ยายกั้ง
วันที่ 6 มิถุนายน 2548 เวลา 8:00 น. ความยาว 59.41 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ยายกั้ง

 

เวลาเกี่ยวข้องกับเพื่อนฝูงในเวลาเรียนหนังสือ ก็เอาแต่ทางด้านปริยัติ กิริยาปริยัติมาใช้ กิริยาปริยัติกับภาคปฏิบัติถ้าเทียบกันแล้วก็เหมือนว่าลิงค่างด้านปริยัติ แต่ลิงค่างอยู่ในวงปริยัติไม่เสียจากนั้นนะ เป็นกิริยาอะไรๆ อยู่ในนั้นละ หยอกเล่นกันอะไรอยู่ในวงนั้น ภาคปฏิบัติหดเข้ามา เรามันเคยเข้า ด้านปริยัติเข้าหมด ภาคปฏิบัติตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ก็เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ ภาคปฏิบัติเรียนหนังสืออยู่ก็เสาะอยู่ตลอดนะ พอโรงเรียนหยุดปั๊บนี้ออกแล้ว ออกไปหาครูอาจารย์ องค์ไหนๆ ที่น่าเคารพเลื่อมใสไปๆ เป็นประจำนะ

เวลาออกไปอย่างนั้นไม่ได้บอกว่าไปกรรมฐานนะ ไปวัดนั้นวัดนี้เขาก็ทราบว่าเป็นวัดกรรมฐาน แต่เราบอกว่าไปดูหนังสือ อย่างนั้นนะ เวลาเรียนหนังสือยู่ ออกจากนั้นก็บอกว่าไปดูหนังสือ ความจริงไปดูหนังสือใหญ่ ภาวนา ไม่ให้ใครทราบ มันหากเป็นอยู่ลึกๆ พูดออกมานี่ขัดทันทีเลยไม่พูด เฉย เขาเป็นลิงเราก็ลิง เขาเป็นอะไรก็เป็นกับเขาไป คำว่าลิงค่างด้านปริยัติ คือกิริยาหยอกเล่นกันธรรมดาในวงพระนั่นละ ไม่ให้ผิดจากหลักธรรมหลักวินัย แต่ภาคปฏิบัติหดเข้ามา ต่างกันนะ เราจึงบอกว่าเราเข้านอกออกใน ไม่สงสัย ทางภาคปริยัติปกครองกันยังไง อยู่กันยังไง มันมีต่างกันนะภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ มีแปลกต่างกัน แต่ไม่นอกขอบเขตธรรมวินัย อยู่ในนั้นละ มีแยกมีแยะ

เรียนหนังสืออยู่นี้ใครมาดูถูกกรรมฐานไม่ได้นะ เราก็เป็นนักเรียนอยู่ด้วยกัน เรียนหนังสืออยู่ มีนะพระปริยัติดูถูกกรรมฐาน ทีนี้เราแทรกอยู่ในนั้น แล้วเราก็เป็นนักเรียน เอาผิดเอาถูกกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ พอตำหนิกรรมฐานไม่เข้าเรื่องเข้าราวนี่ซัดเลยนะเรา เอาเลย นี่ก็เป็นนักเรียนเหมือนกันใช่ไหม มันแขนซ้ายแขนขวาตีกันจะเอาผิดเอาถูกจากกันที่ไหนล่ะ แขนซ้ายแขนขวา มาไม่ถูกทางเอานะพวกปริยัติ แต่มีน้อยมากที่ปริยัติจะดูถูกกรรมฐาน พูดออกมาในเชิงดูถูกอะไรๆ เอาแล้วเรา รักกรรมฐานรักอย่างนั้น แต่ส่วนมากท่านชมเชย นี่เราพูดถึงพื้นเพปริยัตินะ ส่วนมากท่านชมเชย ท่านปฏิบัติได้ เราปฏิบัติไม่ได้ แสดงว่ายอมตนชมเชย ที่เย่อหยิ่งอวดตนอย่างนี้กับเราไม่ได้ละ ซัดกันเลย เอาเรื่อยแหละเรา

เวลาโรงเรียนหยุดออกไปวัดป่าโน้นวัดป่านี้ ก็บอกไปดูหนังสือ ไม่ได้บอกว่าภาวนา เป็นอย่างนั้น นี่เราพูดถึงเรื่องนิสัย ใครก็รู้ มันหากเป็นของมันเอง นิสัยมันฝังลึกๆ ไม่ควรพูดไม่พูดไม่อะไร หากอยู่ลึกๆ เช่นอย่างนิสัยฝังทางด้านกรรมฐาน เรื่องมรรคผลนิพพาน อยู่ลึกๆ บอกใครไม่ได้ หากเป็นอยู่ในนั้น ส่วนที่ออกแขกออกคนได้ สมควรในขั้นใดภูมิใดของสมาคมมันก็ออกของมันเอง แต่เรื่องทำกรรมฐานเรื่องภาวนาไม่ค่อยออกง่ายๆ นะ คิดดูอยู่กับเพื่อนกับฝูงนี้เหมือนเราไม่เคยกรรมฐาน ไม่แสดงเลย

บางทีไปเดินจงกรมตอนดึกๆ หยุดเรียนหนังสือแล้วลงไปเดินจงกรม มันยังมีเผลอ เรายังไม่ลืม เผลอ เงียบๆ หยุดเรียนหนังสือลงไปเดินจงกรม แล้วเพื่อนฝูงก็เดินผ่านไปผ่านมา ว่าทำอะไร เราเผลอไปบอกว่าเดินจงกรม เหอ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ คอยกันหน่อยน่ะ นั่นเห็นไหมล่ะ มันเอาอย่างนั้นนะ คอยกันเสียก่อน เรียนจบแล้วค่อยไปด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาเข็ด เราเผลอ เวลามาเจอกันกลางคืน ส่วนมากกลางคืน กลางวันไม่ให้ใครเห็นแหละ กลางคืนเรากำลังเดินจงกรม มีพระเดินมา ทำอะไรเดินอะไร โหย เปลี่ยนบรรยากาศ นี่แก้เอานะ นั่งดูหนังแส่หนังสือเหนื่อย เปลี่ยนบรรยากาศ ผ่านไปได้ ถ้าว่าเดินจงกรมไม่ได้นะ มันหากมีหยอกมีเล่นกันอยู่ในนั้นละ จะเอาผิดเอาถูกอะไรกันก็ไม่ได้

พูดถึงเรื่องปริยัติ ปฏิบัติเราไม่สงสัย เข้าได้ทั้งนั้น ภาคปริยัติปกครองกันยังไง อยู่กันยังไง ภาคปฏิบัติอยู่กันยังไงๆ เข้าใจทั้งสอง ทั้งสองอย่างนี้คืออยู่ในกรอบของธรรมวินัย แต่ละเอียดหยาบต่างกันเท่านั้นเอง ทางภาคปฏิบัติละเอียด ภาคปริยัติหยาบกว่ากัน หากอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมวินัยด้วยกัน ทีนี้เวลาออกปฏิบัติแล้วเปิดเผยได้ที่นี่นะ พอออกปฏิบัติแล้วก็เหมือนว่าออกสนามแล้ว เปิดเผยกิริยาทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นสมควรจะออกได้ออกเลย แต่ก่อนเก็บๆ เงียบๆ นะ อยู่ในวงปริยัติด้วยกัน ภาคปฏิบัติภายในใจไม่ออกเลย ทีนี้พอออกปฏิบัติ เปิดละที่นี่ เรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว เปิด

เราพูดถึงเรื่องนิสัยที่มันเป็น มันหนักในทางใด อย่างภาคปฏิบัติหนักอยู่ภายในลึกๆ แต่ไม่แสดงให้ใครทราบละ พวกปริยัติด้วยกันไม่ทราบเลย เราไม่เคยพูดเลย จนกระทั่งออกแล้วที่นี่ ขึ้นเวทีแล้ว เปิดได้เลย แต่เวลาเรียนหนังสืออยู่นี้เหมือนไม่เคยภาวนาเลย เก็บเงียบเลย แต่อันหนึ่งมันฝังอยู่ลึกๆ มันรักมันสนิทมันติดใจ มันฝังอยู่ลึกๆ เรื่องกรรมฐาน เรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องนิพพานจากทำกรรมฐาน จากภาวนา เป็นอยู่ลึกๆ อันนี้ไม่จืด หากไม่แสดงต่อใครให้ทราบ มันเป็นอยู่ลึกๆ จะว่านิสัยก็ไม่เห็นผิด ก็ไม่มีใครบอกมันหากเป็นของมันเอง

พอโรงเรียนปิดเมื่อไรเข้าป่าแหละ ไปวัดนั้นวัดนี้ เข้าป่า ครั้นเวลาพูดออกมาก็ว่าไปดูหนังสือ ว่างั้นนะ เพราะกำลังเป็นนักเรียนนักลิง จะเอาอันอื่นมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีน้ำหนัก ถ้าว่าไปดูหนังสือมีน้ำหนัก เขาเชื่อ ความจริงไปภาวนา มันแปลกอยู่มันเป็นของมันลึกๆ แปลกๆ อยู่ เพื่อนฝูงผู้สนใจภาวนาก็มีอยู่ หากว่าจะพูดก็เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นไม่พูดมาก มันหากเป็นในจิตเองนะ

ไปอยู่โคราชก็มีกรรมฐาน มีวัดป่าทั่วไป พอโรงเรียนปิด หยุด เข้าแล้วเข้าวัด เช่น วัดสาลวัน วัดศรัทธารวม วัดไหนแถวนั้นไปหมดแหละ เราไปเที่ยวหมดไปดูหมด ไปภาวนา ทางเชียงใหม่ก็ไป ไปทางสันกำแพง มีวัดป่าๆ  พอโรงเรียนหยุดไปแล้ว มันหากเป็นของมันเอง ถ้าหากมีคนถามก็ว่าไปพักดูหนังสือ ไม่ได้บอกว่าไปกรรมฐาน กรรมฐานเก็บไว้ลึกๆ หลักใหญ่ที่มันฝังลึกไม่ถอนเลย เราก็เคยเล่าให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เราไม่เคยคาดเคยคิด ที่จะได้หลักสำคัญมาฝังหัวใจไม่ถอนกรรมฐาน เราภาวนาอยู่เฉยๆ บวชใหม่ๆ ฝึกหัดภาวนาไปกับเรียนหนังสือ อยู่วัดโยธานิมิตรนี่

คือถามท่านพระครู เห็นท่านเดินจงกรมตอนเช้าๆ ท่านเดินจงกรมแต่เช้า ตี ๔ ตี ๕ ท่านเดินจงกรมจนกระทั่งสว่างท่านจึงเข้าโบสถ์ ท่านพักอยู่ในโบสถ์ เราก็ดูอยู่ เราเป็นนาคฝึกหัดบวช แต่ก่อนเราก็เคยรักกรรมฐานอยู่แล้วเป็นฆราวาส เวลาท่านผ่านมาพักอยู่ตามบ้าน บ้านตาดท่านเคยมา วงกรรมฐานมา เวลาถามท่านอยากภาวนาจะภาวนายังไง เอาพุทโธแหละ เราก็เอาพุทโธ เราก็เอานั้นแหละไปว่าตามประสาเพราะไม่เคย พุทโธๆ ตั้งจิตไว้ไม่ให้เผลอ สักเดี๋ยวหายเงียบ มันเผลอ ทำทุกคืนแหละ บทเวลาคืนมันจะเป็นมันหากเป็นของมันอย่างนี้แหละ

เอาพุทโธๆ วันมันจะเป็น กระแสของจิตเรามันออกกว้างขวาง เหมือนตากแหไว้ ตีนแหกว้างขวาง เวลาพุทโธๆ เหมือนจับจอมแห พุทโธๆ เข้าไปก็เหมือนจับจอมแหดึงมาๆ แล้วตีนแหก็หดเข้ามาๆ กระแสของจิตนี่พอพุทโธๆ มันหากเหมือนจับจอมแห กระแสของจิตเหมือนตีนแหค่อยหดเข้ามาๆ เป็นลักษณะให้สนใจในขณะนั้นแหละ แล้วต่อเรื่อยๆ หดเข้าๆ ทางโน้นหดเข้ามารอบตัว หดตัวเข้ามาเต็มที่แล้วก็เป็นกองแห อันนี้จิตหดตัวเข้ามาแล้วเป็นจุดผู้รู้ที่เด่นดวง นี่ละจอมแห พุทโธจับจอมแหไว้ ตีนแหคือกระแสของจิตก็จะรวมเข้ามาหาพุทโธๆ พอรวมเข้าถึงจุดพุทโธแล้ว จิตหมดกิริยาอาการทั้งหมดซึ่งเราไม่เคยทำมาเลยนะ

คือเราไม่เคยเป็น ทำก็ทำสะเปะสะปะไปอย่างนั้นละ นี่ละมันฝังลึกนะ ไม่เคยเป็นไม่เคยรู้เคยเห็น พอจิตสงบเข้ามาๆ มาถึงจุดกลางนี้เท่านั้น โอ้โห มันอัศจรรย์อะไรนักหนา มองดูเวิ้งว้างไปหมดเลยเหมือนว่าอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร จิตดวงนี้อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ขาดจากอารมณ์ทั้งหลายทั้งหมดเลย โอ๋ย อัศจรรย์เกิดคาดเกินหมาย ไม่เคยเป็น นั่นละที่เป็นพื้นฐานให้จิตตภาวนาของเราฝังไปเรื่อยๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง บทเวลาจะเป็นมันเป็นอย่างนั้นละ

แต่ไม่นานนะ คือความตื่นเต้นนั่นละไปกระตุกมัน ความตื่นเต้น ความอัศจรรย์ มันเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะนั้น มันอัศจรรย์เกิดคาดเกินหมาย ไม่เคยรู้เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา พึ่งมาเจอเอาวันนั้น โอ้โหๆ เลย ทีนี้ไม่นานมันก็ถอนออกมาเสีย พยายามเข้าอีกไม่ได้ ตื่นขึ้นมาวันนั้นทั้งวันจิตไม่ไปไหนนะ ป้วนเปี้ยนอยู่กับน้น เรียนหนังสือก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับจิตอัศจรรย์นั้น นี่ละฝังลึกนะ มันอัศจรรย์จริงๆ เราไม่เคยเห็น นี่ละเป็นอจลศรัทธาย่อมๆ ก็ถูกนะ มันฝังลึกของมัน เราจะพยายามเอาจิตดวงนี้ให้ได้ ยังไงก็จะพยายาม เราจะออกกรรมฐาน นั่นเริ่มมาแต่ต้นแล้ว

เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีจิตนี้รวมแบบนั้น ๓ หน เพียงเท่านั้นก็พอใจ ฝังลึกมาก ทีนี้ออกคราวนี้จะเอาจิตดวงนี้ให้ได้ พอออกกรรมฐานซัดเลยจริงๆ เอาจริงนะเราไม่เหมือนใคร ซัดทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดไม่ถอย ได้ ได้ๆๆ ติดต่อกันเรื่อยๆ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดความสนใจทางด้านจิตตภาวนา มันอัศจรรย์จริงๆ นะ เราไม่เคยคาดเคยคิด มันเป็นขึ้นมาในหัวใจเราเอง อัศจรรย์ จากนั้นออกปฏิบัติก็ฟัดกันเลยที่นี่ ทีนี้เรื่องนั้นก็ค่อยปรากฏขึ้นมาเรื่อยละที่นี่ เรื่อย ก็มันเอาจริงเอาจังทั้งวันทั้งคืนไม่ไปไหนเลย ฟัดอยู่อย่างนั้นมันก็ได้ละซี ได้ก็ได้เรื่อยๆ ขึ้นมา แล้วก็สืบต่อกันไป อัศจรรย์เรื่อยละที่นี่ นั่นเป็นอย่างนั้น

ก็เคยพูดให้ฟังแล้วมันมาเสื่อมเสียตอนทำกลด เราไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะสิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยเป็น สมบัติประเภทนี้พอมีมาแล้วมีแต่ความปลื้มใจปีติยินดี ไม่รู้จักวิธีรักษามันก็เสื่อมได้ นี่ละจิตเสื่อมคราวนี้ แหม ร้อนมาก เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ปีกับ ๕ เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาถึงเดือนเมษาปีหน้านู้น นี่ละเป็นไฟเผาหัวอก จิตเสื่อมนี่ทุกข์มากนะ เราจึงได้เชื่อพระโคธิกะ พระโคธิกะท่านฆ่าตัวตาย ท่านบอกฌานเสื่อมถึง ๖ หน จะได้แบบอัศจรรย์อย่างว่านั่นละแล้วเสื่อมไปเสียๆ ๖ หน แต่เรามันเสื่อมมากกว่านั้นมันถึงทุกข์มาก นี้เข็ดทีเดียว

พอจับได้คราวนี้ บอกว่าจิตเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย นั่น เป็นอื่นไปไม่ได้ เราทนทุกข์ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะจิตเสื่อมนี้ทุกข์มากที่สุด ทุกข์อยู่ในหัวใจนี่ เผาอยู่ลึกๆ เขาอยู่ตามท้องไร่ท้องนาตาสีตาสา เขามีเงิน ๙ บาท ๑๐ บาทเขาพออยู่พอกินนะ เศรษฐีมีเงินเป็นล้านๆ แต่มาล่มจมลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสีย แม้จะมีเงินเหลืออยู่ในบ้านเป็นแสนๆ ก็ไม่มีความหมาย จิตมันไปอยู่ในเงินจำนวนมากที่ล่มจมลงเสียทั้งหมด นั่นทุกข์มาก เศรษฐีทุกข์มากกว่าชาวนาเขา

อันนี้เขาไม่เคยภาวนาเขาไม่เคยเป็นเขาก็ไม่ทุกข์ เราภาวนามันมาเป็นอย่างนี้แล้วมันเสื่อมไปเสียนี้ มันเหมือนกับว่าเราล่มจมด้วยสมบัติเงินทอง นั่นละเสียใจมาก เสียใจอยู่ปีกับ ๕ เดือน โถ ไม่ลืมนะ เพราะฉะนั้นเวลาเอาได้จึงเอาตายเข้าประกันเลย เสื่อมไปไม่ได้คราวนี้ เสื่อมเราต้องตาย แล้วก็คิดเห็นพระโคธิกะท่านตาย เรามันจะเข้ากันได้นะ เพราะจิตอันนี้มันคล้ายคลึงกันมาก มันทนทุกข์ทรมานนี้มาเป็นเวลาปีกับ ๕ เดือนจะทนไม่ไหว ถ้าลงมาเป็นให้เสื่อมให้เห็นอยู่อย่างนี้แล้วตายเสียดีกว่า ดีหรือไม่ดีก็ตามมันจะบอกว่าตายเสียดีกว่า จะไม่ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้อีก นั่น เพราะฉะนั้นเวลามันกลับมาได้อีก ได้ก็ไม่ได้เพราะอะไรนะ เราจึงได้เอาวิธีการมาสอนโลก

จิตของเราเสื่อมปีกับ ๕ เดือน มาตั้งได้ด้วยพุทโธ เราไม่มีคำบริกรรม เจริญขึ้นสองสามคืนเสื่อมลงๆ ต่อหน้าต่อตาอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ เวลาขึ้นไปได้สองสามคืนเสื่อม เวลาหนุนขึ้นไปนี้ตั้ง ๑๔-๑๕ วันกว่าจะได้นะ สองสามคืนหายเงียบๆ  นี่ละมันทุกข์มากอันนี้ เราจึงมาวินิจฉัย อาจจะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรม กำหนดรู้แต่จิตเฉยๆ บังคับจิตด้วยสติเฉยๆ ไม่มีคำบริกรรมกำกับ อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ นั่น พอจับจุดนี้ได้แล้วทีนี้ตั้งละ ทีนี้เราจะเอาคำบริกรรม เอาพุทโธกับสติติดกันเลย ความเสื่อมความเจริญที่เป็นมาเราจะไม่กังวลกับมัน เอาเจริญเจริญไป เสื่อมเสื่อมไป แต่พุทโธคำบริกรรมกับสตินี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เอาจุดนี้จุดเดียว ซัดเข้าไปเลย

นี่ละที่ว่าจิตมันอยากคิดนี้เหมือนอกจะแตกนะ ความอยากคิดมันออกจากอวิชชา มันดันออกมาให้คิดเป็นสังขาร สังขารนี้ก็เป็นสมุทัยเป็นกิเลสมาจากอวิชชาดันออก ให้อยากคิดอยากปรุง บังคับไม่ให้คิด ให้คิดกับคำว่าพุทโธซึ่งเป็นงานของธรรมเท่านั้น เอาอยู่นี้ไม่ให้เผลอจริงๆ นะ ฟัดกันตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอเลยกับพุทโธ ไม่ยอมให้คิด อยากคิดเท่าไรไม่ยอมให้คิดทั้งนั้น ให้คิดอยู่กับพุทโธซึ่งเป็นงานของธรรม เอาอย่างเดียว

วันแรกนี่เหมือนอกจะแตกนะ วันสองค่อยๆ เบาลง วันสามค่อยเบาลง เห็นผลแล้ว เรื่องสติเรื่องเผลอไม่ให้มีเลย ในระยะที่ว่าไม่ให้เผลอเลย จิตก็ค่อยเย็นเข้าๆ เอ้า ถูกแล้วที่นี่ จับติดเข้าไปอีก คราวนี้มันก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นไปถึงขั้นที่มันเคยเสื่อม เอ้า เสื่อมไปไม่เสียดาย เพราะเราเคยเสื่อมมาแล้ว เราเป็นทุกข์เพราะความเสียดายมามากแล้ว คราวนี้ไม่เสียดาย แต่กับคำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อยกัน ซัดถึงนั้นแล้วไม่เสื่อม นี่ละจับได้เลย ไม่เสื่อมก็หนุนเรื่อยเลย ทีนี้ไม่เสื่อมอีกละ พอหนุนได้แล้วก็ขึ้นเรื่อยเลย

จากนั้นก็นั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่งเลย หามรุ่งหามค่ำ ก้นแตก เพราะนิสัยเรามันผาดโผน ก็พอดีได้อาจารย์ชั้นเอกคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านสอนตรงไหนเปรี้ยงเลยกับเรา เพราะท่านเห็นนิสัยเด็ดนิสัยเฉียบขาด พูดธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกัน ถ้าพูดเรื่องอรรถธรรมนี้ผึงทันทีเลย ท่านจะไม่มีอ่อน ผึงทันทีกับเราซัดกันเลย นั่งภาวนาตลอดรุ่งทีแรกท่านก็ชมเชย นั่งภาวนาคืนแรกมันอัศจรรย์ ขึ้นไปเหมือนแชมเปี้ยนเลยนะ แต่ก่อนก็เหมือนผ้าพับไว้ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาขึ้นไปหาครูอาจารย์ ความเคารพมันหากเป็นอย่างนั้นเอง เหมือนผ้าพับไว้ ทีนี้เวลาเราภาวนาฟาดนั่งตลอดรุ่ง ความรู้ความเห็นมันอัศจรรย์ ขึ้นไปก็ใส่กับท่านเลย ผางๆๆ เลย ท่านคงนึก บ้าตัวนี้มันรู้แล้วที่นี่ คงว่างั้นละนะ เราก็ใส่เปรี้ยงๆ กิริยานี้ถ้าดูภายนอกเหมือนไม่เคารพท่านนะ แต่ดูภายใน คือว่าพลังของจิต อยากจะพูดอยากกราบเรียนท่านให้ท่านได้เมตตาสงสาร ขัดข้องตรงไหนท่านจะได้แก้ไขให้เรา เราจึงพูดออกเต็มภูมิเรา

พอจบลงท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว อย่าถอยนะ อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หน มันตายเพียงหนเดียวเท่านั้น เอ้าทีนี้ได้หลักแล้ว เอาเลยนะ ทางนี้มันก็ยิ่งปักลึกละซิ เอาเลยนะอย่าถอย จากนั้นมาก็ฟัดใหญ่ เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง ได้ความอัศจรรย์ทุกคืนๆ ไม่มีพลาดนะ นั่งตลอดรุ่งคืนไหนคนจะเป็นจะตายมันไม่ได้โง่นะ เวลาจะเป็นจะตายจริงๆ มันไม่ได้โง่นะ มันหาทางออก สติปัญญาต้องหมุนติ้วๆ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนแก้กันตรงนั้น พอได้ที่แล้วมันก็ลงผึงเลย อัศจรรย์ ได้ความอัศจรรย์ทุกคืนไม่มีพลาดเลย นั่งตลอดรุ่งดูเหมือน ๙ คืน ๑๐ คืนนะ แต่ไม่ได้นั่งติดกัน เว้น ๒ คืน ๓ คืนบ้าง

นั่งทีแรกก้นนี้ออกร้อนเหมือนไฟลน ครั้นต่อมามันก็พอง ต่อจากพองมันก็แตก ต่อจากแตกมันก็เลอะ ไม่สนใจ ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย ก้นแตกไม่มีปัญหาอะไร ซัดกิเลสแตกนั่นเป็นของสำคัญที่เราต้องการ ซัดใหญ่เลย ได้ ๙ คืน ๑๐ คืนท่านก็เอาละนะ นี่เห็นไหมล่ะ สารถีฝึกม้าเราลืมเมื่อไร ทีแรกท่านก็ชมเชย ชมเชยอย่างหนักวันแรก วันหลังก็ชมเชยเรื่อย ต่อไปท่านนั่งฟังนิ่งๆ นะ เรายังไม่รู้ตัว นั่งฟังนิ่งๆ พอถึงระยะที่ท่านจะเอาแล้ว พอกราบปั๊บๆ ท่านก็ว่า สารถีฝึกม้า ขึ้นเลยนะ ถ้าม้าตัวใดมันผาดโผนโจนทะยานมากๆ สารถีเขาจะฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเอาอย่างหนัก ทีนี้เมื่อมันลดพยศลงไป การฝึกของเขาก็ค่อยลดลงๆ จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้แล้ว การฝึกอย่างนั้นเขาก็ระงับไป ว่างั้นนะ เพียงเท่านั้นละ

ท่านไม่ได้บอกว่า หมาตัวนี้มันฝึกยังไง ไม่ได้ว่านะ เรายังเสียดายอยากให้ท่านว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง ท่านไม่ว่า แต่เราจับมาสอนเราอีก หยุด ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก คือลงลงอย่างนั้นแล้ว ถ้าหากไม่ว่านี้มันยังจะเอาอีกนะ ก้นแตกไม่สำคัญ สำคัญที่กิเลสแตกนั่นน่ะ จนก้นแตกฟังซิ ท่านทั้งหลายว่าพูดนี้อวดเหรอ ถอดออกจากของจริงมาพูดให้ฟัง เวลาเราฝึกเราทรมานเหมือนจะเป็นจะตาย ไม่มีคุณค่าอะไรตัวของเรานะ อยู่ในป่าในเขาทุกข์แสนสาหัสก็ยอม แต่เรื่องธรรมกับใจนี้หมุนกันตลอดเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีก

คือม้าเวลามันลดความพยศลงไปแล้ว เขาก็ลดการฝึกทรมานลงเป็นลำดับ จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้แล้วการฝึกอย่างนั้นเขาก็หยุด อันนี้จิตของเรามันก็สมควรแล้ว ความหมายท่านว่าอย่างนั้นแหละ สมควรแล้วที่จะค่อยเป็นค่อยไปตามเรื่องที่ได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ไม่ควรจะฝึกทรมานกันอย่างหนักเช่นนั้น ความหมายก็ว่างั้น แต่ท่านไม่พูดมากนะ ท่านพูดกับเรา จะเอาไม้ทั้งท่อนให้ไปเลื่อยเอง ส่วนมากท่านจะไม่แจง ท่านจะเอาไม้ทั้งท่อนโยนตูมๆ ให้มันไปเลื่อยเอง ไสกบลบเหลี่ยมเจียระไนเอง ท่านคิดอย่างนั้นกับเรานะ นี่ก็เอาแบบนั้นมาใช้เรื่อยมา นั่งตลอดรุ่งหยุด หยุดตั้งแต่ท่านว่าสารถีฝึกม้า นี่ลงอย่างนั้นนะถ้าลง สำคัญนะจิต ถ้าไม่ลงไม่ลงนะ

จากนั้นก็ก้าวเรื่อยๆ เรื่องจิตเสื่อมไม่เสื่อมแล้วที่นี่ แน่นอนๆ เรื่อยจนกระทั่งถึงก้าวเข้าสู่ขั้นละเอียด ก็ไปติดในสมาธิ เหมือนหินทั้งแท่งนะแน่นปึ๋งเลยจิตเป็นสมาธิ ท่านก็ถาม อย่างนี้ละนะ เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ เราก็บอกสงบดีอยู่ ท่านก็นิ่งไป สักเดี๋ยวมาถามอีก เป็นยังไงจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ เราไม่ทราบว่าท่านจะเอาแง่ไหนละซิ พอถึงขั้นที่ท่านจะเอาแล้ว เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ นั่นบทเวลาจะเอานะ ใส่เปรี้ยงแบบที่ว่านี่นะ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง มันถอดถอนกิเลสตัณหาที่ตรงไหน สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันเรามันเป็นสุขที่ไหน ท่านรู้ไหมๆ ซัดเข้าไป

โอ๋ย เอาอย่างหนักนะ ไล่ลงจากสมาธิ มันติดสมาธิ นั่งทั้งวันอยู่ได้ตลอดเลย ไม่ได้สนใจกับอะไร ความคิดความปรุงที่มันดีดมันดิ้นอยากคิดอยากปรุง พอสมาธิทับหัวมัน ความคิดก็รำคาญ คิดอะไรแย็บๆ ยับๆ รำคาญทั้งนั้น อยู่แน่วอันเดียว สู้อันนี้ไม่ได้ นั่นมันติด เราไม่รู้ว่ามันติด ท่านถามไปเรื่อยๆ บทเวลาท่านจะเอา สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง ซัดใหญ่เลย เถียงกับท่านเสียจนแหลก ท่านว่าสมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม ทางนี้ก็งัดออกมาสู้ท่านซิ ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่ง แล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหนในมรรคแปด สมาธิพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนสมาธิหมูขึ้นเขียงอย่างท่านนี่นะ ท่านก็ซัดเอานี้อีก หมอบ

พอลงมาจากท่านแล้วก็มาว่าให้เจ้าของ เราทำไมจึงไปซัดกับท่านอย่างนี้ เรามาหาท่านเพื่อหวังเป็นครูเป็นอาจารย์ มอบกายถวายตัวกับท่านแล้ว แล้วทำไมจึงต่อสู้กับท่านแบบนี้ล่ะ มาว่าให้เจ้าของนะ ถ้าเราเก่งมาหาท่านทำไม ถ้าไม่เก่งไปเถียงท่านทำไม เรื่องทิฐิมานะมันไม่มีละ แต่มีสอดแทรกตรงไหนมันสอดแทรก มันหาเหตุหาผลว่าไง ท่านไม่ว่าอะไรแหละ ท่านใส่เปรี้ยงๆ ลง จากนั้นก็ออกปัญญา นี่เห็นไหมล่ะ ก็มันพร้อมแล้วสมาธิ เหมือนอาหารหวานคาว เครื่องทัพสัมภาระที่จะมาปรุงเป็นอาหารพร้อมแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ปรุงให้เป็นอาหารประเภทใด มันก็เป็นผักเป็นหญ้า เป็นเนื้อเป็นปลาอยู่อย่างนั้นไม่เป็นแกงให้

พอท่านว่าอย่างนั้นก็หยิบนั้นใส่นี้ๆ ก็เป็นอาหารขึ้นมา ท่านสอนให้ออกทางด้านปัญญาที่นี่ ก็มันพร้อมแล้วนี่สมาธิ เหมือนอาหารที่พร้อมจะเป็นอาหารประเภทนั้นๆ แล้ว เครื่องครัวพร้อมหมดแล้ว พอออกมาก็ซัดปัญญา ท่านว่างั้นก็เอาบ้างซิ ว่าสมาธิหมูขึ้นเขียงเราก็ขึ้นมาแล้วนี่ ทีนี้ท่านไล่ลงเขียง เอา ไล่ลงเขียงก็เอาตามท่านซิ พอออกทางด้านปัญญา โอ๋ย เร็วมากนะปัญญา เพราะสมาธิมันเต็มตัวของมันได้ห้าปีเต็มนะ

ออกทางด้านปัญญานี้ พอแย็บออกไปนี้มันพุ่งเลยนะ ก็มันพร้อมหมดแล้ว คือจิตเป็นสมาธิจิตอิ่มอารมณ์ พาคิดพาพิจารณาอะไรมันก็พิจารณาตามนั้น ถ้าจิตไม่อิ่มอารมณ์ เช่นจิตฟุ้งซ่านรำคาญจะพิจารณาทางปัญญา เป็นสัญญา เป็นกิเลสไปหมดนั่นแหละ ทีนี้เวลาจิตเป็นสมาธิอิ่มอารมณ์แล้วหมุนไปทางไหนก็เป็นทางนั้น พิจารณาทางด้านปัญญามันก็จ้าขึ้นมาๆ เอ๊ะชอบกลๆ เอาละนะที่นี่นะ อ๋อเป็นอย่างนี้ๆ มันก็ซัดใหญ่เลยอีกละ ไม่พอดีนะเรา

         พอท่านสอนทางด้านปัญญามันก็หมุนติ้วของมัน สุดท้ายกลางคืนก็ไม่นอน กลางวันยังจะไม่นอนอีก หมุนติ้วๆ กลับไปหาท่านอีก นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้พิจารณาทางด้านปัญญามันพิจารณาแล้วนะเดี๋ยวนี้ “พิจารณายังไง”ท่านว่า “ก็มันไม่นอนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนไม่หลับ หมุนกันติ้วๆ เลย” “นั่นละมันหลงสังขาร” นั่นเห็นไหม “ก็ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้” “นั่นละบ้าหลงสังขาร” ท่านซ้ำเข้าอีกนะ ทีนี้ไม่ตอบ ฟัง แต่มันก็ไม่ถอย เวลามันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที่อกนี่เหมือนจะแตกนะ มันเหนื่อย เพราะสติปัญญากับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจ แล้วเข้าสู่สมาธิทีหนึ่ง ดึงเข้ามาสมาธิ พอจิตเข้าสู่สมาธิแล้วเรียกว่าพักงาน จิตใจมีความสำราญบานใจ กระปรี้กระเปร่า เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม อ๋อ นี่คุณค่าของการพักสมาธิเป็นอย่างนี้

         พอออกจากนั้นก็ผึงทางด้านปัญญา เป็นอย่างนี้เรื่อย นี่เห็นไหมท่านว่า มันออกแล้วนะทางด้านปัญญา “มันออกยังไง” “มันก็พิจารณาไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน” “นั่นละมันหลงสังขาร” คือสังขารอันนี้ถ้าพิจารณารู้จักประมาณก็เป็นสังขารฝ่ายมรรค ถ้าไม่รู้จักประมาณสังขารฝ่ายสมุทัยแทรกเข้ามานั่น เราไม่รู้นะแต่ก่อน เวลาผ่านไปแล้วถึงรู้ แต่ท่านไม่แจงนะ เราพิจารณาก็รู้เอง อ๋อ ท่านว่ามันหลงสังขาร คือมันไม่รู้จักประมาณ สังขารสมุทัยแทรกเข้าไปได้ นี่ละเป็นอย่างนี้พ่อแม่ครูจารย์ใส่ตรงไหนไม่มีผิดนะ เปรี้ยงๆ ตรงไหน

         นี่ก็ไปถึงวาระที่ท่านเริ่มป่วย เราก็เริ่มธรรมจักรของเราหมุนตลอดเวลา เอ้อ มันเป็นยังไงน้า วิตกเหมือนกันนะ ท่านก็เพียบทางขันธ์ ไอ้เราก็เพียบทางจิตใจ ทำไมมันเข้าประดังกันเวลานี้น้า ท่านก็เริ่มป่วย ป่วยหนักเข้าๆ ของเราก็หมุนติ้วตลอดเวลาเลย ท่านก็รู้ดี เพราะเคยเรียนกับท่านแล้วว่าปัญญามันออกแล้วความหมาย ในระยะที่ท่านป่วยแล้วเผาศพท่านนั้นเราจะไม่มีเวลาเลยนะ มันหมุนเป็นธรรมจักรอยู่กับใครไม่ได้

         ศพท่านเอาไว้ที่สุทธาวาส มากราบปั๊บๆ แล้วไปเลย เข้าป่า เข้าไปอยู่ในเขาคนเดียวนู้น ทางภูพาน ไปอยู่ทางนู้นคนเดียวตลอด อยู่กับใครไม่ได้ เวลานั้นอยู่กับใครไม่ได้นะ จิตมันจะหมุนของมันตลอด ใครเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นละจิต เวลามันก้าวของมัน ก้าวไม่มีวันมีคืน ซัดเข้าไปจนสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว หมุนติ้วๆ จากนั้นก็เข้ามหาสติ-มหาปัญญายิ่งหมุน ยิ่งละเอียด ยิ่งซึมซาบ ที่ชัดเจนก็คือว่าอยู่กับใครไม่ได้เวลานั้น ต้องอยู่คนเดียวกับอารมณ์แห่งธรรมกับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจเท่านั้น ใครมายุ่งไม่ได้ นี่ละถึงวาระมัน มันเป็นในหัวใจเรา พูดได้ทั้งนั้นแหละ

         มางานศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น มาอยู่ได้สี่วัน ฟังซิน่ะ ในงานศพที่จะเผาศพท่าน มาอยู่นั้นได้สี่วัน เพราะอันนี้มันพิลึกกึกกือเหลือเกิน พอเผาศพท่านเสร็จแล้วเปิดเลย จนครูบาอาจารย์บางองค์ก็มีว่าเหมือนกันนะ แต่เราไม่สนใจ เพราะไม่รู้เรื่องของเรา “ท่านมหาบัวเวลาท่านอาจารย์มั่นมีชีวิตอยู่เหมือนเงาเทียมตัว พอท่านมรณภาพไปแล้วหายเงียบไปเลย ไม่มามองดูครูบาอาจารย์เลย” ว่าอย่างนั้นก็มี อันนั้นก็ภูมิจิตของท่านเป็นอย่างนั้น บอกแล้วนะ บอกภูมิแล้วนั่น เราทำอย่างนี้ แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ มันบ่งบอกแล้วว่าผู้ตำหนิเราอย่างนั้นมีภูมิจิตใจเป็นยังไง มันบอกในตัวนะ

         พอเผาศพท่านได้สี่วันขึ้นเลย เปิดเลย ขึ้นเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ลงจากนั้นก็เปิดลงอำเภอผือ เข้าศรีเชียงใหม่ ไปองค์เดียวเท่านั้นนะ หลบนู้นหลบนี้ๆ ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครตาม ไปนู้นตั้งแต่เดือนสาม เดือนหกกลับมาขึ้นบนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ นี่ละขึ้นทีแรกก็ไปติดปัญหาที่ว่าจิตสว่างไสว-จิตอัศจรรย์ ตอนเดือนสามนั่นละอัศจรรย์ตัวเอง ทำไมจิตเรามันถึงได้อัศจรรย์เอานักหนา อยู่ที่ไหน มองดูที่ไหนมันว่างไปหมดเลย จิตใจนี่ว่าง ร่างกายนี่มันเหมือนกับแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ ไอ้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าคือใจ มันส่องมาทางร่างกายก็เลยกลายเป็นแก้วครอบไปหมด มันทะลุหมด ใสไปหมด เป็นว่างไปหมดเลย นี่อัศจรรย์ตัวเอง นี่ก็ไปหลงตรงนี้

         ธรรมะท่านแสดงออกมามันยังไม่ยอมรับ มันยังแบกกลับคืนมาอีก เดือนหกเพ็ญ ความสว่างอันนี้ความอัศจรรย์อันนี้มันถึงมาทับกันพรึบเลย พอถึงขั้นนั้นแล้วความสว่างที่อัศจรรย์นี้กับความสว่างในหลักธรรมชาติของธรรมที่เลิศเลอ ได้แก่ธรรมธาตุผางขึ้นมาเท่านั้น อันนี้เป็นเหมือนกองขี้ควาย เห็นไหมล่ะ ที่ความสว่างไสวซึ่งเราอัศจรรย์มาแต่ก่อนกลายเป็นกองขี้ควายไปแล้ว อันนั้นเป็นอะไร มันก็มาปลงกันที่ตรงนั้นละ นี่เรื่องความพากความเพียร มันหากเป็นมาตั้งแต่เรียนหนังสือค่อยเป็นมาๆ มันหากดูดหากดื่มของมันมาเรื่อย ไม่จืดจางนะทางกรรมฐาน จนกระทั่งได้ขึ้นบนเวทีฟัดกันเสียก่อน

         ลงจากภูเขาแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เราไม่ลืมนะ พอ ๑๕ ค่ำลงจากภูเขามา ๑๔ ค่ำมันเป็นคืนนั้นแล้ว พอคืน ๑๕ ค่ำก็ลงจากภูเขา ฟ้าดินถล่มในคืนแรม ๑๔ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่น พอตื่นเช้าวันหลังเราก็ลงมา ลงมาก็มาวัดสุทธาวาส นี่ละที่ท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านเอาพัดมาใส่ให้ ลงมาจากนั้นท่านก็เอาพัดยศใส่ให้เลย เห็นมิใช่หรือที่เอามาติดไว้สองสามวัน เราไม่เคยสนใจกับนี้ ถาม “เป็นยังไง เรียนหนังสือมาแทบล้มแทบตาย ได้เคยเห็นพัดมหาไหมล่ะ” ท่านว่า “อู๊ย กระผมไม่สนใจกับมัน”

         “นี่น่ะ” ปุ๊บปั๊บวิ่งเข้าไปเอาพัดในห้องท่านมาตั้งกึ๊ก “เอา ถ่าย มหาทั้งคนไม่มีพัดยศติดบ้างมันมีอย่างหรือ เรียนมาแทบเป็นแทบตาย” ท่านว่าของท่านเอง ท่านจัดการของท่านเอง ใส่กึ๊กกั๊กๆ “เอานั่งตรงนี้” นั่งให้เราถ่ายรูป แล้วมีพัดหลังอยู่นั้น ความจริงพัดอาจารย์มหาทองสุก ไม่ใช่พัดเรา แต่พัดเปรียญชั้นเดียวกัน เราก็ไม่ลืมนะ ท่านจัดการเลยนะ ปุ๊บปั๊บๆ เอ้าเป็นมหามีพัดยศบ้างซิ เราก็เฉย ทำตามท่าน จึงได้เห็นพัดยศหลวงตาบัวมาวางไว้นี้สองสามวัน นั่นละพัดท่านอาจารย์มหาทองสุก

         จากนั้นมาก็ลง จะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิ ท่านเพ็งติดตามมา แล้วจำเป็นที่หนองผือเรามีคุณมากที่สุด เวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังอยู่นั้นเหลืองอร่ามเต็มวัด เขาอุตส่าห์ขวนขวาย หลังคาเรือน ๗๐ หลังคาเขาขวนขวายเลี้ยงพระเณรได้หมดเลย เราเห็นคุณค่าของเขา ทีนี้พอท่านมรณภาพไปแล้ววัดนี้กลายเป็นวัดร้างไปเลย ผู้เฒ่าทิดผานไปเล่าให้ฟัง แกก็เล่าธรรมดานะ ไม่นึกว่าเราเป็นยังไง  เราไม่ตอบไม่ถามเลยนะ แกก็เล่าให้ฟังสภาพวัดหนองผือ แกขึ้นไปหาเราที่ภูเขาวาริชภูมิ ที่นั่นเป็นที่จะจำพรรษานะ เรากำหนดแล้วว่าจะจำพรรษาที่นั่น ก็พอดีไปได้เรื่องเฒ่าทิดผานพูดถึงเรื่องหนองผือให้ฟัง อู๊ย สลดสังเวชเป็นประมาณ อันนี้ล้มไปเลยนะ ที่ว่าจะจำพรรษาที่นี่ คุณค่าสู้นั้นไม่ได้ เราจะต้องกลับคืนไปจำพรรษาหนองผืออีก

         พอตื่นเช้ามาก็ “เอา เพ็งเตรียมของ” “เตรียมของไปไหน” “ไปจำพรรษาหนองผือ” ลงเลยมาจำพรรษาหนองผือ มาถึงหนองผือวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ จะเข้าพรรษาแล้ว พอ ๑๕ ค่ำก็เริ่มประชุมเข้าพรรษา นี่ละมาอยู่ ๖-๗ วัน พระเณรหลั่งไหลเข้ามา รวมแล้วปีนั้นตั้ง ๒๘ องค์นะที่เราจำพรรษาที่นั่น นั่นละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น จึงได้คืนมาจำพรรษาหนองผือ เพราะเห็นบุญเห็นคุณของหนองผือ เราลืมคุณเขาเมื่อไร เรื่องราวเป็นอย่างนั้นละ ยายกั้งแกก็อยู่นั้น

         พูดถึงเรื่องยายกั้ง ยายกั้งแกเป็นนิสัยตรงไปตรงมา อาจหาญมากนะ กับพ่อแม่ครูจารย์นี้ใส่กันป้างๆ เลย ใส่กันเรื่อย ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นทีไรพระเณรรุมคอยฟัง แกจะโต้ตอบกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาขากลับมาก็ เอาละพูดให้ชัดๆ เสียเลย พอเรากลับมาจำพรรษาหนองผือนี้ไปเรียกหลานแกมา ชื่อตาพุด “ไอ้พุด กูจะบอกมึง กูจะกระซิบ มึงอย่าพูดให้ใครฟังนะ กูจะกระซิบบอกมึง นี่มึงรู้ไหมว่าพ่อตายพ่อยังนะ นี่ท่านมหาบัวมาจำพรรษาที่นี่แล้วนะ องค์นี้กับญาท่านมั่นเป็นอันเดียวกันนะ ให้มึงรู้เสียนะ ตั้งแต่นี้ต่อไปให้มึงรู้ ให้มึงอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านให้ดีเหมือนหลวงปู่มั่น คุณธรรมอันเดียวกันเลย” ขึ้นเลย บอกชัดเจน กระซิบหลานนั่นละ ไอ้หลานก็มากระซิบเราอีก นี่ละเราถึงขบขันจะตาย กระซิบหลานมึงอย่าบอกใครนะ ไม่บอกใครแต่ไปบอกหลวงตาบัวเสียเอง หมดท่าเลย

         นี่ละเก่งนะนี่ ทางจิตใจเก่ง เรื่องเทวบุตรเทวดามาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นแกรู้หมดนะเวลามา เหาะลอยมาเป็นพรรคเป็นพวกๆ ละเอียดลออต่างกันๆ แกถามท่านนะ อันนี้การแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นอย่างนี้ๆ อันนั้นเป็นอย่างนั้นๆ ฟาดกระทั่งถึงท้าวมหาพรหม เหลืองอร่ามไปหมดเลย “นี้มันอะไรญาท่าน” ท่านก็ค่อยชี้แจงให้ฟังย่อๆ ท่านไม่เอามากละ อันนี้พวกเทพอย่างนั้น ชั้นนั้นๆ ท่านว่า ขึ้นถึงเหลืองอร่ามนั้นท้าวมหาพรหม ท่านไม่ได้พูดมาก แต่ท่านไม่ปฏิเสธนะ ท่านบอกว่า “ท้าวมหาพรหม อ๋อเป็นอย่างนี้นะท้าวมหาพรหม”

         นี่ละมาหาท่าน ผ่านมานี่ แกนั่งอยู่แกดูอยู่ เก่งไหมล่ะยายกั้ง เก่งมากนะ นี่ได้ทราบว่าอัฐิของแกเป็นพระธาตุ ว่างั้น เราเชื่อว่างั้นเลย ยายกั้งนี้เราเชื่อแล้วแหละ เพราะตอนนั้นแกเดินจงกรมนี้เอาไม้เท้าเดินอยู่บนกุฏิ เอาไม้เท้าเดินบนกุฏิก็คือความเพียรหมุนอยู่ภายใน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถให้ แกนั่งอยู่นานไม่ไหว ต้องเดิน เพราะอันนี้หมุนอยู่ตลอด เราไม่ลืม ได้ทราบว่าอัฐิของแกเป็นพระธาตุ ยอมรับทันที เราว่างั้นละ

         วันนี้พูดถึงเรื่องคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนาของเรา ไม่มีคลาดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย สดๆ ร้อนๆ ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติตนแบบสดๆ ร้อนๆ อย่าเอากาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาลบล้าง ความดีของเราจะเสียไปหายไปหมด จะมีแต่เรื่องกาลเวลาของกิเลสมาหลอก ทับหัวใจเรา แล้วหมดเลย  ไม่สนใจกับอรรถกับธรรม ว่าพระพุทธเจ้านิพพานเท่านั้นปีเท่านี้เดือน ความจริงนิพพานไปไหน ไม่ว่าดีว่าชั่วไม่ได้นิพพานไปไหน อยู่เป็นกลางๆ แล้วแต่ใครจะปฏิบัติดีเป็นสมบัติของคนนั้น ใครปฏิบัติชั่วก็เป็นเวรเป็นกรรมของผู้นั้นโดยลำดับมาตลอด สดๆ  ร้อนๆ ไม่มีกาลสถานที่ ให้จำให้ดีนะคำนี้ เอาละ

         ผู้กำกับ        ที่แม่อาย เชียงใหม่เขาถวายสถานีวิทยุ ท่านอาจารย์วิทยาถวายเครื่องรับส่งวิทยุ ๑ กิโลวัตต์ ออกอากาศมาตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ ครับ ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ทุกวัน ถวายให้หลวงตาทั้งหมด

         หลวงตา       ถวายทั้งหมดหมายความว่าไง

         ผู้กำกับ        เครื่องวิทยุต่างๆ เหมือนกับเป็นของหลวงตา แต่ท่านควบคุมดูแลให้ ธรรมะที่จะถ่ายทอดก็ออกจากบ้านตาดกับสวนแสงธรรมเป็นหลัก

         หลวงตา       เอาละเข้าใจ

         วิทยุที่ออกนี่ จะเป็นประโยชน์แก่เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรามากมาย จากนั้นก็ออกทั่วโลกไปเลย ธรรมะเหล่านี้เป็นธรรมะที่กลั่นกรองเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ภาคปฏิบัติยุติลง เป็นธรรมะที่บริสุทธิ์สุดส่วน ที่นำไปแสดงทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นหลักธรรมชาติยืนยันตัวเองในนั้นเสร็จ ไม่มีบกพร่องที่ตรงไหนๆ เลย แสดงให้โลกทั้งหลายได้เห็นได้ยินได้ฟัง ธรรมของพระพุทธเจ้ามีคุณค่าขนาดไหน รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์เป็นจำนวนมากเพียงไร นี่เราก็นำมาสอนตามกำลังความสามารถของเราโดยลำดับ ขอให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

         อย่าฟังเสียงปากอมขี้นะ ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เห่าโน้นเห่านี้ ฟ้อนู้นฟ้อนี้ คัดค้านตรงนั้นคัดค้านตรงนี้ หาอุบายว่าเข้าในข่ายนั้นข่ายนี้ไปอะไร ฟัง อย่างได้ยินเข้าใจไหมล่ะ ให้มันว่าไป เราไม่เคยสนใจพวกขี้หมูขี้หมา  ความสกปรกเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลกดินแดน ไม่สนใจ ธรรมเลิศกว่าทุกสิ่งในสามแดนโลกธาตุนี้ เราเอาธรรมนั้นออกมาแสดงต่อโลกต่อสงสาร ไม่เคยมีพิษมีภัยต่อผู้ใด เหตุใดจะมีพิษมีภัยต่อคนที่มีเจตนาหวังดีต่อธรรม นอกจากผู้ที่หมดคุณค่าหมดราคายังเหลือลมหายใจเท่านั้น เป็นยังไงมันก็หมดคุณค่าแล้ว สุดวิสัยที่จะเยียวยา

         ถ้าเข้าโรงพยาบาลก็เข้าห้องไอซียู เขาเข้าห้องหาหยูกหายา หามดหาหมอหายไข้ออกไปเยอะ แต่คนนั้นมุทะลุดันเข้าไปโรงไอซียู เข้าไปเท่าไรตายหมด ประเภทไอซียูอย่าไปสนใจกับมันนะ เทศน์เหล่านี้เทศน์อย่างแม่นยำแล้ว เราไม่มีข้อสงสัย ที่เตือนมาในเรื่องคำพูดคำจาของเราว่าจะเข้าข่ายนั้นเข้าข่ายนี้ ข่ายไหนมาเถอะว่างั้นเลย ไม่มีข่ายไหนเหนือธรรมพระพุทธเจ้าไปได้ เทศน์นี้เทศน์ด้วยความถูกต้องแม่นยำด้วย เป็นคุณค่ามหาศาลต่อสัตว์โลกทั้งหลายมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าด้วย ธรรมของเราประเภทนี้เป็นประเภทเดียวกัน ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด

         เพราะฉะนั้นจึงอย่าไปฟังเสียงไอ้เรื่องสกปรกโสมมเหล่านั้น ชะล้างออกให้หมด ให้มีใจสะอาดสะอ้าน ความประพฤติดีงามทุกอย่าง ก็จะเป็นมงคลต่อเราเอง ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เราไม่เคยหวั่น อะไรจะมาก็ตามสามแดนโลกธาตุ เราเรียนจบแล้ว ปล่อยวางหมด ที่จะเอาอะไรมายุมาแหย่เราให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว ว่างั้นเลย เราจึงได้มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครจะเอาก็เอา ธรรมทั้งหมดนี้เป็นธรรมที่เราฟัดเสร็จมาจากเวทีเรียบร้อย กลั่นกรองเรียบร้อยแล้วมาแสดง จึงไม่มีที่สงสัยว่าจะผิดไป

         เรื่องพิษเรื่องภัยมันก็มีมาดั้งเดิม เรื่องคนชั่วคนดี เขาทำดีแทบเป็นแทบตาย เราไม่ได้มีความดีแล้วเอาความชั่วออกเป็นก้างขวางคอ ยุทางนั้นแหย่ทางนี้ ทำลายเรื่อยมาอย่างนี้นะให้ดูเอา เรื่องคนชั่วความชั่วมันมี คนดีทำความดีมี ให้หาคัดเลือกเอาสิ่งที่ดีงาม อะไรไม่ดีให้ปัดออกๆ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ของใจ เอาละเทศน์เพียงเท่านั้นวันนี้

         ผู้กำกับ        เมื่อวานนี้ทางสวนแสงธรรม มีลูกศิษย์ได้รับโทรศัพท์แจ้งมาหลายรายว่ารับฟังไม่ได้ เมื่อวานโดนก่อกวนครับ

         หลวงตา       รับฟังไม่ได้ มันมีสิ่งขัดข้องอย่างนี้ นั่นละคือพวกเปรตพวกผีนี้ละเข้ามาก่อกวน ให้ทราบมันไว้ก็แล้วกัน ส่วนไหนฟังได้ฟังไป แก้ไขกันไป พิจารณากันไป เรื่องความดีเป็นเรื่องของเราแก้ไขเพื่อความดีงามต่อไป ผู้ที่มันชั่วก็มันชั่วของมันเรื่อยไป ทำงานคนละหน้าที่ เท่านั้นละ

         (วันนี้ทองคำได้สลึงหนึ่งครับ) เออๆ พอใจ สองสลึงก็พอใจ สามสลึงพอใจทั้งนั้นละ

         เข้าใจแล้วที่เทศน์นี่น่ะ ให้ฟังให้ดีนะ ฟังเสียงธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมของจอมปราชญ์ ฉลาดเหนือโลกเหนือสงสาร รื้อขนสัตว์ออกไปนอกโลกนี้มากต่อมาก ฟังเสียงนรกอเวจีระวังมันจะลากลงนะ ระวังให้ดี เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก