ตอนเช้าวันนี้พวกคณะรัฐมนตรี สุรเกียรติ ว่าลงเครื่องบินแล้วจะมาที่นี่ นี่เวลาก็พอเหมาะจะมาแล้วนี่ เครื่องบินมาถึงนี้ ๘ โมงเช้า นี่ก็ ๘ โมง ๒๕ นาทีแล้ว ก็น่าจะถึงแล้ว มาดูว่าตั้ง ๑๐ กว่าคน แล้วจากนั้นพวกนักข่าวแถมมาอีก โทรศัพท์มา อยากจะมาทำข่าวอะไร ๆ กับคณะรัฐมนตรี เหมือนกับมาปรึกษาเรา เราก็บอกว่าไม่จำเป็น เราตอบไปแล้วไม่จำเป็น พวกยุ่งมันยุ่งเรื่อยนะ ไปละโฆษณาผิด ๆ ถูก ๆ ไม่ได้ตรงตามความจริง เราถึงไม่อยากเล่นด้วย พวกนี้พวกโลกกับเลอะเทอะมันอันเดียวกัน ความจริงเป็นอย่างนี้เวลาจะเอาออกหลอกโลก มันเอาแต่ของจอมปลอมออก ของจริงไม่เอาออก เราจึงไม่อยากให้มายุ่งกับเรานะ ธรรมมีแต่ของจริงล้วน ๆ ของปลอมไม่มีในธรรม พวกนี้มันมีแต่ของปลอมล้วน ๆ เข้ามาเลอะเทอะไปหมดเลยกับธรรม จึงไม่อยากให้ยุ่งนะ
นักภาวนาเราให้ได้เข้าภาวนา มันถึงรู้เรื่องความพิสดารของจิต ไม่เคยภาวนานี้เราจะเห็นแต่ความพิสดารของกิเลส ถ้าเราได้ภาวนาเข้าเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วเราจะเห็นความพิสดารของธรรมของจิตเป็นลำดับลำดาไป ซึ่งคาดไม่ถึงเลย ก็จะได้รู้ได้เห็นในจิตนั้นแหละ เราไม่เคยภาวนาเห็นแต่ความพิสดารของกิเลสหลอกโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ หลอกเรื่อย ๆ นะ ยังจะเอาให้จมไปอีก ต้นไม่มีปลายไม่มีคือกิเลสหลอกสัตวโลก ถ้าธรรมมีปั๊บ ปลายจะมีละ ต้นไม่มีก็ตามปลายจะมีมาละ คือจะตัดเข้า ๆ แล้วขาดไปเลยออกได้เลย ถ้าไม่มีธรรมแล้วต้นกับปลายเป็นอันเดียวกัน เหมือนวงกลมนี่ ไม่ทราบว่าต้นอยู่ยังไงวงกลม
ถ้าไม่มีธรรมปล่อยให้กิเลสทำงาน ความหมุนเวียนแห่งกองทุกข์ทั้งหลายของสัตว์ให้ดูปากกระโถนก็แล้วกัน มันหมุนของมันอยู่อย่างนี้ตลอด ถ้ามีธรรมเข้าไปก็ไปตัดเข้าตรงนี้ ๆ ตัดออก ๆ เวิกออกแล้วทำลายนี้ออกพุ่งเลย จึงเรียกว่าธรรม ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงต้องมีไม่มีไม่ได้ สัตวโลกจะเป็นขอบปากกระโถนไปเรื่อย หมุน วัฏฏะ ๆ คือ หมุน วัฏจักรพาให้หมุน วิวัฏจักรกลับการหมุนหยุดกึ๊ก นั่น ท่านเรียกว่า วัฏจักร วิวัฏจักร
การภาวนานี้จะเห็นความพิสดารของจิตของธรรม ศาสนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นความอัศจรรย์ขึ้นจากจิตจากธรรมจากจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นตรงนี้ไม่ขึ้นที่อื่น คือภาวนาเป็นที่รวมแห่งเหตุการณ์ทั้งหลาย มารวมอยู่ที่จิต ตัดสินกันที่จิต ตั้งแต่สมาธิก็ไม่ค่อยเหมือนกันนะ สมาธิ บอกกลาง ๆ ไว้ว่าความสงบ นั่นท่านบอกกลาง ๆ เอาไว้ ความสงบ ความแน่นหนามั่นคง ทีนี้ความพิสดารที่ออกไปจากความสงบนั้นอีกก็บอกไม่ถูก เป็นไปตามนิสัย สมาธิก็เหมือนกัน อันนั้นวางรากฐานไว้กลาง ๆ ส่วนที่จะแตกแขนงตามนิสัยของผู้บำเพ็ญนั้นต่างกัน
พูดถึงเรื่องปัญญา อันนี้ยิ่งพิสดารมาก ปัญญา ปัญญาพิสดารมากจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา คาดไม่ถูก จะเป็นไปตามจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญ ใครจะพิสดารกว้างแคบขนาดไหน ปัญญาจะพาก้าวพาออกตลอดเวลา เวลาปัญญาออกมันเหมือนกับรถที่เร่งเครื่องนั่นเอง รถยนต์เราเร่งเครื่อง พุ่ง ๆ อะไรผ่านไม่ได้เลย ขาดสะบั้นไปเลย นี่ปัญญา ขั้นมันออก ออกเต็มเหนี่ยวของปัญญาที่ดำเนิน กำลังดำเนิน มีผิดมีพลาดอยู่ในนั้น ต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณายับยั้ง เหมือนรถวิ่งเร็ว ๆ คนขับรถต้องใช้ประสาทมากทีเดียว รถวิ่งธรรมดาไม่ค่อยใช้ประสาทมากนัก เวลารถวิ่งเร็วนี้ต้องใช้ประสาท มองรอบด้าน ๆ ตลอดไปเลย ทีนี้ปัญญาออกก้าวเดินก็เหมือนกัน เวลาก้าวเดินจริง ๆ แล้วเป็นแบบนั้น ต้องได้ใช้สายตา
คำว่าสายตาคือปัญญาอีกประเภทหนึ่ง สติฝังกึ๊กเข้าไปยับยั้ง สติเครื่องยับยั้ง เพราะปัญญา อย่างหนึ่งทราบจากครูบาอาจารย์ โดยลำพังเจ้าของปัญญาขั้นนี้มันก็ไม่ค่อยสนใจทราบนะ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ผู้ผ่านไปแล้ว ก็เป็นปัญญาประเภทหนึ่งของครูบาอาจารย์ที่ได้ผลมาเต็มเหนี่ยวแล้วมาสกัดมาเตือน ถ้าปัญญาขั้นของการดำเนินนี้จะไม่ค่อยสนใจอะไร มันจะพุ่งของมันท่าเดียว สติต้องติดแนบ ๆ
เวลาพิจารณาไปมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านปัญญาทำงาน มันหมุนของมัน มันจะทำงานของมันตลอด นั่งอยู่เฉย ๆ มันก็ทำ อิริยาบถไม่มี สติปัญญาขั้นนี้ทำงานไม่มีอิริยาบถ ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอนไม่มี มีแต่หมุนตลอดเวลา พูดได้ว่าตลอดเวลาเว้นแต่หลับ เพราะฉะนั้นท่านจึงยับยั้งให้เข้าสู่สมาธิที่พักจิตในเวลาหนึ่ง พักนอนหลับเป็นเวลาหนึ่ง สองประเภท พักจิตนี้เป็นอันดับหนึ่ง คือพักจิตนี้เมื่อเวลามีกำลังแล้วมันก็รู้สึกแช่มชื่นเบิกบานสงบเย็นใจ เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามในความลำบากลำบนของจิตที่มันหมุนตัวตลอดเวลานั้น ทีนี้หักเข้ามาพัก ต้องหักเข้ามาด้วยสติ เอากันอย่างเข้มแข็ง ไม่หักด้วยสติ บังคับเอาเฉย ๆ ไม่อยู่นะ ต้องเอาคำบริกรรมเข้ากำกับอีกทีหนึ่ง โน่นฟังซิ
ปัญญาขั้นนี้เวลามันผาดโผนมันผาดโผนขนาดนั้น เราจะห้ามไว้เฉย ๆ ไม่อยู่ ต้องเอาคำบริกรรม คำบริกรรมที่เราเคยภาวนามาแต่ต้น เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้นนะ นั่นละเอามากำกับ เรียกว่าเป็นที่เกาะ เอาปัญญามัดไว้กับคำบริกรรมนี้ สติจ่อไว้นี้ไม่ให้มันไปไหน ให้อยู่กับคำบริกรรม อยู่นี้ ๆ เดี๋ยวมันก็ค่อยสงบลง ๆ พอสงบลงกึ๊กเงียบ ทีนี้มันจะเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ความวุ่นวายทั้งหลายที่ดำเนินทางด้านปัญญาเข้าสงบตัวนี้ มันจะสงบเงียบแล้วเย็นขึ้นมาเลย เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม บังคับไว้นะ ถึงขนาดนั้นมันยังไม่ยอมอยู่ ความพุ่งของมันมีกำลังมาก ปัญญาขั้นนี้มีกำลังมาก ต้องบังคับไว้ ถึงจะอยู่ในความสงบ สติต้องบังคับ พอเรารามือหรือเรียกว่าสติถอย ๆ นี้ผึงเลยนะ ออกทางโน้นเลย จึงต้องบังคับไว้
ทั้งที่อยู่ในความสงบก็เห็นว่าเยือกเย็น แต่พลังทางด้านปัญญาที่มันจะดึงออกมันมีกำลังมากกว่า มันถึงต้องได้ยับยั้งทางนี้ด้วยสติอย่างเข้มแข็ง บังคับไว้เลย จนกระทั่งเห็นควรแก่เวลา มันสงบเย็นสบายดีมีกำลังเต็มที่แล้ว ไม่ต้องบอกละ พอเราถอยปั๊บมันจะพุ่งของมันเลย ทีนี้ออก คราวนี้มันเหมือนกับคนพักผ่อนนอนหลับรับทานอาหารเรียบร้อยแล้ว งานก็งานชิ้นนั้นแหละ เช่นอย่างมีดก็มีดเล่มนี้แหละ คนคนเก่านั่นแหละ ฟันนี้ขาดสะบั้นไปเลย มันไม่ได้ตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ เหมือนปัญญาที่มันออกอย่างรุนแรงโดยกำลังของมันเอง ออกด้วยพลังของสมาธิหนุน มันออกได้ด้วยความแยบคาย ถ้าว่ามีดก็คม ฟันขาดเลย ไม้ท่อนนั้นแหละ แต่ก่อนฟันตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ มันไม่ขาด พอมาลับหินคือด้วยการพักผ่อนสมาธิแล้วออกไปนี้ เหมือนลับหินแล้วฟันนี้ขาด ๆ ไปเลย จึงต้องให้เสมอกัน ไม่เสมอไม่ได้
ไม่หลับไม่นอนจะว่าไง คืนทั้งคืนไม่นอน ไม่ยอมนอน พลังของความดึงดูดทางด้านปัญญาดึงตลอดเลย มันเพลินทางโน้น นั่งก็นั่งพิจารณาไปเสีย เราจะนอนจะนอนให้หลับอันนี้มันออกทางโน้นไม่หลับละซี สุดท้ายก็สว่างขึ้นมา ไม่หลับ กลางคืนไม่หลับ เอ้า กลางวันมันจะเอาอีกอยู่งั้นแหละ ต้องได้หักห้ามกันอย่างหนัก ถ้ามันรุนแรงอย่างนั้นต้องหักห้ามกันอย่างหนัก เอาให้อยู่ท่าเดียวว่างั้นเลยไม่ยอมให้ออก เอาสติกับคำบริกรรมบังคับเอาไว้
คำบริกรรมต้องถี่ยิบนะ เผลอไม่ได้คำบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ นี้ต้องให้ถี่ยิบ สติจ่อไม่ให้ออกนะ พอค่อยจาง ๆ หน่อยพับออกแล้ว ออกพุ่งแล้วทำงาน ต่อยเรื่อยเลย ต่อยอะไรไม่ทราบ ต่อยหัวคนหรือต่อยต้นเสามันต่อยดะ ปัญญาขั้นนี้เข้าใจไหม สุดท้ายมันก็เจ็บกำปั้นมันนั่นแหละ มันต่อยผิด ๆ ถูก ๆ ถ้าปัญญาที่ออกจากสมาธิหนุนแล้วต่อยแม่นยำ นี่ที่ว่าฟันขาดสะบั้น ๆ ท่านจึงต้องให้พักทางด้านสมาธิ เสริมกำลังปัญญาแล้วคมกล้าขาดไปเรื่อย ๆ พอรู้สึกมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วก็พัก ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ในปริยัติท่านก็บอกเราก็เรียนมานะ แต่เวลาไปถึงขั้นปัจจุบันที่เป็นขึ้นกับตัวแล้วมันไม่มองดูปริยัติ มีแต่จะพุ่งท่าเดียว ปริยัติท่านพูดไว้อย่างถูกต้องแม่นยำ คือเวลาพักผ่อนให้พักผ่อน เช่น เขาออกแนวรบอย่างนั้น เวลาเข้าพักให้พัก จากนั้นก็ปล่อย จำให้ดีนะ แขกมาแล้ว จำให้ดีผู้ใดฟัง จับให้ดี สติแม่นยำห่างไม่ได้นะ บังคับให้หนักเลย สติกับคำบริกรรมถี่ยิบเลย
ไม่ใช่มาแล้วเหรอ เอ้า พากันเข้ามาขึ้นนี่เลย นั่งนี่เลย ขยับเข้ามาเลย เป็นกันเองทั้งนั้นแหละ ลูกศิษย์กับอาจารย์เป็นไรไป ๔๒ นาทีมาถึง เครื่องบินมาถึงตามเวลาเหรอ
(รมว.ต่างประเทศ) มาตรงเวลาครับผม จะไปเยือนประเทศลาวอย่างเป็นทางการครับผม
(รมว.ต่างประเทศ เลขาธิการนายกฯ ดร.วีรพงษ์ และคณะมากราบเรียนเกี่ยวกับการนำเงินบริจาคโครงการช่วยชาติฯ เข้าคลังหลวง)
จากนี้ก็จะได้เลิกพร้อมกันหมดละนะ เราก็จะมีธุระพิเศษของเราไป พวกลูกศิษย์ลูกหาอย่างนี้ละเต็มทุกวัน นี้เลิกกันไปเยอะนะ นี่ไม่ใช่น้อยๆ เลิกกันไปเยอะนะ เต็มหมดๆ ทุกวันนั่นแหละเต็มทุกวัน ลูกศิษย์ลูกหามามากทุกวัน เพราะฉะนั้นจึงได้พูดทุกวัน นี่ที่ออกทางอินเตอร์เน็ต ๆ ก็พูดที่นี่ อัดอยู่ข้างบน พูดเรื่องอะไรทุกอย่าง เวลากำลังพูดนี้เดี๋ยวหมามันก็วิ่งเข้ามา แล้วมันมาจุ้นจ้าน กำลังเทศน์อยู่ก็เทศน์กับหมาทีนี้เสียงออกอินเตอร์เน็ตมันจึงทั้งเสียงหมาเสียงคน หมามันมีอยู่นี่ ๒-๓ ตัวที่มันมักมาจุ้นจ้านกับคนน่ะ เหล่านั้นเขาก็ไม่มายุ่ง มีหมาอยู่ ๓ ตัว เราเรียกว่าไอ้หยอง ๑ ไอ้ปุ๊กกี้ ๑ ไอ้หมี ๑ ๓ ตัวนี้เวลากำลังเทศน์นี้มันจุ้นจ้านเข้ามาปุ๊บปั๊บ มึงมาอะไรที่นี่ แล้วเอานะเทศน์ติดเทปแล้ว เทศน์ทั้งหมาทั้งคนไปด้วยกันเลย
ผู้ฟังเขาก็คงจะงง ความจริงก็เป็นอย่างนี้ละ กำลังเทศน์อยู่หมามันวิ่งขึ้นมากำลังเทศน์กับคน เดี๋ยวหมาขึ้นมาก็ว่าให้หมาแล้วเขาก็อัดเทปไว้แล้วติดไปเลย ฟังทั้งเสียงหมาเสียงคนละ
ทุกคนๆ มาช่วยชาติบ้านเมืองของเรา บ้านเมืองเป็นสมบัติของทุกคนๆ ให้ถือว่าเป็นสมบัติของเรา อย่าถือดีถือเด่นไปทางความชั่วช้าลามกซึ่งเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองของเรานั้นแหละ ไม่ใช่เสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แล้วคนอื่นเขามองมาเขาจะเห็นว่าพวกเมืองไทยเรานี้เป็นพวกหมากัดกัน ใครก็ชิงดีชิงเด่นอย่างไม่มีเหตุมีผลเพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของชาติตัวเองเลย มีแต่กัดฉีกกันให้แหลกให้เหลวทำลายกันไปในตัวๆ โดยถือความแพ้ความชนะด้วยอำนาจทิฐิมานะนี้เป็นการทำลาย สุดท้ายมองดูแล้วในเมืองไทยเรานี้เป็นเมืองหมากัดกันให้สายตาเมืองนอกเขาดู เราดูไม่ได้เลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำคำนี้ไว้นะ
เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธ ควรที่จะตกลงกันได้ด้วยเหตุด้วยผลอันดีงามเพื่อชาติไทยของเรา นี้เป็นความถูกต้องอย่างยิ่งสมกับเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยไปตีไปแตะไปทำลายสิ่งที่ดีอยู่ให้แตกแยกกันออกไป อย่างนี้ไม่เคยมีในพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เพราะฉะนั้นศาสนาจึงเป็นศาสนาที่กลมกลืนด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในเหตุในผลอันเป็นอรรถธรรมล้วนๆ นี้เมืองไทยเราเป็นลูกชาวพุทธขอให้คำนึงถึงพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อ เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้พินิจพิจารณาใครถูกใครผิดก็ให้เพื่อชาติบ้านเมืองอย่าเพื่อตัวเอง ถ้าเพื่อตัวเองแล้วเป็นพิษเป็นภัยทำลายได้ทั้งชาติ คนทั้งชาตินั่นละ ไม่กี่คนก็ตาม เหมือนนิวเคลียร์นิวตรอนหว่านลงลูกเดียวประเทศไทยเราแหลกหมด นั่นเห็นไหมพิษอันเดียว ถ้าลงเป็นคุณแล้วประเทศไทยเราเย็นไปหมด ใครก็เป็นคุณ ๆ ไม่ต้องหาเป็นลูกระเบิดละ ลงเป็นคุณๆ แล้วหนุนกันได้ทั้งนั้น ให้พากันพิจารณาให้ดี
ชาติไทยเป็นของเราทุกคน อย่าให้ชาวเมืองนอกเมืองนาเขามาดูถูกเหยียดหยามว่าชาติไทยของเรานี้เป็นชาติแห่งเมืองหมากัดกันบนเวทีไม่ยอมเลิก มีแต่ใครจะชิงดีชิงเด่นซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นความชิงความเลวทรามที่จะทำลายชาติไทยของตนล้วนๆ นั่นแหละ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ให้พี่น้องทั้งหลายพากันไปพิจารณาให้ดีนะ
เราเป็นลูกคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นลูกชาวพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอให้มีธรรมครองใจทุกคนๆ ไม่มากก็ให้ต่างคนมีธรรม แล้วสนับสนุนรวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อนแห่งความดีความสามัคคี แล้วชาติไทยของเราจะขึ้น แล้วจะเป็นที่สง่างามตาของคนเมืองนอก เขาจะได้ไม่มองดูแบบที่ว่าขยะแขยงนะ เขาจะมองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ชาติไทยของเราก็มีเพื่อนมีฝูงมากนะ ถ้ามีแต่แบบหมากัดกันนี้ไม่มีใครเข้ามาเหยียบนะ เดี๋ยวจะโดดกัดเขาอีกนั่นน่ะ เข้าใจ เอาละทีนี้ให้พร แล้วเสร็จแล้วเราก็ยังต้องไปพูดอะไรอีกนะ เลิกกันเลยเราเสร็จแล้วนะ