เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
สกุลพระโสดา
ก่อนจังหัน
เราทุกคนอยากเป็นคนดีให้มีการฝึกทรมานตนเองบ้างนะ อย่าปล่อยเลยตามเลยแบบหมูขึ้นเขียง พวกเรานี้มีแต่พวกหมูขึ้นเขียงหาแต่ความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง ฟังแต่ว่าหมูขึ้นเขียงมันจะลงถ้วยลงจานเมื่อไรไม่รู้อยู่บนเขียง เขาสับยำจากเขียงให้แหลกมาหมดแล้วก็ลงถ้วยลงจาน เราพวกเรานี้กิเลสมันเป็นเจ้าของเอาเราเป็นหมูขึ้นเขียงสับยำ แตกกระจัดกระจายออกไปแล้ว มีแต่ความทุกข์ความทรมานยุ่งเหยิงวุ่นวายทั่วโลกดินแดน นี่ละพวกหมูขึ้นเขียง เอาตามกิเลสไม่คิดไม่อ่านอะไรเลยไม่ดี ขอให้คิดให้อ่านนะ นี่คือศาสนาที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ไม่ค่อยปรากฏแหละ ที่จะสอนอย่างนี้ไม่ค่อยปรากฏ ในเมืองไทยเราว่างี้เลย มีหลวงตาบัวองค์เดียวนี้แหละว้อกๆ อยู่นี่ เพราะสงสารพี่น้องทั้งหลาย
เพราะธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้วๆ เรายังจะมามัวโดดขึ้นแต่เขียงอยู่เหรอ ให้คิดให้ดีนะ ต้องมีการฝึกการอบรมตนเอง การอยู่การกินใช้สอยให้รู้จักประมาณบ้าง อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อย่างที่เขาพูดเมื่อวานนี้ว่า ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่รถติดๆ ไอ้รถที่จะมาติดขวางทางเดินอยู่นั่นน่ะใครหามา ถ้าไม่ใช่คนไทยเราตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจะเป็นใครไป แล้วก็ไปตำหนิว่ารถติดอะไรก็รถติด มันยังดีที่รถติด มันติดเข้าไปกระทั่งในบ้านในเรือน ที่นอนหมอนมุ้งเข้าไปไม่ได้รถติดๆ แน่ะ เข้าไปในครัวก็รถติด อยู่ในหม้อแกงก็รถติด อะไรก็มีแต่รถติดๆ ใครหามาให้มันติด เราคิดบ้างซิ
นี่ละเรื่องความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมพี่น้องชาวไทยเราเป็นมากนะ ขอให้พูดเต็มเหนี่ยว หลวงตาบัวอยู่ในท่ามกลางแห่งประเทศไทย และคนไทยของเราอยู่ในอวัยวะเกี่ยวโยงกันหมดทั้งประเทศ ผิดถูกชั่วดีกระเทือนถึงกัน เพราะฉะนั้นจึงขอให้ได้นำธรรมะมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ พอได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้างว่า อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว การอยู่ที่ไหนอยู่ได้สบายๆ แหละ อย่าหาอยู่ตึกรามบ้านช่องหอปราสาทราชมนเทียร หอปราสาทบนสวรรค์สู้ไม่ได้ สู้พวกบ้าฟุ้งเฟ้อนี่ไม่ได้ นี่การอยู่ เอ้า การกินกินแล้วกินจิ๊บๆ แจ๊บๆ โต๊ะหนึ่งเท่าไรๆ เลี้ยงกันด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ว่าเอาหน้าเอาตา หน้าบ้ามาจากไหนหน้าอย่างนั้นน่ะ หน้าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอย่างนั้น หน้าของมนุษย์เราผู้มีศีลมีธรรม มีมาแล้วหน้าน่ะไปหาเอาหน้าเอาตามาจากที่ไหน ความเป็นอยู่ปูวายพอดิบพอดีนั้นเหมาะแล้วนะ การกินอยู่ปูวายอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การใช้สอยอย่างที่ว่านี่รถติดๆ
นี้พูดถึงเรื่องเพียงแต่ว่ารถติดอย่างอื่นติดไปหมด ก็คนไทยเรานี้ละหามา ห้างร้านต่างๆ เต็มไปหมดๆ เอามาจากโรงงานๆ มาเต็มอยู่ในห้างร้านๆ นี้รถติดๆ ทั้งนั้นละ ของติดๆ ใครไปหามา มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่คิดความพอดิบพอดีบ้างเลยใช้ไม่ได้นะ ธรรมพระพุทธเจ้าเราเป็นลูกชาวพุทธให้นำเอามาพินิจพิจารณา ดังที่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าพระสงฆ์ ท่านผู้ที่ปฏิบัติตามอรรถตามธรรม มาอยู่ นี่ละถึงได้เห็นชัดเจน ไอ้ผู้ไม่ปฏิบัติตามธรรม อย่านำมาพูดในวงพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านะ ผู้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมท่านฝึกท่านทรมานท่านลำบากลำบนขนาดไหน ท่านทนเอาๆ ทนเพื่อความดิบความดีในธรรมทั้งหลายนั้นแหละ
ไอ้เราอยู่ๆ ก็อยากดีๆ ไอ้ชื่อนี่ตั้งขึ้นมานู่น พอถามคนนี้ชื่อว่าไง ให้ไปคอยฟังดูจรวดดาวเทียมนะชื่อ ตั้งเลยจรวดดาวเทียม แต่ตัวนั้นจมอยู่ใต้ก้นนรกเพราะความประพฤติเลวร้าย เอาดีแต่ชื่อๆ เกิดประโยชน์อะไร ไอ้ชื่อนั่นตั้งยังไงมันก็ตั้งได้ แต่ทำตัวให้เป็นคนดีเป็นของลำบากนะ ดังที่พูดตะกี้นี้ละเกี่ยวกับพระเจ้าพระสงฆ์ นี้มาทั่วประเทศไทยมาอยู่ในวัดป่าบ้านตาด ทำไมท่านถึงมาอย่างนี้ เศรษฐีก็มีเยอะนะ ที่มาเป็นพระอยู่นี้น่ะ เหมือนพี่น้องทั้งหลายละ ทำไมท่านถึงมาฝึกฝนอบรม มาเป็นคนทุกข์คนจนอยู่อย่างนี้ ทุกข์จนการอยู่การกินการใช้สอยต่างๆ นี้ท่านไม่เหลือเฟือนะ อยู่พอเป็นพอไปนี้เท่านั้นๆ นี่ท่านมาฝึกทรมาน
วันหนึ่งๆ พระในวัดนี้ไม่มาฉันจังหันครบองค์นะ ขาดไปวันละหลายองค์ๆ เพราะอะไร อดบ้างอิ่มบ้าง ผ่อนบ้างอดบ้าง เพื่อการภาวนาสะดวก ถ้ากินมากๆ มันเป็นหมูขึ้นเขียงภาวนาไม่เป็นท่า โดดขึ้นใส่แต่หมอนๆ หมอนนั้นแหละคือเขียงน่ะ นี่พระท่านฝึกทรมานท่าน มาจากประเทศไหนบ้างทั่วโลกนะนี่ ประเทศนั้นประเทศนี้ท่านมา ท่านมาหาอะไร ก็คือธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั่นแล ท่านถึงได้อุตส่าห์พยายามบึกบึนมา ทนทุกข์บ้าง ทนเอาๆ เพื่อความเป็นคนดี ให้พากันนำไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตนบ้าง
อยู่ไปๆ วันหนึ่งอยู่ไปกินไปเพลินไปๆ เพลินอยู่บนเขียงไม่รู้ตัวนะ ให้เพลินกับอรรถกับธรรมบ้างซิ ทุกข์ก็ทุกข์เถิดทุกข์เพื่อธรรมไม่เป็นไร ให้พากันจำเอา วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ก่อน ไปที่ไหนก็ไปรถติดๆ ไปที่ไหนมีแต่รถติดๆ มันมีอยู่อันหนึ่งได้ระวังนะ เวลาจะเข้าครัวนี่ระวังนะรถจะติดในครัว ทางเข้าครัวไปไม่ได้รถติด แล้วจะตักอาหารในหม้อก็ไม่ได้รถติด มีแต่รถติดๆ หมดนะเวลานี้ให้ระวังให้ดี ไปที่ไหนเดี๋ยวรถติดนะ
หลังจังหัน
เราเป็นห่วงทุกอย่างนะชาติไทยของเรา เมื่อเช้านี้ก็เทศน์เปรี้ยงๆ ดุนั้นดุนี้ก็เพราะอะไร เรื่องฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แน่ะ มันก็มากระเทือนชาติของตนเองนั่นแหละ นิสัยของตนเอง เสียได้ตรงนี้ จึงต้องได้เตือนเสมอ คือธรรมท่านรอบคอบทุกอย่าง ที่นำมาสอนโลกจึงไม่มีอะไรที่ต้องติ ธรรมของพระพุทธเจ้าหาที่ต้องติไม่ได้เลย ละเอียดลออสุดขีดเลย ที่เรานำมาสอนเหล่านี้ก็เพียงธรรมเป็นดุ้นๆ มาอย่างนั้นแหละ ที่ละเอียดลออยิ่งกว่านั้นใครจะไปสามารถรู้ได้ล่ะ เพียงนำมาเป็นดุ้นๆ มาสอนนี่ก็คือพวกนี้มันเหลวไหลอยู่แล้วนั่นเอง ถ้าละเอียดยิ่งไปกว่านั้นยิ่งซึ้งๆ ธรรมพระพุทธเจ้าซึ้งมากที่สุดเลย
อย่างผู้ที่ท่านมองเห็นกระแสแห่งธรรมเข้าไปแล้วนั้น นั่นละที่ว่าหยุดไม่ได้ๆ การบำเพ็ญตัวหยุดไม่ได้ คือจิตใจหมุนเข้าสู่ธรรม ธรรมกับใจสัมผัสกัน และกิเลสกับใจมันบีบบี้สีไฟกันมานานเท่าไรมากเท่าไร ไม่เคยมีธรรมมาสัมผัสใจ ทีนี้พอธรรมเข้ามาปั๊บมันเป็นคู่แข่งกันแล้ว คู่แข่งเทียบเคียงกันแล้ว ธรรมมีมากน้อยเท่าไรเลิศเลอๆ เหนือนี้ๆ ยิ่งมีธรรมมากเท่าไรยิ่งเหนือเข้าไป นั่นละผู้มีความเพียรกล้าท่านเป็นอย่างนั้น มันเป็นอยู่ในจิต ในตำรับตำราท่านแสดงไว้ผู้มีความเพียรกล้า จนฝ่าเท้าแตกเพราะเดินจงกรม เราเคยพูดหลายหนแล้ว เพราะมันถึงใจ จุดนี้จุดถึงใจ
คือจิตมันดิ้นมันบืนจะออกให้หลุดให้พ้น จะเป็นจะตายไม่มีคำว่าถอย คือจะให้หลุดให้พ้นโดยถ่ายเดียวๆ นี่อำนาจของธรรมเมื่อได้สัมผัสเข้าที่ใจแล้วบืนจะออกจากภัยทั้งหลายที่เห็นแล้วชัดเจน พอธรรมปรากฏขึ้นที่ใจปั๊บเทียบกันปุ๊บเลย เห็นโทษก็เต็มหัวใจ เห็นคุณก็เต็มหัวใจทีนี้บืนเลย ส่วนหยาบท่านแสดงไว้เป็นวินัยของพระว่า สกุลใดที่เป็นสกุลพระโสดา ห้ามไม่ให้พระไปบิณฑบาตในสกุลนั้น ห้ามไม่ให้ไปพัวพัน นั่นฟังซิพระพุทธเจ้า สกุลใดเป็นสกุลที่สำเร็จพระโสดาแล้ว ห้ามพระไปบิณฑบาต ห้ามพระไปพัวพัน
ท่านเหล่านี้มีเท่าไรให้หมด ให้ไม่อัดไม่อั้น ขออะไรได้ทั้งนั้นๆ คือเปิดอยู่ที่หัวใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงกั้นพระ กลัวพระขี้โลภได้โอกาสแล้วทะลึ่งเข้าไป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ปรับอาบัติ นั่น ใครทะลึ่งเข้าไปปรับอาบัติ มี...พระวินัย คือแต่ก่อนพระพุทธเจ้าท่านเป็นองค์ประธานอยู่แล้ว ว่าสกุลใดสำเร็จพระโสดาก่อน จากนั้นมาก็ไม่ว่าละ ท่านรู้ชัดๆ ว่าเป็นที่แน่แล้วไม่ควรไปรบกวน นั่นเห็นไหมล่ะ คือกั้นเอาไว้ให้อยู่ในความพอดี โสตะ แปลว่า กระแส กระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว อย่างช้าที่สุดไม่เลย ๗ ชาติ เกิดตายๆ อยู่เพียง ๗ ชาติเท่านั้นเป็นอย่างช้า อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างสุดยอด ๑ ชาติ เรียกเอกพิชี เกิดเพียงชาติเดียว ชาติเดียวนั้น อาจจะมาเกิดในชาตินั้นสำเร็จพระโสดาแล้วพุ่งถึงอรหันต์เลยก็ได้ เช่นอย่างพระอานนท์สำเร็จพระโสดา ก็เป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นเลย สำเร็จพระโสดาแล้วยังไม่สำเร็จในชาตินั้น กลับมาเกิดมาตาย
แต่สถานที่เกิดของพระอริยบุคคลชั้นพระโสดานี้ปิดอบายภูมิทั้งหมด นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ท่านเหล่านี้ไม่ไปเกิด ขึ้นสวรรค์ ลงจากสวรรค์มาสร้างบารมี ขึ้นลงๆ อย่างช้าเพียง ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อุกฤษฏ์ก็มาเกิดอีกชาติหนึ่ง อย่างหนึ่งก็บรรลุโสดาในชาตินั้นแล้วพุ่งถึงนิพพานอย่างนั้นก็ได้ เรียกว่า โสตะ กระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว
นี่ละอำนาจแห่งธรรมเข้าสู่ใจมันเปิดออกๆ นะ พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติห้ามไม่ให้พระเข้าไปรบกวนสกุลที่สำเร็จพระอริยบุคคลขั้นโสดาขึ้นไป พระโสดานี้เรียกว่าเป็นผู้ที่เชื่อบุญเชื่อกรรมอย่างหนักแน่น ละสังโยชน์ได้ ๓ อย่าง ท่านแยกมาเพียงเท่านั้น ผู้สำเร็จท่านรู้ของท่านเอง อันนี้ท่านแยกออกมาให้รู้กันบ้างเล็กน้อย สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สักกายทิฏฐิ คือไม่ถือเนื้อถือตัว ถือธรรมเป็นหลัก ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ถือความจริงเป็นหลัก ถือธรรมเป็นหลัก วิจิกิจฉา ความสงสัยในมรรคในผล บุญกรรมทั้งหลายหมดไป เชื่อบุญเชื่อกรรม
สีลัพพตปรามาส ไม่เป็นคนลูบๆ คลำๆ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เขาจูงไปไหนก็ไป สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบๆ คลำๆ เช่นอย่างรับศีล รับแล้วรับเล่า รับจากวัดนี้แล้ว เพื่อนฝูงเขาพาไปวัดนั้น มยํ ภนฺเต ทางนี้รับอีก รับศีลกับเขาอีก นี่เรียกว่าลูบๆ คลำๆ ไม่แน่นอน สีลัพพตปรามาส แต่พระโสดานี้ท่านจะเป็นสมุจเฉทปหานตั้งแต่ขณะจิตหยั่งเข้าพระโสดา ท่านไม่รับแล้วรับเล่ารับศีล ท่านนำเป็นหัวหน้านี้ก็นำเขาว่าเฉยๆ ท่านไม่ได้สงสัยในศีลของท่าน ท่านนำเขาว่าเพื่อเขาได้ว่ารับศีลไปตามเท่านั้นเอง เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบๆ คลำๆ ในศีลธรรมของตนพระโสดา
จากนั้นก็พระสกิทา ขยับขึ้นไปพระอนาคา ก้าวจากอนาคาแล้วก็ไปเลย พระอนาคาเครื่องผูกพันคือราคะตัณหาผูกพันในจิตใจ มันดึงนะอันนี้ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ มันเป็นอยู่ในโลกเต็มโลก ทำไมปากเดียวพูดให้ฟังเป็นอรรถเป็นธรรมพูดไม่ได้ ถ้าพูดไม่ได้ก็แสดงว่าหูนี้ไม่ยอมฟัง จะเป็นบ้ากับราคะตัณหาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ราคะตัณหาพาลงนรกหลุมไหนจะลง เข้าใจไหม ลงนรกแล้วนรกแตก ถ้าขุดลงไปพื้นก็จะลงไปอีกไปตามราคะตัณหา ฟังไม่ได้ คือไม่อยากฟัง พอใจแต่เรื่องราคะตัณหา นี่พวกจมดิ่งๆ ราคะตัณหาดึงลงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างกดถ่วงลงมากที่สุด ราคะตัณหาพระอนาคามีท่านขาดจากใจ อันนี้ขาดจากใจไปแล้วก็อันนี้ไม่ดึงที่นี่ ทีนี้มีแต่ขึ้น เหมือนสำลี พอถึงขั้นนี้แล้วหมุนขึ้นเลยที่นี่ แต่ก่อนดึงลงๆ
ราคะตัณหามันดึงลง พอขาดอันนี้แล้วกระแสของจิตนี้ดึงขึ้นๆ เรียกว่าอนาคามี ถึงขั้นไม่ตั้งภพตั้งชาติแล้ว ว่างั้นแหละ อนาคามีก้าวถึงขั้นไม่ตั้งภพตั้งชาติต่อไปอีกแล้ว จะไปเรื่อยเลย ขั้นนี้หนักมากอยู่ มันขาดในจิตก็รู้ พูดให้ชัดมันมีอยู่อย่างนั้น เป็นยังไงก็รู้อยู่ในจิตชัดๆ แต่เวลาพูดออกมานี้ บางคำควรพูด บางคำไม่ควรพูดก็มี แต่ในใจชัดเจนทุกอย่าง ท่านแสดงออกมาที่เหมาะสมกับสังคมที่จะควรแสดงยังไงบ้างเท่านั้นเอง แต่สำหรับท่านผู้รู้ท่านไม่สงสัยแหละ รู้อันนี้ปั๊บรู้ทันทีเลย จิตจะดีดขึ้น ทีนี้มีแต่ดีดเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีจึงไม่กลับมาเกิดอีก มีแต่ขึ้นเรื่อยตั้งแต่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา สุทธาวาส ๕ ชั้น พวกนี้ขึ้นเรื่อย เปลี่ยนขั้นภูมิไปเรื่อยๆ ถึงอกนิษฐาแล้วก็นิพพาน ไม่กลับ ก้าวขึ้นตามขั้นของภูมิอนาคาเรื่อย ถึงขั้นอกนิษฐาแล้วก้าวขึ้นสู่นิพพาน ขาดสะบั้นหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิต มันรู้ชัดๆ พูดได้อย่างชัดๆ ถ้าจะพูดนะ
เพราะมันเป็นอยู่ในจิต ท่านจึงบอกว่า สนฺทิฏฺฐิโก จะหาพระพุทธเจ้าที่ไหนมารับรองพระอรหันต์ท่านล่ะ กิเลสอยู่กับใจของท่าน สนฺทิฏฺฐิโก รู้การละกิเลสได้มากน้อยเพียงไรก็พระพุทธเจ้าสอนเอง เจ้าของปฏิบัติก็รู้เองเห็นเอง ขาดสะบั้นออกจากใจแล้วไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนมารับรอง สนฺทิฏฺฐิโก รับรองก็คือพระวาจาพระพุทธเจ้าเด็ดขาดแล้ว นั่น ไปเลย องค์ไหนสำเร็จที่ไหนพ้นเลย ๆ ไม่จำเป็นหาพระพุทธเจ้ามารับรอง อย่างที่เขาขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์ออกทางทีวีด้วย ขายหน้าที่สุดเลย หาพระพุทธเจ้ามารับรองอีกมีที่ไหน พระบาลีก็ไม่มี ความจริงก็ไม่มี ความจริงอยู่ในใจไม่มี ขาดตรงนี้แล้วผางเลยเชียว นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศแล้วสุดยอด
นี่ละธรรมถ้าลองได้เกิดภายในจิตใจแล้ว ถ้าพูดถึงภาษาโลกเรียกว่ากล้าหาญมากทีเดียว กล้าหาญเป็นลำดับลำดาจนถึงขั้นหลุดพ้นแล้ว เลยกล้าหาญ พูดได้เต็มปากถ้าจะพูด เพราะเป็นเต็มหัวใจแล้ว จึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ธรรมะ แม้แต่เราตัวเท่าหนูนี่ดูกิริยาท่าทางก็รู้มันออกมาจากใจนะ ที่กิริยาท่าทางขึงขังตึงตังนี่ละมันออกมาจากพลังของใจ พลังของใจมันพุ่งๆๆ ควรจะออกหนักเบามากน้อยเพียงไรไม่ต้องบอกมันออกเองๆ
เพราะธรรมอยู่นั้นหมดแล้ว รวมตัวอยู่ในใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจแล้ว มีแต่ครองขันธ์อยู่เท่านั้นเอง ธรรมชาติอันนี้ให้เป็นอื่นเป็นไรไปไม่ได้แล้ว เรียกว่าเป็นอฐานะ บริสุทธิ์สุดส่วน เรื่องสมมุติจะเข้าไม่ถึงเลย กิริยาท่าทางที่เป็นเรื่องสมมุติก็ปฏิบัติไปตามสมมุติธรรมดาเรานี่แหละ สำหรับกิริยาอันนี้ใช้ไปตามสมมุติธรรมดา ธรรมชาตินั้นเป็นอฐานะแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเข้าถึง เรียกว่าเป็นวิมุตติหลุดพ้นไปเป็นฝั่งหนึ่งแล้วถ้าว่าฝั่ง ขาดวรรคขาดตอนไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้ามาประกาศที่จิตนะ ไม่ประกาศที่ไหน ท่านจึงให้ปฏิบัติ ปริยัติศึกษาเล่าเรียนมาเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วปฏิเวธความรู้ในผลของตนที่ได้ปฏิบัติมามากน้อยจะรู้เป็นลำดับๆ จนกระทั่งถึงที่สุดเป็นสนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดไปเลย นั่น เรียกว่าธรรมเป็นอย่างนั้นนะ เป็นสดๆ ร้อนๆ นะ อกาลิโกธรรม ขอให้นำไปปฏิบัติเถอะ ไม่ว่าหญิงว่าชาย จิตไม่มีเพศ มีกิเลสมีธรรมด้วยกัน ใครปฏิบัติได้มากน้อยจะอยู่ที่จิตๆ เท่านั้นเอง พอหมดอันนี้แล้วก็หมดไปเลย ผ่านไปเลย
กิเลสก็คือตัวก่อกวนนั่นเอง มีมากมีน้อยกวนใจตลอดนะ มีมากกวนมาก มีน้อยกวนน้อย มีละเอียดกวนละเอียด ธรรมตามกันๆ เผากันเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรมากวนใจเลย จิตพระอรหันต์ท่านไม่มีอะไรกวนใจ หมด ก็คือกิเลสเท่านั้นกวนใจ กิเลสตัววัฏวนให้เกิดตายกองกันอยู่ในโลกอันนี้ โลกอันนี้มีกี่โลกมันเกิดได้หมดจิตดวงนี้นะ ขอแต่ทำกรรมประเภทใดไว้ไปทั้งนั้นละ อะไรจะมาหวงมาห้ามไม่อยู่ กรรมนี้มีอำนาจมาก ท่านจึงว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดเหนืออำนาจแห่งกรรมนี้ไปได้ ท่านว่า
นี่ละอานุภาพอันนี้ละไปได้หมดกรรมดีกรรมชั่ว กรรมชั่วไปได้หมด ขุดนรกลงไปก็ได้ นรกนี้แตกขุดลงไปอีกก็ยังได้ จะว่ายังไง นี่พุ่งถึงนิพพาน ไม่มีที่ขุด เบิกกว้างหมด สุญฺญโต โลกํ ว่างเปล่าไปหมด ว่างอยู่ที่หัวใจนะ ต้นไม้ภูเขาสิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั้งนั้น แต่ความว่างนี้ครอบหมดเลย เหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี เรียกว่าว่างในหัวใจ ว่างหมด ครอบโลกธาตุ ต้นไม้ภูเขามีอยู่เห็นอยู่นี่แต่จิตนี้มันว่างครอบไปหมดเลย จึงเรียกว่าสุญฺญโต โลกํ โลกนี้ว่างโลกนี้สูญไปหมดภายในหัวใจ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านเลย นั่นถึงเรียกว่าโลกสูญ ทุกข์สูญ ไม่มีอะไรเหลือ บรมสุขขึ้นแทนกันแล้ว
นี่อำนาจแห่งการปฏิบัติความดีงาม ธรรมะสดๆ ร้อนๆ นะ ให้มองดู เอา พูดอย่างภาษาของเราที่กิเลสหยาบๆ นี่ ให้มองดูหน้าพระพุทธเจ้าบ้าง อย่ามองดูตั้งแต่หน้ากิเลสตัณหา เหล่านี้มีแต่หน้ากิเลสตัณหาทั้งนั้นเต็มอยู่นี้ ทั้งเขาทั้งเรามันเต็มตัวอยู่แล้ว ให้มองดูหน้าพระพุทธเจ้าคือธรรม ให้ดูธรรมเข้ามาส่องใจตัวเองแล้วคัดเลือกอะไรไม่ดี เพราะตัวเองจะเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมดีชั่วของตัว ผิดถูกดีชั่วประการใดจะเป็นตัวของตัวเป็นผู้รับกรรมทั้งนั้น ให้เลือกเฟ้นให้ดี ทำอะไรอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ความอยากไม่มีเหตุมีผลนะ อยากอะไรทำตามความอยากๆ นี่ละพาให้จม ถ้าธรรมแล้วคัดเลือกก่อนอะไรควรไม่ควร
แม้ที่สุดอาหารอยู่ในถ้วยในจานของเรา อันไหนเป็นกระดูกอันไหนเป็นก้างคัดออก นั่นเห็นไหมล่ะ กินแต่เนื้อๆ อันนี้ก็เหมือนกันคัดออก อะไรเป็นกระดูกเป็นก้างนั้นละคือความไม่ดีมันจะมาขวางคอเราเอง คัดออกๆ เสียก็ไม่มีอะไรมาขวางคอ ไปได้ราบรื่นดีงาม จำเอานะ เท่านั้นละวันนี้พูดเท่านี้พอ พูดธรรมะล้วน ๆ ให้หอมปากหอมคอกันสักทีเถอะ
วันที่ ๖ เมษายน ถวายหลวงตาร่วมในการจัดสร้างสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ยอดที่ ๑ จากประชาชนทั่วสารทิศร่วมบุญกศลในวันที่ ๑๔ มีนาคมถึงวันที่ ๖ เมษายน เป็นจำนวนเงิน ๗๗,๖๓๕ บาท ยอดที่ ๒ จากนางจันดี โลหิตดี และชาวบ้านตาดพร้อมคณะศรัทธาทั้งหลายเป็นจำนวนเงิน ๑๖,๒๐๐ บาท ยอดที่ ๓ จากคุณเสาวลักษณ์ สหเวชภัณฑ์ จำนวนเงิน ๖๐,๐๐๐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๓,๘๓๕ บาท เอาสาธุพร้อมกัน (สาธุ) พอใจ ๆ นะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|