เมื่อวานร้อนมากอยู่นะ เราดูปรอทตอนบ่ายโมงขึ้น ๓๙ มันจะถึง ๔๐ แล้ว บ่ายสองสามโมงยังร้อนจัดมันขึ้น คงไม่ต่ำกว่า ๔๐ เมื่อวานนี้ ความร้อนถึง ๔๐ เมื่อวานนี้ แต่ยังไงก็ตามอยู่ในป่านี้ถึงจะร้อนก็ยังดีกว่าอยู่ในตัวเมือง ตัวเมืองทั้งร้อนอากาศ เครื่องไฟฟ้งไฟฟ้าร้อนทั้งนั้น ผิดกันอยู่ ๔ ขีดนะ หน้าหนาวทางนี้หนาวกว่าทางนู้น ๔ ขีด ร้อนก็เหมือนกันในเมืองร้อนกว่าทางนี้ ป่าทำความเย็นให้มากพอสมควรอยู่ หน้านี้ละพระท่านขึ้นอยู่บนถ้ำ พระกรรมฐานมักจะอยู่ในถ้ำเย็น ๆ เดือนมีนา เมษา พฤษภา มักจะอยู่บนถ้ำ ๆ ออกพรรษาไปแล้วจนกระทั่งถึงเดือนยี่ เดือนมกรา กุมภา นี้ยังไม่ขึ้น ส่วนมากท่านจะอยู่ตามป่าธรรมดา เพราะไม่ร้อนนัก พอเดือนมีนา เมษา แล้วก็ร้อนขึ้น
ในถ้ำมันสบาย คือถ้ำมีที่ดีไม่ดีต่างกันนะ บางถ้ำอากาศดี โล่ง ลมพัดผ่านไปมาสะดวก อย่างนั้นสบาย บางแห่งมันอับ ๆ อย่างนั้นก็ไม่ดี สู้ที่ไม่ใช่ถ้ำไม่ได้ แต่เวลานี้ไม่ว่าถ้ำว่าป่าที่ไหนมันก็ถูกทำลายเข้าไปถึงหน้าถ้ำ ๆ ไม้นะ เสียมากทีเดียว คือป่าอยู่หน้าถ้ำนี้ถูกเขาทำลาย ปลูกอะไร ๆ ที่หน้าถ้ำเตลิดไปเลย เลยโล่ง เสียหมดนะ ถ้ำธรรมชาติที่เป็นถ้ำดี ๆ จริง ๆ ธรรมชาตินี้ เวลานี้แทบจะไม่มีเหลืออยู่นะ ที่บริเวณถ้ำปกคลุมด้วยป่าไม้ต้นไม้ชุ่มเย็น ถูกถากถางลงหมดเลย มีแต่ถ้ำก็ไม่ดีไม่ค่อยเย็น ที่เรียกนี้คือพวกเงื้อมผาออกไปอย่างนี้ มักจะเรียกว่าเป็นถ้ำ ๆ ท่านอยู่อย่างนั้น
ถ้ำจริง ๆ เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ถ้ำเป็นรูเข้าไปลึก ๆ เรียกว่าถ้ำ แต่ท่านไม่อยู่ เรียกว่าถ้ำจริง ๆ ท่านก็มาเรียกเอาข้างนอกนี่เสีย พวกเงื้อมผา ๆ ที่เรียกว่าถ้ำโน้นถ้ำนี้ กรรมฐานท่านเรียก ถ้าเป็นถ้ำจริง ๆ ไม่มีใครเข้าไปได้แหละ ใครจะอยู่ได้ เป็นช่องเล็ก ๆ เข้าไปถึงจะเป็นโพรงใหญ่โตลึก ๆ พวกงูพวกอะไรเต็มอยู่ในถ้ำ พวกสัตว์พวกงู พวกเสือ เข้าอยู่ในถ้ำอย่างนั้น ที่ท่านว่าอยู่ตามถ้ำอะไร เป็นถ้ำจริง ๆ ไม่มีใครเข้าอยู่แหละ ถ้าว่าเงื้อมผานี้เหมาะ ถ้ำนี้ถึงจะเป็นถ้ำมันก็โล่งข้างนอกก็มีนะ เป็นถ้ำอยู่ข้างใน โล่งทะลุออกไปถึงกันก็มี มีหลายแบบนะถ้ำ ที่ท่านเรียกว่าถ้ำในบาลีให้พระไปอยู่ ท่านเรียงภู ๕ พวกถ้ำ เงื้อมผา ถ้าเป็นถ้ำจริง ๆ อยู่ไม่ได้แหละ เป็นถ้ำเข้าไปนี้มันก็เป็นโพรงโล่งออกข้างนอก โล่งทะลุ ก็อยู่ได้
แต่อย่างไรก็ตามเถอะอากาศเป็นสำคัญ อยู่ที่ไหนก็ตามอากาศเป็นอันดับหนึ่งเลย ถ้ำอากาศไม่ดีก็ไม่สบาย อยู่ที่โล่งแจ้งอากาศดี สบาย เวลาหน้าร้อนนี้ท่านมักจะอยู่ถ้ำที่ว่าเงื้อมผา มันเย็น เย็นตลอดเลย หน้าร้อนอย่างนี้เหมือนไม่ใช่หน้าร้อนนะ อยู่เงื้อมผาอยู่ถ้ำเย็นสบายตลอดเวลา ท่านจึงมักขึ้นถ้ำ พระกรรมฐานผู้เสาะแสวงหาธรรมนี้ ท่านสมบุกสมบันมาก แต่ท่านไม่นำมาพูดออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ จึงเหมือนกับว่าพระกรรมฐานไปอยู่สะดวกสบาย ท่านไม่ได้สะดวกสบายทางร่างกาย แต่ทางจิตใจท่านเสาะแสวงหาความสะดวกตลอด เบิกทางให้จิต
พวกเรานี้เบิกให้แต่กาย ไปที่ไหนที่อยู่ที่กินที่หลับที่นอนนี้ โหย หรูหราฟู่ฟ่า เบิกให้กายสบาย ๆ หัวใจเป็นไฟช่างหัวมัน นั่นกิเลสเผาหัวใจคนมันเผาอย่างนั้นนะ ธรรมเผาหัวใจกิเลสเผาเข้าไปที่ใจ เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ข้างนอกอยู่ยังไงช่างหัวมันไม่ได้สนใจนะ แต่ภายในท่านบุกเบิกของท่านตลอดเวลา พวกเรานี้บุกเบิกทางให้กิเลสเข้าเหยียบย่ำทำลายธรรมในหัวใจมืดมิดปิดตา ข้างนอกหรูหราฟู่ฟ่า ไปที่ไหน โหย แข่งกันแต่เรื่องกิเลสจนจะดูไม่ได้นะ เราพูดจริง ๆ ตั้งแต่เพียงเท่านี้เขาก็โจมตีหลวงตาบัวจะตายไปแล้วนะ แต่หลวงตาบัวยังมีลมหายใจไม่ขึ้นอยู่กับใคร ใครจะโจมตีที่ไหนก็ตาม ลมหายใจไม่โจมตีเราเราสบาย เราพูดได้อย่างสบาย ผู้ที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านไม่ได้มีความสะดวกสบายทางร่างกาย แต่ใจของท่านบุกเบิกตลอดเวลา
พวกเรามีแต่บุกเบิกทำความสะดวกให้แก่ร่างกายทั้งนั้น ๆ ทั้งนั้นไปเลยนะ ไม่มีใครที่จะหาความสะดวกให้แก่จิตใจ พอก้าวเดินให้มีความสุขความสบายเย็นอกเย็นใจบ้าง ไม่ค่อยมีและไม่มี ธรรมจึงไม่มีเพราะกิเลสมันเหยียบตลอดเวลา ทางเดินของกิเลสที่ตรงไหน นั้นละคือความตีบตันของธรรมอยู่ที่นั่น หาธรรมไม่มีละ ธรรมก็มีอยู่ กิเลสก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ที่ได้รับการส่งเสริมมากก็คือเรื่องกิเลส เพราะเครื่องล่อมันเก่ง เครื่องล่อกิเลสนี้สุดยอดนะไม่ใช่เล่น ธรรมท่านไม่ค่อยมีอะไรล่อ คำว่าล่อก็คือหลอกนั่นเอง ธรรมท่านไม่ล่อเพราะท่านไม่หลอก กิเลสมันทั้งล่อทั้งหลอกทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดเลย
แต่ก่อนไปที่ไหนก็สะดวกหมด เข้าป่าเข้าเขาที่ไหนสะดวกสบายภาวนาสะดวก เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วนะ นี่ละตีบตันอั้นตู้เข้ามา ทางด้านอรรถธรรมที่จะให้เป็นความสะดวกเย็นใจ ไม่ค่อยมีละ มีแต่ความตีบตันอั้นตู้ เบิกทางให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจสัตวโลก มั่งมีขนาดไหน หรูหราฟู่ฟ่าขนาดไหนก็ตาม เราดูหัวใจซี ไฟมันเผาอยู่ที่หัวอกคนนั่นไม่ได้เผาอยู่ที่ไหนนะ อะไรเหล่านี้ก็อยู่อย่างนั้นละ เห็นไหมนี่ หลวงตาบัวมีศาลาใหญ่สองชั้นสามชั้น เขาก็ว่าสวยงามอยู่โน่น พูดให้มันตรงเป๋งหัวใจหลวงตาบัวเหนือโลกธาตุนี่ พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ ประสาขี้หมูขี้หมาเอามาอวดทำไมว่างั้นเลย นี่พูดยันกันตามความจริง ก็มันเป็นอย่างนั้น มันมีอะไรกับอะไรในโลกอันนี้วะ
พอพูดอย่างนี้กิเลสมันก็โจมตีเข้าใจไหม กิเลสมีแต่โจมตีธรรมทั้งนั้นแหละ มันก็สมกัน เวลาธรรมบำเพ็ญก็โจมตีกิเลสเหมือนกันเข้าใจไหม ต่างฝ่ายต่างฟัดกัน จึงเรียกว่าข้าศึกกัน เอามาอวดอะไรประสาอิฐปูนหินทรายเหล็กหลา ถ้าว่าเงินก็ธนบัตร กระดาษ เป็นบ้ากันทั้งโลก เวลานี้สินค้ามันมากกว่าเงินมันกำลังจะตายแล้วนะมนุษย์เรา ใครพูดคำนี้น่ะ สินค้ามันมากกว่าเงิน เงินหาไม่พอ ดีดดิ้นหาเงิน สินค้ามีจะขายขายไม่ออก ดิ้นหาเงิน ๆ นี่มันก็จะตายอันหนึ่งเหมือนกัน ดูบ้างซิโลกน่ะ ธรรมดูแล้วนะถึงได้มาพูด เอา ถ้าว่าอุตริ
เวลาสินค้าที่ไหนออกมาจากโรงงานต่าง ๆ ขนออกมา ๆ ไม่มีใครซื้อ หาเงินมาซื้อ ๆ ดิ้นกัน สินค้าเต็มเกลื่อนอยู่คนหาความสุขไม่ได้ ก็เพราะดิ้นหากระดาษ ดิ้นหาไอ้หลังลายนี่ ไอ้หลังลายมันเลิศมันเลอในการหลอกลวงสัตวโลก โลกจึงหาความผาสุกไม่ได้ เอาซิมากองเท่าหลังคาเต็มนี่คนนั้นจะมีความสุข อย่าหวังว่างั้นเลย มันจะอยากหามากยิ่งกว่านั้นอีก นี่คือเชื้อไฟทั้งนั้นจะเสริมไฟได้เป็นอย่างดี ถ้าธรรมแล้วพอ อยู่ที่ไหนพอ ถ้าพูดถึงเรื่องความอดอยากขาดแคลนเมืองไทยเราอดที่ไหน เขาว่าเมืองไทยจะล่มจะจมอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ว่าตามประเภทของบ้านเมืองเขาที่อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหนุนทั้งนั้น สมบัติสิ่งของอะไรที่เราอยู่เรากินในเมืองไทยเราอดที่ไหน ไปซิภาคไหนไม่ได้อดนะ สมบูรณ์แบบตลอด นี่หลักใหญ่ของการอยู่เป็นสุขของมนุษย์เรา ไม่ได้อยู่กับกระดาษนะ กระดาษดิ้นหามันเฉย ๆ นั่นละมันพาเผาเวลานี้น่ะ
ได้สินค้ามาแล้วหาที่ขายไม่ได้ ๆ โรงงานต่าง ๆ ผลิตออกมาวันหนึ่งเท่าไร ของเต็มรถ ๆ มองไปมีแต่ของออกมาจากโรงงาน ๆ นี้ดูหมดนะ ออกมาจากโรงงานนี้จะเอาไปไหน จะเอาไปขาย เอาเงินมาจากไหน นั่น ไม่มีเงินแล้วเป็นยังไง พวกขายนี้ก็ขายไม่ออก ขายไม่ออกก็สะท้อนกลับมาหาโรงงาน ดีไม่ดีโรงงานเจ๊งไป เพราะมีแต่ผลิตออก ๆ ไม่มีใครซื้อ ทางโรงงานก็มีปากมีท้องกินกันตลอดเวลาว่าไง เมื่อไม่ไหวโรงงานก็เจ๊งได้ เพราะผลิตไม่มีประมาณ ความไม่รู้จักประมาณก็คือกิเลส ได้เท่าไรไม่มีประมาณ ผลิตออก ๆ แล้วดิ้นกันตลอดเวลา ไปที่ไหนมีแต่ความดีดความดิ้น ทั้ง ๆ ที่สมบัติทั้งหลายเหล่านี้มีเต็มแผ่นดินอยู่ดิ้นหาอะไร พออยู่พอกินก็อยู่กินกันไปก็เป็นสุขมนุษย์เรา แต่นี้มันไม่เป็นสุขทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้ล้นโลก ไม่เป็นสุขก็เพราะว่ากิเลสมันพาดีดพาดิ้นตลอดเวลา หิวโหยตลอด จึงหาความสุขไม่ได้มนุษย์เรา
ไม่ว่ามหาเศรษฐีคนทุกข์คนจน ถ้าหัวใจดีดดิ้นแล้วเป็นทุกข์เหมือนกัน ยิ่งผู้ใหญ่มหาเศรษฐีนั่นละยิ่งตัวดิ้นตัวดีด ตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ มองดูตั้งแต่สมบัติเงินทองข้าวของยศถาของเขา ตั้งขึ้นเป็นลม ๆ แล้ง ๆ ไฟเผาหัวใจมันเป็นลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อไร มันเอาให้ตายจริง ๆ นี่นะ ถ้าไม่แก้มันด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วยังไงก็ไปไม่รอดนะ ใครอย่าเอาสมบัติมาอวดกันถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรม สมบัติไม่สมบัติก็ตามเถอะ ตายก็ตายด้วยความอิ่มใจ นั่นเห็นไหมล่ะ คนมีธรรมในใจตายด้วยความอิ่มใจ คนไม่มีธรรมในใจแล้วตายด้วยความหิวโหย สมบัติเงินทองกองเท่าภูเขา ตายด้วยความหิวโหยทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครจะตายด้วยความอิ่มพอถ้าไม่มีธรรมในใจนะ
อย่าอวดพระพุทธเจ้า อย่าอวดศาสนา ซึ่งทำประโยชน์ให้โลกมีความสุขความเจริญมานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์แล้ว กิเลสก็เป็นเครื่องเผาโลกมานานแล้ว ให้พิจารณาเอามาเทียบกันซิ ถ้าจะให้พออยู่พอเป็นพอไปได้ หายใจวันหนึ่งให้เต็มปอดบ้างนะ อันนี้มันหายใจไม่เต็มปอด มีแต่ความดีดความดิ้น น่าทุเรศนะ ไฟมันแสดงเปลวตลอดเวลาในหัวใจ นั่นละตัวเผาโลกคือไฟในหัวใจมันเผาโลก ไม่ใช่ไฟที่ไหนนะ ไฟหัวใจเผาโลก ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา อวิชชาเป็นพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้ออกมาจากอวิชชาเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบเผาไหม้โลก คืออันนี้เอง อวิชชาเหมือนกษัตริย์อยู่ในพระราชวัง พวกเหล่านี้ออกสนามรบแหละ รบหัวใจสัตวโลกนั่นแหละ รบให้โลภมาก ๆ จนไม่มีป่าช้า ได้เท่าไรไม่พอ ๆ ประหนึ่งว่าจะไม่ตายเหมือนโลกเขา ครั้นเวลาตายแล้วก็เข้าโลงผีเท่านี้ ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร
ความโกรธ ราคะตัณหาก็เหมือนกัน มันก็เคยมีมาอยู่ในโลกมากต่อมากเสริมมันหาอะไร ไม่เสริมมันก็พอเป็นพอไปของมันอยู่แล้ว ยิ่งเสริมมันก็ยิ่งไปใหญ่ล่ะซี ดูแล้วยิ่งเลอะ ๆ เทอะ ๆ นะเป็นยังไง เราก็ดูคนเดียวเรา โลกเขาไม่ดูแบบเรา เราก็บี้ไปเลยถูกเขาขยี้ล่ะซีเข้าใจไหมล่ะ หลวงตาพูดออกคำไหนถูกขยี้แหละ ขยี้ก็ตามขยี้แต่ลมปากหลวงตาบัว ไม่ได้ขยี้หลวงตาบัวได้ ขยี้แล้วมันก็ไปกระเทือนเจ้าของนั่นแหละไม่ไปไหน สอนให้ดีกลับมาเป็นชั่วก่อไฟเผาตัวเอง เลวมาก โง่มาก สอนให้ดีต้องยึดเอาซิ
ดูซีสมบัติเงินทองข้าวของอะไรเต็มแผ่นดินไทยเรามันอดอยากที่ไหน แต่ทำไมคนไทยเราหาความสุขไม่ได้ ดิ้นกันเป็นบ้าไปเลย ยิ่งเมืองนอกเมืองนาด้วยแล้วไม่มีศาสนาเลยนั้นยิ่งไปใหญ่นะ แม้แต่มีศาสนานี้ก็ไม่มองนะพวกเรา ถ้าพอมองศาสนาบ้างก็จะพอเห็นช่องเห็นทาง นี่มันไม่มองนี่นา
ไอ้หลังลายนี่มันทำให้คนเป็นบ้าให้เป็นไฟ มันจะเอากันให้แหลกพินาศฉิบหายก็ไอ้หลังลายนี่ตัวสำคัญ ตัวนี้ตัวสำคัญมาก กระดาษ เหล่านี้ไม่มีคุณค่านะอาหารกินกันเต็มปากเต็มท้องผาสุกเย็นใจ ไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าไอ้หลังลาย ประสากระดาษเอามามวนบุหรี่สูบเหม็นเขียวจะตาย มีแต่หลวงปู่แหวนท่านทำเย้ยกิเลสตัณหา ทำเย้ยโลกที่มันกำลังเป็นบ้า ทราบว่าท่านเอาธนบัตรดูเหมือนใบละห้าร้อย อยู่ ๆ ก็ เพราะท่านมวนบุหรี่ตัวใหญ่นี่ใช่ไหมล่ะ ฟาดเท่าแขนนี่บุหรี่ท่าน ท่านสนใจกับใครเมื่อไรเห็นไหมล่ะ ท่านก็เอาธนบัตรใบละห้าร้อยบาทมามวนบุหรี่สูบ เฉยเลย นั่นเห็นไหม ท่านเย้ยกิเลสท่านทำอย่างนั้น
ถ้าพูดภาษาเราก็ประสากระดาษ มันก็เหมือนกระดาษมวนบุหรี่นั่นเองต่างกันที่ไหน ก็เท่านั้นเอง แต่เรามันเป็นบ้า โถ ท่านเอาธนบัตรมามวนบุหรี่ ธนบัตรบ้าอะไรสูไม่รู้จักกระดาษเหรอ ท่านก็จะว่างั้นใช่ไหม กูรู้นี่นะ เป็นอย่างนั้นนะ ท่านไม่มีอะไรกับโลก ท่านทำอะไร เรื่องความตำหนิติชมอะไรเข้าไม่ถึง ๆ ท่านทำอยู่ฟากโลกอันเป็นฟืนเป็นไฟนี้ทุกอย่าง ท่านไม่มีอะไร
สอนให้ภาวนามันไม่อยากภาวนานะ ถ้าสอนกินแล้วให้นอนเสียนะ ใช่แล้วเจ้าค่ะ เสื่อหมอนมัดติดหลังมาพร้อมแล้ว มันก็จะว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม คือพร้อมแล้ว เสื่อหมอนมัดติดหลังมาพร้อมแล้ว พอกินข้าวเสร็จแล้วนี้อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้างช่างหัวมันเถอะ น้ำไม่กินก็ได้ ท้องอิ่มแล้วล้มตูมเลย สะดวก นั่นมันไปอย่างนั้นนะ ไล่เข้าทางจงกรมนี้เหมือนจูงหมาใส่ฝน เสียงร้องแหง็ก ๆ อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ มันอยู่ในหัวใจของคน เราต่างคนต่างมาศึกษาให้ฟังเข้าสู่หัวใจเจ้าของทุกคน พูดนี้เป็นธรรมะที่จะเตือนให้รู้ตัว
เวลามันไม่ได้เรื่องได้ราวภาวนานี้มันเหมือนกับจูงไปฆ่านะ มันไม่อยากทำมันฝืนทุกอย่างนั่นแหละ หัวใจของเรานี่มันเป็นด้วยกัน พอฝืนลงไป มันฝืนเรา เราฝืนมัน รบกันไปรบกันมา ก็ค่อยมีช่องมีทางไปได้ จากนั้นก็ค่อยเบิกกว้าง ผลปรากฏขึ้นในใจ พอผลปรากฏขึ้นในใจมีความสงบเยือกเย็นเป็นสุข ซึ่งผิดกับสุขทั้งหลายที่เราเคยผ่านมา มันก็สะดุดใจ ๆ ตื่นเต้น นั่นเริ่มเข้าละนะ ค่อยตื่นเต้นเข้าไป ความพากความเพียรความใฝ่ใจมันก็ค่อยติดแนบ ๆ ทำงานทำการอะไรจิตมันจะพะวักพะวนอยู่กับภาวนากับความแปลกประหลาดในจิต ๆ เป็นนะ นี่ละมีเครื่องดึงดูดมันก็ดูด ดูดใส่ความพากความเพียร ต่อไปก็เบิกกว้างออก ๆ
ทีนี้พอความสุขได้เข้าครองใจบ้างแล้ว ความทุกข์จะเริ่มจางไป ๆ มีแต่ขยันหมั่นเพียรสั่งสมความสุขมากขึ้นตลอด ๆ แล้วกว้างขวางออกไป ๆ เรื่อย ๆ นี่เรียกว่าเบิกทางให้ใจก้าวเดินด้วยความสะดวกสบายด้วยความเพียร เรียกว่าที่เราเบิกทางให้กิเลสเหยียบธรรม ด้วยความหาความสะดวกสบายให้ร่างกาย มันก็ค่อยจางไป ๆ หมุนแต่ทางด้านธรรมะ ความสุขก็มาก ไม่ต้องดีดดิ้นอะไรมากนักละ คนมีความสุขแล้วไม่ดีดดิ้นอะไรมากนักนะ ไอ้คนมีกองทุกข์นั่นมันดีดมันดิ้นเอาจริง ๆ หาเวลาไม่ได้เลย มีแต่ดิ้นอยู่ตลอด คนมีความสุขไม่ดีด ดีดไปหาอะไร อยู่สบาย ๆ
วันนี้ก็พูดเท่านั้นละไม่พูดอะไรมาก พูดนิด ๆ หน่อย ๆ เหนื่อย เมื่อวานนี้ร้อนทั้งวัน เมื่อคืนนี้ยังร้อนจน โถ ตีหนึ่งยังร้อนอยู่นะ โถ เป็นยังไง ออกจากกุฏิ
เมื่อวานวันที่ ๘ ได้ทอง ๒ บาท ๕๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๓๐ ดอลล์ ได้ไปทุกวัน ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย นี่ก็อยู่แต่วันนี้เท่านั้น วันพรุ่งนี้ก็จะได้เดินทางไปกรุงเทพแล้ว วันที่ ๑๐ ไป วันที่ ๑๑ เขาอาจจะมีธุระอะไรปรึกษาหารือ ก็ให้โอกาสเขาวันที่ ๑๑ วันที่ ๑๒ ก็งาน ถ้าไปวันที่ ๑๑ มันก็ถึงค่ำแล้วไม่มีเวลาที่จะปรึกษาหารือกัน จึงย่นเข้ามาไปวันที่ ๑๐ วันที่ ๑๐ ก็ออกเดินทางไป เท่านั้นแหละ วันที่ ๑๒ ก็มีงาน แล้ววันที่ ๒๑ ก็เป็นงานใหญ่แหละงาน ก.ท.ม.ที่สนามหลวงเลย คราวนี้เทศน์สนามหลวงนะ กว้างขวางขนาดไหน พี่น้องทั้งหลายก็ไปเห็นแล้วสนามหลวง คราวนี้คนจะมากจริง ๆ เราคิดว่ามาก พระก็จะมาก เฉพาะทางภาคอีสานสายหลวงปู่มั่นนี่แหละ เข้าใจว่าจะไป ยังไงก็จะไป นี่อันหนึ่ง พระก็จะมาก ประชาชนก็จะมาก
เวลา ๖ โมงเย็นพอดี ตามที่เขาประกาศมาแล้ว ก่อน ๖ โมงเย็นนี้ก็ฟ้าหญิงเสด็จ ทรงบำเพ็ญพิธีต่าง ๆ พอถึง ๖ โมงเย็นก็เสร็จพอดี นั่นละเริ่ม เทศน์ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นต่อไปเรื่อย ๆ ก็มีเท่านั้นละ
แจกสิ่งของเหล่านี้มันกระเทือนหัวใจตลอดนะเราไม่เคยพูด ทำไมมนุษย์เรานี้มันแหม อิจฉาพยาบาทน้อยอกน้อยใจ ท่านรักคนนั้นท่านรักคนนี้พวกบ้า ต้องพูดให้มันตรงๆ จริงๆ เราหดมือเหมือนกันนะ มันเป็นนะ ว่าไม่รู้เหรอพวกบ้านี่ว่างั้นเสีย เหอ ทำไมเป็นอย่างนั้นเราทำด้วยความเมตตาสุดส่วนกระเทือนทั่วโลกแดนไทยว่าไง จะมาเจาะจงเฉพาะผู้ใดผู้หนึ่งได้ยังไง เมื่อของไม่มีมากให้คนนี้ก็เท่านั้นเองเข้าใจไหม ถ้ามีมากแล้วจะฟาดใส่หัวมันด้วย เราไม่เพียงยื่นใส่มือมันนะ จะฟาดใส่หัวมันด้วยถ้ามีมาก แต่นี่ไม่มีมาก มันยังเป็นนะมนุษย์เรานี่ เอ๊ มันยังไง เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่ไหนเป็น หัวใจดูมันบ้างซิ ท่านรักคนนั้นท่านไม่รักคนนี้ ท่านเอียงคนนั้นคนนี้ หัวใจเจ้าของเป็นไฟทำไมไม่ดู มันเอียงไปไหนนั่นน่ะ เอียงไปหาไฟเผาหัวมันอยู่ดูมันบ้างซี ไม่ได้เอียงไปไหนนะนี่เข้าใจไหม ว่าเอาบ้างซีมันโมโหมานานแล้วนะเราไม่พูดเฉยๆ ก็ธรรมไม่ได้เดือดร้อนไม่เจ็บไม่ปวดไม่แสบไม่ร้อน เฉย ไม่อัดไม่อั้นนะ นี่เวลามันนานๆ เข้าก็โมโหล่ะซิ ก็ออกเสียบ้างจะว่าไง เป็นยังไงกัน
เอาไปนี่ ใครจะมารักใครเอ้าบอกมา รักใครจะฟาด รักคนนี้จะว่างั้นเข้าใจไหม ว่ารักใคร รักคนนี้จะฟาดใส่หน้าผากมันเลย เอาตัวคนที่เรารักๆ นั่นละให้มันหน้าผากแตกเลยเพราะเรารักมาก ต้องเอาให้หน้าผากแตกสักหน่อยเข้าใจไหม เอาทีนี้แยกไป แจกไปทางนู้นทางนี้ ไม่เอามาก ต่อไปนี้ไม่เอามาให้นะ มาแจกนี้พวกนี้จะเป็นบ้ากัน เอามานี้มันแจกแล้วมันจะเสริมคนให้เป็นบ้ากันเข้าใจไหมล่ะ เราส่งไปไหนๆ เรียกว่าเรารักคนนั้นนะ เมื่อของเราไม่มีแจกแล้วเราชังหมดเลยเข้าใจ
ลูกศิษย์ วันเกิดหลานครูชาลี
หลวงตา โอ๋ย อย่าว่าแต่หลานเลยเหลนมาก็ไม่ได้ มันหมดแล้ว เข้าใจไหม อย่าว่าแต่หลานเลย เหลนมาก็ไม่ได้มันหมดแล้วนี่ แม่ของคนนี้เป็นลูกของอาจารย์ชาลี ครูชาลีเป็นครูของเรา เรารักมาก รักมากมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้นะ อย่างนั้นละหลวงตาถ้าลงได้รักแล้วไม่มีถอน นั่นก็เป็นครูเรา ครูคนนี้ดีมากเด็กชอบ เราจึงชอบนั่นเอง ไม่มีลืมเนื้อลืมตัว ไม่มีคำว่าเย่อหยิ่งจองหอง เข้าได้หมดเลย การทำมาหาเลี้ยงชีพที่ไหนเหมือนคนทั่วๆ ไป คนทั่วๆ ไปยังขยันสู้ครูคนนี้ไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ การหาอยู่หากินหาอะไรๆ โหย ไม่มีใครสู้ได้ขยัน ไม่มีคำว่าถือเนื้อถือตัว เราซึ้งใจอันนี้นะ การประพฤติตัวเป็นแบบฉบับ ในบรรดาที่ครูที่เราผ่านมานี้ก็ยกได้คนนี้ นอกนั้นก็ดีแต่เรียงลำดับกันไปนะ คนนี้สำหรับเรานับถือว่าเป็นหนึ่งเลยในหัวใจของเราจนกระทั่งทุกวันนี้ นับถือตลอดมา
ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่ละที่สำคัญประหยัดมัธยัสถ์ คนไม่ลืมตัวต้องประหยัดมัธยัสถ์ ถ้าคนลืมตัวแล้วก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม จากนั้นเราก็เข้าบวชแหละ เวลาเข้าบวชเรียนหนังสืออยู่ทางโน้น ก็ส่งจดหมายมาหาแม่ อาจารย์ชาลีเรานี้เป็นคนส่งเงินไปให้ คือแม่ไปติดต่อกับอาจารย์ชาลี เอาเงินไปให้ทางนี้ส่งธนาณัติไปให้เราซื้อหนังสือเรียน เรียกว่ารับภาระตลอด เวลาเราเรียนหนังสือนี่ก็อาจารย์ชาลีของเรานี่แหละ เป็นญาติกันนี่ ทางนี้เป็นคนส่งเงิน โยมแม่เอาเงินไปมอบให้ส่ง เราขอมาเท่าไรส่งไปเท่านั้นๆ ไปซื้อหนังสือ นี่ก็ส่งเงินให้ ผู้นี้เป็นผู้ทำหน้าที่แทนเรื่อยมา
จากนั้นเราหยุดเรียนแล้วออกปฏิบัติ ทีนี้อาจารย์ของเราครูของเราเลยกลับมาเป็นลูกศิษย์ของเรา อาจารย์ชาลีเลยเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาบัว ทีนี้เวลาลูกศิษย์กลัวอาจารย์นี้เลยกลัวมากนะนี่ กลัวจริงๆ เคารพจริงๆ ด้วย ก็อย่างนั้นแล้ว วันนี้ก็อาจจะได้ไปโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง ไปกรุงเทพฯ คราวนี้ใครอย่าแห่ไปด้วยมากๆ ไม่ได้นะ แห่เป็นขบวนๆ ไปเราขัดนิสัยเหลือเกิน เราทนเอา ไปไหนแห่ไปๆ แห่ไปกับเรานี่ มันสมบัติอะไร แห่ไปทำไม เอาละไปละ