สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๕ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑ กิโล ๕ บาท ๖๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๘๔๙ ดอลล์ อย่างนี้ละมันก็ขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นเรื่อยทุกแห่งทุกหน จะขึ้นเรื่อย ๆ คราวนี้นะ นี่นายกเราก็ไปเมืองจีน เห็นไหมล่ะได้อยู่ไหม ดิ้นเพื่อชาติไทยของเรา จะไปเมืองจีนวันนี้นะนายกเรา อย่างนั้นแล้ว เราอยู่ทางนี้ก็หาขวนขวายซิ ทางโน้นก็ไปขวนขวายมา ทางนี้ก็ขวนขวาย นอนกรนครอก ๆ ไม่ได้นะ พูดแล้วมันกวนโมโหไม่อยากพูด
ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น มอบเข้าคลังหลวงไปแล้ว ๒,๕๐๐ กิโล ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑,๕๐๐ กิโล จะครบจำนวน ๔ พันกิโล ทองคำที่ได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงแล้ว เวลานี้ได้ ๓๘ กิโล ๒๘ บาท ๘๓ สตางค์ ขึ้นเรื่อยนะ ทองคำต่อยอดจากเงินโครงการช่วยชาติ ๘๐๖ ล้านบาทนั้น ได้ซื้อทองคำแล้ว ๗๐๐ ล้านบาท ได้ทองคำ ๑,๗๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๔๑ แท่ง มอบเข้าคลังหลวงไปแล้ว ๒๕๐ กิโล เท่ากับ ๒๐ แท่ง ที่เหลือยังไม่ได้มอบอีก ๑,๕๑๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๒๑ แท่ง รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงไปแล้ว ๒,๗๕๐ กิโล รวมยอดทองคำทั้งหมด ทั้งที่มอบและยังไม่ได้มอบเป็นน้ำหนัก ๔,๓๐๐ กิโลครึ่ง ซึ่งเท่ากับ ๔ ตัน กับ ๓๐๐ กิโลครึ่ง กรุณาทราบตามนี้ แล้วก็ต่อเรื่อย ๆ ต่อมา ๆ อย่างนี้
ในพระวินัยพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ คือมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประกันรับรองด้วยพระญาณหยั่งทราบเรียบร้อยแล้ว ว่าผู้นี้สำเร็จพระโสดา หรือสำเร็จสกิทา ผู้นี้สำเร็จอนาคา พระอรหันต์ พระองค์จะทรงเล็งญาณทราบเรียบร้อยแล้ว เช่นอย่างผู้ที่สำเร็จพระโสดา ท่านทรงบัญญัติห้ามไม่ให้พระไปบิณฑบาตในสกุลนั้น คือในบ้านนั้น พระองค์ไหนฝืนไปปรับอาบัติ ฟังซิ คือบรรดาพระโสดานี้เป็นผู้เชื่อบุญเชื่อกรรม เชื่ออย่างฝังลึกไม่มีถอน ทีนี้การทำบุญให้ทานไม่มีอัดมีอั้น เฉพาะเรื่องทานนี้ไม่ถอยเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงทรงบัญญัติห้ามไม่ให้พระเข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น จะเป็นการชอกช้ำ บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติอย่างนั้น คือทั้งโลกทั้งธรรมให้สม่ำเสมอกันไป
ที่ว่าบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น นั่นก็ห้ามพระไม่ให้ไปบิณฑบาต ที่สกุลไหนที่พระองค์รับสั่งไว้แล้ว ทีนี้เอามาบัญญัติกว้าง ๆ เอาไว้เลย สกุลที่สำเร็จพระโสดาพวกนี้จริงจังมาก ความรู้จักประมาณใครจะเกินธรรม เกินผู้ปฏิบัติธรรม พอดี ๆ ตลอด สม่ำเสมอ ดังพระพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติห้ามไม่ให้พระเข้าบิณฑบาตสกุลที่สำเร็จพระโสดา พวกนี้มีเท่าไรถึงไหนถึงกัน ไม่ได้คำนึงที่ว่ายังเศษยังเหลือเท่าไร มีแต่จะให้ท่าเดียว พระพุทธเจ้ารับสั่งไม่ให้พระเข้าไป ให้เขาทำตามอัธยาศัยของเขา ถ้าเข้าไปเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ถ้าตามอัธยาศัยเป็นอีกอย่างหนึ่ง ให้เป็นตามอัธยาศัย ไม่ให้พระเข้าไปบิณฑบาต ถ้าบิณฑบาตแล้วขนใส่เลย ๆ นี่ละพระพุทธเจ้าวางไว้ในความพอดี อะไรจะหนักไปเบาไปนี้จะไม่มีอะไรเกินธรรมหรือเกินศาสดา ทรงทราบทุกอย่าง
นี่เป็นพระอรหันต์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราลืมชื่อแล้วพระอรหันต์องค์นี้ ท่านไปบิณฑบาตบ้านนั้น คนผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นมีอุปนิสัยสามารถจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้เลยนะ พระอรหันต์องค์นั้นท่านก็ไปบิณฑบาตบ้านนั้นแหละ เวลานั้นกำลังกิเลสมัดคออยู่ ไม่ให้เห็นศีลเห็นธรรมเห็นพระเจ้าพระสงฆ์เป็นสิริมงคลอะไรเลย นี่เห็นไหมกิเลสทั้ง ๆ ที่อุปนิสัยสามารถจะบรรลุธรรมเวลานั้นได้อย่างเต็มที่ ยังถูกปิดกั้นเสียจนขนาดหนักนะ แล้วพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์เสียด้วยไปบิณฑบาตบ้านหลังนี้แหละ ไปก็ไปยืนอยู่นั้น เขาก็ไม่ให้คำรับคำตอบอะไร ท่านยืนพอประมาณแล้วท่านก็ผ่านไป ไปบิณฑบาตยืนพอประมาณแล้วผ่านไป รวมแล้วเป็นเวลา ๓ ปี ฟังซิ
พอปีที่สามกรรมนั้นคงจะค่อยเบาบางบ้าง พอดีท่านไปบิณฑบาต คนในบ้านอยู่ ส่วนผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ว่ามีอุปนิสัยเป็นพระอรหันต์ไม่อยู่บ้าน พอไปยืนหน้าบ้านคนในบ้านเขาก็บอกว่า นิมนต์พระคุณเจ้าไปโปรดข้างหน้าเถิด เท่านั้นละ ท่านก็ไป ครั้นไปแล้วพอดีไปเจอกับเจ้าของบ้านกลางทาง ท่านบิณฑบาตบ้านผมได้ไหม ท่านก็ตอบมาว่าได้ โห ขึงขังทีเดียว โกรธแค้นอย่างใหญ่หลวงเทียวนะ กูไม่อยู่บ้านวันเดียว ใครมาใส่บาตรไอ้หัวโล้นนี่วะ โมโหโทโส มาก็เข่นกันใหญ่เลย มาก็ถาม ใครใส่บาตรไอ้หัวโล้น เอาขนาดนั้นนะ ไม่มีใครใส่บาตร พระที่มาบิณฑบาตเมื่อเช้านี้มีใครได้ใส่บาตรให้พระองค์นี้ไหม บอกว่าไม่ได้ใส่
ทางนี้ก็คิด เอ๊ พระองค์นี้โกหก ยิ่งซ้ำเข้าอีกนะ เขาไม่ได้ใส่บาตรให้ เวลาถามว่า ท่านบิณฑบาตบ้านผมได้ไหม บอกว่าได้ ก็เคียดแค้น วันหลังตามไปด่าท่านเลยเทียวนะ ท่านโกหกว่างี้ บิณฑบาตบ้านผมไม่ได้อะไรเลย เวลาผมถามว่าบิณฑบาตบ้านผมได้ไหม บอกว่าได้ นี่ท่านโกหก ไม่ได้โกหกท่านว่างั้น ไม่ได้โกหกทำไมว่าอย่างนั้นล่ะ ก็คนในบ้านเขาบอกว่า นิมนต์พระคุณเจ้าไปโปรดข้างหน้า พอได้คำพูดนี้แล้วก็หายสงสัย ก็ไปโปรดข้างหน้า โอ้โห ขึ้นทันทีเลยนะ พลิกทันที นี่เพียงแต่ได้คำพูดเท่านี้ก็ถึงขนาดนี้แล้ว แล้วยิ่งเอาของถวายทานจะมีอานิสงส์มากน้อยเพียงไร คึกคัก พลิกใหม่หมดเลย
ทีนี้นิมนต์ท่านไปบิณฑบาตทุกวัน เห็นไหมล่ะ ทีนี้ไปท่านก็แนะนำสั่งสอนจนกระทั่งสำเร็จอรหันต์ เห็นไหมล่ะ นี่ละเวลามันหนา-มันหนาอย่างนั้นนะ ถึงด่าพระเจ้าพระสงฆ์แหลกหมดเลย ถ้าเป็นด่าอย่างหลวงตาบัวก็มีอีกช่องหนึ่งนะ มันจะมีทางออกจนได้ แต่ไม่ตอบอันนี้ เมื่อยังไม่สวนเข้ามายังไม่ออก เข้าใจไหม แต่ก็พอได้วี่แววแล้วว่า ถ้าสวนเข้ามาจะมีแน่ ๆ รับกันปั๊บเลย
เห็นไหมอุปนิสัยของคนเรา เวลาหนา-หนานะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา บิณฑบาตบ้านนั้นถึง ๓ ปี ท่านก็อุตส่าห์ไปโปรด แสดงว่าท่านรู้อะไรกันไม่ต้องสงสัยว่างั้นเถอะ ไม่งั้นก็จะไปทำไม ใช่ไหม ท่านเห็นของเลิศเลออยู่ภายในนั้นจึงอุตส่าห์ทนเอาเพื่ออนุเคราะห์กัน คงเกี่ยวโยงกันมาแหละ เลยสำเร็จอรหันต์องค์นั้น ตั้ง ๓ ปีท่านก็ทน
อย่างที่ว่าไปฉันจังหันเขา ๑๒ ปีนั้นก็เป็นอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็เป็นพระอรหันต์ อุตส่าห์ไปฉันในบ้านเขา ๑๒ ปี ภรรยาเขาเป็นคนใจบุญมาก แต่นี้ไม่ได้บอกไว้ว่ามีอุปนิสัยหรือไม่มี ที่ว่าเตะนกกระเรียนตายต่อหน้าท่าน จะฆ่าท่าน เอาเชือกรัดคอท่าน พระอรหันต์องค์นั้นถูกเชือกรัดคอ เจ้าของบ้านนั้น เราพูดย่อ ๆ เพราะเคยพูดมาแล้ว จนเลือดทะลักออก นกกระเรียนตัวที่มันเคยโฉบกินแก้วกลืนลงในท้องมันแล้วมันก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พอมันเห็นเลือดตกออกจากปาก มันก็มาโฉบกินเลือด กำลังโมโหสุดขีดไอ้นั้นก็เตะนกกระเรียนกลิ้งไปโน้นเลย ท่านก็เลยทำมือเป็นสัญญาณ เขาก็ละเชือกออก
อะไร นกกระเรียนตัวนั้นตายหรือยัง มึงอยากตายกับนกกระเรียนหรือ ยังว่าอีกนะ ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากทราบว่านกกระเรียนตายหรือยัง เขาก็จับนกกระเรียนมาโยนตูมใส่หน้า ตายหรือไม่ตายมึงก็ดูซิ ท่านก็จับมาพลิกดู โอ๋ย ตาย กรรมอะไรก็ไม่รู้นะ ไม่งั้นพระอรหันต์องค์นั้นก็ต้องตาย ถึงขนาดนั้นยังลงนรกจมไปเลย ไม่สุดขีดนะผู้ชายคนนี้ ลงนรกเพราะทำลายพระอรหันต์ถึงไม่ตายก็ตาม ลงเกือบจะสุดขีด
ทีนี้ภรรยาเวลาผัวเขาไปกระซิบว่า แก้วที่อยู่บนเขียงนั้นใครมาเอาไป ไม่ใช่พระองค์นี้หรือ ถามท่าน ท่านบอกท่านไม่ได้เอาแล้วทำไง ก็มีพระองค์นี้เท่านั้น แต่ไม่ได้คิดถึงนกกระเรียนล่ะซิ ก็มีแต่พระองค์เดียวเท่านี้ พระองค์นี้ไม่เอาใครจะเอา เมียนี้ยันเลยเทียว ตายก็ตายเถอะเรา ให้ตายหมดทั้งครอบครัวก็ตาย สำหรับพระองค์นี้แล้วไม่มีทางที่จะเอา แกหยั่งลงไปเลยนะ เอ้า ตายก็ตาย คือแก้วนี้จากเสนาบดีเอามาให้เจียระไน พวกเราก็ต้องหมดครอบครัวจมไปเลย จมก็จมว่างั้นเลย ถ้าว่าพระองค์นี้เอาจะไม่เอาเป็นอันขาดว่างั้นเลย ไม่ยอมฟัง จึงเอาเชือกออกมารัดคอ เมียก็ร้องไห้อยู่ข้างใน หมดท่า ไม่มีทางสงสัยพระองค์นี้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แกเสียใจ
พอนกกระเรียนตาย พอได้เรื่องได้ราวแล้ว เรื่องก็กระเทือนไปถึงพระพุทธเจ้า ก็รับสั่งมาเลยเทียว รับสั่งมาก็เป็นแบบฉบับถึง ๓ คนเลยเทียวว่า ผู้ทำบาปตายแล้วตกนรก คือคนนี้เองผู้ทำลายพระอรหันต์ ผู้ทำบุญตายแล้วไปสวรรค์ คือเมียนั้นเอง ผู้สิ้นกิเลสแล้วไปนิพพาน คือพระองค์นั้นเอง ท่านรับสั่ง แต่เราลืมบาลีเสียจำได้แต่คำแปล นี่ก็ ๑๒ ปี ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยตั้งสัจจะเลยนะ จะไม่เข้าบ้านไหนเลยจนกระทั่งวันตาย บิณฑบาตจะไม่เข้าไปในหลังคาเรือนเขา ฟังซิ บิณฑบาตไปอย่างนั้นได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เอา เพราะเป็นความเสียหายร้ายแรงอย่างนี้ ๆ เลยไม่รับทั้งนิมนต์ แม้ที่สุดบิณฑบาตเข้าไปในบ้านเขาก็ไม่ยอมเข้า ถึงขนาดนั้นแหละ ท่านบิณฑบาตธรรมดาเลย นั่นท่านก็รักษาความสัตย์ความจริงอันหนึ่งเหมือนกัน ท่านอนุเคราะห์ถึง ๑๒ ปี พอพบเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วท่านเลยไม่เข้า รับบาตรในหลังคาเรือนเขาไม่ยอมเข้า แล้วไม่ฉันบ้านใครเลยตลอดวันท่านนิพพาน
พระพุทธเจ้าท่านรับสั่ง ๓ ข้อนี้เข้ากันได้กับคน ๓ คนพอดีเลย ผู้ทำบาปก็ลงนรกก็คือผัวของเขา ตายแล้วจมเลย ผู้ทำบุญก็เมียเขา ตายแล้วไปสวรรค์ ผู้สิ้นกิเลสคือพระอรหันต์ ตายแล้วไปนิพพาน ท่านรับสั่งไว้เป็นบาลีแต่นานมาแล้วเราลืมบาลี จำได้แต่คำแปล
อย่างนั้นละ อย่าไปลบล้างนะ เรื่องบาปเรื่องบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ อย่าไปลบล้างเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากฉิบหายทั้งเป็นทั้งตาย บอกอย่างชัด ๆ เลยเทียวนะ เรานี้กราบราบเลยได้ ๕๒ ปีนี้แล้วฟังซิน่ะ เรามาปฏิบัติต่อพี่น้องทั้งหลายนี้ตั้งหน้ามาโกหกหรือ ดูหน้าเอานะ พูดทุกสิ่งทุกอย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด มีแต่เรื่องความเมตตาสงสารล้นฝั่งหัวใจนี้ เราไม่มีกิเลสตัวหนึ่งเข้ามาแทรกแซงในกิริยาท่าทางเรา จะเป็นขึงขังตึงตังขนาดไหน มีแต่เรื่องของธรรมล้วน ๆ กิเลสไม่มีแฝงเลยแม้เม็ดหินเม็ดทราย มันสิ้นไปแล้วจะเอาอะไรมามี ถ้ามีจะว่าสิ้นได้ยังไง ว่าให้มันเต็มยศอย่างนี้ซิเข้าใจไหม จึงเรียกว่ามันหมด หาก็ไม่เจอจึงเรียกว่ามันหมด แล้วจะหาไปอะไรก็รู้อยู่แล้ว ก็ซ้ำเข้าอีกซิ
เราสอนพี่น้องทั้งหลายเราเป็นห่วงเป็นใยมาก เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงสอนเน้นหนักทางด้านจิตใจ มันจะไม่มีที่เกาะที่ยึดนะเมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ มันโลเลโลกเลกไปหมด ครั้นมองดูมันดิ้นเป็นบ้าอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่จะพาให้มันจม สร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายความห่วงใยขึ้นมากมาย ดีไม่ดีไปสร้างบาปสร้างกรรมขึ้นในสิ่งนั้นก็ได้ ๆ มันดิ้นไปอย่างนั้นนะเวลานี้จิตใจของชาวพุทธเรา ก็มันจ้าอยู่นี้จะให้ว่าไง พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ แล้วยังมาว่าโกหกอยู่หรือเวลานี้ พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างไรฟังธรรมน่ะ เราสอนอย่างไรดูเอาซิ กิริยาท่าทางที่สอนพี่น้องทั้งหลาย ถ้าพอตี-ตีไปแหลกแล้วนี่นะจะว่าอะไร มันไม่ถึงใจ ถ้าพอตีพอฆ่าฟาดมันแหลก ฆ่าแล้วไปสวรรค์ทั้งหมด เราฆ่าให้มันแหลกหมด เอ้า ใครอยากไปสวรรค์อยากไปนิพพาน ฆ่าเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ เลย เอ้า เจ็บช่างหัวมันเถอะ เจ็บครู่เดียวไปสวรรค์นิพพานไม่เป็นไรใช่ไหม อันนี้ฆ่าแล้วมันก็ไม่เป็นท่า ตีมันก็เจ็บเฉย ๆ ทำยังไงมันก็ไม่เป็นท่า ทางนี้ก็มีแต่ว้อ ๆ อยู่เท่านั้นจะทำยังไง
เรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ครอบโลกธาตุ มีใครเกินศาสดาแต่ละพระองค์ ๆ พูดมีคำสองที่ไหน ท่านจึงบอกว่า เอกนามกึ ฟังซิ หนึ่งไม่มีสอง คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละครั้งเพียงพระองค์เดียว เพราะเกิดยากแสนยากที่สุด คือพระพุทธเจ้า จึงว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง เวลาอุบัติขึ้นมาแล้วได้เพียงพระองค์เดียว ผู้ปรารถนาเป็นล้าน ๆ ๆ คนก็ตาม ที่จะผ่านไปได้สักรายนี้หายากมาก ไม่ผ่านได้ง่าย ๆ นะ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า เป็นล้าน ๆ คนนี้เหลวไหลหมด ยากไหมฟังซิ ยากขนาดนั้นละฟังเอา
อุบัติขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่าเก่งจริง สมควรจะเป็นพระพุทธเจ้าได้จริง ๆ ถึงโผล่ขึ้นมาพระองค์เดียวเท่านั้น แล้วระยะที่พระพุทธเจ้าโผล่ขึ้นมานี้ก็ประกาศศาสนาจนกระทั่งปรินิพพานไปแล้วก็เป็นสุญญกัป ว่างตรงนั้น ไม่มีสัตว์ตัวใดเชื่อบาปเชื่อบุญ นรกสวรรค์ ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี สิ่งที่มันแสดงอยู่เต็มฤทธิ์เต็มเดชสด ๆ ร้อน ๆ ทั้งดีทั้งชั่วนั้นแหละ แต่ไม่มีใครรู้ใครเห็น สัตว์ก็ไม่กลัว มันก็ลงอีกแหละ ในระหว่างนี้เรียกว่าพุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ตรงที่ว่างนั้นเป็นสุญญกัปไปแล้ว สูญจากคำว่าบุญว่าบาปที่สัตว์ทั้งหลายเชื่อ ไม่เชื่อแล้ว เป็นสัตว์ล้วน ๆ ไปเลย ฆ่ากันแหลกเหลวไปหมด อย่างนี้ละเมื่อไม่มีบุญมีบาปติดหัวใจแล้วมันทำได้ทุกอย่างสัตว์เรา พอองค์นี้ผ่านไปแล้วกว่าพระพุทธเจ้าองค์หน้าจะได้มาตรัสรู้ก็แสนสาหัสเหมือนกัน นานถึงจะได้มาตรัสรู้องค์หนึ่ง จะมาสั่งสอนสัตวโลก นี่เรียกว่า เอกนามกึ อุบัติได้ทีละองค์ ๆ ไม่เคยมีสอง
อันหนึ่ง เอกนามกึ คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงหยั่งทราบอย่างไรแล้วจะไม่เป็นสองเลย ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลยไม่เป็นอื่น จึงเรียกว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง เรียกว่าพระญาณหยั่งทราบ
อันหนึ่ง เอกนามกึ คือ พระวาจาที่รับสั่งอะไรออกไปแล้ว จะไม่มีสองเช่นเดียวกัน นี่ก็สอนโลกเต็มโลกเต็มสงสาร ชาวพุทธเราไม่ได้ยินบ้างเหรอว่า บาปมีบุญมี นรกสวรรค์มี เปรตผีประเภทต่าง ๆ มี นี่ก็รับสั่ง พระพุทธเจ้ารับสั่งแล้วไม่มีสอง พวกเราไปแยกมาเท่าไรเป็นกี่อันห้าอัน ลบหมด บาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลก เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไม่มี ลบหมด เก่งกว่าศาสดา ระวังนะความเก่งนี้มันจะมาผลาญเราแหลก ให้จำให้ดีนะ
ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์ เอกนามกึ เหมือนกันหมด แล้วทำไมเราจะสามารถไปลบล้างได้ ตัวเท่าอึ่งอ่างเท่านี้น่ะมันน่าพิจารณานะ ให้รีบพิจารณาเสียแต่บัดนี้ เวลานี้ลมหายใจยังมีอยู่พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้นะ ทุกข์ยากลำบากเพื่อความดี เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อความสุขจะเป็นอะไร ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์นี้อย่าพากันไปฝืน ทุกข์นะ ทุกข์สร้างบาปสร้างกรรม เขาทุกข์เหมือนกันนะคนสร้างบาปสร้างกรรม แต่ทุกข์แล้วก็เพิ่มเป็นมหันตทุกข์ขึ้นมาอีกผลของมัน แต่ทุกข์เพื่อการสร้างคุณงามความดีนี้ สร้างมากเท่าไรเพิ่มเป็นบรมสุขขึ้นไปเรื่อย ๆ ให้จำอันนี้ให้ดีนะ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะไม่มีอะไรแปลกต่างกัน คือ เอกนามกึ อย่างเดียวกันหมด สอนอย่างไรไว้ก็เหมือนกัน อย่างที่ว่าสอนบาปบุญนรกสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้มามีเมื่อสองสามวันนะ มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ก็มาเจอเอา ๆ ก็เห็น ก็นำอันนี้มาสอนทั้งดีทั้งชั่ว สอนสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีลบล้างได้ ถ้าลบล้างได้พระพุทธเจ้าลบหมดเลยไม่มีเหลือ แต่นี้ลบไม่ได้นั่นซี จึงได้สอนวิธีหลบหลีกปลีกตัว และสอนวิธีบำเพ็ญเพื่อเข้าสู่จุดที่มุ่งหมาย แล้วใครจะเกินศาสดาองค์เอกของเรา
อย่าเชื่อนะกิเลส มันเอาคนให้จมมามากต่อมาก เราจมมาตั้งกัปตั้งกัลป์ใครพาให้จม ถ้าไม่ใช่กิเลสอะไรพาให้จม ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้พาให้จมนะ มีแต่ฉุดแต่ลากขึ้นตลอดเวลา มีมากเท่าไรยิ่งขึ้นเร็ว ๆ เต็มที่แล้วก็ผึงถึงนิพพานเลย หมด เรื่องกองทุกข์ทั้งหลายที่เคยตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์ นี้หมดปัญหาทันทีที่จิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลส จะได้เผาได้ฝังแต่ซากศพอันนี้เท่านั้น เพราะจิตนี้พ้นแล้ว นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก มีแต่ดึงขึ้นนะไม่ได้ลากลง อย่าฝืนลากลงนะมันจะจมไปหมด
เราสั่งสอนโลกนี้เราสั่งสอนจริง ๆ แต่ก่อนมันไม่เป็นก็บอกแล้วนี่ว่าไง เวลามันมืดหนาสาโหดก็เคยพูดให้ฟัง มืดเสียจนกระทั่งถึงน้ำตาร่วงบนภูเขา นี่ออกมาเข้าสู่สนามรบแล้วยังน้ำตาร่วงบนภูเขาให้กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยมันมีอย่างเหรอ แต่เรามันมีแล้วมันเป็นแล้วจะว่าไง ถึงขนาดกูมึงของเล่นเมื่อไร จึงว่าไม่ได้ลืม อันนี้สด ๆ ร้อน ๆ เป็นอยู่กับหัวใจเรา น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ต่อสู้กับกิเลสสู้มันไม่ได้ กิเลสมันเหมือนกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง ไอ้เรามันก็เหมือนกับหนูตัวหนึ่ง ต่อยทีไรมันฟาดเอาเลือดสาด ๆ มันฐานปรานีนะ เพียงเลือดสาด มันไม่ขยำกินกลืนไปพร้อม
มึงเอามาทั้งโคตรทั้งแซ่มึง เท่านี้กูไม่พอกินไอ้หนูตัวเดียวนี้ มันไม่ว่าอย่างนั้นยังดีนะ มันฟาดเลือดสาด ๆ เรียกว่ามันผ่อนผันอนุโลม ยังฐานเมตตา พอเลือดสาด สู้มันไม่ได้ก็มีแต่น้ำตาร่วง เคียดแค้นให้มัน ซัดทีไรหงายทุกที หงายไม่ได้หงายธรรมดา หงายหมาเสียด้วย หงายหมาไม่มีท่า มีแต่ร้องแหง็ก ๆ หงายหมา ถ้าหงายแมวมันตบได้ สู้มันไม่ได้เราลืมเมื่อไร เอามาสอนพี่น้องทั้งหลายนี่ นี่ละกิเลสเป็นของแก้ได้อย่างนี้ด้วยอำนาจของธรรม แก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่มีในโลก พระอรหันต์ไม่มีในโลก ผู้สิ้นทุกข์ไม่มีในโลก ก็คือแก้ได้นั่นเอง ท่านจึงสอนให้พวกเราแก้
เวลามันหนัก-หนักจริง ๆ นะกระแสของกิเลส เหมือนคลื่นในมหาสมุทร เราจะเอาฝ่ามือไปกั้นคลื่นมหาสมุทร ฝ่ามือขาดสะบั้นเลย เวลากิเลสมันมีกระแสรุนแรงก็เป็นแบบเดียวกันนั้น มีแต่น้ำตาร่วง ๆ แต่มันก็เป็นมงคลอันหนึ่งจึงได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย คือน้ำตาร่วงมันไม่ได้อ่อนใจที่จะท้อถอยความเพียร ถึงขนาดกูมึงอยู่ในใจ ไม่ได้ออกมาคำพูดแหละ ก็คนเดียวนั่งอยู่บนภูเขา น้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ มันตบทีไรหงายหมา ๆ เลือดสาด ๆ หันมาสู้ทีไร ปั๊บหงายหมาแล้ว ๆ มันก็ออกอุทานซิ โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้น เคียดแค้นที่จะฟัดกับกิเลสมันเป็นธรรม ถ้าเคียดแค้นให้บุคคลและสัตว์ตัวใดนี้เป็นกิเลสทั้งนั้น เคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของที่จะสังหารมันนี้เป็นธรรม ความเคียดแค้นมากเท่าไรความเพียรยิ่งหนักเข้า ๆ กลับไปกลับมากับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ไม่ได้ลืม
ไปหาท่านไปเล่าเรื่องอุบายให้ฟัง ท่านก็แก้ให้ปุ๊บปั๊บ ๆ กลับมาอีกหงายอีก ๆ อยู่อย่างนั้น หูย สด ๆ ร้อน ๆ นะ นี่ละวิธีแก้กิเลส ให้พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ นี่เป็นคติ แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ แต่เป็นคติอันดีที่แก้กัน แก้ลำกันจนได้ว่างั้นเถอะ มาถึง ๓ ครั้ง ๔ ครั้งเข้าไปแล้ว ทีนี้คำว่าหงายเริ่มเป็นหงายแมวไปบ้าง มีท่าต่อสู้บ้างแล้ว ไม่ได้หงายหมาร้องแหง็ก ๆ อย่างเดียว ต่อมาทางนี้ก็ได้กำลังขึ้นแล้วหนุนกันใหญ่ เอากันใหญ่เลย ทางนั้นก็ล้มได้ละที่นี่ อ้าว มึงก็ล้มเหมือนกันกับกูเหรอ แต่ก่อนกูล้มหงายหมาให้มึงดูท้องกู นี่มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลสนี่ ซัดกันใหญ่เลย พอได้ท่าก็เอากันใหญ่ นี่ละแก้กิเลสฟังซิพี่น้องทั้งหลาย คือไม่หยุดไม่ถอยเอาจนได้ แก้ได้อย่างนี้จะว่าไง
ตอนที่มันเอาจนน้ำตาร่วง ทีนี้ไม่ร่วงน้ำตามีแต่ฟัดใหญ่เลย ถึงขนาดที่ว่าเวลามันยอมเรามี เราเอาเต็มเหนี่ยวนี้ เหมือนอย่างช้างที่เราโดดขึ้นบนตะพองมันได้แล้วขอกระหน่ำลงไปเลยเทียว ช้างร้องโก้ก ๆ มึงร้องก็ร้องไปเถอะมึงเอากูนี้ขนาดไหน ก็ซัดลงเลย ทางนั้นก็มีแต่หมอบราบ ๆ ทางนี้ก็ขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละการแก้กิเลสต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าอ่อนแอไปเลยนี้เหลวไปเลย ใช้ไม่ได้นะ หนักเข้า ๆ เวลากระแสของกิเลสมันหนักมากขนาดไหนอยู่ในหัวใจนี้หมด ทีนี้เวลากระแสของธรรมมีกำลังมากขึ้น ๆ ฟัดกิเลสนี้หงาย ๆ เหมือนกันนะ เวลามันได้หงาย ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติถึงขั้นความเพียรเป็นอัตโนมัติ คือไม่ต้องบังคับบัญชามีแต่รั้งเอาไว้ คือมันรุนแรงมันผาดโผนโจนทะยาน มันก็เห็นในใจแล้ว
ทีนี้กิเลสตัวไหนมา นู่นน่ะฟังซิ ถ้าลงสติปัญญาขั้นนี้ได้ขึ้นแล้ว คำว่าถอยไม่มี มีแต่ตายเท่านั้น ไม่ตายก็ต้องชนะ ไม่ชนะมันจะตายก็แบบไม่คาดไม่ฝัน คือจะเอาชนะท่าเดียวไม่ได้คิดถึงเรื่องจะตายนะ นี่เวลามันมีกำลัง สติปัญญาของเรานี้ เรื่องหัวใจนี้อย่าไปคาดนะ ความรู้เวลานี้กิเลสครอบหัวใจอยู่นี้ ใครก็คาดเหมือนเราเหมือนท่านนั่นแหละ คาดไปตามประสาของคนมีกิเลสอยู่ในเรือนจำของวัฏจักร มันก็คาดไปตามประสีประสาของนักโทษในเรือนจำ ทีนี้พอจิตมันผ่านอันนี้ออกไปแล้วคาดไม่ได้เลย ฟังซิน่ะ จิตถึงขั้นฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา ถึงขนาดที่ว่าได้รั้งเอาไว้ ๆ คือความเพียรมันกล้าเกินไป จนกระทั่งจะไม่หลับไม่นอน มันหมุนติ้ว ๆ เป็นอัตโนมัติ
คือแต่ก่อนกิเลสมันหมุนหัวใจเราเป็นอัตโนมัติ หัวใจของเรานี่แหละ จะคิดออกแง่ใดมุมใดพบเห็นสิ่งใด ๆ เป็นกิเลส ๆ ทั้งนั้น ๆ มันสร้างกิเลสในตัวของมัน ด้วยการรู้การเห็นการได้ยินได้ฟัง ทุกอย่างเป็นกิเลสหมด เป็นอัตโนมัติของมัน ทีนี้เวลาธรรมของเราได้สร้างขึ้น ๆ ไม่หยุดไม่ถอย ธรรมก็เริ่มเป็นอัตโนมัติขึ้นมา ต่อไปแล้วก็เป็นอัตโนมัติ ได้เห็นได้ยินอะไรเป็นเรื่องการสร้างกิเลสแต่ก่อนนั้น มันกลายเป็นฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดาจากการได้เห็นได้ยินได้ฟัง นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่มีอะไรก็ตามมันก็ฆ่าอยู่ภายในของมันตลอด ไม่ว่ากินอยู่หลับนอนเว้นแต่ในขณะที่หลับ หลับนั้นธรรมก็ไม่ทำงาน กิเลสก็ไม่ทำงาน พอตื่นพับจับกันแล้ว ซัดกันแล้ว ต้องรั้งเอาไว้นะ ความเพียรขั้นนี้ ที่เราเคยขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอแต่ก่อนไม่มีเลยนะ มีแต่ต้องได้รั้งเอาไว้คือมันรุนแรง นี่ละความเพียรหรือธรรมที่ประเภทจะฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว จะไม่มีคำว่าถอยเลย หมุนติ้ว ๆ เลย
จิตดวงนี้ จิตดวงน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขานี่ละ พอเวลาถึงขั้นมันเป็นอัตโนมัติ กิเลสเป็นอัตโนมัติผูกหัวใจสัตวโลกฉันใด ธรรมก็เป็นอัตโนมัติแก้กิเลสออกจากหัวใจของตัวเองหรือสัตวโลกผู้มีธรรมประเภทนั้นเหมือนกันหมด นี่เป็นอย่างนั้นหมุนออก คลี่ออก ๆ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนไม่มีนะ เป็นแต่ความเพียรฆ่ากิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเราเดินจงกรมถึงจะเป็นความเพียร นั่งสมาธิเป็นความเพียร ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ เป็นตลอดเวลาเช่นเดียวกับกิเลสอยู่บนหัวใจเรา มันสร้างตัวของมันเป็นอัตโนมัติฉันใด เราสร้างตัวของเราเป็นธรรมเพื่อสังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติก็แบบเดียวกันเลย จนกระทั่งกิเลสได้ม้วนเสื่อเสียเมื่อไรแล้วหมดละที่นี่ หมดไม่มีอะไรเหลือเลย หมดลงไป ทางนี้เกรียงไกร ๆ พอกิเลสแพล็บขาดสะบั้นพร้อม ๆ เป็นยังไงเร็วไหมธรรม
ถึงขั้นธรรมเร็วเป็นอย่างนั้นนะ พอแย็บเท่านี้ขาดสะบั้น ๆ นั่นละเรียกว่าธรรมอัตโนมัติ เริ่มไปตั้งแต่ขั้นถูไถกัน ขั้นตะลุมบอนกัน จากนั้นไปก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติความเพียรเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็เชื่อมโยงเข้าถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญานี่เป็นสติปัญญาที่ซึมซาบไปเลย ไม่มีวรรคมีตอน ซึมซาบเหมือนน้ำซับน้ำซึม นี่เรียกว่าปัญญาที่ละเอียดแหลมคมสุดยอด จะฆ่ากิเลสตัวสุดยอดของวัฏจักรให้ขาดสะบั้นลงไปด้วยมหาสติมหาปัญญานี้ มันก็พอเหมาะพอดีกัน เมื่อประกอบเข้าถึงกันแล้วมันพอดีกันตลอดไปเลย เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือ พึบเดียวเท่านั้นเห็นไหมล่ะ
เราเคยคาดที่ไหนแต่ก่อน เราเคยรู้ที่ไหน เรื่องกิเลสพันหัวใจเรานี้มันพันมาตั้งแต่เกิด ไม่ทราบพันมาแต่เมื่อไร เราก็รู้มาเป็นลำดับ เวลากิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจก็รู้ในขณะนั้น แล้วจะไปสงสัยที่ไหนถามหาพระพุทธเจ้าทำไม ถามพระพุทธเจ้าทำไมว่าข้าพระองค์สิ้นกิเลสแล้วยัง ถามหาอะไร ธรรมนี้ธรรมเพื่อถอนกิเลสแก้กิเลส สนฺทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เมื่อเจอเข้าไปอย่างจัง ๆ ทูลถามพระพุทธเจ้าทำไมอันเดียวกันแล้ว ๆ นี่ละการปฏิบัติตัวเอง อย่าพากันท้อถอยอ่อนแอนะ ให้อุตส่าห์พยายามทุกคน ๆ นี้ถอดจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ยังคิดอยู่เหรอว่าหลวงตาบัวนี้มาหลอกโลกลวงโลกเวลานี้ กำลังหลอกลวงโลกทั่วประเทศไทย นอกจากนั้นยังออกอินเตอร์เน็ตหลอกไปถึงเมืองนอกนั้นเหรอ ให้พากันพิจารณา
นี้ถอดจากหัวใจด้วยความเมตตาเต็มสัดเต็มส่วนต่อพี่น้องชาวไทยเรา ซึ่งเวลานี้กำลังช่วยชาติบ้านอยู่ด้วย แล้วเต็มเหนี่ยว ๆ มีแต่เมตตาธรรมล้วน ๆ กิริยาท่าทางจะขึงขังตึงตังขนาดไหน นั้นเป็นกิริยาท่าทางแห่งพลังของธรรม ไม่ได้มีกิเลสตัวใดที่เข้าไปแทรกเลย ว่าเราสอนโลกด้วยความสกปรก เพราะกิเลสแทรกหัวใจเราที่กำลังแสดงการสอนนี้ ไม่มี นั่นฟังซิน่ะ นี่จึงเรียกว่ามันหมด กิเลสหมดต้องหมดอย่างนั้นซิ จะหาที่ไหนก็จะเจออะไร แล้วจะไปหาอะไรก็รู้อยู่ว่ามันหมดแล้ว แน่ะ มันก็ซ้ำเข้าไปอีก มันก็จ้าอยู่งั้นตลอดเวลา
เหมือนอย่างเราดูน้ำมหาสมุทรนี่ มองไปทีไรก็มหาสมุทรจะไปถามอะไร ก็เห็นอยู่มหาสมุทรจ้าอยู่นี่ น้ำแม่น้ำลำคลองไหลมาที่ไหนรวมกันลงเป็นแม่น้ำมหาสมุทร แล้วไปถามหาแม่น้ำลำคลองที่ไหนอีก ก็จ้าอยู่นี้คือมหาสมุทร ทีนี้จิตใจที่รวมตัวลงไปตามการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญทั้งหลายซึ่งเทียบกับแม่น้ำสายต่าง ๆ นี่ละแต่ละคน ๆ เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ กำลังไหลลงด้วยบารมีธรรมของตน ๆ ไหลใกล้เข้ามา ๆ ก็ยังเรียกแม่น้ำสายนั้น ๆ เรียกเขาเรียกเราอยู่นะ พอเข้าไปถึงนั้นปึ๋งเท่านั้นแหละ ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นด้วยกันแล้วเป็นอันเดียวกัน เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรจะมาจากคลองไหนก็คือ มหาสมุทรคำเดียวพอ
อันนี้จะบำเพ็ญมาจากบุคคลผู้ใดรายใดก็ตาม พอเข้าถึงนั้นปั๊บเป็นธรรมธาตุ เรียกว่าแม่น้ำมหาสมุทร ผึงเข้าไปนั้นถามกันหาอะไร เหมือนเราไปดูแม่น้ำมหาสมุทรถามหาอะไร ก็เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตา ธรรมธาตุจ้าขึ้นในหัวใจแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไรก็อันเดียวกันนี้ นี่ละถ้ารู้ ๆ อย่างนี้ ไม่ต้องคาดไม่ต้องถาม ไม่ต้องไปถามใครแหละ พระพุทธเจ้าสอนแล้วลง สนฺทิฏฺฐิโก ให้รู้เองนั่นแหละผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็รู้เอง สาวกทั้งหลายต้องรู้เองจากภาคปฏิบัติของตัวเอง เราต้องทำอย่างนั้นซิ แล้วมันก็รู้ขึ้นมาแล้วถามทำไม
พอพูดอย่างนี้แล้วเรายังไม่ลืม ที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดอยู่หนองผือเราไม่ลืมนะ ท่านพูดตอนนั้นธรรมะอะไรไม่รู้นะเราลืมเสีย ไปกระเทือนใจท่าน ท่านขึ้นใหญ่อย่างรุนแรงทีเดียวนะ ตอน ๕ โมงเย็น ปัดกวาดเรียบร้อยแล้วท่านก็สรงน้ำ สรงน้ำเสร็จแล้วขึ้นไปแล้วคุยธรรมะกันรื่นเริงบันเทิง ทีนี้จะเป็นธรรมะประเภทไหนเราชักลืม ๆ เสีย อ๋อ คือหลวงปู่เสาร์ที่เป็นอาจารย์ของท่านนั้น พระท่านก็มาเล่าให้ฟังว่า เวลานี้อัฐิของหลวงปู่เสาร์กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นิ่งไม่ว่าอะไร เพราะท่านเชื่อพอแล้วจะให้ท่านตื่นหาอะไร แล้วก็มีอีกอันหนึ่งแย็บขึ้นมาอีกว่า แต่อัฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุแล้วก็มี ที่เป็นอัฐิอยู่เขาก็ไปบดทำเป็นพระขลัง ๆ เขาเรียกอะไร พระผงอะไรนั่นนะ นี่ตอนกระเทือนท่านมาก ไปตำเป็นผงละเอียดแล้วก็ไปทำเป็นพระพุทธรูปเล็ก ๆ เป็นพระพุทธรูปผง
พอว่าอย่างนั้นผางขึ้นเลย เหอ ขึ้นเลยทันทีเลย นั่นเห็นไหมกระเทือนใจท่าน สะเทือนธรรมท่านนะ พอว่าอย่างนั้นก็เหอ พวกนี้ ขึ้นเลยนะ นี่มันจะมาปฏิบัติแบบไหน ปฏิบัติแบบหมาก็หาแทะอย่างนั้นซิ ปฏิบัติแบบพระก็ต้องหามรรคหาผลด้วยข้อปฏิบัติ พวกนี้มันจะไปหาแบบไหน หาแบบหมาหรือหาแบบคนแบบพระ หาแบบหมาก็คือไปแทะกระดูกท่าน เอาผงอัฐิของท่านมาตำแล้วบรรจุกับพระพุทธรูปเล็ก ๆ แจกกันเป็นของขลังแล้วซื้อขายกันไปตลอดนะ นั่นละกระเทือนท่านแรงนะ
อันนี้เราก็สรุปมาเลย พอมาถึงที่นี้แล้ว ก็มาถึงบทธรรมอันสำคัญของท่าน ท่านพูดขึ้น เราได้เห็นต่อหน้านี่นะจะลืมได้ยังไง พูดแล้วสาธุว่างี้เลยนะ ยกมือขึ้นเลย พูดถึงเรื่องความรู้จริงเห็นจริง เราจะไปถามใคร ความถนัดชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่กับ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้เองเห็นเองนี้หมดแล้ว พอท่านว่าอย่างนั้นท่านก็ยกมือขึ้นสาธุ พูดแล้วไม่ได้ประมาท แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม ขึ้นอย่างหนักเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา ถามอะไรของอันเดียวกันขึ้นเลย ใครรู้มันก็รู้อย่างเดียวกัน จะไปถามกันหาอะไร ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ไม่ลืม ฟังอยู่แต่ตอนนั้นเราก็เที่ยวกัดนั้นเที่ยวแทะนี้อยู่นั้นละ คือไปฟังโอวาทท่านหากัดหาแทะอันนั้นอันนี้ไป แต่จำไม่ลืมนะ เพราะท่านพูดอย่างถึงใจผึงขึ้นมาเลย ทีนี้เวลาพูดนี้ก็สาธุเหมือนกัน
พอไปเจอเข้าอย่างนั้นแล้วก็สาธุเหมือนกัน โอ้โหเป็นอย่างนี้เอง ที่ท่านก็สาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม จะทูลถามหาอะไรมันก็ขึ้นอีก ทางนี้ก็ดี ถ้าไม่ใช่บ้า แน่ะเป็นยังไง มันคัดค้านกันที่ไหนกับพ่อแม่ครูจารย์ท่านพูด พอเวลามันเจอขึ้นไปอย่างนี้แล้ว โอ้โห ขึ้นทันทีเลย ก็น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน ธรรมธาตุอันเดียวกันถามกันหาอะไร เท่านั้นก็พอ นี่เราไม่ลืม ตอนนั้นเรากำลังอบรมศึกษาเต็มกำลังความสามารถ แต่ยังไม่รู้ธรรมประเภทที่ท่านว่านี่ ก็ฟังแต่จำไม่ลืมนะ เวลามันไปโดนเข้าอย่างจัง ๆ นี้ก็สาธุขึ้นอีกเหมือนกัน นี่ละธรรมอันเดียวกันค้านกันได้ยังไง ใครมาตรัสรู้มากี่ล้าน ๆ ก็ตาม แบบเดียวกันนี้หมดไม่เป็นอย่างอื่น จึงว่าธรรมของจริง แล้วพวกเราจะไปลบล้างได้ยังไง ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ไปลบล้างได้ยังไง นี่ที่มันจะจมนะให้ระวังให้ดี
กิเลสนี้ แหม มันกล่อมได้สนิทมากนะ ว่าอะไรก็ตามกิเลสจะซึมซาบเข้าไปเป็นรสเป็นชาติ กล่อมให้เป็นบ้าไปตาม ๆ กัน เดี๋ยวก็บาปไม่มีบุญไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีก็มีแต่ส้วมแต่ถานสร้างทั้งวันทั้งคืน มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มตัวเข้าใจไหมล่ะ มันไม่ได้เรื่องนะอย่างนั้น วันนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องถอดจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายนะ นี้จวนจะตายแล้วบอกแล้ว คำพูดอย่างนี้เราก็ไม่เคยพูดที่ไหน ตั้งแต่รู้มาก็สอนพระสอนเณรเป็นลำดับลำดา ตามขั้นตามภูมิของพระเณรที่จะรับได้ขนาดไหนก็สอนไปตามลำดับ ตอนที่ออกอย่างใหญ่หลวงก็คือออกเพื่อช่วยชาตินี้เอง ทีนี้มีเท่าไรออกหมดเลยคราวนี้นะ ฟาดตั้งแต่แกงหม้อใหญ่แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วออกตลอดหมด จนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเวลานี้ ท่านทั้งหลายจะฟังก็ฟัง แล้วจะว่าหลวงตาบัวโกหกนี้ พวกที่ไม่โกหกนั้นแหละ พวกที่เปิดประตูไม่ทัน เข้าใจไหม ไอ้ผู้ที่โกหกมันไม่ได้เข้าแหละ พูดตรง ๆ เราไม่เข้า มันแน่อยู่นี้จะเอาอะไรไปเข้าไปออกวะ มันก็พอแล้ว ไอ้พวกที่มันเก่ง ๆ นั่นละ เปิดประตูไม่ทันพวกนี้นะ เข้าใจ เหนื่อยแล้ว เอาละพอ
เป็นยังไงล่ะผู้ว่ามานี้หลายวัน ได้ฟังเทศน์ทุกวัน ๆ เป็นยังไง (วันนี้ก็ดีมากครับ) ผู้เทศน์นี่จำไม่ได้นะ พอเทศน์จบแล้วหายเลย ๆ วันหลังงัดขึ้นมาใหม่จะเป็นของเก่าก็ไม่ทราบ เทศน์แล้วหายไปเลย ๆ อย่างนั้นตลอด ไม่ทราบว่าเทศน์อะไร จำไม่ได้ พอขึ้นแล้วก็เทศน์ จบแล้วหายไปเลย ที่เทศน์สนามหลวงวันนั้นได้ฟังชัดเจนอยู่หรือวันนั้น
ฟังที่นู้นด้วยแล้วก็เอาเทปมาฟังต่อด้วยครับ แล้วไปอ่านด้วย
นี่เขาพิมพ์เป็นหนังสือมาก็มีนะ เอามาแจกในงานนี้ เทศน์กัณฑ์นี้รู้สึกว่าดีอยู่ เทศน์กัณฑ์นี้ไปกว้างขวาง
ที่สนามหลวงนี่สุดยอดเลยครับ ทุกคนฟังได้ ทุกฝ่ายฟังได้ ขั้นสูงก็ฟังได้ ขั้นต่ำก็ฟังได้ ฟังแล้วไม่เบื่อ เพราะเป็นธรรมจากใจขององค์ท่าน ธรรมที่ออกจากใจที่ปฏิบัติ ไม่ได้เล่านิทาน ไม่ได้จำตำรามา หากแต่ออกเอง
พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกถึงฟ้าหญิงฯ ที่ท่านประทับอยู่ข้าง ๆ เวลาจบลงแล้วท่านนิมนต์ลงไปรับดูเหมือนจะเป็นทองคำ ลงไปพอไปนั่งปั๊บแล้วเราก็เลยถามในฐานะพ่อกับลูก เพราะท่านถวายตัวเป็นลูกแล้วนี่ เราเลยว่า เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์เราว่าอย่างนั้นนะ ท่านขึ้นออกแกมอุทานเลยนะ ท่านขึ้น โอ้โห ว่างั้นเลยนะ ท่านพ่อเทศน์นี้ออกมาจากหัวใจจริง ๆ มาเทศน์ ฟังแล้วกายเบาหวิวเลย แทบไม่รู้กายเลย ท่านว่าท่านฟังตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบไม่กระดุกกระดิกเลยนะ จนคนทั้งหลายอัศจรรย์เหมือนกัน แหม ท่านเป็นกษัตริย์เวลาท่านนั่งฟังเทศน์ไม่มีใครสู้ได้เลย ไม่กระดุกกระดิกเลย ไม่มีใครสู้ได้เลย
วันนั้นถ้าหากว่าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็คิดว่าวันที่ ๒๘ เดือนหน้านะ เราจะได้ไปตำหนักท่านจะลงเสาเอกนะ ท่านจะสร้างพระตำหนักที่ปทุมธานี ตั้งไว้เป็นตามอัธยาศัยในช่วงที่เราไปมอบทองคำนี้ คือกะว่าจะไปวันที่ ๒๔ วันที่ ๒๕ พักปรึกษาหารือกัน วันที่ ๒๖ ก็มอบทองคำที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ ๒๗ พักอีกวันหนึ่ง วันที่ ๒๘ ก็ไปปทุมธานี วันที่ ๒๙ ก็พักอีกวันหนึ่ง วันที่ ๓๐ กลับ พอดี ๗ วัน เวลานี้ค่อนข้างจะแน่ เพราะได้ตกลงมาจากทางนู้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ คงไม่เปลี่ยนแปลงคงจะเป็นวันที่ ๒๖ เดือนกันยา พอดีเราก็จะได้ทองคำเพิ่มขึ้นอีกนี่นะ เป็นเวลาตั้งเดือนทองคำเราต้องได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวลานี้กำลังจะบุกแท่งที่ ๔ เราได้แล้ว ๓ แท่งตั้งแต่เรากลับมาจากกรุงเทพฯ มานี้ แล้วแท่งที่ ๔ กำลังบุกอีก เวลานี้มันได้ ๓๘ กิโลครึ่งแล้ว ขึ้นไปนี่จะไปหาแท่งที่ ๔ กำลังจะเตรียมบุก อีกเดือนหนึ่ง จากนี้ไปแล้วไปกรุงเทพฯ ก็ได้อีก จึงแน่ใจว่าบุกได้ว่างั้นเลย แท่งที่ ๔ นี้คิดว่าจะได้
วันนี้ก็เทศน์ เทศน์ทุกวันแหละ ทุกวัน ๆ เทศน์ แล้วก็ออกวิทยุแล้วก็ออกทางอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คำพูดของเรานี้เขาจะได้ฟังกันโลก คำพูดหลวงตาไม่มีบัญชี ออกเรื่อยไปเลย ว่าไปทุกแบบทุกฉบับ พวกที่ฟังนี้ โหย เป็นบ้าไปเลย ขยี้ขยำ ท่านว่าอย่างนั้นท่านว่าอย่างนี้ อะไรเราผ่านไปที่ไหนแล้ว พูดแล้วหายเงียบไปเลย ทางนี้ก็มาขยี้ขยำจนเหลว พวกบ้าไม่เลิกเข้าใจไหม ไปละพวกบ้าไม่เลิก เราบ้าเลิกเราจะไป วันนี้ได้ทองคำ ๑ กิโล ๑๓ บาท ไม่ใช่เล่นนะ