ใจธรรมมีอำนาจเหนือใจคนใจสัตว์
วันที่ 8 กรกฎาคม. 2548 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กทม.

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ใจธรรมมีอำนาจเหนือใจคนใจสัตว์

          (ตอนต้นหลวงตาท่านเล่าถึง วันนี้เดินทางไปให้อาหารพวกปลาทางวัดหงส์ จังหวัดปทุมธานี)

         เรื่องตานี้สำคัญมากนะ เรื่องตานี้สำคัญมากคนเรา ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรมีความหมายในโลกนี้ มืดแปดทิศแปดด้านตลอดจนกระทั่งวันตายไม่มีความหมาย ถ้าตาดีแม้จะหูหนวกบ้างก็ไม่เป็นไรใช่ไหม คือตามันเห็นทุกอย่าง พอขึ้นตื่นมาปั๊บตามันจะเห็นทุกอย่างๆ มีความหมายตลอด ถ้าตาบอดเท่านั้นหมดความหมายตลอดเลย แล้วตายเสียดีกว่า ตายไปแล้วก็บอดเหมือนเก่า มันจะดีกว่าอะไร แต่มันเห็นว่าอันนี้มันทุกข์มาก ตายคิดว่าจะดีกว่า มันไม่ดีกว่าแหละ นี่ละเราเห็นสำคัญนี่ละเราถึงอุตส่าห์พยายาม

         อย่างโรงพยาบาลศูนย์ขอมานี้เราก็ให้เต็มเหนี่ยวแล้วนะ โรงพยาบาลศูนย์อุดรฯ นี้เรียกว่าไม่บกพร่องเลย เราให้เต็มเหนี่ยวแล้ว และปวารณาไว้ ปวารณาไว้นั้นบอกเลยเชียวว่าถ้าเครื่องมือแพทย์อะไรที่มีความขัดข้องจำเป็นควรจะซ่อมก็ให้รีบซ่อม ถ้าซ่อมไม่ได้ให้รีบสั่งมาเลย ไม่ต้องมาขออนุญาตจากเราแต่อย่างใด เครื่องที่สั่งไปนั้นเขาส่งของมารับรองคุณภาพแล้ว หมอล่งบิลมาหาเราเลย เราจะจ่ายไปตามบริษัทๆ นั้น ซึ่งเคยปฏิบัติมาอย่างนั้น

          นี่เราเปิดโอกาสไว้อย่างนี้ แต่คราวนี้รู้สึกว่าทางนั้นจะเกรงใจมากเพราะมันมากต่อมากคราวนี้ ขอมาคราวนี้เจ็ดล้านสองแสน เครื่องตาทั้งนั้น เราก็เปิดให้เลย ให้หมด ทั้งเจ็ดล้านสองแสน นั่นละ นี่อันนี้ก็ลำดับมาก็กำลังพิจารณากันอีก เราเห็นตาเป็นสำคัญมาก เหล่านี้มีแต่คนตานี้มานี้ๆ ได้ คนตาบอดจะมาเตะกำแพงเราแตกอยู่ตามนั้น เข้าใจไหม นี่มันสำคัญนี้นะ เราพิจารณาทุกอย่าง ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไร ทำด้วยการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น พอตัดสินใจแล้วก็ผึงลงไปเลย

          ทางเวียงจันทน์เราก็เห็นว่าเป็นเมืองหลวงเสียด้วย ทำไมจะขาดเพียงสองอย่างเท่านี้ เราก็ยังไม่สนิทใจนะ ความที่แน่ใจก็คือว่าทางโน้นเกรงใจเรา ยังไม่ให้เกรง มีอะไรก็ว่ากันมา มีเท่าไรเราก็ช่วยกันไปตามนั้น ต่างคนไม่ต้องเกรงใจกัน เข้าใจไหม มีเท่านี้ก็ให้เท่านี้ แน่ะ ทางนั้นขอมา เท่านั้นแหละนะ ให้เข้าใจกัน

           โธ่ เรื่องตานี้สำคัญมากนะ เราจึงได้อุตส่าห์พยายามบึกบึน มีไม่มีเท่าไรถูไถกันไปเลย เพราะเห็นตาคนเราสำคัญมากนะ ใครก็ตามถ้าลงตาบอดเสียอย่างเดียวหมดความหมายทันทีเลย ถ้าตายังดีแม้หูจะหนวกบ้างก็ไม่เป็นไร อย่างหลวงตานี้หูหนวก ตายังดีอยู่ หลวงตาก็คุยว้อๆ ได้อยู่ เข้าใจไหม ถ้าลงตาบอดแล้วไม่อยากคุยกับใครเลย มาอย่ายุ่งเราว่าอย่างนั้นทันทีเลย เข้าใจไหม อันนี้ยุ่งหรือไม่ยุ่งก็อย่างนี้ละเห็นอยู่นี้ จะว่าไง ก็เพราะตายังดีอยู่

           อุดรฯนี่ให้ตลอดเลยตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ เราไม่ลืมนะ เราไปผ่าตาของเรา นี่เป็นต้นเหตุนะ ผ่าตาที่โรงพยาบาลรัตนิน หมออุทัย ซึ่งเป็นลูกศิษย์นั้นแหละ พอผ่ามานี้ โอ้โหย ตานี้มันแจ้งขาวดาวกระจ่าง ลูกเล็กลูกน้อยดาวเห็นหมด แต่ก่อนก็เห็นแต่ลูกใหญ่ ลูกอะไร พอผ่าตาออกมานี้เห็นหมด โธ่ ตาเรานี้พลิกเป็นตาใหม่ขึ้นมาแล้วนี่ นั่นละ พอไปถึงวัดอยู่สามวันเท่านั้นเข้าโรงพยาบาลเลย เชิญหมอมาเลยเชียว เหมากันเลยทุ่มกันเลย ทำสัตยาบันสัญญากันด้วยปาก ถึงเรื่องว่าเราจะให้เครื่องมือตาให้ครบ แล้วหมอจะครบไหม เดี๋ยวนี้หมอครบไหม หมอไม่ครบ เพราะอะไร เพราะเครื่องมือยังไม่ครบ ถ้ามีเครื่องมือครบแล้วหมอจะครบไหม ครบ เอ้าเอาเลยตูมเลย ตั้งแต่นั้นมาฟาดนี่โถเริ่มแรกก็ตั้งสิบล้านกว่า เอามาหมดเลย จากนั้นก็สั่งมาเลยๆ จนกระทั่งบัดนี้

          วาระสุดท้ายนี้ขอมา ธรรมดาจะไม่ขอละ คือเราเปิดไว้แล้วว่าเครื่องมือตาเท่าไร สั่งเลย เราว่าอย่างนั้น เราจะให้หมดตามนั้นๆ คราวนี้คงเห็นว่ามากเกินไป ถึงเจ็ดล้านสองแสน เขาเลยขอมา เราก็เปิดรับทันที ให้สั่งได้เลย อย่างนั้นละ พอหลังจากนั้นทางเวียงจันทน์ก็มา ก็ไปด้วยกันเลย ไล่ลงทะเลหลวงด้วยกันไปเลย นั่นละเป็นอย่างนั้นละ เพราะเราเห็นตาเป็นของสำคัญมาก ตานี่สำคัญมาก คนมีคนจนอะไรก็ตามขอให้ตาดีเถอะ มันพอมีหวังมีทางไปเปิดกว้างอยู่ตลอด ตาพาให้เปิดนะ

        ถ้าลองตาปิดปุ๊บเท่านั้นละหมดความหมาย ชาติชั้นวรรณะใดก็ตามหมดความหมายทันทีคนๆ นั้น อยู่ด้วยความโศกเศร้าเหงาหงอยรอแต่วันตาย นี่แหละสำคัญนะตา ถึงขนาดที่ว่าตายเสียดีกว่า วันไหนมาก็มืดๆ โลกเขาเห็นเราก็ไม่เห็น นั่นเป็นอย่างนั้น เราจึงได้อุตส่าห์พยายาม เอาหมดเป็นหมดยังเป็นยังซัดกันอยู่เรื่อยอย่างนี้ เรามันเคยผ่านมาแล้ว ซัดกันเรื่อย หมดเป็นหมดยังเป็นยัง ทุ่มใส่กันเลย เอาหมดไปแล้วเอามาอีก เอาอีก ไม่ถอยนะ อยู่อย่างนั้นแหละ

          ทางประเทศลาวทางเวียงจันทน์นี่มันเป็นอันเดียวกันมาดั้งเดิมนะ พวกนี้เขาไม่ได้มีว่าไทยว่าลาว เขาเป็นอันเดียวกันหมดเลย เป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิมนะ อันนี้เราแยกตามกฎหมายบ้านเมืองตามขอบเขตของการปกครอง แต่ธรรมดาแล้วฝั่งนั้นกับฝั่งนี้เป็นอันเดียวกัน เหมือนกับเราอยู่บ้านนี้บ้านนั้นจังหวัดนั้นจังหวัดนี้นั่นเอง ไม่ผิดกันนะ เหมือนกันเลย สนิทสนมกัน ทางนั้นมีอะไรๆ ก็ข้ามมาทางนี้ ทางนี้ก็ข้ามไปทางนั้นตลอด ที่มีด่านนั้นน่ะ ด่านสำหรับเขาตรวจนั้น พวกนี้ไม่มีด่าน เขาข้ามกันได้ตลอด ข้ามของเขาเอง ข้ามไปข้ามมา ส่วนด่านก็ด่านเสีย ส่วนไม่ด่านเขาก็ข้ามของเขาไป นี่เป็นปรกติ เขาไม่ไปหาด่านละเขาข้ามหากัน พวกเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้เอาใจใส่ว่าเป็นผิดเป็นถูกอะไร เพราะเขาทราบแล้วว่าก็เป็นเลือดเนื้อเดียวกัน ข้ามไปมาหาสู่กันธรรมดาๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องราวที่จะเกิดเหตุอะไรต่ออะไร ด่านนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องการปกครองกฎหมายบ้านเมือง อันนี้มันเป็นเลือดเนื้ออันเดียวกันก็ผ่านไปมาธรรมดา เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่สนใจนะ

          พูดถึงทางเวียงจันท์นี่หลวงปู่มั่นท่านเคยไปภาวนาอยู่ ทางภูเขาควาย พระกรรมฐานหลวงปู่มั่นไปทางนู้นนะ ท่านไปภาวนาอยู่ทางนู้น ท่านเคยเล่าให้ฟังเรายังไม่ลืม เราก็ไปเห็นรูปภาพของอาจารย์สีทา ท่านมาเล่าให้ฟัง รูปปั้นของอาจารย์สีทา อยู่วัดบูรพา จังหวัดสกลนคร ที่หลวงปู่มั่นท่านพูดถึงว่าไปกรรมฐานด้วยกัน ไปอยู่สององค์ ครูบาสีทานี่ท่านอยู่บ้านหนึ่ง ท่านว่า ฝั่งนู้นนะ แล้วท่านอาจารย์มั่นอยู่ฝั่งหนึ่ง เวลาไปภาวนาแล้วพอเดินจงกรมกลางคืน ประมาณสักสามทุ่มนี่มั้ง ท่านก็เดินจงกรมไปมา ทีแรกก็ไม่เห็น ก็ธรรมดา พอเดินไปเดินมา เห็นมีอะไรแปลกๆ อยู่ข้างๆ เสือโคร่งใหญ่ เข้าใจไหมละ คือมันมานั่ง นั่งอย่างนี้นะนั่งเหมือนหมานั่ง ถ้าหากว่านั่งหมอบนี้ก็เหมือนแมว นั่งนี้เป็นนั่งท่าจะทำ ถ้านั่งอย่างนี้แล้วไม่มีอะไร

          อาจารย์สีทาท่านก็เดินจงกรมไปมา นี้ท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังเอง จึงไม่ลืมชื่อสีทา อาจารย์มั่นอยู่บ้านนู้น ภาวนาอยู่นู้น แล้วอาจารย์สีทาอยู่บ้านนี้ เวลาเดินจงกรมเสือไม่ทราบมาจากไหน เลยทำให้สงสัย ตอนที่ท่านคิดท่านว่าอย่างนั้นนะ อาจารย์สีทาท่านคิด มันเหมือนว่าเทวดาบันดาลจิตใจมาในนามของเสือก็ได้ หรือเทวดาอาจดลบันดาลให้เป็นภาพนิมิตเป็นเสือมาก็ได้ ทราบได้ตอนที่ท่านเดินจงกรมไปมา พอมองเห็นนี้ โอ้โห มันไม่ใช่ธรรมดา เสือโคร่งใหญ่ ท่านเดินไปนี้ห่างกันก็ประมาณสักวากว่า ก็ทางแคบๆ มันก็มาอยู่ทางจงกรม นั่งดูอยู่

          ท่านเดินจงกรมไป เดินจงกรมมา เห็นผิดสายตาก็เลยมองไป โอ้โห มันเสือโคร่งใหญ่ มันนั่งเฉยนะ ท่านก็เดินไป ท่านบอกว่าไม่กลัวแต่ขนลุก ท่านว่า แล้วก็เดินเรื่อยไปอย่างนั้น เขาก็นั่งเฉยอยู่ เราก็ไม่ว่าอะไร ทราบแต่แล้วเราก็ไม่คิดอะไรต่ออะไรก็เดินไปเดินมา ทีนี้พอเดินนานเข้าเลยคิด ท่านว่าอย่างนั้นนะ ทำให้สงสัยว่าเสือตัวนี้เป็นเสือเทพนิมิต หรือเป็นเสือเทวดามานิมิตจิตใจเสือ หรือเทพนิมิตมาเป็นเสือก็ได้ พอนึกขึ้น เอ้อ จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซิ จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปได้ ไม่ต้องมานั่งเฝ้านั่งแหนอะไรเราแหละ พอว่าอย่างนั้น เฮ่อ ขึ้นเลย เสียงกระหึ่มขึ้นเลย ไม่ใช่เสียงเล็กน้อยนะ เฮ่อๆ ขึ้นเลย ท่านเลยพลิกความคิดเสียใหม่ เอ้อ ถ้าไม่อยากไปเที่ยวหาอยู่หากิน จะนั่งรักษาเหตุการณ์หรืออันตรายอะไรให้ก็ได้ ไม่ว่าอะไร เลยเงียบเลย มันเป็นอย่างนั้นนะ

          แล้วก็เดินจงกรมเรื่อย คิดเรื่องนี้ขึ้นมา เฮ่อเลย มันจึงเหมือนว่าเทพบันดาลนะ ท่านก็เฉย ท่านก็ไม่มีอะไร ก็มีเท่านั้นแหละ ไม่มาอีกเลยจ นกระทั่งท่านจากที่นั่นไป ไม่เคยมาอีกเลย มีเท่านั้น ถ้าหากว่ามันจะมีอะไรมันก็มี แต่นี้มันมานั่งธรรมดาเหมือนหมานั่งค้ำอยู่ ไม่มีท่าหมอบ ถ้าเป็นท่าหมอบอย่างนี้เป็นท่าจะทำนะ เช่นแมวถ้าหมอบแล้วทำ ถ้านั่งธรรมดาไม่มีอะไร ท่านอาจารย์มั่นเองท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าครูบาสีทาไปด้วยกันสององค์ เราก็จำได้ ทีนี้พอไปวัดบูรพา อุบลฯ เข้าไปนั้นมีรูปเหมือนของครูบาอาจารย์หลายองค์ๆ ไปเห็นบอกว่ามีรูปอาจารย์สีทา เราก็ โอ้ยนี่องค์นี้เองเสือไปเฝ้า รูปร่างเล็ก รูปร่างท่านเล็กอยู่ ได้เห็นรูปท่านในรูปปั้น เขาปั้นเขาต้องปั้นเหมือนรูปท่านละ ได้เห็นชัดเจน รูปร่างเล็กนะ นี่ละที่เสือมาเฝ้า ขบขันดีนะ พระกรรมฐาน

          เรื่องอย่างนี้ เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ใจสัตว์กับใจคน ใจธรรมมันมีอำนาจอยู่ในนั้นนะ ใจธรรมที่บำเพ็ญธรรมนี้ ใจสัตว์เขาก็มาตามภาษา แต่ใจธรรมมีอำนาจเหนือกว่า เพราะฉะนั้นสัตว์ถึงไม่ทำไมนะ มาก็ไม่ทำไม เรื่องพระกรรมฐานเที่ยวนี้เจออย่างนี้ละมากต่อมากนะ แต่ก็แบบเดียวกัน ไม่เคยทำไมเลยนะ ท่านมานั่งอยู่ที่หัวจงกรมก็มี ท่านก็เดินไป เขาก็อย่างนั้นเฉย แน่ะเขาไม่ทำนะ นั่งอยู่ข้างก็นั่งอย่างอาจารย์สีทานั่ง ก็ไม่เห็นมีอะไร ครูอาจารย์สมัยปัจจุบันนี้ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่มั่นท่านเจอแทบทุกองค์ เจอเสืออย่างแบบนี้นะ บางทีมันมานั่งเฝ้าอยู่ข้างๆทางจงกรมบ้าง อะไรบ้าง ท่านก็ไม่มีอะไรกับมัน เฉย มันก็ไม่ทำอะไรท่านนะ

          นี่แหละ อำนาจของธรรมอยู่ภายในใจ อำนาจของจิตนี่ธรรมดา แต่อำนาจของธรรมมันเหนือกัน คืออำนาจของธรรมนี้มีอำนาจเหนือ เหมือนกำแพงกั้นตลอด ส่วนอำนาจของจิตธรรมดามันก็เป็นฝ่ายโลกฝ่ายต่ำเสีย มันต้องยอมรับฝ่ายสูงเสมอ ท่านบอกว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ปัจจุบันก็รักษาแบบนี้ แล้วผู้ปฏิบัติธรรมเวลาตายแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ได้ ธรรมให้ผลอย่างนั้น แล้วรักษาผู้ปฏิบัติ และผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมจะเป็นผู้ส่งให้ถึงสวรรค์-นิพพานได้ ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ท่านสอนไว้อย่างนั้น ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ อานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรม

          เรื่องจิตนี้ ยิ่งให้จิตมีความสว่างไสวซิมีอานุภาพมาก มันจะมองทะลุไปหมด จิตที่สว่างไสวจากการภาวนา จิตสงบร่มเย็นๆ สว่างไสว มองเห็นพวกเปรตพวกผีพวกอะไรจิตนี้มองทะลุเห็นหมดเลย พอพูดอย่างนี้ก็ไปข้องกับเรื่องของท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเล่าเองนะ เขาใหญ่นี่ เขาเรียกบ้านกลางดง ท่านไปภาวนาอยู่ในนั้น มีบ้านเขาอยู่นั้นสองสามหลังคาเรือน เขาก็อยากให้ท่านอยู่มาโปรด นี้เหมือนอยู่ในแดนนรก อยู่ในป่านี้ไม่มีโอกาสพบพระเจ้าพระสงฆ์เลย พอดีเห็นท่านมานั้นเขาพออกพอใจ ปฏิบัติท่านดูแลท่าน ท่านก็อยู่ลึกๆ นู้นในภูเขา ท่านมาบิณฑบาต เวลามาบิณฑบาตท่านมาเจอสองอย่าง นี่ท่านเล่าเอง มันถนัดชัดเจนนะ

          เวลามาบิณฑบาตเราเดินออกมาจากภูเขานู้นออกมาที่พักเขา มันเป็นหินดานกว้างๆ เดินมาก็ไม่มีอะไร ท่านว่าก็ไปธรรมดาบิณฑบาต พอกลับมามองไปตรงกลางที่เป็นหินดาน กลางแจ้ง มองดูเหลืองอร่าม เอ๊ มันอะไร เหลืองๆ นั่น ท่านก็เดินเข้าไปเรื่อยเพราะเป็นทางผ่านจะเข้าที่พักของท่าน เดินไป โถ เสือมันนอนผิงแดด มันไม่รู้ตัวตอนนั้น คือมันไม่รู้ว่าท่านมานั้น มันนอนแผ่สองสลึงสบายอยู่ พอท่านเดินนั้น โอ้ยนี่มันเสือนะนี่ ท่านเลยตั้งท่าใหม่ ท่านเดินเข้าไปนะ มึงมานอนอะไรที่นี่ ปุ๊บๆโดดเข้าป่าเลย เสือโคร่งใหญ่วิ่งเข้าป่า กลัวคน

         มันนอนไม่ใช่นอนธรรมดา มันนอนแบบแผ่สองสลึง ท่านว่าอย่างนั้นนะ นอนหงายอย่างนี้ มันนอนท่าสบาย เพราะเห็นว่าที่นั่นไม่มีใครละ เลยท่าสบายนอนหงาย เวลาท่านเดินบิณฑบาตมา ใกล้เข้าๆ โอ๋ยมันเสือนอน ท่านเลยเดินเข้าไปหามานอนอะไรที่นี่ มันเปิดเลย ไปเลย นี่อันหนึ่งนะ ทีนี้อีกอันหนึ่งที่พวกผี เพราะท่านอาจารย์ฝั้นท่านเก่งเรื่องเปรตเรื่องผีเรื่องอะไร ตรงนั้นเองละท่านว่านะ เขาร่ำลือแถวนี้ใครก็กลัว เขาเรียกว่าผีกองกอย ชื่อว่ากองกอย แต่เวลามันร้อง มันร้อง กองกอยๆ

          ท่านไปพักอยู่นั้น แล้วมีตาปะขาวคนหนึ่งกับเณรสามด้วยกัน เขาว่าแถวนี้มันมีผีกองกอยนะ ผีกองกอยเขาว่ามันกินตับคน เวลานอนหลับแล้วตายไปเลย เขาร่ำลือกัน พอดีท่านก็ไปอยู่ที่นั่น พอตกกลางคืนมันมา เสียงมันกองกอยๆ ไกลๆนู้นเสียง ใกล้เข้าๆ แล้วเณรก็อยู่ที่นั่น ตาปะขาวอยู่ที่นี่ ท่านก็อยู่ที่นี่ ท่านกำลังภาวนาอยู่ เสียงกองกอยๆ นี่ท่านพูดเองนะ พอมันใกล้เข้ามาเราก็รู้แล้วว่าเณรอยู่ทางนี้ ตาปะขาวอยู่ทางนี้ เสียงมันมาทางนี้ ท่านกำหนดภาวนา ยังไม่ได้ส่งใจไปหามันแหละ นั่งภาวนาอยู่

          พอมาสมควรแล้วที่จะดูแล้วท่านว่า กองกอยๆ เข้ามา มามาหาคนนี่นะ แทนที่จะไปที่อื่นไม่ไป มันตรงเข้ามาหาคนที่อยู่ด้วยกัน พระกับเณรกับตาปะขาว มันตรงเข้ามานี้เลย ท่านก็เลยว่ากองกอยๆ นี่มันจะเป็นผีกองกอยจริงๆ เหรอ ท่านว่าอย่างนั้นนะ เราจะดู ท่านว่าอย่างนั้น เอ้า ผีก็จะรู้กันวันนี้นะ พอได้จังหวะแล้วท่านกำหนดจิตปั๊บ โอ๋ยตาผีตรงนั้นกับธรรมของท่าน กับตาท่านพบกันเท่านั้นแหละ โอ๋ยผีกองกอยนี้ล้มหงายเลย กลัวมากทีเดียว ว่าอย่างนั้นนะ พอมองเห็นปรู๊ดทีเดียว วิ่งหายเงียบ ตัวมันคล้ายๆ กับลิง อ๋อ ผีกองกอยนี้มีจริงๆ ท่านว่า เห็นตัวมันแล้ว ที่ว่ามีผีกองกอยนี้จริง ท่านได้เห็นเอง

          กลัวมากกลัวท่าน ก็นี้เป็นธรรมะอันนั้นเป็นผีมันจะอยู่ได้ยังไง มันก็เผ่นนะซิ นี่ท่านอาจารย์ฝั้นก็เล่าให้ฟัง ท่านอาจารย์ฝั้นนี้เด่นเรื่องเปรตเรื่องผีเรื่องอะไรแปลกๆ ต่างๆ เทวบุตรเทวดา ตาในของท่านส่องทะลุไปเลย ในสมัยปัจจุบันก็มีท่านอาจารย์ฝั้นนี้ละองค์หนึ่ง นอกจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้วนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น โอ๋ย เชี่ยวชาญมาก อย่างนี้ไปถามเลยนะ รองลงมาก็มีๆ ต่างๆ กันตามนิสัยวาสนาที่สร้างมา ความรู้นี้มันจะเป็นไปตามนิสัยวาสนา ควรจะรู้จะเห็นสิ่งใดจะเป็นไปตามนิสัยวาสนาจะรู้เองๆ ไม่ต้องไปถามใคร ท่านรู้เองอย่างนั้น ผู้ที่ไม่รู้มันก็ไม่เห็น

          เรื่องธรรมภายในใจสำคัญมากทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงอยากให้อบรมจิตใจ อำนาจของใจนี้มากจริงๆ แสดงออกมาเป็นกิริยาอย่างนั้นก็ได้ หากจะให้เป็นอำนาจยู่ภายในจิตธรรมดาไม่ต้องใช้กับสิ่งอะไรอย่างนี้ก็ได้ อันนี้เป็นพื้นฐานอำนาจของจิตนี้ แล้วจะส่งไปแง่ใดมุมใด อย่างที่ท่านส่งไปดูผีกองกอยนั่น ปั๊บเห็นเลย อย่างนั้นละ ส่งอย่างนั้นก็ได้ แล้วเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือชำระจิตใจ ให้จิตใจมีความสงบผ่องใสไปโดยลำดับลำดา กิเลสที่เป็นตัวมัวหมองมืดตื้อกระจายออกๆ จิตใจก็ค่อยผ่องใสขึ้นมาๆ สว่างขึ้นมา จนกระทั่งสว่างจ้าขึ้นมาภายในตัวเอง

          นี่ละการชำระจิตใจด้วยจิตตภาวนา ความมืดความดำทั้งหลายที่มองอะไรไม่เห็น ก็คือกิเลสมันปิดไว้ๆ พอธรรมะขึ้นที่ใจแล้วมันส่องทะลุออกไป กระจายเลย สิ่งที่มัวหมองมืดตื้อจางลงๆ จิตใจก็สว่างไสว เป็นอย่างนั้น อยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ภาวนาให้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในหัวใจของเราเอง ตั้งแต่เกิดมาไม่ปรากฏว่าใจของเรามีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ไม่มีนะ ธรรมดาไม่มี แต่เข้าจิตตภาวนามีได้ ไม่สงสัย จะปรากฏขึ้นมาๆ พออบรมจิตตภาวนาได้แก่การซักฟอกจิตใจที่มันกำลังมัวหมองให้ค่อยสง่างามขึ้นมา ผ่องใสขึ้นมา ที่นี้ความผ่องใสแล้วมันจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ผ่องใสมากเท่าไรยิ่งกระจายมากเข้าไปๆ

          นี่แหละจิตดวงนี้เป็นจิตที่เลิศเลอสุดยอดเมื่ออบรมแล้ว ถ้าไม่ได้อบรมไม่สนใจ ก็เหมือนกันทั่วโลก ไม่มีจิตใดจะเป็นจิตวิเศษวิโส หมอบอยู่ใต้อำนาจของกิเลสให้มันเหยียบอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ พาดีดพาดิ้น พาเพลิดพาเพลิน ไม่รู้จักเป็นจักตาย ก็คือกิเลสลากหัวใจสัตว์โลกที่ลุ่มหลงไปตามมัน ถ้าธรรมแล้วมันลากไม่ได้นะ อยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้อบรมทางด้านจิตใจ ซึ่งเป็นของสำคัญมากที่สุดนะใจ ถึงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ตาม การอบรมจิตตภาวนานี้ การภาวนามีอานิสงส์มากกว่าทุกประเภทในบรรดาการทำความดีทั้งหลาย ท่านสอนไว้แล้ว ภาวนาเป็นที่หนึ่ง การสร้างกุศลผลบุญทั้งหลาย การภาวนาเป็นที่หนึ่ง นอกจากนั้นการให้ทานรักษาศีลเป็นที่สองที่สามไป แต่การภาวนาเป็นที่หนึ่ง

         แล้วเวลาภาวนาหนักเข้ามันก็ประจักษ์ในตัวเองซิ อานิสงส์เป็นยังไงไม่ต้องถามใครมันจ้าอยู่นี้แล้วก็รู้ นี่แหละเป็นที่รวมแห่งบุญทั้งหลาย เราทำบุญให้ทานมามากน้อยมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตามมันไม่ได้สูญหายไปไหนนะ การทำบุญให้ทานบุญกุศลติดแนบอยู่ในใจๆ แต่ยังไม่มีที่เก็บ ได้แก่ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา เท่านั้นเอง สิ่งที่มีอยู่ก็อยู่กับตัวเรา แต่เราไม่รู้ว่าเรามีอะไรไม่มีอะไร แต่พอจิตตภาวนาปรากฏขึ้นมาเหมือนกับสร้างทำนบใหญ่ บุญกุศลศีลทานที่เราทำมามากน้อยจะไหลเข้ามารวมๆ รวมตัวนี้ รวมในจิตตภาวนา พอรวมเต็มที่แล้วดีดผึง พ้นทุกข์เลย

         นี่ละเรื่องจิตใจเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร จึงให้พากันอบรมภาวนา เวลานี้โลกนี้เป็นโลกกิเลสตัณหาตามืดตาบอด กี่ตาก็ตามมันไม่มีความหมาย ตามืดตาบอดของกิเลส ตาสว่างไสวเรียกว่าตาธรรมนี้ต่างกันมากนะ วันนี้ไม่พูดอะไรมากละ เอาเพียงเท่านี้ เอาละพอนะ

         ทองคำวันที่ ๘ กรกฎาคม เช้าได้ ๕ บาท ๕๔ สตางค์ ค่ำได้ ๓๐ บาท ๓๑ สตางค์ รวมเป็นได้ทองคำ ๓๕ บาท ๘๕ สตางค์ วันนี้ได้ตั้งครึ่งกิโล

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก