ที่พึ่งจากการดูจิตใจตน
วันที่ 13 กรกฎาคม. 2548
สถานที่ : บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆารวาส

ณ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)

เมื่อบ่ายวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ที่พึ่งจากการดูจิตใจตน

 

          วันนี้เป็นมหามงคลแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย มีบริษัท ทีโอที จำกัด เป็นต้น เป็นประธาน ได้ชักชวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายมารวมสถานที่นี่ โดยมีคุณจำรัส ตันตรีสุคนธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านยุทธศาสตร์เป็นประธานในงานนี้ ที่เราทั้งหลายจะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมสักทีหนึ่ง เสียงโลกเสียงสงสารมันพอเสียแล้วในหูในตาของเรา พอตื่นขึ้นมามองเห็นแล้วเรื่องโลกเรื่องสงสาร ได้ยินแล้วเรื่องโลกเรื่องสงสาร ส่วนเรื่องอรรถเรื่องธรรมมีน้อยมาก

          วันนี้เป็นโอกาสอันดีงาม ขอให้รวบรวมความสนใจทุกด้านทุกทางในการที่จะสั่งสมธรรมเข้าสู่จิตใจของตนในขณะที่ฟังเทศน์ท่าน ตะกี้นี้ท่านทั้งหลายก็ได้สมาทานศีลเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจ เสียงธรรมนี้เป็นมงคลอย่างมากทีเดียว ผิดกับเสียงอื่นๆ ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าธรรมเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ในโลกสงสารมีธรรมเท่านั้น วันนี้เป็นโอกาสอันดีงาม  สละหน้าที่การงานเวล่ำเวลาทุกอย่าง ประมวลเข้าสู่อรรถสู่ธรรมด้วยการได้ยินได้ฟังโดยความสนใจ เราจะได้อรรถได้ธรรม ในขณะที่ฟังจิตใจติดต่อสืบเนื่องกันกับเสียงธรรมเข้าสู่ใจ นี่เรียกว่าธรรมล่วงไหลเข้าสู่ใจ อย่างอื่นเข้ามาไม่ได้เวลานี้ มีแต่เรื่องของธรรม ได้ยินได้ฟังล่วงไหลเข้าสู่ใจโดยเจ้าของมีสติ คอยจดจ่อฟังเสียงอรรถเสียงธรรม

          ท่านว่าอย่างไรๆ จะมาถูกที่ตัวของเราทั้งนั้นแหละ เพราะเราเป็นภาชนะ หูก็ตั้งเป็นภาชนะ ใจรับรองเป็นภาชนะ เสียงธรรมจะล่วงไหลเข้าสู่ใจได้ง่าย และเป็นความชัดเจนต่อการได้ยินได้ฟัง ในขณะที่ฟังก็มีอานิสงส์มากอยู่แล้ว ท่านว่าไว้มีห้าประการ

          ๑.      การฟังธรรมเราจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

          ๒.      สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วแต่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น

          ๓.      หายสงสัยโดยลำดับลำดาในสิ่งที่เคยข้องใจเรื่องด้านอรรถด้านธรรม

          ๔.      จะทำความเห็นให้ถูกต้อง ทำความรู้ความเห็นของเราเข้าถูกต้อง คือเข้าถูกตามอรรถตามธรรมได้

          ๕.      นี่สำคัญมากในข้อที่ ๕ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่เป็นอานิสงส์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน ในขณะที่ฟังด้วยความจดจ่อกับธรรม เข้าสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดา จิตใจเมื่อได้รับธรรมเข้าซักฟอกในขณะฟังธรรม แม้จะเคยคิดฟุ้งซ่านรำคราญอะไรอยู่ก็ตาม พอธรรมไหลเข้าสู่ใจ จิตใจจะจดจ่อรับเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าไป ใจจะสงบเย็นในขณะที่ฟัง ท่านจึงเรียกว่าจะได้รับผล คือความสงบ ใจสงบแล้วก็จะผ่องใส นี่เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ สำหรับผู้ฟังธรรม ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปปฏิบัติ

          เรื่องธรรมเป็นสิ่งที่เลิศเลอมาแล้วแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ประกาศสอนโลกมาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ คือพระสมณโคดมของเรา ก็ประกาศธรรมสอนโลกแทนองค์ศาสดาผู้นิพพานไปแล้วอยู่ตลอดมาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว ธรรมเหล่านี้คือองค์ศาสดา ประกาศสอนพวกเราทั้งหลายให้รู้แง่ทางเดิน ความเคลื่อนไหวไปมาแห่งความประพฤติ หน้าที่การงาน ซึ่งออกจากจิตใจที่เป็นผู้บ่งการ  ควรจะได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีจากธรรมทั้งหลาย

          การประพฤติตัวก็จะไม่ผิดพลาดไปง่ายๆ ผิดกับคนที่ไม่เคยสนใจในอรรถในธรรม มีแต่ความผิดพลาดไปตลอด สร้างความชั่วขึ้นภายในจิตใจของตัวแล้ว ยังทำความกระทบกระเทือนแก่ผู้อื่นได้มากมาย นี่เป็นเรื่องของกิเลสของโลกเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อธรรมเข้าสู่ใจแล้วย่อมมีการพินิจพิจารณาใคร่ครวญความผิดถูกชั่วดี แล้วนำออกไปประพฤติตัวเอง และหน้าที่การงานก็ไม่ค่อยผิดพลาด เรียกว่าธรรม ธรรมคือความพอดีที่จะให้เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย

วันนี้ท่านทั้งหลายก็มาได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมจากพระที่ท่านกำลังแสดงอยู่นี้ ก็นับว่าเป็นมงคล ขณะนี้จิตใจของเรากำลังตักตวงเอาอรรถเอาธรรมเข้าสู่ใจของตนเอง  แล้วจะเป็นผลปรากฏขึ้นให้เป็นความสงบร่มเย็นในขณะฟัง จากนั้นแล้วก็จะเป็นคติเครื่องเตือนใจตัวเองไปตลอด คนที่มีธรรมในใจกับคนไม่มีธรรมในใจนี้ ความสุขความทุกข์ผิดกันอยู่มากทีเดียว ผู้มีธรรมในใจความสุขจะมีติดแนบภายในจิตใจ ถ้าผู้ไม่มีธรรมในใจแม้จะได้รับการยกยอสรรเสริญขนาดไหนก็ตาม ว่าเป็นคนดิบคนดีเท่าไรก็ตาม แต่เรื่องความทุกข์ผู้นั้นจะแบกหามอยู่อย่างลึกลับภายในจิตใจโดยไม่มีใครทราบได้เลย

สำหรับผู้มีธรรมนั้นเป็นความสงบร่มเย็น มีหลักใจ นี่ต่างกันตรงนี้นะ ธรรมคือความถูกต้องดีงาม ทางกิริยาแสดงออกทุกอย่างเป็นความถูกต้องดีงาม จิตใจได้รับอรรถรับธรรมแล้วมีความสงบร่มเย็น ใจสงบร่มเย็นเราไม่เคยเห็นนะ เพราะเราไม่เคยเสาะแสวงหา หนึ่ง เราเสาะแสวงหาบ้างเล็กๆ น้อยๆ นั่นหนึ่ง และไม่เคยสนใจ นั่นหนึ่ง ใจจึงหาความสงบไม่ได้ เสาะแสวงหาหมายถึงเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ให้มีความสงบ

รากฐานของพุทธศาสนาก็คือการดูใจตัวเอง ท่านเรียกว่าจิตตภาวนา คือดูใจตัวเองซึ่งเป็นเหมือนกังหันหมุนอยู่ทั้งวันทั้งคืน เว้นแต่หลับเท่านั้น นี่คือใจ ที่เป็นมหาเหตุ รวมไว้ในบรรดาเหตุการณ์ต่างๆ จะมาอยู่ที่ใจ เป็นผู้สั่งการสั่งงานและผลักดันออกไปให้คิดให้พูดให้จาให้กระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจ ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วจะออกไปในทางต่ำช้าเลวทรามเป็นส่วนมากๆ จนกระทั่งผู้นั้นลืมเนื้อลืมตัว เสียผู้เสียคน หมดคุณค่าหมดราคา ทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์อยู่เหมือนโลกเขา แต่คุณค่าราคาภายในจิตใจไม่มีเลย

ส่วนผู้มีธรรมในใจได้ยินได้ฟังแล้วนำไปอบรมจิตใจตน ดูความเคลื่อนไหวของใจ ทางพุทธศาสนาท่านให้ชื่อให้นามว่าภาวนา แปลว่าการอบรมบ่มอินทรีย์ให้มีความแก่กล้าสามารถในเหตุการณ์ต่างๆ รู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี จากการอบรมจิตใจที่เรียกว่าภาวนา คนใดที่มีจิตใจจดจ่อเข้าสู่ดวงใจของตนเองบ้าง คนนั้นจะเริ่มรู้ดีรู้ชั่วที่เกิดเป็นความเคลื่อนไหวของตัวเองได้เป็นอย่างดีโดยลำดับ เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้อบรมภาวนา

พระพุทธศาสนานี้ การภาวนา จิตตภาวนาเป็นรากแก้วของพุทธศาสนา การทำบุญให้ทานต่างๆ มากน้อย ตลอดรักษาศีล นี่เป็นกิ่งก้านของจิตตภาวนา ภาวนาเป็นรากแก้วของพุทธศาสนา เราทั้งหลายซึ่งเป็นลูกชาวพุทธควรจะได้รากแก้วนี้มาชมด้วยวิธีการนั่งภาวนาให้จิตสงบร่มเย็น ดูใจของเรานี้บ้าง จะเห็นความสงบร่มเย็น แล้วเราจะได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จิตใจนี้ปรุงแต่งทั้งวันทั้งคืน ไม่ทราบว่าปรุงแต่งเรื่องอะไร ท่านเรียกว่าสังขาร คือความคิดความปรุงอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ใจของเรานี้ ไม่มีหยุดมีถอย ส่วนมากเป็นทางเดินของกิเลสที่จะทำเจ้าของให้ต่ำทรามลงไปโดยลำดับ ถ้าต่ำมากกว่านั้นก็เรียกว่าหมดคุณค่าหมดราคา นี่คือความคิดความปรุงที่ไม่มีธรรมแทรก ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้ภาวนากัน

วันนี้จึงพูดเรื่องภาวนาบ้าง ให้พี่น้องทั้งหลายลูกหลานทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ว่าถือพุทธศาสนานั้นถืออย่างไร ใครเป็นต้นเหตุของศาสนา ท่านทำอย่างไรถึงได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นศาสดาสอนเราอยู่เวลานี้ ถึงกับเราได้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ถือพระพุทธเจ้าเป็นดวงใจฝากเป็นฝากตายจริงๆ ท่านดำเนินมาอย่างไร พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชเพราะไปบำเพ็ญภาวนา นี่คือภาวนาทีนี้ ย่นเข้ามาภาวนา ดูดวงใจที่มันเป็นนักท่องเที่ยว ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายในภพชาติต่างๆ ด้วยความเกิดแก่เจ็บตายของตนที่หมุนอยู่ไม่หยุดไม่ถอยนั้นแหละ

ดูเข้าไปต้นเหตุแห่งจิตใจที่เป็นนักท่องเที่ยว คำว่านักท่องเที่ยวได้แก่มันเกิดมันตาย ไม่หยุดไม่ถอย คือใจดวงนี้ของแต่ละคนๆ แต่ละสัตว์ๆ ใจดวงนี้ไม่เคยตาย จำคำนี้ให้แน่นอน ท่านทั้งหลายจะได้มีหลักยึดเอาไว้ อะไรๆ ก็กลัวจะฉิบหายวายปวง ใจก็จะฉิบหาย ไม่ได้นะ ใจนี่เป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม ถ้าเป็นกรรมดีก็เป็นเครื่องสนับสนุนตน ถ้าเป็นกรรมชั่วก็เป็นเครื่องบีบบังคับจิตใจให้ไปเกิดในสถานที่ต่างๆ สถานที่เกิดของสัตว์นั้นไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ภพชาติของสัตว์ในโลกอันนี้มีจำนวนมากต่อมาก เราเกิดได้ทุกแห่งทุกหนทุกภพทุกชาติ ตามแต่กรรมของเราที่ทำไปแล้วจะอำนวยในทางใด

ถ้าทำกรรมชั่ว สิ่งที่ชั่วสัตว์ที่ชั่วซึ่งได้รับความลำบากลำบนทนทุกข์ทรมานอยู่นั้น ก็ไปจากคนทำชั่วนี้แหละ เราทำชั่วแล้วอำนาจแห่งความชั่วนี้จะผลักดันให้ไปเกิดในที่ต่างๆ ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ท่านจึงเรียกว่านักท่องเที่ยว นักสมบุกสมบันคือใจ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย ออกจากภพนี้ไปภพนั้น คำว่าเกิดได้แก่การเข้าไปปฏิสนธิวิญญาณในสัตว์หรือบุคคลใดก็ตามเรียกว่าเกิด พอสภาพนั้นที่จิตเข้าไปอาศัยนั้นสลายตัวไปเรียกว่าตาย เช่นอย่างมนุษย์เรานี้เกิดแล้วตาย นี่ละดูเอาอย่างนี้ แต่ใจนั้นไม่เคยตาย ใจนี้ไม่เคยตาย และออกอีก

ออกจากร่างนี้แล้วจะไปเกิดในภพใดชาติใด ก็เหมือนบ้านหลังนี้มันร้างแล้ว อยู่ไม่ได้ ต้องออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่ใหม่ อยู่ที่ใหม่จะต้องไปสร้างบ้านใหม่หลังใหม่ขึ้นมา บ้านหลังใหม่ภพใหม่นั้นขึ้นอยู่กับทุนรอนของเรา เรามีสมบัติเงินทองมากน้อยเพียงไร ที่เราจะไปอยู่ในบ้านหน้าหรือภพหน้านั้นเป็นภพเช่นไร ถ้าเรามีแต่บาปแต่กรรม สร้างแต่บาปแต่กรรม ออกจากภพมนุษย์นี้ ร่างมนุษย์เรือนมนุษย์นี้แล้วจะโดดลงไปภพต่ำลงไปโดยลำดับ กลายเป็นภพของสัตว์ ภพของเปรตของผี ของกบของเขียด สัตว์ประเภทต่างๆ ไปได้หมดจิตดวงนี้ ตามแต่กรรมที่จะผลักไสให้ไปจากการทำชั่วของตัวเองนั้นแล

เรื่องให้จิตสูญนี้ไม่สูญ ใจนี้ไม่เคยสูญไม่เคยตาย ที่ว่าเกิดตายเกิดตายหมายถึงเข้าร่างนั้นออกร่างนี้เพียงเท่านั้นเอง เวลาไปเกิดก็ไปเกิดตามบุญตามกรรม ถ้าผู้มีกรรมมากกรรมน้อยในทางชั่วก็ลงไปจนกระทั่งถึงนรกอเวจี นี่เป็นสถานที่เกิดและทรมานของสัตว์ผู้ทำชั่วช้าลามกทั้งนั้น แยกออกมาอีก ถ้าเป็นกรรมดีออกจากอัตภาพนี้แล้ว ก็เหมือนเรามีทรัพย์สมบัติเงินทอง จะไปปลูกบ้านปลูกเรือนใหญ่โตรโหฐานขนาดไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติของเรา

ทรัพย์สมบัติก็คือธรรมสมบัติของเราที่ได้สร้างไว้โดยลำดับลำดา ออกจากภพนี้ เช่นเป็นภพมนุษย์นี้ จากภพมนุษย์นี้แล้วขึ้นเป็นภพถึงเทวดา อินทร์ พรหมไปได้  นั่น เทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งๆ อายุอานามต่างกันกับเรามาก เช่นของเราวันหนึ่งร้อยวัน ก็จะเป็นครู่หนึ่งยามหนึ่งในสวรรค์เพียงเท่านั้น สวรรค์ยังอายุยืนนานยิ่งกว่านี้อีก นี่มีบุญมีกุศลเราก็ไปสวรรค์ได้ สวรรค์มีกี่ชั้นท่านแสดงไว้ถึง ๖ ชั้น นี้เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน มีบุญมากๆ ๆ ขึ้นไปๆ จนกระทั่งถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้น นี้เป็นที่อยู่ที่อาศัยที่เสวยของผู้มีบุญเป็นลำดับลำดา ตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตนๆ จากใจดวงที่ไม่ตายนี้แล

นี่ละเรียกว่ามีสมบัติ มีคุณธรรม มีบุญมีกุศล ก็ย้ายภพย้ายชาติจากมนุษย์นี้เป็นภพชาติที่สูงกว่ามนุษย์ขึ้นไปเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพรหมโลก นั่นละเมื่อบุญกุศลมีมากเท่าไรก็สูงส่งขึ้นจนกระทั่งถึงนิพพานได้ เพราะการสร้างความดีส่งหนุนจิตใจของตนให้ขึ้นจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง นี่ละจิตดวงนี้ไม่ตายอย่างนี้เอง ถ้าทำชั่วลงไปจนเป็นเปรตเป็นผีตกนรกอเวจี นรกอเวจีนี้เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของนรกอเวจี สัตว์ทั้งหลายตกนรกนี้หลายกัปหลายกัลป์กว่าจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานแสนสาหัสขึ้นมา เปลี่ยนแปลงขึ้นมาช้าๆ เพราะในสมมุตินี้เป็นโลกอนิจจัง มีความเปลี่ยนแปลงได้ มีช้ากับเร็วต่างกันเท่านั้น ลงไปอยู่โน้นใจก็ไม่ตาย ทนทุกข์ทรมานขนาดไหนยมรับว่าทุกข์ ยอมรับว่าทรมาน แต่ไม่ฉิบหายคือใจดวงนี้

เมื่อหมดกรรมสิ้นกรรมนั้นแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงดีขึ้นมาๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีที่ตนเคยสร้างเอาไว้ แล้วหมุนตัวขึ้นมาจนมาเป็นมนุษย์เทวดาอินทร์พรหม จากนั้นบุญกุศลสูงส่งจากการทำความดีของตนพ้นทุกข์ถึงนิพพาน ถึงนิพพานแล้วใจดวงนี้ก็ไม่สูญ พอถึงนั้นแล้วเรียกว่าหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแสดงความแปรปรวนขึ้นมาในจิตดวงนั้น ท่านว่าธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุล้วนๆ แล้วจากการภาวนานี้แหละ แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จิตดวงนั้นก็เป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าสูญว่าสิ้นไปไหนเลย

นี่จิตดวงนี้เป็นตัวยืนโรงทีเดียว เป็นตัวรับทั้งความสุขความทุกข์ เราเป็นผู้รับผิดชอบในจิตของเรา ทำอะไรอย่าเห็นแต่ความเพลิดความเพลิน ทำตามความทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหลอกสัตว์โลกให้ลุ่มหลงเป็นลำดับ แล้วลงทางต่ำมีความทุกข์ความทรมานเป็นลำดับ ไม่มีความหมายในภพชาติหนึ่งๆ มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเผารนอยู่นี้ ไม่สมควรแก่เราที่เป็นมนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่งพวกเราทั้งหลายเป็นลูกชาวพุทธให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ นี้พูดอย่างเด็ดอย่างขาด ไม่มีสอง เป็นหนึ่งทั้งนั้น พระพุทธเจ้ารับสั่งอะไรแล้วไม่มีผิดมีพลาด ว่าบาปมีนี่คือพระองค์รับสั่งเอง เราจะลบว่าไม่มีไม่ได้ เหมือนอย่างไฟ ไฟมีอยู่นี้ เราจะบอกไฟไม่มี มือจ่อเข้าไปความร้อนจะโดนกับเรานั้นแหละ ว่าบาปมี เราทำบาปลงไปก็จะมาเผาหัวใจของเรานั่นแหละ เรื่อยๆ บุญมี เราสร้างคุณงามความดี บุญก็มีขึ้นที่ใจของเรา

นี้ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาโกหกหลอกลวงโลกเลยแม้พระองค์เดียว มีแต่สั่งสอนด้วยความสัตย์ความจริงและแม่นยำตลอดไป ท่านจึงให้ชื่อว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ว่าบาปมี มีจริงๆ บุญมี มีจริงๆ นรก สวรรค์ เปรต ผี อสูรกายอะไรมี มีจริงๆ ด้วยพระญาณหยั่งทราบเห็นตลอดทั่วถึงแล้ว จึงได้มาสั่งสอนโลก ในทางที่ชั่วก็สอนให้ละ ในทางที่ดีก็สอนให้บำเพ็ญ บอกภพต่ำภพสูง ภพชั่วภพดี บอกไว้หมด เป็นความทุกข์ภพนั้นจะเป็นทุกข์เพราะบาปเพราะกรรม ท่านแนะนำ ต้นเหตุคือการสร้างการทำ ทำบาปจะเป็นทางต่ำทรามได้รับความทุกข์ ทำดีจะเป็นความดี เป็นความสุขความเจริญ ทรงสั่งสอนไว้ทั้งทางถูกและทางผิด ให้ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตนเอง

คำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นคำพูดที่แม่นยำ เป็นคำพูดที่ลบล้างไม่ได้เลย ใครจะมาลบล้างถึงสามแดนโลกธาตุว่าบาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนี้ว่าไม่มี มีอยู่ตลอดตั้งแต่พวกเราที่มาลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มี ยังไม่เกิด ธรรมชาตินี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เพียงเราที่จะมาลบล้างนี้จะมีอำนาจบาตรหลวงมาจากไหน ถ้ามีอำนาจบาตรหลวงพระพุทธเจ้าลบล้างก่อนพวกเราแล้ว ยิ่งนรกด้วยแล้วท่านจะปิดทำลายให้หมด ไม่ว่าหลุมใดๆ พวกภพของเปรตของผีทั้งหลายนี้ ท่านจะลบให้หมดไม่ให้มี จะให้มีแต่ภพที่รื่นเริงบันเทิง เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จนกระทั่งถึงนิพพานให้พวกเรา นอกนั้นพระพุทธเจ้าจะทำลายให้หมด ไม่ให้มีเหลือ แต่มันทำลายไม่ได้

ถึงขนาดพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ก็มาเห็นสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ยังไม่เกิด สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว แล้วจะลบล้างมันให้สูญหายไปได้อย่างไร เมื่อลบล้างให้สูญหายไม่ได้ และส่งเสริมสิ่งที่ดีไม่ได้แล้วก็ต้องปฏิบัติตน  คือสิ่งที่ไม่ดีอย่าทำ ทำแล้วจะลงนรกแน่นอน ผู้ทำดีทำแล้วต้องไปทางดี มีสวรรค์เป็นต้น แน่นอน นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม เป็นคำสอนที่ถูกต้องแม่นยำ เพื่อสัตว์ทั้งหลายจะได้ดำเนินตาม แล้วจะได้ถูกต้อง

ภพชาตินี้จะเกิดไปในภพชาติใด ถ้าเกิดไปด้วยศีลด้วยธรรมแล้วจะมีแต่ภพที่เกษมสันต์บานใจตลอดไป ถ้าทำด้วยความรื่นเริงบันเทิง ไม่คิดหน้าอ่านหลัง เอาความเพลิดเพลินเป็นตัวการแล้วนั้นน่ะจะฉุดลากลงนรกอเวจีได้นะ ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิดอ่านให้มากนะ พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ใหญ่โต ครอบหัวใจของสัตว์ทั้งสามแดนโลกธาตุ ประมวลเข้ามาสู่ความรู้ความเห็นของพระพุทธเจ้าทั้งหมด การแสดงออกทุกด้านทุกทางจึงไม่ผิดพลาด นอกจากพวกเราเป็นคนหูหนวกตาบอด มักอวดดีเสมอ และไปลบล้างธรรมแห่งจอมปราชญ์ทั้งหลาย แล้วเอาความจอมปลอมของตัวเองไปใส่ โปะเข้าไป เหมือนมูตรเหมือนคูถยกขึ้นไปกลบทองคำ แข่งกับทองคำ

ทองคำเป็นทองคำ มูตรคูถนี้เอาขึ้นสูงขนาดไหน มันก็เหม็นคลุ้งขึ้นไปหมดขนาดนั้น อย่างปัจจุบันเอาขึ้นไปอยู่บนดาวเทียม เอามูตรเอาคูถไปดมอยู่บนดาวเทียมมันจะเหม็นไหม เราดมอยู่เมืองมนุษย์นี้มูตรคูถมันเหม็น เอาขึ้นไปดมอยู่บนจรวดดาวเทียมมันก็จะไปเหม็นอยู่บนจรวดดาวเทียม นี่แหละความชั่ว เหมือนมูตรเหมือนคูถ ไปไหนเหม็นหมดอย่างนี้ เจ้าของไปไหนมันก็เหมือนมูตรคูถไป เพราะตัวทำตัวให้เป็นมูตรเป็นคูถ ไปที่ไหนเหม็นคลุ้งตัวเอง หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้

การเพลิดการเพลิน เพลินไปๆ พอคิดย้อนมาหาหลักยึด ความเป็นความตาย การไปเกิดในสถานที่ใดๆ ซึ่งเป็นหลักของใจไม่มี มองเห็นแต่ความเพลิดความเพลินมีแต่สร้างความเสียหายให้แก่ตนๆ คนเราอยู่ได้อย่างไร พิจารณาให้ดีนะ เราเป็นตัวผู้รับประกันตัวเราเอง รับผิดชอบของตน นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักอื่นเสมอรักตนไม่มี เรารักตนๆ ด้วยกันโดยหลักธรรมชาติ แม้แต่สัตว์เขาก็รักตัวของเขา เรารักตัวของเรามีอุบายวิธีการที่จะปฏิบัติตัวให้ถูกต้องดีงามยิ่งกว่าสัตว์ เราก็ให้ปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้นะ ตายแล้วนิมนต์พระมากุสลาไม่เกิดประโยชน์ สร้างความเฉลียวฉลาดเพื่อรักษาตนเองเสียตั้งแต่บัดนี้

การได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเป็นมงคลสูงสุดนะ วันนี้เป็นวันมงคลอันสูงสุดแก่เราทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟัง ท่านจึงสอนให้ภาวนา ภาวนาคือให้ดูใจของเรา ใจนี้เป็นตัวนักดิ้นนักดีดตลอดเวลา แล้วมันดิ้นไปทางไหน มีแต่ดิ้นเข้าฟืนเข้าไฟเผาไหม้ตัวเอง ส่วนมากเป็นอย่างนั้น ที่จะดิ้นเข้าหาอรรถหาธรรม หาคุณงามความดีมาชะโลมจิตใจ บำรุงใจให้สง่างามและผ่องใส มีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นมาไม่ค่อยมีและไม่มี นี่สำคัญมาก ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้รับผิดชอบเรา แต่หายาพิษมาเผาตน ด้วยความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนวตลอดเวลา นี่เรียกว่าเราเป็นเพชฌฆาตสังหารตัวเราเอง ทำลายตัวเราเองไม่สมควร

          ธรรมของพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนี้คือน้ำดับไฟ เครื่องปัดเป่าความทุกข์ทั้งหลายความชั่วทั้งหลาย ก็คือธรรม ต้องเอามาปัดมาเป่าป้องกันตัว คนเรานี้จะมีที่ยึดมีที่เกาะ เราระลึกถึงบุญถึงกรรม จิตใจของเราไม่อาศัยนะสิ่งภายนอก ตึกรามบ้านช่องจะสร้างให้ได้ร้อยชั้นก็ตามมันก็เป็นอิฐปูนหินทรายอยู่นั้นละ มันไม่ใช่บุญไม่ใช่กุศลที่จะหนุนจิตใจให้พ้นจากทุกข์ได้ อันนี้เพียงอาศัยในร่างกายที่เป็นธาตุเป็นขันธ์ ไปอยู่ชั้นไหนๆ ก็ร่างกายอันนี้ละไปเสวยไปนั่งอยู่ ก็เป็นกองทุกข์เหมือนโลกทั่วๆ ไป เพราะกิเลสมันตามเหยียบย่ำไปหมดทุกชั้น ขึ้นไปอยู่บนจรวดดาวเทียมกิเลสก็เผาอยู่ในหัวใจของคนที่ไปอยู่บนจรวดดาวเทียม ไปเรือเหาะเรือบินบนฟ้าที่ไหนก็ตาม กิเลสมันอยู่ในหัวใจของคน มันก็ไปบีบอยู่ในนั้น

          เราอย่าเข้าใจว่าคนอยู่บนเครื่องบินจะมีความสุข คนที่ไปอยู่บนจรวดดาวเทียมอวกาศอวแกตอะไรๆ จะเป็นผู้มีความสุข ไม่มีเหมือนเรานี่แหละ ถ้ากิเลสลงได้เหยียบอยู่ในหัวใจไปที่ไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟด้วยกัน ลงในน้ำบนบกเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนกันหมด เพราะตัวนี้เป็นไฟ ไปที่ไหนแบกไฟติดไปมันก็เผาตัวไปเรื่อยๆ นี่คือกิเลส และสัตว์โลกชอบมากนะ กิเลสตัวนี้คืออะไร คือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี่ตัวสำคัญ ราคะตัณหานี้เป็นตัวทวีรุนแรงมากนะ ทำสัตว์โลกให้ฉิบหายป่นปี้ไปต่อหน้าต่อตาคือราคะตัณหา

          ยิ่งพอใจกันส่งเสริมมัน ใครที่จะระงับดับมันให้พออยู่ได้ตามหลักของศีลธรรมแห่งชาวพุทธของเราไม่ค่อยมีผู้สนใจ มักจะเตลิดเปิดเปิง ปีนไปเรื่อยละ ปีนลูกกรงไปเรื่อย ตกแต่ความทุกข์ความลำบากลำบน นี่เรียกว่ากิเลส ตัวนี้มันเป็นภัย สิ่งที่มันหลอกให้เราชอบนั้นคือกิเลสตัวชักจูงไป เมื่อเราทำแล้วผลนั้นมันกลายเป็นตรงกันข้ามเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนไปหมด นี่เรียกว่ากิเลส ให้พากันจำเอานะ ถ้าไม่รู้ว่ากิเลส ใครเป็นกิเลสคือตัวของเรา ใครดื้อมากคนนั้นเศรษฐีกิเลส เศรษฐีกิเลสพาคนให้จม เศรษฐีสมบัติเงินทองพาคนให้มีความสุขความเจริญเย็นอกเย็นใจ เศรษฐีธรรมทำบุคคลให้มีความรื่นเริงบันเทิงสุดยอดแห่งความสุขทั้งหลายเลย นี่เรียกว่าเศรษฐีธรรม

          เราอย่าให้มีแต่เศรษฐีกิเลสเศรษฐีราคะตัณหา ผัวมากเมียมากเท่าไรยิ่งดีในหัวใจ นี่แหละสำคัญอันนี้นะ ฝ่ายหนึ่งอกจะแตก ฝ่ายหนึ่งเพลินตายอยู่ พอออกจากเมียไปแล้วมองเห็นผู้หญิงคนไหนสวยงามไปหมด เมียอยู่ข้างหลังไม่ได้มองนะ กิเลสตัวนี้มันไม่สนใจกับเมียตัวเองนะ มันจะสอดส่องไปผู้หญิงที่ไหนๆ สวยงามหมด ถ้าผู้หญิงตัวคึกตัวคะนองตัวแสบมันก็แบบเดียวกัน ผัวอยู่ข้างหลังมันก็ไม่มอง มันมองตั้งแต่ไอ้หนูนี้สวยไอ้หนูนี้งาม ไอ้เฒ่าอยู่ข้างหลังไม่ดูเลยนะ     นี่ละกิเลสตัวนี้ มันเอาไฟมาเผาตัวเอง เผาครอบครัวเหย้าเรือน

          นี่ละราคะตัณหามันมีมากเท่าไรเผามากเท่านั้นนะ แล้วโลกยิ่งชอบเสียด้วยๆ  ธรรมตีเข้าไปซิ อยากให้สงบร่มเย็นตามฐานะของบุคคลผู้มีขื่อมีแปคือธรรม เป็นเครื่องพร่ำสอน ควรระมัดระวังทุกคน อย่าให้เตลิดเปิดเปิง การทำหน้าที่การงานทุกอย่างเราก็เพื่อความสุขความเจริญความอยู่สบายของเรา แต่อย่าไปสร้างอันนี้ให้เสริมขึ้นเป็นไฟมาเผา เหมือนว่าตึกทั้งหลังสร้างมาแทบเป็นแทบตาย ไม้ขีดไฟก้านเดียวจ่อเข้าไปเผาแหลกหมดเลย อันนี้ราคะตัณหานี้แหลกหมดนะ โดดใส่คนนั้นโดดใส่คนนี้ ใส่หญิงคนนั้นใส่ชายคนนี้ นี่ราคะตัณหาตัวนี้กำลังกำเริบเสิบสาน

          ท่านทั้งหลายจำให้ดี มันอยู่กับหัวใจใคร มีด้วยกันทุกคน รู้ด้วยกันทุกคน ให้เอาน้ำดับไฟจี้เข้าไปๆ ให้พอดีๆ อปฺปิจฺฉตา  ผัวเดียวเมียเดียวนี้เลิศที่สุดแล้วสำหรับการ

ครองเรือนแห่งมนุษย์ของเรา นอกจากนี้แหลกไปทั้งนั้นแหละน่ะ อปฺปิจฺฉตา ให้มีผัวเดียวเมียเดียว นอกจากนั้นอย่าไปยุ่ง นี่เอาศีลธรรมตัดเข้าไปๆ ถ้าศีลธรรมนี้อ่อนแล้วแหลกนะ ให้พากันระมัดระวังให้ดี เรื่องศีลเรื่องธรรม ศีลกาเมสุมิฉาจาร ตัวดื้อด้านที่สุดคือตัวนี้เอง ตัวที่สร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้กันก็ตัวนี้เอง มันมีอยู่ไหมในหัวใจของเรา มันคึกมันคะนองอยู่ตลอดเวลาในหัวใจ มันไม่มีได้อย่างไร เป็นแต่เพียงมันใช้กิริยานิ่มนวลอ่อนหวานมาดูกันประดับร้านสวยงามไปเท่านั้น แต่ตัวมันเองลิงสู้ไม่ได้นะ

          ลิงนี่เป็นอย่างไร เร็วขนาดไหน ราคะตัณหาเร็วกว่านั้นอีก ได้เมียหนึ่งไม่พอเอาสองเมีย ร้อยเมียมันก็ไม่พอ ฟาดพันเมียก็ยิ่งดี ลิงตัวนี้นะ มันยิ่งดีดยิ่งดิ้นลิงตัวนี้ ได้มาเท่าไรยิ่งเสริมลิงให้มันดีดเข้าไป เป็นอย่างไรมันดีไหม แล้วภายในบ้านของเราเป็นอย่างไร ครอบครัวเหย้าเรือน อกแทบแตก ลูกเต้าหลานเหลนอยู่ในนั้น วงสกุลนั้นเหลวแหลกแหวกแนวไปหมด ไม่มีใครมองหน้า บรรดาผู้มีศีลมีธรรมไม่อยากมองนะ  มีแต่พวกมองหน้ากันมีแต่ความทุกข์เผากันอยู่เท่านั้นนั่นละ นี่อำนาจแห่งราคะตัณหา มันเผาไหม้ได้อย่างนี้

          ให้ท่านทั้งหลายรักษากัน รักกัน ผัวเมียรักกัน ครอบครัวเหย้าเรือนรักกัน วงศ์ของเรารักกัน ให้รักด้วยความรักศีลรักธรรมนะ อย่าไปรักอย่างอื่นผิดทั้งนั้น เอาศีลธรรมครอบไว้แล้วรักถูกต้องไปหมดนะ ให้มีความสงบร่มเย็น มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ผู้หญิงมีหัวใจ ผู้ชายมีหัวใจด้วยกัน น้ำหนักมีเท่ากัน รักเท่ากัน มีคุณค่าเท่ากัน อย่าไปแตะต้องทำลายหัวใจซึ่งกันและกันจะเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรง เอาศีลคือกาเมสุมิฉาจารตีเข้าไปให้มันแหลกเลย ถ้ามันดื้อด้านเข้าไป ดื้อด้านเข้าไป ไล่เบี้ยมันเข้าไปซิ ถ้าเมียเรารู้สึกว่าจะแก่ไปแล้วสู้อีสาวนั่นไม่ได้นะ มันจะไปอย่างนั้นนะ

          อีสาวนั้นมันมีกี่อัน นั่น ตีเข้ามาซิ อีสาวนั่นมันมีกี่อัน เมียของแกมีกี่อัน อีสาวมันมีสิบอันหรือ เมียเรามีอันเดียวสู้มันไม่ได้ ถ้าสู้มันไม่ได้ก็ไปเอามันมา ถ้ามีอย่างเดียวกันก็ตีหน้าผาก เปรี้ยะมึงอย่าเป็นบ้า ให้สอนมันอย่างนั้นซิ กิเลสตัวมันรุนแรง ธรรมะต้องรุนแรง กิเลสหนักธรรมะเครื่องปราบมันต้องหนัก ไม่หนักไม่ได้นะ โลกจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดศีลขาดธรรมเสียอย่างเดียว เป็นหมาไปหมด หมายังไม่ค่อยมีอะไรถือสานะ มนุษย์เป็นนี้ร้ายแรงมาก เสียกันไปหมด ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ

          นี่พูดถึงเรื่องมาถึงศีลข้อนี้เป็นสำคัญมาก ต้องเอาศีลข้อนี้บังคับ กาเมสุมิฉาจาร มันดีดมันดิ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งหญิงทั้งชาย อยู่ด้วยกันเรียบๆ เฉยๆ แต่ตัวหัวใจมันดิ้นนี่นะ เช่นอย่างเรานั่งอยู่นี้ เอาดูซิน่ะ มองไปปั๊บเห็นผู้หญิง แหม สาวนี่สวยงาม หญิงคนนี้สวยงาม ผู้หญิงเห็นผู้ชายนี้ แหม ไอ้นี่หล่อนะ ดีไม่ดีเอามาแข่งผัวตัวเองด้วย ผัวเราสู้ไม่ได้ มันจะวิ่งตามเขาแล้วนะนั่น ใจมันวิ่งแล้วนะนั่น เห็นไหมก่อไฟขึ้นมาแล้ว นี่แหละเรื่องตัวนี้ไม่พอ ให้พากันจำ จำเอาทุกคน ชายใดหญิงใดก็ตาม อันเดียวกันกับเมียของเรา อันเดียวกันกับผัวของเรา มีเท่ากันหมด

          เราอย่าตื่นอย่าเต้นอย่าดีดอย่าดิ้น ให้ยินดีในของที่ตนมีอยู่ ผัวเดียวเมียเดียวยินดีต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน อย่าพลิกอย่าแพลง อย่าใช้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลส จะเอาไฟมาเผาหัวอกกัน ต่างคนต่างมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันแล้ว จะอยู่เป็นสุข เงินหมื่นเงินแสนเงินล้านสู้ไม่ได้นะ เงินหมื่นเงินแสนเงินล้านนี้มีเท่าไรเอาไปปรนปรือสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเข้ามาเผาแหลกได้เหมือนกัน คนไม่มีเงินหมื่นเงินแสน แต่มีความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริตต่อกันผัวเดียวเมียเดียวคนนี้มีความสุขมาก เป็นความอบอุ่นมากทีเดียว ไม่ได้เหมือนสิ่งอื่นนะ

          คนเราอบอุ่นอยู่ที่หัวใจกับธรรม ต่างคนต่างมีหัวใจมีธรรมด้วยกันแล้ว กลมกลืนกันมีความจงรักภักดีฝากเป็นฝากตายกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าฝ่ายผัวฝ่ายเมีย ขอให้มีธรรมในใจ นี่เศรษฐีสู้ไม่ได้นะ ความสุขความสงบเย็นใจ สุขไปตลอดถึงลูกถึงหลาน โคตรวงศ์ของเราเป็นโคตรวงศ์ที่ดี ไม่ปีนเกลียว ไม่ปีนไปนรกอเวจี โคตรวงศ์ที่ดี สกุลที่ดี ใครก็ถือเป็นตัวอย่างได้ สง่างาม นี่ละให้จำเอานะ ท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรม

          วันนี้พูดถึงเรื่องการดูจิตใจ ใจตัวมันคึกมันคะนอง เอาธรรมะเข้าไปจับ จากนั้นย่นเข้ามาอีกให้พากันภาวนาบ้างนะ ดูจิตใจของตัวเองตัวมหาเหตุ มันจะคิดแต่เรื่องฟืนเรื่องไฟดีดดิ้นตลอดเวลา เอาไฟมาเผาเรา ตื่นขึ้นมาหาความสุขความเจริญเพื่อความสมหวังๆ ถ้ากลับมาแล้วมีแต่ความผิดหวังๆ สร้างฟืนสร้างไฟเผาหัวอก บางรายนอนไม่หลับ มันคิดมาก มากกว่านั้นเป็นบ้าไปก็มี นี่ความคิดมาก ให้เอาจิตตภาวนาไประงับ อย่าคิดมากเกินไปมันจะเป็นบ้า ให้สอนเจ้าของอย่างนั้น ให้เอาพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆระงับ อันนี้ยาระงับบ้า เข้าใจไหม

          กิเลสมันพาคนให้เป็นบ้า ธรรมแก้บ้าก็คือเอาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้จับเข้าไปๆ ให้จิตสงบกับพุทโธ เช่นเรานั่งภาวนาพุทโธ ให้มีคำว่าพุทโธๆ ติดกับหัวใจ มีสติครอบอยู่กับใจของเราอยู่ตลอดเวลา เวลานั้นจิตจะคิดส่ายแส่ไปตามฟืนตามไฟอันเป็นเรื่องของกิเลสไม่ได้ เพราะธรรม งานของธรรมคือพุทโธๆ บังคับเอาไว้ ทีนี้จิตจะได้มีความสงบเย็น เย็นลงไปๆ ผลแห่งความเย็นจะส่งเพิ่มขึ้นไปอีก ให้เป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นที่ใจของตน แล้วเรื่องความเชื่อในธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ต้องบอก ถ้าลงได้จ่อเข้าไปดูใจแล้วจะเชื่อพระพุทธเจ้า กระเทือนไปหมดถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อยู่ที่ใจดวงเดียวนี้หมดนั่นแหละ

          ให้พากันภาวนาบ้างนะ เวลานี้เรามีแต่ชาวพุทธๆ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เมืองไทยเรามีแต่ชาวพุทธๆ แต่กิริยาที่แสดงออกมันเหมือนลิงเหมือนค่าง มันเข้ากันไม่ได้นะ ให้มีพุทธติดตัวบ้างซิ การจะเคลื่อนไหวไปมาที่ใดๆ ให้มีพุทธ คือธรรมแทรกเข้าไปอยู่ในใจ มีความรับผิดชอบในกิริยาความเคลื่อนไหวของตน ผิดถูกดีชั่วประการใด เราเป็นผู้รับผิดชอบ ให้ดูเสมอ อะไรไม่น่าทำอย่าทำ อะไรไม่น่าพูดอย่าพูด ไม่น่าประพฤติอย่าประพฤติ ให้ทำตั้งแต่ความดีงาม ความเป็นสิริมงคลจะรู้ขึ้นในตัวของเรา  เป็นขึ้นในตัวของเรา นี่แหละผลแห่งการภาวนาสำคัญมากนะ

          ดูมหาเหตุคือใจ ตัวสร้างเหตุ ระงับดับที่ตรงนี้ ตรวจดูเหตุดูผลของใจที่คิดก็คือจิตตภาวนา ธรรมที่สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาก็จากการภาวนา ความชั่วช้าลามกทั้งหลายมันจะค่อยจางไปจากการภาวนา เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พุทธศาสนามีการภาวนาเป็นรากเหง้าหรือเป็นแก่นของศาสนา ให้พากันดูบ้างนะ แม้แต่พระเราก็ไม่ได้ดูนะ อย่าว่าแต่ประชาชนเลย พระเราที่บวชมา พระพุทธเจ้าสอนว่านี้คือแนวหน้าแห่งการรบกับความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ได้แก่กิเลสนั้นแหละ อยู่ในหัวใจเรา  ด้วยการอบรมภาวนา บวชแล้วไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา เพื่อการบำเพ็ญด้วยความสะดวกสบายแก้กิเลสอันนี้ นี่ท่านสอนอย่างนี้

          มันก็ไม่ทำนะพระเรา ตัวด้านที่สุดคือพระเรา ขี้เกียจด้านที่สุดแล้วเอาเรื่องโลกเรื่องสงสารเข้ามาประดับหน้าร้าน ประดับตัวเป็นความสง่าราศี เอางานของโลกของสงสารเข้ามา เรียกว่าครอบตัวพระทั้งหมด งานของพระเลยไม่มี งานสำรวมระวัง ศีลธรรมให้อยู่กับพระ ศีลสมบูรณ์บริบูรณ์ ธรรมก็มีอยู่กับพระ เจริญเมตตาภาวนาชำระสะสางกิเลสออกจากใจตลอดเวลา นี้คืองานของพระโดยแท้ตามศาสดาที่สอนไว้ ไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขาเพื่อความสะดวกแห่งการบำเพ็ญงานถอดถอนกิเลสนี้ได้สะดวกสบาย ก็ไม่ทำ จะว่าอย่างไร

          แล้วมันก็เลว เลวยิ่งกว่าประชาชนเขาอีกนะพระ อย่าว่าแต่คนเลวประชาชนเลวนะ พระเลวยิ่งกว่านั้นก็มี พูดอย่างกลางๆ มีได้ด้วยกัน คนมีกิเลส กิเลสจะฉุดลากเข้าไปจนได้ด้วยกันนั้นแหละ ถ้าต่างคนต่างแสวงหาธรรมแล้ว พระเป็นอันดับหนึ่ง โลกมองเห็นยิ้มแย้มแจ่มใสกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ สงบชุ่มเย็นไปตลอดวันตลอดคืน ได้พบพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรม ท่านจึงแสดงว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด ท่านว่า

          สมณะมีหลายประเภท ท่านแสดงเอาไว้ สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่หนึ่งได้แก่พระโสดา สมณะที่สองได้แก่พระสกิทาคา สมณะที่สามได้แก่พระอนาคา สมณะที่สี่ได้แก่พระอรหันต์ สมณะทั้งสี่นี้เป็นมงคลอันสูงสุด ใครได้พบได้เห็น ผู้มีธรรมจะเป็นขั้นใดภูมิใดก็ตาม สมณะสี่ประเภทนี้เป็นมงคลอันสูงสุดขึ้นไปเป็นลำดับลำดา นี่เขาได้เห็นผู้ทรงศีลทรงธรรมจนทรงมรรคทรงผลขึ้นที่ใจ ตั้งแต่โสดาขึ้นไปจนถึงอรหันตบุคคล เขาก็มีความชุ่มเย็น วันนั้นทั้งวันยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวันเลยนะ นี่แหละอำนาจแห่งธรรมที่มีในใจของพระ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ที่เรียกว่าสมณะ เป็นมงคลอันสูงสุด

          ถ้าเราทำตัวของเราให้เป็นมงคล เขาได้เห็นกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจเพียงขณะเดียวเท่านั้น ก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างความเป็นมงคลแก่หัวใจของเขาตลอดวันนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้สร้างความเป็นมงคลแก่พระเอง ให้ได้สำเร็จโสดา สกิทา อนาคา อรหัต นี่คือมงคลอันสูงสุด อยู่ที่นี่ ใครได้มาพบมาเห็นมงคลนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาก็กลายเป็นมงคลไปตามๆ กัน เหล่านี้เกิดขึ้นจากทางด้านจิตตภาวนาเป็นหลักใหญ่ เราจึงได้สอนเน้นหนักลงที่จุดนี้

บรรดาพี่น้องทั้งหลายหัวใจมีเหมือนกัน มีทุกข์รุมล้อมอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน จะเปลื้องทุกข์ด้วยความดีงามทั้งหลายลง ให้สร้างความดี เฉพาะอย่างยิ่งดูจิตใจของเรา ภาวนา เวลาจะหลับจะนอนเป็นอย่างน้อย อย่าปล่อยตังลงตูมลงหมอนที่เดียว ไม่ดีไม่ถูก ปล่อยตัวลงกับพุทโธ ธัมโม สังโฆ กราบไหว้บูชา แล้วทำความสงบใจประมาณห้านาทีก็เอา ยังไม่มาก ไม่ได้มากก็เอาห้านาทีเสียก่อน บังคับ ไม่อย่างนั้นกิเลสจะลากไปลงนรกอเวจีทั้งหมดตั้งกัปตั้งกัลป์ หลับตื่นลืมตาไม่มีเวล่ำเวลาว่าพอแล้วหรือไม่พอ มันลากไปตลอด เว้นแต่หลับเท่านั้น

นี้เราจะบังคับใจของเราซึ่งเป็นสาระสำคัญและเราเป็นเจ้าของด้วย แต่เพียงระยะหนึ่งๆ เท่านี้ ทำไมจะไม่ได้ เราเป็นมนุษย์ทั้งคน ต้องบังคับเจ้าของสอนเจ้าของอย่างนี้ นั่งภาวนา พุทโธๆ ให้จิตติดอยู่กับคำว่าพุทโธๆ มีสติบังคับไว้ ใจของเราเมื่อไม่ได้คิดไปทางนอกเป็นฟืนเป็นไฟ คิดแต่ทางธรรมเช่นพุทโธๆ โดยถ่ายเดียวในเวลานั้น จิตใจของเราจะสงบร่มเย็นๆ พอสงบร่มเย็นเข้าไป เราก็จะเห็นพิษเห็นภัยของกิเลสที่กวนใจทั้งวันทั้งคืน เรื่อยๆ ไป ทีนี้เราก็หนักแน่นเข้าทางความสงบร่มเย็นเป็นน้ำดับไฟด้วยการภาวนาไปเรื่อยๆ จิตก็จะสง่างามขึ้นมา

พอจิตสง่างามขึ้นมา มีที่พึ่งที่ไหนเล่า เราหาทั่วแดนโลกธาตุ ที่พึ่งมีอยู่ที่ไหน ไม่มีที่ไหนเลย ย้อนเข้ามา มาสู่ใจของเราเป็นที่พึ่งของตนเองได้โดยลำดับ จนกระทั่งเป็นที่พึ่งของตนได้โดยสมบูรณ์จากการอบรมจิตใจดูจิตใจของตน นี้แหละที่พึ่งมาอยู่ที่ใจ ความทุกข์ทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้มาอยู่ที่ใจ ใจเป็นผู้แบกผู้หาม เวลาเราพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงซักฟอกจิตใจของเราโดยวิธีการต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งโดยทางจิตตภาวนา จิตใจเราจะสง่างาม ทีนี้ความสุขก็รวมเข้ามาๆ เลยกลายเป็นว่าความสุขสามแดนโลกธาตุมารวมอยู่ที่จิตใจนี้หมด ทีนี้ความเลิศเลอในสามแดนโลกธาตุมารวมอยู่ที่ใจนี้หมด เลิศเลอสุดยอด ความเลวร้ายทั้งหลายก็มาอยู่ที่ใจของผู้ทำความชั่วช้าลามกนี้ทั้งนั้นด้วยกัน ให้พาจดจำเอา พี่น้องลูกหลาน

วันนี้ได้มีโอกาสมาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้ได้พากันไปคิดไปอ่าน อย่าคิดแต่เรื่องโลกเรื่องสงสารอันเป็นฟืนเป็นไฟโดยถ่ายเดียว ยังจะเพลิดเพลินกับมันไปตลอด แล้วจะไม่มีความหมาย ตายแล้วจมนะ ให้พากันพินิจพิจารณาทางด้านอรรถธรรม ศาสดาองค์เอกเป็นผู้สอนธรรมไว้แก่พวกเราทั้งหลาย จึงไม่เห็นอะไรมีคุณค่า แล้วไปมีคุณค่าแต่เรื่องความโลภความโกรธราคะตัณหาจะเผากันให้แหลกนะ นี่ละการเตือนท่านทั้งหลายให้พากันเข้าอกเข้าใจ เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาแนะนำสั่งสอนให้เป็นข้อคิด

วันนี้เป็นมงคลแก่เรา การได้ยินได้ฟังธรรมเราจะได้เป็นคติเครื่องเตือนใจ ดังที่พูดไว้แล้วว่า การฟังธรรมจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่เคยได้ยินแล้วจะได้เข้าใจแจ่มแจ้ง จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้ แล้วก็เข้าไปถึงขั้นเราได้ฟังอรรถฟังธรรมแล้วจิตใจของเรามีความสงบผ่องใสเป็นลำดับลำดาไป ทีนี้มงคลจะเกิดขึ้นที่ใจของเรานี้นะ ไม่เกิดที่ไหน เราอย่าถือว่าที่นั่นเป็นมงคล ที่นี่เป็นมงคล หัวใจนั้นแลถ้าสร้างให้เป็นมงคลเป็นได้ตลอดเวลานะ อยู่ที่ไหนก็เป็นมงคล

ถ้าสร้างความอัปรีย์จัญไรให้แก่ใจแล้วไปไหนเป็นไฟหมด เผาเป็นไฟเลย ขึ้นจรวดดาวเทียมก็เป็นไฟอยู่บนกิเลสตัวบาปตัวกรรมมันอยู่ที่หัวใจ ขึ้นไปอยู่บนดาวเทียมก็ไปถูกเผาอยู่บนดาวเทียม ไปที่ไหนๆ ก็ถูกเผาอยู่ตลอด หาความสุขไม่ได้คนเรา ตายเสียดีกว่า ตายลงไปมันก็แบบเดียวกันอีก เป็นทุกข์แบบเดียวกัน ถ้าคนมีแต่ความชั่วแล้ว ถ้าผู้มีความดีอยู่ไหนสบายหมดนะ มันสบายอยู่ที่ใจ สำคัญอยู่ที่ใจ ได้ปรับปรุงให้ถูกต้องดีงามแล้ว ใจถูกต้องแล้ว อยู่ที่ไหนถูกต้องทั้งนั้น สบายทั้งนั้น

จึงขอให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ได้นำอรรถนำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ อย่าเพลิดเพลินกับโลกสงสารจนเกินเนื้อเกินตัว มันจะเสียคน คือเสียเรานั้นแหละ ไม่เสียใคร พระพุทธเจ้ามาสอนเราท่านไม่ได้หวังแบ่งสรรปันส่วนอะไรจากเรานะ พระพุทธเจ้าถึงนิพพานแล้ว สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว สอนโลกด้วยความเมตตาสงสารโลกที่เต็มไปด้วยกองทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงนำธรรมของท่านมาชำระกองทุกข์ทั้งหลายนี้ ความสุขความเจริญก็จะมีแก่เรา ความเป็นสิริมงคลก็จะมีแก่เราทั่วหน้ากันตามที่เราปฏิบัติได้

วันนี้เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ   

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 

 

     

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก