เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ผู้สอนธรรมต้องสนใจในธรรม
นี้เราวิตกวิจารณ์มานานถึงเรื่องชาติเรื่องศาสนา ที่ชาติเหินห่างจากศาสนานี้เหินห่างมาโดยลำดับลำดา เราดูมาพิจารณามา วิตกวิจารณ์มาเรื่อย เป็นห่วงเป็นใยไม่พูด แต่เวลาออกมาเกี่ยวข้องนี้ถึงได้พูดนะ แต่ก่อนไม่ได้ออกมาเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองอย่างเปิดเผยอย่างนี้ ก็เป็นแต่เพียงรำพึงอยู่ภายในใจเป็นห่วงเป็นใย มองดูพุทธศาสนิกชนในเมืองไทยที่ว่าถือศาสนาพุทธกับพุทธนี้แหม มองดูจนจะไม่เห็นว่าพุทธอยู่ที่ไหน นู่นน่ะมันอยากถามหาอย่างนั้น ทีนี้เวลาได้ออกมาถึงได้พูดถึงเรื่องข้อวิตกวิจารณ์ออกมาพร้อมกับการนำชาติในคราวนี้ เราเป็นห่วงเป็นใยจริง ๆ รู้สึกว่าเหินห่างมาก
ธรรมดาผู้ใหญ่เป็นสำคัญมากยิ่งกว่าเด็ก แต่ผู้ใหญ่นี้ทะนงตัวหนักเข้า ๆ ในทางกิเลสตัณหา ยิ่งเลวลง ๆ แล้วเด็กจะดีได้ยังไงนี่ซิ มองดูทางไหน ๆ กิริยาแห่งการกระทำออกมามีแต่การทำลายชาติบ้านเมือง ๆ จากการทำลายตัวเองไปแล้วก็ระบาดออกไป แต่การทำลายตัวเองไม่รู้ ก็ไปรู้แต่ประกาศกันภายนอก ตัวทำลายจริง ๆ ออกจากไหนไม่ได้ดูล่ะซิ นี่มันน่าคิดอยู่มาก
ฟังแต่ว่าศาสนาที่จะมาเป็นตัวอย่างของโลกทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดา ไม่มีกิเลสติดในพระทัยแม้เม็ดหินเม็ดทราย บริสุทธิ์พุทโธเต็มเหนี่ยว เรียกว่าธรรมบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วออกมาสอนโลก นี่เป็นตัวอย่างอันเลิศเลอแล้ว เรียกว่าเราถือพุทธศาสนาสมชื่อสมนามจริง ๆ แล้วธรรมที่ตรัสรู้มาสอนโลกครอบสามแดนโลกธาตุ เลิศไหมพิจารณาซิ จากนั้นผลของท่านก็กระจายออกมาเป็นพระสงฆ์สาวก นี่ล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานพยานยืนยัน แห่งความบริสุทธิ์พุทโธที่เลิศเลอของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องประกาศยืนยันมาโดยลำดับลำดา ว่านี้คือพยาน ๆ บอกเลยในองค์ของท่าน แล้วก็กลายมาเป็นพุทธบริษัท ๔ เข้ามา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ก็พวกเรานี้
ทีนี้อุบาสกอุบาสิกานี้ก็เลวมาโดยลำดับนับตั้งแต่ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นั้นก็เลวลง ๆ สงฺฆํ เลวลงแล้วประชาชนจะไม่เลวลงยังไง เป็นเหตุให้คิดนะ คิดมาตลอดแต่ไม่เคยพูดเรื่องอย่างนี้ เวลาออกมาเกี่ยวกับโลกเพื่อทำประโยชน์ให้โลกอย่างเปิดเผย สิ่งนี้ที่ควรเปิดเผยอย่างยิ่งก็จำต้องนำออกมา เป็นเครื่องเปิดเผยให้พี่น้องชาวพุทธเราได้ทราบบ้างว่า ผู้ใหญ่นั้นสำคัญ เข็มเย็บผ้าเห็นไหมล่ะ เข็มนั้นเป็นตัวนำของด้ายมาเย็บทั้งหมด เข็มเป็นตัวนำ ๆ เข็มคดเข็มเคี้ยวพวกด้ายนี้ก็จะตามไปคดเคี้ยว ๆ เป็นง๊อกเป็นงอไปตาม อันนี้ผู้ใหญ่เรานี้เป็นเข็มทิศทางเดิน พาลูกเต้าหลานเหลนเดิน ๆ เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่เราจึงควรที่จะฟิตตัวบ้างพอสมควร แล้วนำมาสั่งสอนเด็ก ยกหลักวิชามาสอนเด็ก ๆ โดยที่ว่าตัวเองไม่สนใจเอาหลักวิชามาสอนเด็ก ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรอีกเหมือนกัน ให้คิดข้อนี้ด้วยนะ
ผู้ใหญ่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าก่อนจะมาสอนโลกเป็นยังไงก็ดูมาโดยลำดับแล้วนี่เห็นไหม ตัวอย่างอันเลิศเลอมาโดยลำดับ ๆ มาอย่างนี้ ผู้ใหญ่เป็นสำคัญมากทีเดียว ผู้นำเป็นสำคัญมาก ถ้าผู้นำเหลวไหลจะให้ผู้น้อยดีนี้ดีไม่ได้นะ จะว่าดีไม่ดี ดีไม่ดีเด็กเขาดูถูกผู้ใหญ่อีก เอาหลักวิชามาให้เขาเรียน บีบบี้สีไฟให้เขาเขียนให้เขาเรียนทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวเองโก้เก๋โอ่อ่า มันดูไม่ได้นะผู้ใหญ่ การที่จะเป็นผู้ใหญ่แต่ละแง่ละมุมต้องฟิตตัว ๆ ไปตลอด เป็นตัวอย่างอันดีเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ตัวเองเป็นที่อบอุ่นในตัวเองเป็นลำดับลำดาแล้วก็นำวิชานั้นออกไปสอนโลก
อย่างพระพุทธเจ้าก็แน่สอนโลก ไม่มีใครจะแน่ยิ่งกว่าองค์ศาสดา พระสงฆ์สาวกที่เป็นอรหันต์แล้วแน่ แน่มาโดยลำดับ ถอดออกมาจากหัวใจที่ท่านรู้ท่านเห็นจริง ๆ ท่านไม่ได้ไปลูบคลำเอาโน้นเอานี้มาสอน เวลาถูกเขาโจมตี ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ๆ ก็ตำราว่าอย่างนี้ นั่นทิ้งใส่ตำราแล้วนะ เจ้าของไม่เป็นท่าไปโยนใส่ตำรา ตำราก็บอกความจริง ถ้าเจ้าของปฏิบัติความจริงรู้ความจริงแล้วถอดออกจากหัวใจสอนเลยซิ จะไปหาลูบคลำเอาในตำราอะไรนักหนาจนลืมตัว ไปดูแต่ตำรา พอถูกโจมตีก็หลบใส่ตำรา ไปหลบซ่อนตามตำรา ตำราว่าอย่างนั้น เจ้าของเป็นยังไงว่ายังไงไม่เห็นพูดเลย นี่ซิมันน่าทุเรศ
ผู้ใหญ่เราเวลานี้เหลวไหลมาก เท่าที่ผ่านมานี่นะ ในปัจจุบันนี้ก็เป็นปัจจุบัน ที่ผ่านมาและเห็นมาเป็นลำดับลำดา ถึงขนาดทนไม่ได้ถึงได้พูดล่ะซี พูดกับวงรัฐบาลก็พูด วงรัฐบาลก็เป็นลูกชาวพุทธทำไมพูดกันไม่ได้ ชาวพุทธพูดไม่ได้มีอย่างหรือ ธรรมเป็นเครื่องสอนโลกไม่เคยเป็นข้าศึกต่อผู้ใด ทำไมจะนำมาสอนโลกแล้วเป็นข้าศึกต่อโลกมีอย่างหรือ นอกจากโลกเป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอดเท่านั้น เราไม่เคยเห็นธรรมเป็นข้าศึกต่อโลกเลย นี่ที่นำออกมาสอนโลก เรานำออกมาเรานำมาจริง ๆ เราพูดจริง ๆ เราก็ไม่ได้สงสัย แม้ตัวเท่าหนูก็ตาม สาธุ ไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าเวลาสอนโลก พูดจริง ๆ นะ ไม่ต้องถาม สาวกทั้งหลายพอรู้ป้างขึ้นมาในใจเท่านั้นจ้าแล้ว นิสัยวาสนายังไงจะออกตามนั้นเลย ๆ แม่นยำ ๆ ด้วย เห็นอยู่นี่รู้อยู่นี่ดึงออกมาจากนี้จะผิดไปที่ไหน
เราไปเรียนตามตำรับตำรานั้นก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เราไม่ได้ประมาทนะ เป็นขั้น ๆ เป็นตอน ๆ แต่รู้ในใจจริง ๆ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกรู้นี้แม่นยำทีเดียว บอกว่าแม่นยำ กับเราเรียนในตำราผิดกันมาก การเรียนในตำราคือไปจดไปจารึกเอามา ผู้จดจารึกก็เป็นคนมีกิเลสหรือคนสิ้นกิเลสก็ไม่ทราบนั่นซี ครั้นจดมาด้วยความสิ้นกิเลสนั้นแม่นยำ ๆ ออกมา แล้วในตำราใครเป็นพระอรหันต์ไปจดจารึกที่จะได้ธรรมแม่นยำมา ๆ
คิดดูซิตั้งแต่อ่านอยู่ในบุพพสิกขานี่ก็ยังได้ค้านกันแล้วจะว่าไง ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน พ่อมึงเคยเป็นพระอรหันต์หรือ อยากถามว่าอย่างนั้นนะ มึงมาอวดดีกว่าพระอรหันต์หรือ เรื่องฝันเป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ทำไมจะฝันไม่ได้ กินได้นอนได้เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ทำไมพระอรหันต์จะเป็นไปไม่ได้ เพราะพระอรหันต์ก็เป็นสมมุติเต็มตัว เอาเท่านั้นก็พอแล้วใช่ไหม จิตที่บริสุทธิ์นั้นต่างหากเป็นอรหันต์ จะมาเหมาเอาธาตุขันธ์พระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ โคตรแซ่มึงเป็นตัวมืดบอดที่สุด มึงจะเอามาอวดโลกหรือ เราอยากว่าอย่างนั้นนะ อย่างนี้มันก็เห็นแล้วนี่เอามาพูดมาคุยทำไม
พระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ซิมันค้านกันอย่างจัง ๆ ก็ขันธ์เป็นสมมุติล้วน ๆ ขันธ์ไม่เดินตามสมมุติจะให้เดินตามไหน ขันธ์ไม่มีวิมุตติ ไม่มีนรกอเวจี ขันธ์เป็นขันธ์ล้วน ๆ ตามธรรมชาติของมัน ถ้าเป็นขันธ์ของพระอรหันต์แล้วก็เป็นธาตุของมันล้วน ๆ อยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีกิเลสเข้าไปเจือปน แต่ก่อนมีกิเลสเจือปน คือจิตนี้ไปเกี่ยวโยงกันติดพันกัน เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็สกปรกโสมมไปตาม ๆ กัน เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้วขันธ์ก็เป็นตามสภาพของขันธ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงอยู่ได้กินได้นอนได้หลับได้ เกิดแล้วตายได้เหมือนกันกับเรา แล้วทำไมพระอรหันต์จะฝันไม่ได้วะ เท่านี้ก็รู้แล้วนี่นะ ทำไมว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน เคยมีเหรอธาตุขันธ์แท้ ๆ จะบังคับให้เป็นพระอรหันต์ด้วยกันหมดได้เหรอ
นี่ละการที่เราเรียนมา เราก็เรียน ใครก็เรียนเหมือนกัน ไม่ได้ตำหนิกัน เวลาเอาความจริงที่รู้เห็นภายในจิตใจกับการเรียนมานี้ผิดกันมากทีเดียว การรู้ภาคปฏิบัตินี้ปฏิบัติยังไงรู้ยังไงมันแม่นยำ ๆ ไม่ได้สงสัย อ๋อ ๆ ทันทีเลย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า นั่นเห็นไหม สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้าง ๆ แล้วว่า ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้เองเห็นเองในธรรมทุกขั้น ท่านว่าอย่างนั้นนี่นะ พระพุทธเจ้าท่านมอบให้แล้ว แล้วไหนจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีกล่ะ ท่านสอนไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นอย่างนั้น
เราจึงวิตกวิจารณ์ อย่างน้อยพวกเรานี้ก็เป็นลูกชาวพุทธ ขอให้หัวหน้าเป็นผู้สนใจในภาคปฏิบัติบ้างแล้วมาสอนลูกสอนหลาน ผลิตวิชาออกมาสอนลูกสอนหลาน ให้เรียนชั้นนั้นชั้นนี้ โดยเอาหลักวิชาพุทธศาสนานี้มีศีลธรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ตัวผู้ที่ผลิตวิชาออกมาให้เด็กเรียนเด็กศึกษาเด็กสอบนั้นไม่ได้สนใจมันเกิดประโยชน์อะไร ขอให้คิดนะผู้ใหญ่เรา อย่าเอามาเฉย ๆ เช่น หยดน้ำบนใบบัว หลวงตาพูดจริง ๆ นะหลวงตาบัวจริง ๆ พูดออกมาจากความจริงทีเดียว ไม่ได้สงสัยในคำพูดที่สอน ไม่ว่าธรรมขั้นใดเราพูดจริง ๆ เราไม่เคยสงสัยในธรรมที่ถอดออกมาจากหัวใจเราแล้วนี่ แล้วไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าด้วยนะจะว่าอะไร ถึงขนาดนั้นนะ
อย่างพ่อแม่ครูจารย์ที่เคยพูดให้ฟัง เวลาท่านพูดธรรมะเด็ด ๆ ผาง ๆ เสร็จแล้วยกมือสาธุขึ้นเลยอย่างนี้ เห็นต่อหน้าต่อตาเราเห็นอยู่นี่นะ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม นั่นฟังซิน่ะ หลวงปู่มั่นท่านจะประมาทพระพุทธเจ้าได้ยังไง เข้าใจไหม แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม จะทูลถามหาอะไร ก็ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามหาอะไร ตรงนี้ซิตรงที่ค้านไม่ได้ใช่ไหม
เราก็กำลังเวลานั้นทั้งแทะทั้งกระดูกทั้งก้างทั้งอะไร ๆ อยู่ในนี้ เราฟังท่านแต่เราไม่ลืม เวลาท่านพูดเด็ด ๆ พูดอย่างนี้แหละ ยกมือขึ้นสาธุด้วยเห็นต่อหน้าต่อตา แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม ท่านชี้อย่างนี้ด้วยนะ ประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ถามท่านหาอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ก็ท่าน สนฺทิฏฺฐิโก แล้วนี่ ก็ถูกที่ท่านพูดแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างแล้วในผู้ปฏิบัติจะไปถามพระพุทธเจ้าอยู่ สนฺทิฏฺฐิโก คือให้รู้เองเห็นเองก็ไม่มีความหมายล่ะซิ พระวาจาของพระพุทธเจ้าที่รับสั่งนั้น สอน สนฺทิฏฺฐิโก ให้รู้เองเห็นเอง เมื่อรู้แล้วจะถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ก็ธรรมเป็นของจริง ใครรู้เข้าก็จริงด้วยกันตามขั้นของธรรมนั้น เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ไม่ได้คุย มันจวนจะตายแล้วพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ท่านทั้งหลายยังมาคิดหรือว่าหลวงตาบัวโอ้อวด หรือว่าหลวงตาบัวหาความโอ้อวดมาอวดท่านทั้งหลายเหรอ เราอยากถามอย่างนั้นนะ นี่จวนจะตายแล้ว มันจะไม่ได้อะไรเลยติดเนื้อติดตัวนี่ ถ้าว่าเรียนหนังสือก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่ ไม่ได้สนใจปฏิบัติก็เป็นหนอนแทะกระดาษล่ะซิ ถ้าตั้งใจปฏิบัติ เรียนไปปฏิบัติไปละไปถอนไปพิจารณาไป นี่เรียกว่าถูกต้อง เรียนเฉย ๆ เอาชั้นเอาภูมิเกิดประโยชน์อะไร จะผิดอะไรกับหนอนแทะกระดาษ พูดอย่างนี้ผิดเหรอ ลองดูซิน่ะ ถ้าเรียนไปนี้เรียนจนกระทั่งวันตายก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร เรียนธรรมนั้นแหละ แต่กิเลสมันแทรกอยู่ในธรรมนั่นซิ ยิ่งโอ้อวดว่าตัวเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ไปใหญ่ กิเลสพอกพูนหัวมันจนมองหาตัวไม่เห็น ก็ยังไม่รู้ นั่นเป็นยังไง ไม่ใช่หนอนแทะกระดาษจะเรียกว่าอะไร ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็รู้
นี่ก็เรียน มาพูดอยู่เวลานี้ไม่ใช่ไม่ได้เรียน มันก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ เรียนมา ว่าบาปสงสัยบาป ว่าบุญสงสัยบุญ มาตลอดเลย นรก สวรรค์ สงสัยหมด จนกระทั่งนิพพาน ก็ไปตั้งเวทีต่อยกับนิพพาน เอ๊ นิพพานมีหรือไม่มีนา โน่นน่ะเห็นไหมล่ะ นี่ละเรียนมาเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้ฆ่ากิเลสแม้ตัวเดียวออกนะถ้าไม่มีภาคปฏิบัติแทรกเข้าไปด้วยแล้ว เรียนเท่าไรก็เป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกันหมด ถ้าเรียนด้วยมีหลักปฏิบัติ มีสติปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไขถอดถอนตนไป จากการศึกษาเล่าเรียนจำมานั้น เรียกว่าเรียนด้วยปฏิบัติด้วย เป็นประโยชน์เรียนอย่างนั้น เรียนเพื่อเอาชื่อเอานามเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
นี่ก็เรียนมาแล้ว ถ้าเกิดประโยชน์จะออกมาปฏิบัติทำไม ทำไมไม่ตักตวงเอามรรคผลนิพพานให้เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะเรียนมาด้วยกันทั้งนั้นแม้แต่เด็ก นโม ตสฺส ภควโต เขาก็เรียนมา เขาก็ควรจะตั้งหน้าตั้งตาเป็นเจ้าของมรรคผลนิพพานแล้ว นี้ไม่เห็นใครเป็น แม้แต่ผู้ใหญ่หัวล้านหัวโล้นก็ไม่เป็นถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของกลาง ธรรมก็บอกว่าเหมือนแปลนก็บอกแล้ว แปลนแห่งศาสนาอยู่กับธรรมทั้งหมด กระจายออกไปตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต สัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มทั่วโลกธาตุนี้ เป็นแปลนที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ถอดออกมาสอนโลกทั้งนั้น เป็นแปลนของมรรคผลนิพพาน แต่ใครไม่ได้สนใจปฏิบัติตามนั่นซิ แล้วกอบโกยเอาตั้งแต่บาปแต่กรรม โดยลบล้างว่าบาปบุญไม่มี ๆ ยิ่งโกยเอา ๆ พวกกองรับเหมาใหญ่คือพวกมีอำนาจวาสนาเก่ง ๆ มากกว่าพระพุทธเจ้า ลบล้างพระพุทธเจ้าทั้งหมด
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่เคยมีพระองค์ใดปฏิเสธบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีทั่วแดนโลกธาตุที่ว่ามีนั้นว่าไม่มี ไม่เคยมี รับยืนยันแบบเดียวกันหมด เพราะรู้อย่างเดียวกัน เหมือนคนตาดีเห็นอะไรด้วยกันแล้วค้านกันได้ยังไง แต่คนตาบอดมันค้านวันยังค่ำนั่นแหละ มีกี่หมื่นกี่แสนคนมันก็ค้านคนตาดี นี้คนตาบอดมันเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่ให้ค้านคนตาดีคือองค์ศาสดาหรือธรรมพระพุทธเจ้าได้ยังไง มันก็ต้องค้านอยู่โดยตรงนั่นแหละ ค้านอยู่ในหัวใจมันไม่ทำตาม แบบดื้อ ๆ ด้าน ๆ
ไม่มีใครด้านยิ่งกว่าคลังกิเลสในหัวใจคนนะ พวกนี้พวกดื้อด้านที่สุด ยิ่งเรียนมาสูงเท่าไรมากเท่าไรไม่มีธรรมในใจยิ่งหนักเข้าไป เรื่องกิเลสตัณหาหนาแน่นยิ่งกว่าใคร คือผู้ใหญ่ ๆ ที่ทะนงตนสำคัญตนว่าเรียนมามาก ๆ นั่นแหละ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัตินะ ถ้ามีภาคปฏิบัติเป็นสิริมงคล ใหญ่เท่าไรยิ่งให้ความร่มเย็น ให้ความเคารพนับถือกราบไหว้บูชาแก่ผู้น้อย ๆ เป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปทั้งฆราวาสและทั้งพระนั่นแหละ ถ้าปฏิบัติดีเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรียนเป็นนกขุนทอง เป็นกระดาษเศษมาเฉย ๆ นะ นี่ได้ปฏิบัติมาแล้วไม่คุย พูดจริง ๆ ถ้าพูดเรื่องธรรม มา ถามมาว่างั้นเลย ขนาดไหนน่ะ
การเทศนาว่าการสอนโลกนี้สอนไปตามขั้นตามภูมิของคน ขั้นไหนภูมิใดสถานที่บุคคล และบริษัทบริวารมีมากมีน้อยเพียงไร จะควรเทศนาว่าการขนาดไหน จะพอเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยเพียงไร จะออกตามนั้น ๆ ให้พอเหมาะ เลยนั้นเขาก็ไม่รับประโยชน์ เทศน์ไปหาอะไร นั่น เอา มีลำดับเข้าไปอีก เอาอีก ออกอีก ๆ เอ้า. ฟาดเข้ามา ผู้ที่มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน เวลานี้ปฏิบัติจิตเป็นอย่างนั้น ๆ เอ้า. ถามมา ฟังซิน่ะ ผางทันทีเลย ถ้าเป็นรถก็ไม่ได้ติดเครื่องแหละ เหยียบคันเร่งทีเดียวผึงเลยเทียว ก็เต็มหัวใจอยู่แล้วพูดให้มันจริงอย่างนี้ มันจะตายแล้วนี่นะ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นหรือ เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กหรือ ถึงมา อิติปิโส ภควา ฯ แอ่ ๆ หลับไปทั้ง ๆ ที่ อิติปิโส ภควา ยังไม่จบ หมอนมันเก่งกว่า อิติปิโส ภควา นะทุกวันนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องการที่จะให้สวดมนต์ นั่งภาวนานี้ พวกเสื่อพวกหมอนนี้เก่งกว่าเรื่องอรรถเรื่องธรรมไปหมด มีไหมในวัดป่าบ้านตาดนี่ ทั้งพระทั้งฆราวาสอยู่นี้มีไหม ผู้ที่เอาเสื่อเอาหมอนไปแข่งธรรมพระพุทธเจ้าอยู่นี้ นึกว่าเต็มวัดนะ ตั้งแต่หลวงตาบัวลงมา ไปดูซิหลวงตาบัวนอนมาตั้งแต่วันเกิด เสื่อขาดหมอนแตกไปกี่ลูกแล้ววะ มันขาดเพราะนอนไม่หยุดนั่นเอง หมอนแตกเสื่อขาดไม่ได้ประโยชน์อะไร เห็นไหมล่ะ ต้องออกปฏิบัติซิ
เวลาปฏิบัติมันเป็นจริง ๆ จะให้ว่าไง ของจริงพูดไม่ได้มีเหรอ ตั้งแต่ของปลอมเขาประกาศกันลั่นโลก ทำอยู่อย่างนั้น ประกาศอยู่ในตัว ๆ มันยังออกได้ประกาศได้แบบหน้าด้าน ๆ สันดานหยาบไม่ได้อายธรรมเลย มันยังทำได้ ทำไมธรรมเป็นของจริง พูดไม่ได้แสดงออกไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นศาสนาก็ไม่มีในโลกละซิ นี้มันรู้จริง ๆ จะให้ว่ายังไง เต็มหัวใจอยู่นี่ เวลามันรู้มันไม่ได้มีอยู่ในความคาดความหมายนะ ที่เราคาดเราหมายมาเป็นอย่างนั้น ผลที่สุดแม้นิพพานจะเป็นอย่างนั้น ๆ เวลาผางเข้าไปแล้ว เหอ. ขึ้นเลยทันที ฟังซิน่ะ พอมันผางขึ้นมา โลกธาตุสะเทือนสะท้านไปหมด เอ้า. ฟังให้ชัดนะ เดี๋ยวหลวงตาบัวตายแล้วจะไม่มีใครพูดอย่างนี้นะ เวลาผางขึ้นมานี้เหมือนโลกธาตุสะเทือนหมดเลย พอขึ้นอย่างนั้น ทางนี้ก็ หือ. ขึ้นเลยทีเดียว ขึ้นภายในใจไม่ได้ออกคำพูดละ หือ. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ
ใครจะไปวัดรอยพระพุทธเจ้าล่ะ ไปอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า มันเป็นขึ้นมาด้วยหลักธรรมชาติที่เลิศเลอ ซึ่งตนไม่เคยคิดเคยคาดเอาไว้ในเวลานั้น มันก็ผางขึ้นมาทันที เหอ. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ๆ ขึ้นแล้ว ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ นั่นเวลามันเป็น ใครคาดไว้เมื่อไร นี่ละธรรม เวลาเกิดไม่ได้เกิดจากความคาดความหมายนะ เกิดขึ้นตามหลักธรรมชาติที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเป็นหลักธรรมชาติ เหตุถูกต้อง ผลก็ถูกต้องโดยลำดับ พอถึงขั้นเต็มที่แล้ว เหตุเต็มภูมิแล้วผลก็แสดงเต็มภูมิ ถึงขนาดที่ออกอุทานในใจเลย เหอ. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ อย่างที่เราเห็นอยู่นี่น่ะ ที่มันเป็นอยู่เวลานี้น่ะ ความหมายว่างั้น พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ อย่างที่เห็นอยู่ในหัวใจ กระจ่างแจ้งอยู่นี้
จากนั้นมาก็ประมวล ๓ รัตนะลงมาเป็นอันเดียวกัน เป็นโดยหลักธรรมชาติ เหอ. พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนั่นเห็นไหม เป็นอยู่ในหัวใจนี้แล้ว เหมือนกับว่าแม่น้ำมหาสมุทรนี้ ทำไมแม่น้ำเหล่านี้ถึงมาเป็นแม่น้ำมหาสมุทรได้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันไหลมาจากที่ต่าง ๆ บรรดาแม่น้ำทั้งหลายใช่ไหม ลงมาสู่มหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกัน แล้วใครจะไปถามแม่น้ำนี้มาจากไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ เหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ถ้าพูดหรือว่าเป็นปมอันหนึ่งที่จะจับปั๊บเข้าถึงธรรม ๆ พุทโธ เข้าถึงธรรม ธัมโม เข้าถึงธรรม สังโฆ เข้าถึงธรรม เป็นอันเดียวอยู่ในธรรม นั่น เวลามันรู้ มันรู้เป็นอันเดียว
เหอ.พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่น เราเคยคาดเคยคิดเมื่อไร นี่เป็นมหาสมุทรได้ยังไง ก็น้ำรวมตัวแล้วก็เป็นมหาสมุทรได้ ธรรมรวมตัวก็เป็นธรรมธาตุได้ ก็เป็นอย่างนั้น ธรรมธาตุจึงเทียบกับแม่น้ำมหาสมุทร แต่ที่เราเทียบมหาสมุทรที่ว่ากว้าง ๆ นี้แคบนิดเดียวนะ เราอยากเทียบธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้มากี่กัปกี่กัลปมาจนกระทั่งบัดนี้ กว้างขนาดไหน นี่ละเป็นอันเดียวกัน ๆ ฝังลงไปนั้นก็เป็นอันเดียวกัน กับน้ำหยดไหน ๆ จับตรงไหนก็เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด นี้ธรรมชาติของธรรมที่ธรรมเป็นธรรมธาตุก็เหมือนกัน ท่านจึงไม่ถามหาพระพุทธเจ้า ถามหาท่านทำไม ใครรู้ธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ใครเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ท่านบอกไว้แล้ว ให้เห็นดูซิ จะถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เหอ.พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ถามท่านทำไม นั่นเวลามันเป็น-มันเป็นอย่างนั้นนี่นะ
นี่ละธรรมถ้าปฏิบัติมันก็รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติแบบนี้มันไม่รู้ มีแต่มาอวดโม้น้ำลายกัน เรียนจบชั้นนั้นชั้นนี้เป็นบ้าน้ำลาย กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกแม้ตัวเดียวเกิดประโยชน์อะไร อย่างนี้เป็นเรื่องของกิเลสอวดตัวต่างหากไม่ใช่ธรรม ธรรมท่านไม่ได้อวด เอาแต่ความจริงออกมาล้วน ๆ ๆ พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ นี่เราจวนจะตัวแล้วนะ สอนโลก เทวบุตรเทวดาลงมานี้เราไม่เคยสะทกสะท้านในการสอน ใครจะว่าเทวบุตรเทวดามีหรือไม่มี ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน เราไม่เคยสนใจกับมัน พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เลิศของเรา ประกาศมาแล้ว เรื่องเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายเหมือนกับพุทธบริษัทเรานี้ สอนมนุษย์กับสอนเทวดา มีจำนวนมากน้อย หรือหนักเบาต่างกัน เท่ากันเหมือนกันเลย ยิ่งเทวดามีจำนวนมากยิ่งกว่ามนุษย์เรานี้เป็นไหน ๆ
มนุษย์เรานี้เต็มโลกเต็มสงสารมีสักกี่ล้านคน เทวดาเพียงชั้นดาวดึงส์ชั้นเดียวนั้น มีมากกว่านี้ขนาดไหน นั่นพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นผู้นำมาสอนโลก พวกเรามันหลับตาลบว่า เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่มี มันก็ลบกันอยู่อย่างนี้จะว่าไง แล้วก็พวกนี้แหละพวกจะบืนลงนรก พระพุทธเจ้าไม่ได้ลงนะ สอนด้วยความเมตตาต่อโลกต่างหาก เป็นยังไงเรื่องศาสนาเลิศหรือไม่เลิศ พระพุทธเจ้าเทศน์แท้ ๆ เป็นผู้สอน ศาสดาองค์เอกเป็นผู้สอนมา โลกวิทู ๆ แปลว่าอะไร แปลว่ารู้แจ้งโลก โลกนอก โลกใน รู้ตลอดทั่วถึง โลกภายในคือกิเลสตัณหาขาดสะบั้นลงจากพระทัยแล้ว โลกภายนอกเห็นหมด เป็นยังไง เพราะฉะนั้นจึงลำดับลำดามาพอประมาณ ให้พวกเราทั้งหลายได้ทราบว่า นรกมีกี่หลุม สวรรค์มีกี่ชั้น พรหมโลกมีกี่ชั้น เรียงลำดับมาให้เราทราบ เพียงเท่านี้มันก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่
พวกบ้าไก่ตาแตกเหล่านี้มันได้เรื่องได้ราวอะไร ปฏิบัติศาสนาไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วก็นับวันโจมตีศาสนาแหลกเข้า ๆ ต่อไปนี้ศาสนาจะไม่มีนะในเมืองไทยเรา จะมีตั้งแต่เรื่องกิเลสตัณหาเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนมีแต่คลังกิเลสตัณหา แล้วก็ไปที่ไหนมันก็มีแต่ความทุกข์ความทรมานทุกหย่อมหญ้า ไม่มีใครเอาความสุขมาอวดกันเลย นี่ก็เพราะเอาผลของศาสนามาระบายกันก็มีแต่กองทุกข์ละซิ ถ้าเอาธรรมมาปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น พระท่านไปอยู่ในป่าในเขา นั่นหรือว่าท่านเป็นเศษเป็นเดนของพระน่ะ พิจารณาดูซิ ท่านไปอยู่ในป่าในเขา บริขาร ๘ เท่านั้นท่านติดตัวไป มีจีวร สบง ผ้าสังฆาฏิ บาตรเท่านี้ไป เข้าป่านั้นเขาลูกนี้ นั้นหรือว่าท่านเป็นเศษมนุษย์ นั้นแหละคือคลังแห่งความสุข ธรรมอยู่ในนั้น
ท่านไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหน เวลามาหากัน เป็นยังไง ไปอยู่ป่านั้นถ้ำนี้เป็นยังไง ภาวนาเป็นยังไง โอ๋ย เวลาท่านเล่าให้ฟังนี้เพลินเลยเรา ลืมวันลืมคืน มันเพลินด้วยความรู้ความเห็นของท่านความเห็นของเรา ต่างคนต่างออกมาบรรยายต่อกัน คนนั้นเห็นยังงั้นคนนี้รู้อย่างนี้ ทั้งธรรมแก้กิเลส ทั้งธรรมปลีกย่อยที่จะรู้ในสิ่งต่างๆ กระจายออกไปจากใจนี้ เวลาเปิดออกมาแล้ว นั่นละผู้ทรงความสุข ท่านไม่ได้เอาความทุกข์มาระบายเหมือนเรานะ ท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ
เอ้า ยกตัวอย่างเช่น พระกรรมฐานที่ท่านมุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ ออกมาพูดจะมีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมพูดต่อกัน วันยังค่ำท่านพูดได้สบาย รื่นเริงบันเทิง เราวันยังค่ำมีแต่ระบายเรื่องกองทุกข์สู่กันฟังเต็มโลกเต็มสงสาร ไปที่ไหนก็ไปซิมีแต่กองทุกข์นะ ที่จะหาความสุขมาอวดกันนี้ไม่มี นี่ละอำนาจของกิเลส โทษของกิเลสที่พาลากเข็นเราให้สร้างมันขึ้นมา ก็มีแต่กองทุกข์เผาหัวเรา เรายังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่หรือ ยังเห็นว่าธรรมเป็นของไม่แปลกประหลาด ธรรมเป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กอยู่เหรอ ให้พากันพิจารณานะตั้งแต่นี้ต่อไป
หลักวิชาทั้งหลายนี้เราก็เห็นด้วยในการที่จะนำมา แต่ยังไม่เห็นด้วยที่ผู้ใหญ่ไม่สนใจ ถ้าผู้ใหญ่มีความสนใจแล้วเอาธรรมอันนี้ออกมากระจายต่อเด็ก เราจะเห็นด้วยนะ แต่ผู้ใหญ่มาทำโก้ๆ เราไม่ได้เห็นด้วยเลยนะ เพราะธรรมไม่เห็นด้วย พระพุทธเจ้าไม่ใช่มาทำโก้ๆ อย่างนี้ พระสงฆ์สาวกไม่ทำโก้ๆ อย่างนี้ ที่มาสั่งสอนสัตวโลกท่านเอามาแทบเป็นแทบตาย แล้วพวกเราจะเอาโก้ๆ อย่างนี้มาสอนเด็กเกิดประโยชน์อะไร ให้พากันไปคิดให้มากๆ นะ เอาละพอ พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้ว
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |