สังขารหลอกพระอรหันต์
วันที่ 1 มิถุนายน 2548 เวลา 7:55 น. ความยาว 53 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

สังขารหลอกพระอรหันต์

 

         ทีแรกเรานึกว่าเชียงใหม่ไกลกว่าเพื่อน บรรดาที่เราไปจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ว่าเชียงใหม่ไกลกว่าเพื่อน ครั้นเวลาไปจริงๆ แล้วจันทบุรีไกลกว่าเพื่อน จากนี้ไปไปถึงกลางเมืองจันทบุรี ๖๔๐ กิโล ไปโรงพยาบาล ๖๔๒ เพราะวันนั้นเราไปเยี่ยมโยมพ่อท่านฟักที่โรงพยาบาล ๖๔๒ กิโล ไปทางโป่งน้ำร้อน ถ้าไปทางอื่นเพิ่มเข้าอีกมันอ้อม ถ้าไปทางนี้ตรง เชียงใหม่ ๖๑๖ กิโลจากนี้ไป ๖๑๖ กิโลถึงเชียงใหม่ จันท์ไกลกว่าเพื่อน คือไปที่ไหนเราเอาเข็มไมล์จับแล้วก็จำเอาไว้ๆ ไปคราวหน้าคราวหลังก็กะตวงเวล่ำเวลาได้ถูกต้อง ประมาณเวลาเท่านั้นๆ ถึง

ที่ไกลที่เราไปมาอยู่เรื่อยๆ ก็คือเชียงใหม่กับทางจันท์ นึกว่าเชียงใหม่จะไกลกว่าเพื่อน ที่ไหนได้จันท์ไกลกว่าเพื่อน ไกลกว่าเชียงใหม่ ๒๔ กิโล ถ้าไปทางปราจีนยิ่งไกลกว่านี้ มันอ้อม ถ้าตรงไปทางสระแก้ว โป่งน้ำร้อนจะใกล้กว่ากัน เราก็ไปทั้งสองนั่นแหละ ทางดีด้วยกัน เป็นแต่ทางโป่งน้ำร้อนมันขึ้นเขาลงเขา ส่วนทางนี้ไม่ค่อยขึ้น พุ่งเลย หากว่าเป็นเรื่องความสะดวกกว่ากันเพราะทางที่มันอ้อมพุ่งเลย สะดวกกว่ากัน คนจึงมักจะไปทางนี้ มันดีด้วยกันนะเรื่องทาง

เที่ยวซอกแซกซิกแซ็กมากจริงๆ นะเรา เกี่ยวกับช่วยชาตินี่ละ มันซอกแซกซิกแซ็กจริงๆ ที่ไหนไปเห็นหมดเลย เราไม่ไปเขาก็มานิมนต์ให้ไปก็ต้องไป สุดท้ายก็เห็นหมด บางแห่งเทศน์ซ้ำๆ ซากๆ  ขอนแก่นดูเหมือน ๖ ครั้ง ฟังซิ ขอนแก่นน่าจะมากกว่าเพื่อนยกเว้นกรุงเทพ กรุงเทพนี่เหมือนยำลาบ แหลกเลยกรุงเทพ ไม่ทราบว่าเทศน์กี่ครั้ง บอกว่ายำลาบพอ นอกนั้นขอนแก่นเป็นที่หนึ่ง ขอนแก่นเทศน์ ๖ หนเกี่ยวกับเรื่องช่วยชาติ นอกนั้นแห่งละ ๓ หน ๔ หน ไปตามอุบล สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ห่างมาบ้างไปเทศน์ในที่ต่างๆ แต่ก็ไม่ห่าง อย่างนี้ละ นั่งเทศน์นี้ออกแล้วทั่วประเทศไทยและออกทั่วโลก

อย่างเราเทศน์อยู่นี้สวนแสงธรรมก็ได้ยินแล้ว เป็นอย่างนั้นนะ ที่ไหนก็ได้ยินพร้อมกันหมด ถ้าพูดถึงเรื่องเทศน์ก็รู้สึกจะ ในเมืองไทยเราน่าจะเป็นอีตาบัวนะเทศน์มากกว่าเพื่อนจริงๆ จึงเรียกอีตาบัว เรียกได้ทุกแบบเรียกเจ้าของ ใครจะเรียกก็ได้เราไม่มีอะไร จะยกขึ้นฟากเมฆก็ตาม  ฟากเมฆ ธรรมก็เหนือเสีย อะไรใต้เมฆ ธรรมก็เหนือเสีย ธรรมเหนือตลอดเวลา ท่านจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก โลกสมมุติทั้งมวล สามโลกนี้ธรรมเหนือหมด ท่านจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ไปที่ไหนก็เหนืออยู่อย่างนั้น

การเทศนาว่าการเราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะได้เทศน์ขนาดนี้อย่างนี้ ถ้ามีเหตุการณ์มากกว่านี้มันยังจะออกมากกว่านี้อีกก็ได้ นั่นละธรรม แม่น้ำมหาสมุทรยังมีขอบมีเขต ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีขอบเขต เล็งดูพุทธวิสัยพระพุทธเจ้าดูซิน่ะเป็นยังไง สอนได้สามโลก สามแดนโลกธาตุพระพุทธเจ้าสอนได้หมดเลย เป็นอันดับหนึ่งองค์ศาสดา  นอกจากนั้นมาก็เต็มภูมิของท่านของเราบรรดาสาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายก็มีอยู่ ๔ ประเภทดังที่เคยพูดแล้ว

ประเภทที่หนึ่ง เรียบๆ สุกขวิปัสสกหรือสุกขวิปัสสโก รู้อย่างสงบเรียบไปเลย พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกถึงท่านสิงห์ทอง นี่ละแบบเรียบ ท่านบอกว่าไม่ทราบว่ามันหมดเมื่อไร ไม่มีขณะไม่มีเวล่ำเวลาบอกเลย ชำระไปๆ เรื่อย ตั้งแต่หนาจนบาง บางจนสุด จนไม่มีอะไรที่จะชำระอีกแล้ว แต่ไม่ทราบว่าหมดโดยสิ้นเชิงเมื่อไร ท่านมาพูดให้เราฟัง เวลาท่านพูดท่านว่าท่านไปเรียบๆ แต่ผลมันเหมือนกัน มันค้านไม่ได้ตรงนี้นะ ผลสุดท้ายมันเหมือนกัน ไปเรียบๆ ไปถึงผลสุดท้ายก็เหมือนกันกับผู้มีขณะเหมือนกัน ผางเข้านี่ขณะนี้ก็จ้า แต่อันนั้นค่อยไปๆ ไปจ้าเมื่อไรไม่รู้ท่านสิงห์ทอง นี่ได้เห็นชัดเจนอย่างปัจจุบันอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ แน่ถ้าลงเป็นพระธาตุแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ องค์นี้เรียบ

เหล่านั้นท่านมักจะรู้ขณะทั้งนั้น แต่ก็อยู่ใน ๔ ประเภท สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์มี ๔ ประเภทด้วยกัน ประเภทเงียบๆ อย่างท่านสิงห์ทอง เวลาท่านพูดไปๆ อะไรก็ถูกต้องเรื่อยๆ ไป เวลาสุดท้ายว่าไม่มีขณะ อย่างพระอานนท์เอนลง กำลังจะนอน หัวยังไม่ถึงหมอน เรียกว่าพระอานนท์บรรลุธรรมในอิริยาบถ ๔  คือนั่งก็ไม่ใช่ กำลังเอน เอนยังไม่ถึงหมอนไม่เรียกว่านอน สำเร็จตรงนี้เอง หัวยังไม่ถึงหมอน ท่านเอนลงไปแล้ว เรียกว่าท่านบรรลุธรรมในอิริยาบถ ๔

เราพูดให้มันเปิดหัวอกเต็มที่ สำหรับเรานี้เหมือนโลกธาตุไหวไปหมดเลย น้ำตาพังเลย อันนี้มันพิลึกจริงๆ ว่างั้นเถอะ ของเราเป็นอย่างนั้น เทียบกับท่านสิงห์ทอง ท่านเรียบๆ แต่เวลาผลเป็นอันเดียวกัน ผลสุดท้ายอันเดียวกัน อันนี้ถึงจะเหมือนโลกธาตุไหวก็ตามผลสุดท้ายก็ลงจุดเดียวกัน แต่ส่วนมากมีขณะทั้งนั้น องค์ไหนสำเร็จอยู่ที่ไหนๆ ท่านรู้ เช่นอย่างพระอัญญตระท่านเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จะไปทูลถามปัญหา นี่เป็นธรรมะขั้นสูงนะ ไปถึงพระคันธกุฎี ฝนตก น้ำหยดย้อยลงมาจากชายคาตกถึงพื้นนี้ แล้วตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ท่านก็พิจารณาน้ำ น้ำตกลงมากระทบกันแล้วตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไปลงไปหาน้ำเหมือนเก่าๆ

ท่านพิจารณาเทียบกับเรื่องสังขาร สังขารคิดดีคิดชั่วก็ตาม เกิดดับๆ เหมือนกันหมด ท่านเอาตรงนี้ เกิดมาจากไหนลงไปเป็นน้ำเหมือนเก่า ก็ลงไปหาจิต มันก็เข้าถึงจิตปึ๋ง บรรลุธรรมในเดี๋ยวนั้น พอฝนตกหยุดแทนที่จะขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้าไม่ไป เรียกว่ารู้แล้วในขณะนั้น ไม่ไปทูลถาม เห็นไหม สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประทับอยู่ข้างบนพระคันธกุฎี สนฺทิฏฺฐิโก บอกอยู่ในนี้ แทนที่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้ากลับไม่ไป สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประทานให้นี่ว่าจะรู้เอง พอถึงนั่นปั๊บรู้เอง ก็สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานโอวาทข้อนี้ สนฺทิฏฺฐิโก ผางขึ้นนี้ไปเลยไม่ทูลถาม นั่นละเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนเองตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสุดยอด เป็น สนฺทิฏฺฐิโกๆ ไปตลอด

เตวิชโช ได้วิชชาสาม เราขี้เกียจอธิบาย

ฉฬภิญโญ ได้อภิญญาหก เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบน คนเดียวทำให้เป็นพันคนก็ได้ เท่าไรก็ได้ ไม่มีเลยก็ได้ เรียกว่าเป็นเครื่องประดับความบริสุทธิ์ของท่าน เหล่านี้เป็นเครื่องประดับทั้งนั้นแหละ

จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต แตกฉานปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา องค์นี้แตกฉานหมดเลย

แตกฉานในอรรถ อรรถนี้เหมือนว่าเราเอาอะไรมัดไว้ แก้อันนี้ออกกระจายออกได้หมด ย่อๆ ทำให้พิสดารได้โดยอรรถโดยธรรม

นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในการพูดการจาการเทศนาว่าการ การโต้ตอบทุกสิ่งทันหมดเลย รวดเร็วทันใจ

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานครอบไปหมดเลย นี่เป็นอรหันต์ประเภทที่สี่ ประเภทนี้ถ้าว่าเครื่องประดับแล้วเยี่ยมกว่าเพื่อน ท่านแสดงไว้หมด เวลาปฏิบัติมันก็เข้าตรงนั้นๆ ใครปฏิบัติไป ปลีกแยกจากธรรมะพระพุทธเจ้าไปไหน ว่าเจ้าของเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี รู้ตรงไหนหมอบเลย รู้ตรงไหนหมอบตรงนั้น เพราะฉะนั้นจึงลงพระพุทธเจ้าในหัวใจดวงเดียวนี้เท่านั้น ผางขึ้นมานี้พระพุทธเจ้ากระเทือนกันหมดเลย ถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็อันเดียวกันนี่ นั่น เหมือนน้ำในมหาสมุทรกว้างแสนกว้าง จ่อมือลงไปไหนก็เป็นมหาสมุทร จ่อลงตรงไหนก็เป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมด อันนี้พอผางขึ้นมาปั๊บนี่ เรียกว่าจ่อแล้วมหาวิมุตติมหานิพพาน ผางเข้าไปแล้วถึงกันหมดเลย

พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ตอบได้เมื่อไร มากต่อมากพระพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้แล้วตรัสรู้เล่า นานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์มาไม่หยุดไม่ถอย ยังจะตรัสรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ของมากย่อมไปแต่ของน้อย ของถึงร้อยถึงพันไปแต่หนึ่งกับสอง หนึ่ง สอง สามแล้วก็ถึงร้อยถึงพันหมื่นแสน จนนับไม่ได้เลยพระพุทธเจ้าตรัสรู้ นี้ลงในหัวใจนะ เราไม่ได้ลงกับอะไร เราลงในหัวใจภาคปฏิบัติยอมรับๆ พอผางขึ้นเท่านั้นพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ลงในนี้หมดเลย จ่อปั๊บเท่านี้ถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน จ้าลงไปนี้มันถึงกันหมดแล้ว นี่ละเป็นหลักความจริงจากภาคปฏิบัติ เราก็ไม่เคยได้คาดได้คิดว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นอย่างนี้ แต่เวลามันเป็นก็เป็นอย่างนี้ละ เป็นเลยคาดเลยคิด หลักความจริงที่แสดงขึ้นมาเป็นความจริงล้วนๆ

ความคิดความคาดนี้มันไม่แน่นอน ด้นเดาไปเกาหมัดไปด้วย ไม่ว่าแต่เกาหมาเกาหมัดด้วย หมัดอยู่กับหลังหมาเกาไปด้วยกัน ทั้งเกาหมัดเกาหมา พวกเรามันพวกหมัดเกาหมาเกาไม่แน่นอน พวกนี้พวกเกาหมัดเกาหมา ทีนี้เวลามันขึ้นเป็นความจริงแล้วมันจ้าเลยหาที่ค้านไม่ได้ ก็จะไปค้านอะไร ที่ค้านไม่ได้นี่ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว นั่น จะไม่ลงพระพุทธเจ้าจะลงที่ตรงไหน จ้าขึ้นมา เป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านจึงไม่ไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว จะรู้ผลงานของตนตั้งแต่ต้นถึงที่สุด นั่นท่านบอกไว้แล้ว ไม่ต้องไปถามใครแหละ รู้ผลงานได้มากน้อยรู้ไปเรื่อยๆ ยอมรับ ยอมรับไปเรื่อย ยอมรับตรงไหนพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว สิ่งที่เรายอมรับพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วๆ ค้านได้ยังไง มีแต่หมอบเรื่อยๆ

นี่ละถึงว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ เราเอาออกมาจากเวทีเลย ขึ้นเวทีฟัดกันเต็มเหนี่ยว ได้ออกมาอย่างที่ว่านี้ยอมรับหมด พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีแบบมีฉบับมาดั้งเดิม เป็นแบบของท่านผู้รู้จริงๆ ของจอมปราชญ์จริงๆ ท่านเดินตามแถวเดียวกัน ท่านไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าจับองค์นั้นมาเป็นศาสดา จับองค์นี้มาเป็นศาสดา ศาสนานั้นศาสนานี้เข้าใจไหมล่ะ กิเลสเต็มหัวใจ อันนี้ไม่มี องค์ไหนแบบเดียวกันหมดพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาตรัสธรรมออกมานี้ จึงเป็นแบบเดียวกัน ไม่มีอะไรคัดค้านกัน พระพุทธเจ้ามากขนาดไหน พอมันจ้าขึ้นนี้มันก็รู้เลยทันที โถ โถคำเดียวเท่านั้น มากขนาดไหน เป็นแบบเป็นฉบับเรื่อยมา สอนไว้โดยถูกต้อง

ที่ท่านสอนไว้นี้ให้เล็งให้ดีนะ คำสอนใดก็ตามในโลกธาตุนี้ ไม่มีคำสอนใดเสมอเหมือนคำสอนพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เรียกว่าหนึ่งไม่มีสอง เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณหยั่งทราบเรื่องอะไรแล้วแก้ไม่ตก ทราบยังไงต้องเป็นอย่างนั้นๆ นี่เรียกว่าพระญาณหยั่งทราบ หนึ่งไม่มีสองไม่มีเกี่ยงเป็นอื่นได้เลย และการสั่งสอนธรรมแก่สัตว์โลกก็หนึ่งไม่มีสอง ความผิดพลาดไม่มี มีแต่ความถูกต้องตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงนิพพาน สอนด้วยความถูกต้อง เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบแล้วทั้งนั้นตลอดเลย นี่เรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง พระญาณหยั่งทราบ แล้วก็พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์ๆ นี้มีเพียงพระองค์เดียว ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หนึ่งไม่มีสองเหมือนกันเป็นอันเดียวๆๆ เลย ไม่มีอะไรค้านได้

เช่นอย่างว่า องค์นี้กำลังปรารถนาโพธิญาณ พุทธภูมิ จะสำเร็จเมื่อไรๆ ให้พระพุทธเจ้าท่านเล็งญาณดู ระยะกัปนั้นๆ นานขนาดนั้นละ จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น สาวกข้างซ้ายชื่อว่างั้น สาวกข้างขวาชื่อว่างั้นบอกไว้หมดเคลื่อนไม่ได้เลย ต้องเป็นตามนั้นเลย เพราะท่านหยั่งไว้ความถูกต้องเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วไม่เป็นอื่น ต้องเป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียว ถ้ายังไม่ทำนายพลิกได้เปลี่ยนได้

อย่างท่านอาจารย์มั่นท่านเคยเล่าให้ฟัง ท่านก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ปรารถนาพุทธภูมินี้พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิจะแทรกเข้ามา พอแทรกเข้ามาแล้วถอยเสีย ว่างั้นนะ ถอยเสีย ทีนี้ควมอยากพ้นทุกข์ก็อยากพ้นเหลือกำลังจะทำไงน้า สุดท้ายเลย เอ้า เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็บริสุทธิ์เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าอำนาจวาสนาของท่านแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกได้มากมายก่ายกอง เราไม่ได้ใครได้แต่เราเท่านี้ก็พอ เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือประมาณ ขอยุติเรื่องอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า กลับมาเป็นสาวกบารมีญาณ ให้มาเป็นสาวก นี่ท่านเล่าเองนะ พอกลับมาจากนั้นจิตนี้พุ่งเลยทีเดียว พอปล่อยเรื่องโพธิญาณ แต่ก่อนพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มภาพมา ว่างั้นนะ มาสวนกันก็ถอยเสีย เพราะเคารพภูมิของตนที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้หลายครั้งหลายหนความอยากหลุดพ้นจากทุกข์มันเหลือกำลัง แล้วขอน้อมนมัสการขอลา ของดจากการปรารถนาพุทธภูมิ ขอเป็นสาวกภูมิเท่านั้น พอจากนั้นแล้วก็เวิกไปหมดเลย จิตก็พุ่งเลยท่านว่า นั่นเห็นไหมล่ะ นั่นละอันนั้นก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน พอเลิกเท่านั้นจิตก็พุ่งๆ เลย

เพราะฉะนั้นนิสัยท่านจึงมีลวดลายของพระพุทธเจ้าของพุทธภูมิติดอยู่ ความรู้ความเห็นแปลกๆ ต่างๆ โถ ของเล่นเมื่อไรความรู้หลวงปู่มั่น แปลกๆ ต่างๆ รู้ไปหมด นี่ก็เป็นนิสัยมาตั้งแต่โพธิญาณโพธิสัตว์ เพราะถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วความรู้นี้จะแตกที่สุดเลยนะ นี่ท่านยังไม่ถึงนั้นก็ยังมีลวดลายอยู่ นี่ท่านเล่าให้ฟัง อะไรที่ท่านเล่าให้ฟังแม่นยำมาก เราไม่มีคำว่าถอนนะ ถ้าลงได้ยินจากปากจากคำท่านแล้วนี้เป็นไม่ถอนเลย แน่ทีเดียว

นี่เราพูดถึงเรื่องพระอรหันต์ ๔ ประเภท คำว่า ๔ ประเภทเป็นเครื่องประดับท่าน ส่วนความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน ส่วนเครื่องประดับ เวลาปรารถนาให้พ้นทุกข์แล้วก็จริง แต่ขอวาสนาให้เลิศเลอในทางนั้นๆ ให้เด่นทางนั้น นั่นละเวลาสำเร็จแล้วก็เด่นคนละทางๆ นี่เป็นเครื่องประดับท่านไม่ใช่ตัวจริง อย่างที่ว่าพระสารีบุตร ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน นับได้หมดทุกเม็ด ฟังซิน่ะปัญญา มันเลยคอมพิวเตอร์โลก นั่นละคอมพิวเตอร์ธรรมเป็นอย่างนั้น ตก ๗ วัน ๗ คืน นับได้หมดทุกเม็ด ส่วนพระพุทธเจ้าผางออกมานี้ โอ๋ย อย่าว่าเลยสารีบุตร ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน เธอนับได้ มันขี้ประติ๋ว เราตถาคตให้ตกตั้งกัปตั้งกัลป์เราก็นับได้หมดทุกเม็ด นั่นเห็นไหม นี่ละที่ว่าคอมพิวเตอร์ธรรม คอมพิวเตอร์ของศาสดากับคอมพิวเตอร์ของโลกคลังกิเลส ต่างกันอย่างนั้น

เวลานี้พวกกิเลสมันก็อวดของมันคอมพิวเตอร์ของมัน แต่กิเลสตัวหนึ่งจะหลุดลอยออกไปจากคอมพิวเตอร์ของมันไม่มีเลย ส่วนคอมพิวเตอร์ของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ คอมพิวเตอร์ถึงไหนกิเลสพังๆ ไป นี่ละคอมพิวเตอร์มันต่างกัน พวกนี้เอาคอมพิวเตอร์แบบไหนมาใช้เดี๋ยวนี้ หรือเอาแต่คอมพิวเตอร์หาบกิเลสจนจะเอาไปไม่ไหว ทั้งลากทั้งเข็นเหรอ พวกคอมพิวเตอร์คลังกิเลส กับคอมพิวเตอร์ของธรรมต่างกัน อย่างนั้นละธรรมจึงว่าเลิศเลอ แต่นี้โลกไม่อยากสนใจ ฟังซิพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย คือมันไม่อยากสนใจ มันว่าอันนี้ไม่ใช่วิสัยของโลกจะรู้ได้เห็นได้ คือมันเลยเสียทุกอย่าง ปรากฏเหมือนว่าเลยเสียทุกอย่าง เอาตัวเองข้ามหัวคนทั้งโลกไปหมดเลย รู้แต่ตัวคนเดียวนอกนั้นรู้ไม่ได้เลย เอาตัวเองข้ามหัวไปหมด

แต่พอย้อนเข้ามา เราเป็นเทวดามาจากไหน เราทำไมรู้ได้ เขาเป็นมนุษย์เหมือนกันทำไมเขาจะรู้ไม่ได้ เราทำไมถึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด ก็มีสายทางของท่านมา ท่านบำเพ็ญบารมีมามากน้อย ใกล้เข้ามาๆ นี่ละสายทาง เพราะเหตุนี้ละ เหตุสายทาง คือบารมีที่สร้างมา ใครอยู่ที่ไหนท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ประมาท แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ให้ประมาทเขา หัวใจเป็นอันหนึ่ง ร่างนั้นสวมใส่กันเข้าตามบุญตามกรรมเป็นวาระๆ แต่นิสัยอยู่ในจิตใจของสัตว์นั้นมีเหมือนกันกับเรา ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน พอพ้นจากนี้แล้วเขาดีดสูงกว่าเราก็ได้ นั่นฟังซิ มันเป็นไปตามวาระๆ เหมือนเราเดินทางสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ไปไม่ถอยก็ถึง เป็นอย่างนั้น

นี่ละเรื่องธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดนั้น แต่โลกทั้งหลายไม่สนใจกัน ถ้าพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมจิตใจห่อเหี่ยวไม่อยากไป ถ้าพูดเรื่องความรื่นเริงบันเทิง โถ เป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ กินข้าวก็ไม่กินน้ำ อยากโดดเลย ไม่ต้องกินมันละน้ำ อันที่เป็นบ้ากับมันอยู่นั้นเหมือนมันเลิศยิ่งกว่าน้ำ ครั้นสุดท้ายมันก็มากินน้ำนั่นแหละ นี่ละธรรมะที่เลิศ เลิศอย่างนี้ เวลาได้เป็นขึ้นในจิตใจแล้วมีฝั่งมีฝาที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างมหาสมุทรยังมีฝั่ง ธรรมกับหัวใจเป็นอันเดียวกันแล้วจ้าครอบหมดเลย ไม่มีฝั่ง ครอบไปหมด จึงว่าโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลก เหนือเสียทุกอย่าง ไม่มีอะไรติดในโลกอันนี้ แสนสบายก็คือท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว แสนสบายอยู่นั้นหมด

กิเลสเท่านั้นที่มาขวางจิตใจให้เป็นเสี้ยนเป็นหนาม ทิ่มแทงไม่มากก็น้อย เหมือนผงเข้าตามันก็ทุกข์เท่ากับผงเข้าตา เอาออกเสียหมดไม่ให้มีเหลือเลย เรื่องสมมุติทั้งมวลออกจากใจโดยสิ้นเชิง นั่นละบรมสุขอยู่ตรงนั้น ท่านไม่มีเรื่อง วันหนึ่งๆ จนกระทั่งวันนิพพานท่านหมดเรื่อง เพราะกิเลสตัวสร้างเรื่องหมดไปแล้ว ความทุกข์ที่จะแทรกขึ้นมาก็ไม่มี ท่านจึงไม่มีเรื่อง มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน อย่างนี้มีเหมือนกันเสมอกันหมด เป็นแต่เพียงว่าเป็นคนละฝั่ง ไม่ได้เข้าถึงธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินั้นจะรับผิดชอบในร่างกายก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นทุกข์มากน้อยเพียงไร ไม่สามารถที่จะเข้าถึงจิตดวงที่บริสุทธิ์นั้นได้ เพราะเป็นคนละฝั่งแล้ว เรียกว่าเป็น อฐานะ ให้เป็นอื่นเป็นใดไปไม่ได้แล้ว

ธรรมะท่านก้าวเข้าให้ถึงแล้วไม่ต้องถามใครก็พูดได้เอง มันรู้อยู่ในหัวใจไม่พูดได้ยังไง พระพุทธเจ้าก็รู้ที่หัวใจ สอนโลกได้ สาวกทั้งหลายรู้ด้วยหัวใจเต็มภูมิตนเองก็สอนโลกได้เหมือนกันหมด เพราะความรู้นี้เป็นเครื่องรับธรรม ธรรมกับความรู้เป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นละที่นี่หมดเลยละ ลงธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วหมดโดยสิ้นเชิง สมมุตินะ คือใจกับธรรมยังไม่เป็นอันเดียวกัน ก็ยังมีสมมุติมีวิมุตติอยู่ในนั้น มีธรรมมีโลกอยู่ในนั้น พอจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว จิตเป็นธรรมล้วนๆ ธรรมเป็นจิตไม่อยากพูดนะ จิตเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย นั่น ต่างกันอย่างนั้นละ ที่กล่าวมาเหล่านี้สดๆ ร้อนๆ นะมรรคผลนิพพาน อยู่ในหัวใจของเราทุกคนๆ อย่าให้กิเลสมันปกคลุมไว้หมดนะ เหมือนอย่างสระน้ำที่มีน้ำใสสะอาด แล้วถูกจอกแหนปกคลุมมองลงไปไม่เห็นน้ำเลย ใครก็บอกว่าน้ำไม่มี น้ำในสระนี้ไม่มี

จะมีได้ยังไงก็จอกแหนปกคลุมแน่นหมด มองหาน้ำไม่เห็น อันนี้มองหาธรรมไม่เห็น ก็คือกิเลสปกคลุมหัวใจเอาไว้ หัวใจเต็มไปด้วยน้ำอรรถน้ำธรรม แต่กิเลสปกคลุมไว้ข้างบน เพราะฉะนั้นให้เปิดออก เปิดกิเลสนี้ออก เปิดออกตั้งแต่ความขี้เกียจขี้คร้านให้เกิดความขยันหมั่นเพียร ตระหนี่ถี่เหนียวเปิดออก แจกทำบุญให้ทานเป็นผลเป็นประโยชน์ ตระหนี่ถี่เหนียวเก็บไว้ตายแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร นั่นแยกกันออกๆ ซิ ธรรมตัดสินกิเลสต้องตัดสินอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นกิเลสลากไปหมด ตายแล้วกองกันอยู่ไม่เห็นได้อะไร

ใครก็มีแต่อันนั้นมีอันนี้มี เวลามีก็เอาอันนั้นละมาอวดในหัวใจว่าเรามีนั้นเรามีนี้ บทเวลาตายแล้วกองกันอยู่ไม่เห็นมีใครเอาอะไรไปได้ หมด นั่นเหมือนกันกับท่านกับเรา หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ สมบัติท่วมหัวเอาตัวไม่รอดก็อย่างนี้เอง สมบัติภายในใจคือธรรมสมบัติมีอยู่ภายในใจแล้ว ได้แก่บุญกุศลที่เราสร้างไว้แล้วนี้ มีมากมีน้อยจะเป็นตัวของตัวไปตลอดนะ ธรรมมีอยู่ในใจนี้เป็นตัวของตัวไปตลอด เพราะจะได้อาศัยอันนี้ละ มากน้อยอันนี้ นอกนั้นอาศัยไม่ได้ แต่เราก็ต้องทำไม่ทำไม่ได้ ธาตุขันธ์เป็นของจำเป็น เรียกร้องต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่เสมอ เดี๋ยวหิวนั้นหิวนี้ หิวหลับหิวนอน หิวอยู่หิวกิน หิวนั้นหิวนี้ตลอด มีแต่เรื่องของธาตุของขันธ์ของกิเลสแทรกอยู่ในนั้น ทีนี้พออันนี้หมดไปแล้ว ยังเหลือแต่ธาตุขันธ์ธรรมดา ความหิวโหยโรยแรงไม่มีในหัวใจ ท่านแสนสบาย นี่ละธรรมะสดๆ ร้อนๆ ให้นำไปปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติจะไม่เห็นละ

เวลานี้จอกแหนกำลังปกคลุมจิตใจที่เป็นอรรถเป็นธรรมเอาไว้ เหมือนน้ำในสระเต็มขนาดไหนก็เต็มเถอะ ถ้าลงจอกแหนปกคลุมแล้วมองไม่เห็นทั้งนั้นละ อันนี้ก็เหมือนกันจิตใจของเรามีธรรมขนาดไหนก็มีอยู่งั้น แสดงออกไม่ได้ ต้องเอาจอกเอาแหนคือกิเลสตัณหานี้ออกเรื่อยๆ แล้วก็เปิดจ้าขึ้นมาๆ จ้าหมดทั้งสระเลย พากันจำเอา

เรื่องธรรมนี้เป็นเรื่องเลิศเลอที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเทียบแล้วในโลกอันนี้ เอาอะไรมาเทียบไม่มี สามแดนโลกธาตุอะไรจะมาเทียบแข่งธรรม มันก็เหมือนมูตรคูถแข่งทองคำนั้นแหละ มูตรคูถก็คือสมมุติทั้งหลายสามแดนโลกธาตุ ทองคำก็คือโลกุตรธรรมขึ้นไป เอามาแข่งไม่ได้นะ กิเลสที่แข่งกับธรรมอยู่เวลานี้ก็เหมือนมูตรคูถแข่งทองคำนั่นแหละจะเป็นอะไรไป ท่านผู้มีธรรมในใจท่านไม่ได้ตื่นเต้น ใครจะว่าอะไรดีๆ ท่านก็ฟังไปอย่างนั้นถ้าอยากฟัง ไม่อยากฟังก็เฉยเสีย เพราะอะไรไม่เลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจที่ท่านครองไว้แล้วกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ท่านเลิศเลอ ไปที่ไหนท่านไม่ตื่นเต้น พวกเรานี้ตื่นบ้าตลอดเวลา บ้าไม่เลิกก็คือพวกเรา ตื่นนั้นแล้วตื่นนี้ อะไรก็ตื่น

ตัวสังขารความคิดความปรุงนี้ตัวหลอกเก่งนะ มันคิดอะไรเชื่อเลย คิดว่าอย่างนั้นคิดว่าอย่างนี้ ตื่นมันตลอดไม่มีเข็ดหลาบคือคนตื่นสังขาร ความคิดความปรุงนี้มันหลอกตลอดเวลา เวลามีกิเลสอยู่ในนั้นยิ่งตัวหลอกร้อยเปอร์เซ็นต์ เอากิเลสออกหมด ยังเหลือตั้งแต่ขันธ์ล้วนๆ คือความคิดความปรุงมันก็ยังมีลวดลายหลอกอยู่ในนั้น แต่มีแต่เพียงลวดลายหลอกเฉยๆ ตัวมันตายแล้ว กิเลสตายไปแล้วขันธ์มันก็หลอก คิดเรื่องอะไรเชื่อทันทีนะ บางทีนึกว่างู เดินไปมองไปเห็นรากไม้นึกว่างูโดดผึงเลย ความจริงมันรากไม้ นี่ก็คือสังขารมันหลอก มันไม่ใช่งูมันรากไม้ แหม มึงหลอกกูนะนี่ มันรากไม้ต่างหากไม่ใช่งู กูจะจำมึงไว้คราวหลังกูจะไม่เชื่อมึง แล้วคราวหลังก็เชื่ออีก อย่างนี้ละ

ตัวสังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ เวลาถึงที่มันแล้ว มันก็มีลวดลายหลอกอยู่ในนั้น จนกระทั่งมันดับ ลวดลายของสังขารนี้ลวดลายหลอกทั้งนั้น กิเลสเสริมเข้ามาปั๊บนี้เป็นตัวหลอกทั้งหมดเลย แม้แต่กิเลสหมดไปแล้ว กิริยาของมันยังมีลวดลายหลอกอยู่งั้นแหละ เช่นอย่างตื่นรากไม้นึกว่างู พระอรหันต์ก็ตื่นได้ อย่าว่าแต่ปุถุชนตื่น พระอรหันต์ก็ตื่นได้ นึกว่างูเหมือนกัน ก็สังขารหลอกพระอรหันต์แต่ท่านไม่หลง ก็รากไม้ก็รู้ว่ามันหลอกอยู่แล้ว อันนี้ก็เชื่อมันแย็บหนึ่งเท่านั้น โห มึงหลอกกูนะ พากันจำให้ดี สังขารตัวนี้ตัวหลอกมากทีเดียว หลอกตลอดเวลา กิเลสไม่มี เป็นเครื่องมือของธรรมแล้วมันก็ยังมีลวดลายหลอกตามนิสัยของขันธ์อันนี้

สังขารขันธ์มีแต่วาดภาพเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกไปเรื่อยๆ ถ้ามีกิเลสแล้วก็หลงไปตามเลย ถ้ากิเลสไม่มี หลอกก็รู้ว่าหลอก หลอกแล้วดับไปๆ ไม่มีอะไรจะหลงตามมัน เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้น

โยม เวลาจะตายไม่อยากทรมานจะทำยังไงครับ

หลวงตา ก็อย่าทรมานซิ เป็นบ้าหรือ ทั้งๆ ที่ไม่อยากยังไปฝืนทรมาน

โยม มันอยากจะไปเฉยๆ

หลวงตา ทำจิตให้บริสุทธิ์เถอะไม่ทรมาน ธาตุขันธ์จะเป็นอะไรมันก็ดีดอยู่ตามขันธ์ จิตนั้นไม่มีอะไรทรมานได้เลย สมมุติหมดโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงบอกว่าท่านตายง่ายมากนะ พอว่าจะไปแล้วผึงเลย ท่านไม่ยาก ปล่อยปุ๊บปึ๋งเลย เวลาอยู่ก็อยู่ไปก่อน เช่นท่านช่วยบ้านช่วยเมืองช่วยโลกช่วยสงสาร พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายช่วย เราก็ช่วย ถึงกาลเวลาแล้วปั๊บเข้าในป่าในร่มไม้ชายคาที่ไหน ภูเขาที่ไหนท่านปั๊บเข้าไปแล้วดีดผึงเลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านนิพพานในครั้งพุทธกาลจึงไม่ค่อยมีในตำรา มีแต่องค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เช่น พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นต้น เหล่านี้มีชื่อเสียง นิพพานที่ไหนๆ รู้กัน นอกนั้นท่านเงียบ

อย่างนี้ละท่านตายง่ายพระอรหันต์ ท่านไม่มีอะไรท่านตายง่ายมาก ท่านพิจารณา จิตของท่านบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วดูขันธ์เฉยๆ ขันธ์นี้จะประคองตัวไปได้แค่ไหน พอเยียวยารักษาได้แค่ไหนท่านก็รักษาไปๆ มันไม่ไหวแล้วเหรอทิ้งปั๊วะไปเลย นั่น ก็ท่านไม่มีอะไรเสียดาย อุปาทานขันธ์ไม่มี เป็นแต่เพียงรับผิดชอบเฉยๆ พวกเรานี่ทุกข์ทางใจมากกว่าร่างกายเป็นทุกข์นะ ร่างกายเป็นโรคนั้นโรคนี้ ทุกวันนี้ยิ่งเขาว่าเป็นมะเร็งด้วยแล้ว โอ้โห จะตายก่อนแหละ มะเร็งยังนอนไม่ตื่นเลย เจ้าของจะตายก่อนแล้ว นี่เป็นทุกข์ทางใจ โรคภายในใจนี้หนักมากนะ ถ้าโรคภายในใจไม่มี อะไรจะเป็นทุกข์ขนาดไหนมันไม่เลยขันธ์เป็นทุกข์ จะให้ถึงใจเป็นทุกข์ไม่มี

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก