถานภาพที่ 3 ในฐานะที่ท่านเป็นเพื่อนของ ...ทักษิณ ชินวัตร การกระทำท่านเช่นนี้ไม่สวยงาม ไม่สง่างาม ประชาชนคนไทยไม่ได้รักชาติ รักแผ่นดิน รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์น้อยไปกว่าท่านหรอก เพราะฉะนั้น ท่านบอกว่าท่านมี 14,000 คน ซึ่งผมยังสงสัยว่า 14,000 คนของท่าน เห็นด้วยกับท่านหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ถ้าท่านเอา 14,000 คน มาวัด กับเอาคน 40,000 คนอาทิตย์ที่แล้วมาวัด ในสถานะตัวต่อตัวมันก็แพ้กันอยู่แล้ว ว่าความจงรักภักดีต่างกันขนาดไหน

อีกข้อซึ่งสำคัญมาก รัฐบาลชุดนี้แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาที่ผมตั้งคำถามถาม กลับไม่ทำ กลับดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปิดปากประชาชนทุกๆ เรื่อง อันนี้ร้ายกาจมาก รัฐบาลชุดนี้ทำร้าย ทำลายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้นแล้ว สิทธิในการที่ผมขอให้เสนอมีการแก้รัฐธรรมนูญโดยสันติ แล้วถวายพระราชอำนาจคืนต่อพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้น เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ประชาชนคนไทยจะต้องใช้

ผู้สื่อข่าวถามคุณสนธิว่า มีทหารออกมาข่มขู่อย่างนี้ กลัวไหมคะ

ผมบอกว่าผมกลัว ผมกลัวจนผมกล้า ผมเอาธรรมนำหน้า ผมไม่กลัวหรอก ผมเอาธรรมนำหน้าผมไม่กลัวหรอกครับ แล้วผมไม่ถอย แต่ผมต้องเดินตลอดไป ถึงที่สุดเลย ถึงไหนถึงกัน คือผมจะต้องเดินหน้าเล่าความจริงให้ฟัง ผมถามคำถามรัฐบาลตั้งไม่รู้กี่คำถาม รัฐบาลไม่ตอบ นี่ยังโครงการคอร์รัปชั่นอีกเยอะแยะ เวลาผมชี้แจงเรื่องสมเด็จพระสังฆราช เอาหลักฐานมาก็ไม่ยอมตอบกลับผม ชอบเหลือเกินใช้ 3 5 7 9 11 ไอทีวี ทีวีของไอ ออกตลอดเวลา ออกของผมบ้างสิ ได้ไหม หรือว่ากลัว ไหนบอกเป็นคนกล้าไง กลัวทำไม อำนาจก็มีล้นมือ มากลัวไอ้คนตัวเล็กๆ อย่างผมทำไม กลัวความจริงหรือเปล่า

หลวงตา หูเราเสมอกันหมด ฟังแล้วก็เงียบด้วยกัน เท่านั้นละไม่มีอะไร ให้พากันไปวินิจฉัยจะว่าไง

ผู้กำกับ   ที่วัดป่าร้อยไร่ หมู่ ๗ ตำบลดาหลังใน อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เรื่องถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนจังหวัดสระแก้ว กราบนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตามที่จดหมายกราบเรียนหลวงตาเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๘ เรื่องวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนจังหวัดสระแก้ว ขณะนี้ได้ดำเนินสร้างเสร็จแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๑๗ น. ได้ทำการทดลองออกอากาศด้วยคลื่น FM ๙๖.๒๕ เสาสูง ๓๐ เมตรอยู่บนยอดเขา กำลังส่ง ๓๐๐ วัตต์ ออกอากาศเวลา ๐๕.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น

จากอำเภอวังน้ำเย็น ออกอากาศได้ทั้งจังหวัดสระแก้ว และถึงอำเภอวัฒนานคร แม้จะถูกเบียดด้วยคลื่นของเขมรจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถึงอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ทางทิศใต้ถึงอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี กำหนดเป็นสถานีเครือข่ายของวัดป่าบ้านตาด โดยรับสัญญาณจากวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน จากวัดป่าบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์ กำลังรอระหว่างการติดตั้งดาวเทียมอยู่

ดังนั้นจึงขอน้อมถวายสถานีวิทยุประกอบด้วยเสาสูง ๓๐ เมตรบนยอดเขา เครื่องส่ง ๓๐๐ วัตต์ แผงอากาศ ๑ ชุด เสาอากาศ มิกเซอร์พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ แด่องค์หลวงตาให้เป็นสมบัติของสงฆ์ และขอปวารณาว่าจะช่วยกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของสถานีวิทยุ มิให้เป็นภาระแก่องค์หลวงตา และยินดีน้อมรับปฏิบัติตามแนวทางความประสงค์ขององค์หลวงตาทุกประการ ด้วยอานิสงส์ผลบุญของธรรมทานครั้งนี้ ขอสิ้นสุดนิพพานในชาตินี้ปัจจุบันนี้เทอญ กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้า พระหนูสิน สันตจิตโต เจ้าอาวาสวัดป่าร้อยไร่ จังหวัดสระแก้วครับ

หลวงตา   ก็เท่านั้นละนะ มีอะไรอีกล่ะ ( ทองคำวันนี้ได้ ๔ บาท ๙๙ สตางค์ครับผม)

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz



** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก