เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
กิเลสไว้ใจไม่ได้
วันนี้ดูไม่มีเรื่องมีราวอะไรมัง (ไม่มีครับ) เออ ให้สบายสักหน่อยเถอะ ส่วนมากๆ มีแต่เรื่องสกปรก พอเราพูดเรื่องสกปรกแล้วให้เราระวังปาก ก็ตัวสกปรกมันไม่ระวังจะให้เราระวังปากยังไงใช่ไหมล่ะ นี่ซิพูดไม่มีเหตุมีผล เอะอะทีไรมีแต่เรื่องสกปรก เรื่องเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน ธรรมที่เคยให้ความร่มเย็นแก่โลกมาเป็นประจำตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ท่านไม่สกปรก ท่านสะอาดสุดยอด เมื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มีแต่ความสกปรก ท่านก็ว่าบ้างซิจะว่าไง มันสกปรกแล้วจะให้ว่าสะอาดดีนะ เอาขี้โปะหัวมาแล้วจะให้ว่า โอ๊ คนนี้เขาสะอาดดีนะ จะให้ว่างั้นเหรอ จะว่าได้ยังไงธรรมท่านก็ต้องพูดไปตามธรรม ไม่ได้ปลิ้นปล้อนหลอกลวงหลายสันพันคมเหมือนกิเลส
กิเลสนี่ไว้ใจไม่ได้นะ อยู่ในหัวใจเรานั่นละ มันหลอกเราอยู่ตลอดเวลา ไว้ใจไม่ได้ นอกจากนั้นไปเกี่ยวข้องกับใครก็ต่างคนต่างมีผีหลอกเต็มหัวใจ มันก็หลอกใส่กัน เป็นเรื่องสกปรกรกรุงรังหาความสัตย์ความจริงไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้นะกิเลส ตัวเองก็ลองดูซิน่ะ ถ้าอ่อนในธรรมเมื่อไรมันจะต้มทันที กิเลสต้มเร็วที่สุด คำว่ากิเลส คือสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจ ความเศร้าความหมองความมืดตื้ออยู่ในนั้น ความแยบคายของมันที่หลอกโลกนี้แหลมคมมาก ท่านว่ากิเลส มันอยู่ที่ใจ อันนี้เป็นกาฝาก เป็นมหาภัยต่อใจมาตลอด ธรรมก็อยู่ที่ใจ ส่วนมากมีแต่กิเลสมีอำนาจมาก ครอบครองบีบบังคับหัวใจให้ได้รับความเดือดร้อนตลอดมา นอกจากนั้นก็ไสไปสู่ภพนั้นภพนี้
เพียงศพคนๆ เดียว เอามาโยนทิ้งใส่ในประเทศไทย เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติที่ไหนๆ เก็บไว้อย่าให้สูญหาย เหมือนเขาเก็บศพไว้ๆ ศพประเภทใดๆ เอามากองกันๆ เมืองไทยจนหาที่อยู่ไม่ได้ คือไม่ให้มันเสื่อมสูญอันตรธานแปรปรวนไปไหน สภาพไหนภพของตัวเอง คราวนี้เกิดภพนี้ เอา ให้อยู่นี้ ตายแล้วก็อยู่นี้ แล้วไปเกิดนั้นตายแล้วมาอยู่นี้ กองกันในภพเจ้าของ เมืองไทยเราหาที่อยู่ไม่ได้จะว่าอะไร คนๆ เดียวนั่น เราพูดแล้วมันสลดสังเวชนะ ไม่ใช่พูดเฉยๆ มันเห็นด้วยนี่น่ะ มันรู้ด้วย ใครจะว่าเราอวด แต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูดอย่างนี้ เวลามันรู้ขึ้นมามันก็รู้ขึ้นมาที่หัวใจ ที่เปิดก็อยู่ที่หัวใจ ที่ปิดก็อยู่ที่หัวใจ
กิเลสเป็นเครื่องปิดบัง มาเท่าไรๆ มันปิดบังไม่ให้เห็นร่องรอยที่มาเลยจะว่าไง แล้วตายเกิดนี้ไม่ใช่ภพเดียวอัตภาพเดียว สัตว์ตัวเดียว บุคคลคนเดียวนะ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมไปตลอดในภพนั้นภพนี้ เก็บไว้ๆ เมืองไทยไม่มีที่อยู่แหละ มากหรือไม่มาก คือไม่ให้เสื่อมสูญอันตรธาน ให้คงเส้นคงวาอยู่นั้น จะเป็นภพใดๆ เอามากองกันไว้ ของเรานี้แหละ คราวนี้มันไปเกิดเป็นอันนั้น เอามากองกันไว้ตายแล้ว คราวนี้ไปเกิดนั้นอีก เอามากองไว้ๆ มันตายเกิดๆ ตลอดเวลา แต่จิตนั้นไม่มีคำว่าสูญ มันอาศัยนี้ละ ไปเข้าร่างนั้นร่างนี้ อาศัยบุญกรรมไปอย่างนี้ละ
เข้าทางภาวนาซิมันถึงเห็นได้ชัด ไม่น่าสลดสังเวชจะสลดสังเวชยังไง น้ำตาพังลงเลย เคยคิดไว้เมื่อไรเวลามันจ้าขึ้นมาแล้ว เราเคยคิดเคยคาดไว้เมื่อไรว่าจะรู้อย่างนี้จะเห็นอย่างนี้เรื่องราวอะไรๆ กิเลสปิดร่องรอยไว้หมดไม่ให้เห็นว่าเป็นมายังไง พอมันเปิดจ้านี้มันทะลุของมันไปหมดจะว่าไง แล้วเมื่อมันทะลุมันเห็นแล้วจะให้ว่าไม่เห็นได้ยังไง นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลออย่างนี้ จึงท้อพระทัยที่โลกจะรู้ได้เห็นได้ตามพระพุทธเจ้า พูดได้อย่างสดๆ ร้อนๆ ในหัวใจนี่ ไม่มีจืดไม่มีจางคือธรรมในใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว ถ้าอยู่ในธาตุขันธ์นี้ก็เรียกว่า ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ให้นามว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พอผ่านพ้นจากนี้ไปแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย
ธรรมธาตุนี้ละครอบโลกธาตุ อันนี้ไม่เคยตาย ใจไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ยอมรับว่าทุกข์มากน้อย แต่จะให้ฉิบหายไม่ฉิบหาย พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงด้วยโลกอนิจจัง อยู่ในวัฏวนเป็นโลกอนิจจังทั้งนั้น ช้าเร็วมันมีของมันอยู่ในนั้นละ ทีนี้เวลาเปลี่ยนแปลงตัวขึ้นมาได้ สูงขึ้นมาๆ จนผ่านพ้นขึ้นมาแล้วจึงได้มาเห็นเรื่องของตัวเองมันเป็นยังไง จุตูปปาตญาณ พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูความเกิดตายของสัตวโลก ทีแรกบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงดูภพชาติเก่าแก่ของเจ้าของมาโดยลำดับลำดาก่อน ก็จนดูไม่ได้ว่างั้นเถอะ ภพอันเดียวของเรานี้ก็ดูไม่ได้ แล้วที่นี่ จุตูปปาตญาณ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกการเกิดการดับการตายเท่าไรยิ่งมาก โถ พิลึกพิลั่น มันเป็นยังไง จึงได้สาวหาเหตุมัน มันเป็นมายังไงทั้งเขาทั้งเราจึงเป็นมาอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุไร ท่านเรียกว่าพิจารณาปัจจยาการ ปฏิจจสมุปบาท
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา พิจารณาลงไปๆ ก็ไปถึงต้นตอมัน ตัวนี้พาให้เกิดให้ตาย ถอนพรวดขึ้นมาแล้วก็ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ... ดับไปตามๆ กันหมดเลย เวลามันเกิดมันเกิดตามกันไปเรื่อยๆ เวลาค้นหาสาเหตุตัวพาให้เกิดให้ตายทั้งเขาทั้งเรา เป็นเพราะอะไรพาให้เกิดให้ตาย ค้นเข้าไปจึงไปเห็นต้นตอของมันที่พาให้สัตว์เกิดตาย มันติดอยู่กับจิต ถอนออกจากจิตขาดสะบั้นลงไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตล้วนๆ ทีนี้จ้าหมดเลย อันนั้นก็พังลงไปแล้ว นั่นละท่านถึงได้เห็นชัดเจน ถ้าอย่างตาเราตาท่าน ใจเราใจท่าน ใครจะเอามาพูดได้อย่างนี้ ไม่มี เพราะเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่รู้จะไปพูดได้ยังไง เมื่อรู้แล้วพูดไม่ได้ยังไง ในสิ่งที่ควรจะพูดได้มีอยู่ ต้องพูดได้ทั้งนั้นแหละ
คิดดูปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเราที่สดๆ ร้อนๆ อยู่นี้ทรงปรารถนาพุทธภูมิมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป นับไม่ได้ถึง ๔ หน แสนมหากัปเข้าไปอีก แถมเข้าไป ว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความสะดวกสบายในนามพระพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ขึ้นมานี้ ความจริงที่ปรากฏขึ้นมากับสิ่งที่ไม่เคยคาดเคยคิดมีอยู่เต็มโลกสงสาร มันจ้าขึ้นมาพร้อมกัน ทีนี้ก็ท้อพระทัยละซิ จะไปสั่งสอนได้ยังไง สิ่งที่รู้ขึ้นมานี้เหมือนหนึ่งว่าไม่ใช่วิสัยของโลกใดๆ จะรู้ได้เลย เหมือนหนึ่งว่ารู้ได้แต่เฉพาะพระองค์ แล้วก็ท้อพระทัยซิ
เอ้า ย้อนเข้ามา มันเป็นอยู่ในนี้ก็ต้องพูดได้ซิ แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดเหล่านี้ เวลาพิจารณาไปมันก็ลงแบบเดียวกัน พอผางขึ้นมานี้ โถ นั่นเป็นยังไงล่ะ อัศจรรย์ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ย้ำแล้วย้ำเล่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ย้ำให้มันถึงใจที่อัศจรรย์เกินเหตุเกินผล เลยสมมุติไปแล้วนั่น เคยคาดเคยคิดไว้เมื่อไร ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เป็นอันเดียวกันแล้วนั่น พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ อย่างอันเดียวกันนี้ แล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น ใครเคยคาดเคยคิด รวมก็ว่าเป็นธรรมแท่งเดียวจ้าครอบโลกธาตุ
เหมือนหนึ่งว่าจะรู้จะเห็นเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น สัตว์โลกทั้งหลายจะรู้เห็นไม่ได้ เลยท้อพระทัย จะสอนไปยังไงก็เมื่อมันมืดบอดไปหมด ภูเขาลูกนี้ดำทะมึน มีแต่หินผาหน้าไม้ ไม่คิดว่าจะมีสารคุณอะไร แร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มากน้อยฝังจมอยู่ในนั้นๆ ไม่คิดว่าจะมีทีแรก พอจ้าขึ้นมานี้ความสว่างกับความมืดเจอกันเข้าแล้ว ความมืดเลยเหมือนมืดไปหมด สิ่งที่เป็นสาระสำคัญๆ คือสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยปัจจัยอยู่ในโลกมืดนี้ยังมี ความหมายว่างั้น ไม่ใช่จะมืดไปหมด ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยซึ่งเท่ากับแร่ธาตุต่างๆ ฝังจมอยู่ในภูเขาลูกมืดนั่นยังมีอยู่มากน้อย พิจารณาไปก็ อ๋อ มี นั่น
นี่ละที่ว่าท้าวมหาพรหมมาอาราธนา ว่าสัตว์ในโลกนี้ผู้เบาบางยังมีอยู่ ก็คือภูเขาลูกนี้แร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นสารประโยชน์ยังมีอยู่ ไม่ใช่จะเป็นภูเขาหินผาหน้าไม้ไร้สารประโยชน์เสียอย่างเดียว ยังมีประโยชน์อยู่มาก อยู่ในนี้ยังมี อันนี้ที่พระองค์ทรงพินิจพิจารณาอยู่นั้นที่ท้าวมหาพรหมมาอาราธนา พระองค์ทรงทราบยิ่งกว่าท้าวมหาพรหม นี่พูดตอนที่ท้าวมหาพรหมมาแทรก ตอนที่กำลังพระองค์พิจารณาอยู่นั้น ที่ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ นั้น ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้าขอให้แสดงธรรมโปรดสัตว์โลก ผู้มีมลทินเบาบางยังมีอยู่ ขออย่าได้ปล่อยวางไปเสียเลย จะจมกันทั้งโลกนี้แหละ ทั้งผู้มีอุปนิสัยและไม่มีก็จะจมไปด้วยกัน
นั่นละเป็นยังไงพระองค์ถึงได้ท้อพระทัย ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าที่จะสอนโลกโดยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้นเถอะน่ะ เหตุใดจึงท้อพระทัย จ้าเข้าไปทีแรกมันมีแต่ภูเขาทั้งลูก แร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นสารประโยชน์อยู่ในภูเขาลูกนั้น ฝังจมอยู่ในนั้นยังไม่ได้พิจารณา เห็นแต่ความมืดเต็มภูเขาทั้งลูกไปหมด เวลาพิจารณาเข้าไปมันยังมีแร่ธาตุต่างๆ นี่ก็เป็น
นี้ก็พูดแล้วพูดเล่า เอามาอวดท่านทั้งหลายเหรอ คำพูดเช่นนี้ มันเป็นขึ้นมาถึงขนาดอุทาน อุทานย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่นั่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ มันถึงใจว่างั้นเถอะน่ะ พร้อมกับน้ำตานี้พังลงมาเลยละ เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ จากนั้นแล้วก็ โถ ทำไมเป็นอย่างนี้ จะสอนใครได้ นั่นมันเป็นในหัวใจนะ เมื่อยังไม่พิจารณาให้กว้างขวางออกไป มันเป็นในปัจจุบัน ผางขึ้นมาปัจจุบัน เอาปัจจุบันมาพูด เหมือนว่าหมดสาระโลกอันนี้ทำยังไง จะสอนใครได้ สอนใครที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมดทั้งโลก เพราะโลกนี่เป็นโลกบ้าของกิเลสทั้งนั้น อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้นก็พอแล้ว สอนอะไรใครจะไปเชื่อ ลงถึงขนาดนี้แล้ว ขนาดที่รู้อยู่นี้น่ะ เหมือนหนึ่งว่าไม่มีใครจะรู้ได้อย่างนี้ ผุดขึ้นมาผึงอันเดียวเท่านั้นจ้าขึ้นมา เหมือนว่ามีอันเดียวเท่านั้นแต่เราคนเดียว นอกนั้นกลายเป็นสัตว์ไปหมด นี่เวลามันขึ้นทีแรก
แต่ไม่ได้ตั้งใจประมาทนะ มันเป็นอย่างนั้นในความรู้สึก ความอัศจรรย์เลิศเลอเลยโลกเลยสงสาร กับความเลวร้ายของวัฏจักรนี่มันเป็นขนาดนั้น ถึงให้ท้อใจ พระพุทธเจ้าท้อพระทัย นี้ตัวเท่าหนูท้อใจ พูดให้ชัดๆ เลย จะสอนไปหาอะไร สอนไปเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด ธรรมชาติอันนี้ใครจะไปรู้ได้เห็นได้ นู่นน่ะเหมือนว่าเราคนเดียวรู้เท่านั้น โลกทั้งโลกนี้ทั้งๆ ที่ผู้ที่พร้อมที่จะรู้ก็มีอยู่ แต่อันนี้มันเด่นเสียเวลานั้นมันเลยกลบสิ่งเหล่านั้นไปหมดเลย แล้วก็ท้อใจ จะไม่สอนใครเลย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ พอถึงวันเวลาไปเสียเท่านั้นแหละ อยู่ไปกินไปก็อยู่ตามป่าตามเขา พอสืบชีวิตไปวันหนึ่งๆ พอแล้ว ไปหาอะไรอีก สอนอะไรสอนใคร เหมือนว่าสุดวิสัยที่จะสอนแล้ว เวลานั้นเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ธรรมอันหนึ่งก็ผางขึ้นมาอย่างแรง มาอย่างสะดุดทีเดียว เราไม่ลืมนะ มันเป็นสดๆ ร้อนๆ ก็เมื่อโลกอันนี้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ รู้แต่เราคนเดียวเพียงเท่านั้น โลกอันนี้ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ เราคนเดียวเราก็เป็นมนุษย์ หรือเราเป็นเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ได้ เขาเป็นมนุษย์เขาเป็นสัตว์ไปหมด ไม่สามารถรู้ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้ นี่ธรรมผุดขึ้นมา กระเทือนหัวใจเหมือนกัน เอาอย่างหนักเหมือนกัน กระเทือนปึ๋งขึ้นมาเลย เราทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ สัตว์โลกทำไมเขารู้ไม่ได้ เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้
จากนั้นก็ไล่เบี้ย รู้ได้เพราะเหตุใด นั่นตรงนี้นะ ตรงยอมรับนะ รู้ได้เพราะเหตุใด ก็เรามาถึงที่นี่มันมีสายทางมานี่นะ สายทางบุญญาบารมีของเราที่สร้างมาตั้งแต่เริ่มแรกเรื่อยๆ ต่อแขนงกันมาเรื่อย อำนาจวาสนาบารมีต่อกันมาจนกระทั่งมาถึงที่นี่ เมื่อรู้ได้เพราะเหตุใด อันนี้กับสายทางมาเหมือนวัดป่าบ้านตาดกับสายทางเข้ามา ติดกันมาอย่างนี้ เราจะปฏิเสธได้ยังไงว่าใครจะรู้ไม่ได้ ทางมีอยู่ นั่น
ทีนี้พอว่างั้น ยอมทันทีเลย อ๋อ รู้ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ค้านนะ อ๋อ รู้ได้ เพราะสายทางมันบ่งบอกอยู่ในหัวใจของเราที่เป็นสายยาวเหยียด ขึ้นมาถึงที่สุดหลุดพ้น อำนาจแห่งบุญญาบารมีที่สร้างมาๆ นี้เป็นเครื่องหนุนมาๆ พอถึงที่สุดแล้วส่งผึงถึง เพราะเหตุนี้เอง รู้ได้เพราะเหตุนี้ เพราะสายทางมา พอเท่านั้นละ อ๋อ ยอมรับเลย รู้ได้ ถึงไม่มากก็ได้ ที่จะปฏิเสธเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่มี ยอมรับทันที นั่นแหละเรื่องราวมัน
จากนั้นก็อยู่ไปกินไปธรรมดา สอนไป เพื่อนฝูงไม่ต้องบอกละ พระนี่รุมตลอด หลบซ่อนอยู่ตามป่าตามเขา หลบนู้นหลบนี้ไปไหนไม่พ้น วิ่งตามๆ รำคาญ พูดให้มันชัดเจน ไม่อยากอยู่กับใครหรืออะไร อารมณ์อันนี้ไม่เกี่ยวกับอะไรในโสกสมมุตินี้ ผ่านไปหมดแล้ว แล้วจะให้มายุ่งอะไรกับสิ่งเหล่านี้ นั่นพูดให้มันชัดๆ ทีนี้เมื่อมีผู้เกี่ยวข้องอยู่ ผู้จะได้ดิบได้ดี สายทางยังมีอยู่ แต่ละรายๆ มีวาสนาบารมีมาด้วยกันทั้งนั้น ประมาทกันไม่ได้ มีมากมีน้อยก็นี่ละที่จะทำให้รู้ให้หลุดให้พ้นไปได้ ก็คือสายทาง คือบุญบารมีของเราที่สร้างมา ไม่หายไปไหนนะ จะสร้างมามากน้อยไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง ที่ไหนๆ จะไม่มีคำว่าสูญหาย ติดแนบๆ เพิ่มกำลังกันขึ้นๆ หนุนหลุดพ้นไปได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ เวลาพิจารณาแล้วยอมเลยว่า อ๋อรู้ได้ แม้ไม่มากก็ได้ ปฏิเสธได้เมื่อไร
นี่ก็นั่งหันไปหันมา ท่านทั้งหลายท่านเป็นอรหันต์ เรานี้มีแต่หันไปหันมา ไม่ทราบว่าหันอะไรก็ไม่รู้ ฟังซิท่านทั้งหลาย ให้แต่กิเลสโปะหัวอยู่ตลอดเวลาเหรอ เอาแต่เรื่องของกิเลสมาอวดกันทั้งโลกทั้งสงสาร ก็เท่ากับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันตลอดเวลา มันดีที่ไหนพิจารณาซิ ธรรมมีอยู่เอามาสอนตัวเอง มาแก้ไขดัดแปลง ให้ดีวันดีคืนขึ้นไปบ้างซิ คนๆ หนึ่งรับผิดชอบมาตลอดตั้งแต่วันเกิด ทำไมจะรับผิดชอบตัวเองต่อไปเพื่อความดิบดีทั้งหลาย ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกนั้นไม่ได้วะ เอาให้มันเป็นอย่างนั้นซิ
นี่ก็พูดแล้ว หลักฐานพยานก็มีอยู่นี่ ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ มรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้บำเพ็ญ ผู้ไม่บำเพ็ญตายกองกันอยู่เท่าไรก็กองกันอยู่อย่างนั้นละ ไม่มีความหมายอะไร นี่เราพูดถึงเรื่องเวลามันท้อ ท้อถึงขนาดจะสอนใครไปหาอะไร อยู่ไปกินไปพอถึงวันเวลาแล้วไปเสียเท่านั้น คำว่าไปเสียเท่านั้นก็หาหลบหาซ่อนอยู่ตามป่าตามเขา บิณฑบาตมาได้อะไรกินแล้วสบายเลย ไม่มีอารมณ์กับอะไรในสามแดนโลกธาตุ ผ่านหมดแล้ว เหลือแต่ธรรมธาตุๆ ที่มีขันธ์นี้เป็นผู้รับผิดชอบอยู่เท่านั้นก็ดูเฉพาะขันธ์ ที่ว่าอยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ ก็เพื่อขันธ์นี้เท่านั้น จิตนั้นไม่ต้องเพื่อแล้ว หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไร ก็มีแต่ขันธ์ ขันธ์ยังมีอยู่ พากินอยู่หลับนอน พาขับพาถ่าย พาไปพามา เปลี่ยนอิริยบถก็ไปหาอยู่ที่หลบซ่อน พอถึงกาลเวลานี้จะพังก็ปล่อยเลย ดีดผึงเท่านั้นเอง นั่น
นี่เวลามันเป็นมันท้อขนาดนั้นนะ ครั้นมาพิจารณาแล้วรู้ได้เพราะเหตุใด สายทางมายอมรับ อ๋อ มีด้วยกันทุกคน แม้แต่สัตว์จะไปประมาทเขาไม่ได้นะ ใจของสัตว์มีบุญมีบาปอยู่ในนั้นเหมือนกันกับคนเรา จะประมาทกันไม่ได้ วาระนี้ได้มาเสวยกรรมประเภทนี้อยู่ในสัตว์ ภพนี้ภูมินี้ก็ยอมรับกัน จากนี้ผ่านไปนั้น ผ่านไปนั้นๆ เมื่อเวลาสร้างความดีแล้วผ่านพ้นได้เลย ถ้าผู้ที่ไม่สนใจอะไรเป็นขอนซุงทั้งท่อน มีแต่ลมหายใจฝอดๆ นี้ก็รอวันตาย ตายแล้วก็จมเลยๆ เท่านั้นเองมีอยู่สองอย่าง
ถ้าใครทอดธุระในการประคับประคองแก้ไขดัดแปลงตัวเอง รักษาตัวเอง ผู้ใดไม่ใฝ่ใจในสิ่งนี้ผู้นั้นมีแต่รอจะจมโดยถ่ายเดียว จะสูงจรดฟ้าก็ตาม ไอ้ชื่อมันตั้งได้นะ ชื่อนั้นชื่อนี้เลยจรวดดาวเทียมก็มีแต่ลมปาก ตัวของเรากิเลสเหยียบหัวมันอยู่ในหัวใจนั่น ดูตัวนี้ซิ มันจะใหญ่ขนาดไหน มันไม่ได้ใหญ่กว่ากิเลสนะ เวลามีกิเลสอยู่ภายในใจ ทีนี้พอกิเลสขาดสะบั้นลงแล้วไม่มีอะไรใหญ่ยิ่งกว่าธรรมนะ ธรรมเท่านั้นเลิศเลอสุดยอด เหยียบหัวกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วเลิศเลอสุดยอด
พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์คือองค์สุดยอดทั้งนั้น แต่ท่านไม่ตื่น มีเหมือนไม่มี พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่าน ถึงวาระที่จะแสดงท่านก็แสดงตามเรื่องตามราว เมื่อหมดปั๊บหายเงียบเลย ไม่มีอะไรเลย สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกสูญเปล่าไปตลอดเวลา ภายในจิตใจไม่มีอะไรจะไปผ่านได้เลย คือจิตของพระพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์ เป็นจิตที่ว่างเปล่าที่สุด ไม่มีอะไรผ่านได้เลย คำว่าผ่านคือสมมุติ กิเลสเป็นสมมุติ ยอดสมมุติคือกิเลส มีมากมีน้อยจะผ่านจะขัดจะขวาง พอกิเลสอันนี้พังลงไปโดยสิ้นเชิงแล้วเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ ว่างเปล่าไปหมด
นี่การปฏิบัติความดีงาม อย่าปล่อยให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย เวลานี้สนามเมืองไทยเราแต่ก่อนว่าเป็นสนามเมืองพุทธ เดี๋ยวนี้เป็นสนามเมืองเปรตเมืองผีนะ มีแต่ขัดแต่แย้ง ชิงดีชิงเด่น มันไม่มีอะไรมาดี มันชิงเฉยๆ ชิงชั่วนั่นน่ะชิงความเลวทราม ความดีพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วทำไมไม่ชิงกันหาความดิบความดี ชิงกันหาแต่ความชั่วช้าลามกจกเปรต มันก็มีแต่ความทุกข์ความทรมานน่ะซิ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ ให้ได้เห็นชัดๆ จิตดวงนี้ประกาศกังวานเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่กับผู้ปฏิบัติบำรุงรักษาจิตดวงนี้ให้ดี ดวงนี้ละจะพาผ่านพ้น ถ้ามีแต่การบีบบี้สีไฟตามความอยากความทะเยอทะยานของจิตแล้ว เหยียบจิตดวงนี้ลงๆ จมเรื่อยนะ จำให้ดีสองคำนี้ ไม่อย่างนั้นจะจมนะ
ธรรมะพระพุทธเจ้าก็สอนว่าโก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ.ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ด้วยความมืดบอดของมัน เผาลนสัตว์โลกอยู่ตลอดเวลาจนหาที่ว่างเว้นไม่ได้ เธอทั้งหลายยังมาหัวเราะรื่นเริงกันหาอะไรอยู่ นั่นฟังซิ พระพุทธเจ้ากระตุกนะนี่ โลกสันนิวาสนี้มันเป็นโลกฟืนโลกไฟ โลกมืดโลกบอดของกิเลสครอบงำหัวใจอยู่นี่ตลอดมา แล้วเธอทำไมจึงยังมาหัวเราะกันแฮ่ๆ อยู่ได้ อยากว่าอย่างนี้นะ เราอยากถามพวกลูกศิษย์ของเราอยู่ศาลานี่เป็นยังไง พระพุทธเจ้าว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท ทำไมจึงมาแฮ่ๆ เมื่อคืนนี้นอนหลับดี เอาความหลับมาอวดมรรคผลนิพพาน แฮ่ๆ เมื่อคืนนี้นอนหลับดี พวกบ้า เราเป็นหัวหน้าบ้าเข้าใจไหม บ้าก็มีหัวหน้า ดีก็มีหัวหน้า
ให้พากันจำเอานะ ทุเรศจริงๆ นะ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา พูดอะไรออกมานี่ไม่มีคำว่าจืดว่าชืด แม้จะย้ำของเก่าขนาดไหน ธรรมชาตินี้เป็นรสชาติๆ ตลอด จะไม่มีคำว่าจืดจาง เหมือนเขาเล่านิทาน เล่านิทานวันนี้เล่าขบขันดี พอวันหลังมาจืดชืดแล้วไม่ขบขัน มันจืดชืดไปได้เรื่องของกิเลสเรื่องของสมมุติ เรื่องของธรรมล้วนๆ นี้ไม่มีวันจืด สดชื่นตลอดเวลา มีรสมีชาติตลอดเวลา การเทศนาว่าการนี้ออกจากธรรมที่ทรงรสทรงชาติไว้อย่างเลิศเลอแล้ว ออกมาจึงไม่มีคำว่าจืดจางนะ ไม่เหมือนกิเลส กิเลสนี้มันจืด หาใหม่เรื่อยๆ
แม้ที่สุดได้เมียแล้วมันก็ไปหาเมียใหม่อีก นี่กิเลส อันนี้จืดแล้วไปหาเมียใหม่ ไปหาผัวใหม่ พวกบ้าพวกจืดชืด หาใหม่ไม่หยุดไม่ถอย หาก็ได้คนเก่านั้นแหละไอ้ผู้หญิงนั่นแหละ ผู้ชายนั่นแหละ เอาของวิเศษวิโสมาจากไหน หากหาตามนิสัยของกิเลสเปลี่ยนเรื่อยๆ ธรรมะไม่ต้องเปลี่ยน ผึงเดียวพอ ไม่หาอะไรมาเปลี่ยน สมบัติเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมนี้ไม่มี นั่น จำได้เหรอ เอาละวันนี้พูดเท่านี้ละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|