เทศน์อบรมพระและฆราวาส
ณ วัดสันติธรรมาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่อเที่ยงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
เราอยากให้มีพระกรรมฐานในภาคกลาง
ให้ระวังนะ มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ที่ไหน หามายุ่งมากนัก คนนั้นก็ถวายพระพุทธรูป คนนี้ถวายพระพุทธรูป เลยเกลื่อน พระก็เกรงใจจะว่าไง รับไว้ ๆ เลยเกลื่อนตั้งแต่เศษเหล็กเศษทอง หัวใจคนไม่ได้เป็นทอง ทำอย่างสบาย ๆ คิดอย่างง่าย ๆ คิดแล้วไปซื้อพระพุทธรูป เขาขายแล้วเอามาให้พระแบกหามพระพุทธรูปเต็ม อย่าทำนะสำนักเรา ให้เป็นขึ้นมาที่นี่นะ พระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายแห่งการเคารพบูชา แต่ความเอาจริงเอาจังแล้วจะน้อมเข้ามาสู่จิตใจ ปฏิบัติสำรวมระวังใจเจ้าของ
ใจนี้เป็นมหาเหตุชอบคิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มีเวลานอนหลับเท่านั้น เป็นเวลาดับเครื่องของความคิดปรุงทั้งหลายที่มันก่อกวนตลอดทั้งวัน ๆ เลย นี่เครื่องมันติดเองนะ แต่เวลาดับ ดับไม่ลง ต้องอาศัยการนอนพัก ถ้าเวลาคิด มาก ๆ นอนยังไม่หลับเสียอีกนะ ดับเครื่องไม่ลง คิดมาก ๆ กว่านั้นไปอีกเป็นบ้าเลยก็มี เพราะความคิดความปรุงมาก นี่ให้ดูมหาเหตุตัวมันคิดมันปรุงมาก ๆ ให้มาดู กราบพระพุทธเจ้า แล้วนำอรรถธรรมจากการกราบไหว้เคารพนับถือท่านน้อมเข้ามาสู่ใจของตัวเอง ให้ดูแลจิตใจเจ้าของ
พูดมันก็ไม่ถนัดปาก ได้คายหมากละ เวลาดุคนก็จะไม่ได้ดุเต็มเม็ดเต็มหน่วย เดี๋ยวน้ำหมากจะไปอีกด้วยกัน
ที่ชื่นตาชื่นใจของธรรม คือเช่นสถานที่อย่างนี้ เวลาบวชแล้วพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทให้ทุก ๆ องค์ ไม่มีเว้นแม้แต่องค์เดียว ประทานพระโอวาท ท่านว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถโว ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญเพียร ปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย แล้วเธอทั้งหลายจงอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
นี่คือพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่บวชพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประทานพระโอวาทนี้ให้ทกุองค์ นี่รุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ฟังซิ ตามถ้ำเงื้อมผา ท่านสอน สอนพระสอนอย่างนั้น ไม่ได้บวชแล้วให้ไปหาอยู่ตามตลาดลาดเลที่กระดูกหมูกระดูกวัวชุม ๆ นะ ท่านไม่ได้ว่านะ แต่เวลานี้พระเรามันหน้าด้านมาก บวชแล้วมันจะโดดเข้าไปหากระดูกหมูกระดูกวัว คนชุม ๆ กระดูกหมูกระดูกหมาชุม ๆ ที่ไหนมันอยากไปที่ไหนละ แล้วมันก็ได้ของอย่างนั้นละเอามาอวดกัน อวดกิเลสอวดกัน สุดท้ายก็ได้ชื่อได้เสียงมาอวดกัน ได้แต่ชื่อก็เอา ความดิบดีในหัวใจไม่สนใจ เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่สนใจ สนใจแต่ความสกปรกโสมม เรื่องลาภเรื่องยศ สรรเสริญเยินยอลม ๆ แล้ง ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นี่เวลาบวชมาแล้วมันหันไปอย่างนั้นนะ
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าไปอยู่ในป่าในเขามันไม่ยอมฟัง มันฟังเสียงกิเลสอย่างเดียว เข้าไปหาที่นั่นน่ะที่สกปรกรกรุงรัง ทั้งหัวใจทั้งภายนอกภายในเต็มไปหมดเวลานี้ นี่เรามาเห็นอยู่ตั้งแต่นี้เราชื่นตาชื่นใจ ตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้ว ส่วนมากผู้บำเพ็ญธรรมท่านมักจะได้รู้ หรือได้รู้เหตุรู้ผล รู้อรรถรู้ธรรม ได้มรรค ผล นิพพาน ตามสถานที่เช่นนี้แหละ ท่านไม่ได้ไปรู้ไปเห็นอรรถธรรมด้วยความอัศจรรย์มาแจกโลกแจกสงสารจากตลาดชุมนุมชน กระดูกหมูกระดูกวัวชุม ๆ ลาภสักการะชุม ๆ อะไรเลย ท่านไปหาในที่เช่นนั้น ได้มาประกาศธรรมสอนโลกอยู่เวลานี้
พระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ ๒,๕๐๐ กว่าปี ประกาศธรรมสอนโลกที่ได้มาจากป่าจากเขา พระองค์ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าเป็นเวลา ๖ ปี ถึงขั้นสลบไสล แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก นี่ละเป็นอันดับหนึ่ง สอนเบื้องต้น ที่พระพุทธเจ้าอยู่นั้นถ้าเราจะให้ชื่อทันสมัยอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่าล้วน ๆ คือป่าในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม รัฐมคธ ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ตรัสรู้ในป่า บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์แต่ก่อนยังไม่มีพระเป็นฤษีดาบส ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสงบงามตาม
เช่นเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เข้าไปฟังพระโอวาทพระพุทธเจ้าได้บรรลุอรรถธรรมขึ้นมา เป็นปฐมสาวกในเบื้องต้นคือเบญจวัคคีย์ทั้งห้าออกมาจากป่าที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทในป่า เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่าในสมัยนั้น นั่นละมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ใครไปศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว องค์นี้สำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สรุปความลงแล้วเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของโลกตลอดมาทุกวันนี้
นั่นละมหาวิทยาลัยป่า ทำประโยชน์ให้โลกได้อย่างชุ่มเย็น ชุ่มตา ชุ่มใจตลอดมา ที่เราว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เกิดในป่าทั้งนั้นแหละ ท่านนำมาสอนโลก เรามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้เหมาะสมแล้วกับทางของศาสดา ที่ประทานโอวาทไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องการอยู่การกิน การใช้การสอย อันนั้นเป็นของเล็กน้อยเพียงอาศัยไปวันหนึ่ง ๆ แต่เรื่องหลักธรรมภายในจิตใจ ความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะลดละไม่ได้ในอิริยาบถทั้งสี่ ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม คือความพากความเพียรแก้ถอดถอนกิเลสภายในจิตใจอย่างสม่ำเสมอ เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น ตื่นขึ้นมาชำระ เพราะกิเลสมันหนาแน่นมากทีเดียว จะชำระเวลาใดเวลาหนึ่งนี้ไม่ทันมัน
นักบวชเราเป็นนักที่ออกแนวรบแล้ว หมุนไปทางไหนเป็นแนวรบทั้งนั้น กิริยาแห่งการรบทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยินได้ฟังอะไรเป็นแนวรบ สติติดตาม ปัญญาติดตาม ไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างคัดออก อะไรไม่ดีคัดออก อะไรที่ดีนำมาบำรุงจิตใจของตน นี่ละคือนักรบ อยู่ที่ไหนมีสติ อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ สังวรธรรมความสำรวมระวังตนอยู่เสมอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะสัมผัสสัมพันธ์กับรูป เสียง กลิ่น รส ที่เป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นคุณ ส่วนมากมีแต่เป็นพิษ ถ้าเรายังไม่มีธรรมในใจ ไม่มีเครื่องกลั่นกรอง จะมีแต่พิษทั้งนั้นเข้ามาทับบนหัวใจ
เพราะฉะนั้นมันถึงแก้ยาก จิตใจนี่แก้ยากที่สุด เพราะสั่งสมตั้งแต่กิเลสเข้าสู่จิตใจตลอดเวลา หาความว่างไม่ได้ แม้แต่พระเราที่ออกมาปฏิบัตินี้มันก็ยังมีช่องมีโอกาสอันมากมายของกิเลสที่จะเข้าตีพระให้ล้มเหลวไปตามความพากความเพียร ตั้งสติสตังไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว จิตหาความสงบร่มเย็นไม่ได้เพราะถูกกิเลสตีตลอดเวลา นี่ละเรียกว่ากิเลสมันหนา เมื่อมันหนาอย่างนั้นเราจะแก้กิเลส ชำระกับกิเลสเราจะแก้แบบไหน ก็ต้องแบบเอาจริงเอาจัง ทุกท่าทุกทาง ทุกกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวของจิตให้มีสติติดตาม ๆ สังวรธรรมกลั่นกรองตลอดเวลา ถอดถอนกันตลอดเวลาสมกับว่ากิเลสมันหนา ต้องเอาให้หนัก ๆ นะ ไม่งั้นไม่ทันกัน
เมื่อถอดถอนมันเบาบางลงไป ๆ จิตที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวด้วยกิเลสตัณหา มันเอาไฟเผาเรามันจะค่อยจางไป ๆ ด้วยธรรม วิริยธรรมคือความพากความเพียร สงบใจอยู่ตลอด สติธรรมเป็นเครื่องกำกับความพากเพียรของตน ปัญญาธรรมพิจารณาไตร่ตรอง เรื่องวิริยธรรมเป็นสำคัญ ให้พิจารณาตลอดเวลา เรื่องหลับเว้นแต่หลับ เว้นไม่เว้นมันก็หลับของมัน เอาให้มันสุดขีดมันนั่นละ นี่การแก้กิเลสแก้ยาก ต้องได้ทำทุกเวล่ำเวลาไม่มีอิริยาบถใด ต้องเป็นนักต่อสู้อยู่ตลอด
เมื่อเป็นเช่นนั้นกิเลสมันจะหนาแน่นมาจากไหน พระพุทธเจ้ากิเลสท่านมากขนาดไหน พังลงจนแตกกระจายไปหมดเต็มโลกธาตุ สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมดเลย ไม่มีกิเลสตัวใดเข้ามาต่อสู้ หมดโดยสิ้นเชิง เพราะอำนาจแห่งความพากเพียร ความอดความทนของพระองค์ อันนี้เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตจะมาท้อแท้อ่อนแอไม่ได้นะ ต้องมีความเข้มแข็งตลอดเวลาในการชำระกิเลส เรื่องภายนอกไม่เป็นของจำเป็น อยู่ที่ไหนอยู่ได้ ไปที่ไหนพระเราอยู่กับแดนพุทธศาสนา ไปที่ไหนไม่เคยได้บาตรเปล่า ๆ กลับมาแหละ ข้าวเต็มบาตร ๆ มา มีอะไรฉันพออยู่พอไป ธาตุขันธ์เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอ
แต่เรื่องความพากเพียรนี้หนักแน่นตลอด จะอดจะอิ่มไม่ได้ถอยทางความพากเพียร หนุนตลอดเวลา นี่ละผู้จะทรงมรรคทรงผลท่านทำอย่างนี้ ทางของศาสดาสอนอย่างใดเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทั้งนั้น เป็นทางที่เบิกกว้างเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว นอกจากเราตัดหนามคือกิเลสไปกว้านเอานั้นเอานี้มากั้นทางตัวเองจนหาทางออกไม่ได้ ก็นอนจมอยู่กับกิเลสเสียเท่านั้นเอง มันก็เป็นเรื่องของเราเอง เรื่องพระพุทธเจ้ามีแต่เปิดทางให้ออกจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ทางของศาสดาท่านดำเนินอย่างนี้สด ๆ ร้อน ๆ
เวลานี้จะไม่มีเหลือแล้วนะ วงกรรมฐานจะหมดจะสิ้นไปเพราะอำนาจแห่งจอกแห่งแหนปกคลุมหุ้มห่อ น้ำที่สะอาดคือธรรมภายในใจ กิเลสคือจอกคือแหนมันปกคลุมอยู่ภายในใจ ออกแง่ไหน ๆ มองไปทีไรมีตั้งแต่เรื่องกิเลสลากไปเข็นไป ๆ ธรรมะไม่มีปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงต้องชำระให้มาก กิเลสคือจอกคือแหนมันปกคลุมหุ้มห่อหนาแน่นมาก ความเพียรถอดถอนกิเลส เลิกจอกเลิกแหนคือกิเลสออก ต้องเอาอย่างหนัก ๆ จิตมันจะวุ่นไปโลกไหนก็ให้มันไปเถอะ เหนือธรรมไปไม่ได้ ถ้าเรานำธรรมเข้ามาปฏิบัติ เฉพาะจิตตาภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว จิตตภาวนาคือการอบรม ได้แก่การสอดส่องมองดูจิตของตัวเองที่เคลื่อนไหวตลอดเวลานี้ด้วยสติด้วยปัญญา ขัดเลือกกันอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตก็สงบได้เพราะกิเลสตัวรบกวนมันค่อยเบาบาง ๆ จิตสงบได้ นั่นละเราเห็นความแปลกประหลาดของจิตจากจิตตภาวนาของเรา
จากนั้นก็เริ่ม จิตสงบเย็นแล้วสบายคนเรา ถ้าจิตไม่สบายเสียอย่างเดียว เอาสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ๆ ก็ไม่มีความหมายละ ความทุกข์มันอยู่กับหัวใจ มันไม่ได้อยู่กับสมบัติเงินทองกองเท่าภูเขา มันอยู่ที่หัวใจ เมื่อเราชำระจิตใจของเราที่เต็มไปด้วยกิเลสตัวสร้างทุกข์ให้เรานั้นออกเบาบางไปโดยลำดับแล้ว จิตใจเราจะค่อยสงบแล้วสว่างไสวขึ้นมา ความทุกข์จางไป ๆ ความสุขไม่ต้องหามาจากไหน หามาจากที่เคยเป็นทุกข์เพราะกิเลสทับหัวมันอยู่นั่นเอง พอกิเลสจางไป ๆ ความทุกข์จะเบาไป ธรรมจะปราฏขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจ
นี่ละการปฏิบัติธรรม มรรค ผล นิพพาน มีอยู่อย่างสด ๆ ร้อน ๆ ท่านเรียกว่า อกาลิโก มีอยู่ตลอดเวลาสด ๆ ร้อน ๆ เว้นแต่สัตว์โลกทั้งหลายไม่สนใจจะปฏิบัติหาอรรถหาธรรม กว้านเอาตั้งแต่กิเลสจึงมีแต่ฟืนแต่ไฟ ไปที่ไหนร้อนอยู่ทั่วโลกดินแดนนะ เราอย่าไปสำคัญว่าโลกนั้นสบาย โลกนี้เจริญ โลกนั้นไม่เจริญ มันเป็นไฟไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ไอ้เรื่องด้านวัตถุอยู่ที่ไหนมันก็เต็มไปด้วยด้านวัตถุ เรานั่งเราเหยียบเรายืนไปมาก็เป็นด้านวัตถุ ๆ เต็มโลกเต็มสงสารไม่มีอะไรบกพร่อง มันบกพร่องตั้งแต่ผู้ที่จะเสาะแสวงหาความสุขความเจริญถูกทางหรือไม่
ส่วนมากมันวิ่งไปตามทางของกิเลส มันก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่นั้นน่ะ แล้วโลกอันนี้เลยหาความสุขไม่ได้ เพราะหาตามทางของกิเลสจะหาความสุขไม่ได้เลย ถ้าหาตามทางของธรรมมีมากมีน้อยก็รู้ว่ามันมี โลกอันนี้มีมากมีน้อย มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาครอบมันอยู่แล้ว รู้เท่าตามเป็นจริงของมัน ส่วนธาตุส่วนขันธ์ที่จะเยียวยากันในเวลามีชีวิตอยู่ เอ้าขวนขวายมา ธาตุขันธ์ของเรามีความบกพร่องต้องการเครื่องเยียวยาอยู่เสมอก็หามาเยียวยากัน ส่วนจิตใจแห้งผากจากศีลจากธรรมหาความสุขไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อน แม้สมบัติจะมีกองเท่าภูเขาความสุขหาทางใจก็ไม่มี เพราะไม่มีธรรมภายในใจ นี่แหละสำคัญอยู่ตรงนี้
จึงให้พากันพยายามขวนขวาย ทางธาตุขันธ์จำเป็นทางธาตุขันธ์ เอ้าหามาบำรุงรักษาพอเป็นไป ทางจิตใจของเราขาดอรรถขาดธรรม เครื่องบำรุงจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นก็ให้พยายามขวนขวายสร้างความดีใส่ตน สร้างความดีด้วยการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา นี่คือการสร้างความดีเข้าสู่จิตใจ ใจจะมารับอะไร สมบัติอะไรจะมีมากน้อยเท่าไรใจจะไม่เป็นผู้ได้รับผลอันดีงาม นอกจากคุณงามความดีที่ตนสร้างไว้ซึ่งเป็นสมบัติของใจเท่านั้น ใจจะได้รับอันนี้เป็นเครื่องสนับสนุน อยู่ที่ไหนก็เย็น ๆ
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้มันมีความจำเป็นทั้งสองอย่าง ทางธาตุขันธ์ก็มีความบกพร่องต้องการตลอดเวลา เราก็พยายามหามาบำรุงรักษา ทางด้านจิตใจก็มีความบกพร่องจากศีลจากธรรม จากความดีงามทั้งหลาย ก็ให้พยายามขวนขวายบำเพ็ญกัน ให้มีความสม่ำเสมอ ตายแล้วทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย ร่างกายตายไปแล้วสิ่งเหล่านั้นก็หมดความหมายไปตาม ๆ กัน จิตยังมีความหมาย ให้มีความดีติดเนื้อติดตัว ไปที่ไหนแล้วไม่ตีบตันอั้นตู้คนเรา มีความสว่างไสวเย็นไป ๆ ไปภพใดภพของคนมีบุญเป็นความสุขทั้งนั้นแหละ ไปภพของคนมีบาปไปภพไหนก็เจอตั้งแต่ความผิดหวัง ๆ เจอตั้งแต่ไฟนรกเผาตลอดไปเลย นี่ละคนสร้างบาป
เราให้เชื่อพระพุทธเจ้านะ ว่าบาปว่าบุญนี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดไม่เคยลบล้างได้เลย ยอมรับว่าบาปมีบุญมีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วก็ตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ แหละ เห็นตามเป็นจริงแล้วลบไม่ได้ อ๋อบาปนี้มีมาดั้งเดิม บุญมีมาดั้งเดิม เหมือนกับไฟกับน้ำ น้ำเย็นจับเมื่อไรก็เย็น น้ำร้อนจับเมื่อไรก็ร้อน ไฟจับเมื่อไรก็ร้อน แน่ะ มีอยู่ตลอดเวลามาดั้งเดิม จะลบล้างมันไม่ได้ เราก็ต้องเชื่อ เมื่อเราเชื่อแล้วอันใดที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรา เช่นบาปเช่นกรรมเราก็อย่าไปทำมัน เรารักเราสงวนเรา เราต้องหาของดิบของดีมาสู่เรา ของที่ไม่ดีปัดออก ๆ นี่เรียกว่าผู้รักษาตน
นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ไม่มีความรักใดเสมอด้วยความรักตน ความรักตนนี้ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าบุคคลรักเสมอหน้ากันหมด อันนี้เรารักเราด้วยความเป็นมนุษย์ มีศีลมีธรรมให้รักตนโดยศีลโดยธรรม อย่ารักตนแล้วหาตั้งแต่ความชั่วช้าลามกมาปรนปรือจิตใจ และเผาจิตใจลงในนรก นี้ไม่ใช่คนรักตน คนรักตนต้องปัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย สร้างแต่ความดีงามขึ้นใส่ใจของตน ผู้นี้จะเบิกกว้าง ไปภพใดเป็นภพของผู้มีบุญเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานไม่ได้ นอกจากบุญจากกุศลนี้ไปไม่ได้ บุญกุศลนี้เป็นเครื่องหนุนจิตใจของเรา นี่ละที่พึ่งของใจ สมบัติของใจ ธรรมสมบัติเป็นสมบัติของใจ เมื่อใจสมบัตินี้แล้วอยู่ก็ไม่จนตรอกจนมุม ตายแล้วก็ไปสถานที่บุญกุศลที่ตนสร้างไว้แล้วจะนำไปพาไป ไม่ยากนะ ให้พากันพยายาม
พระเราก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เอาให้จริงให้จังพระ การพิจารณาทางด้านของพระนี้ให้เน้นหนักทางสติให้ดีนะ อยู่ที่ไหนถ้าผู้ตั้งหลักตั้งฐานยังไม่ได้ให้ตั้งสติให้ดี นำคำบริกรรมเข้ามากำกับจิตใจของตน เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น นี่ตามแต่จริตนิสัยที่ชอบในคำบริกรรมบทใด ให้นำคำบริกรรมบทนั้นเข้ามาแล้วติดแนบไปด้วยสติ มีความระลึกรู้อยู่กับคำบริกรรม เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น มีสติติด ปิดทางความคิดความปรุงของกิเลสที่ออกมาจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันหนุนออกมาให้อยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็น อยากนั้นอยากนี้ มีแต่ความอยากเต็มหัวใจ นั้นคือกิเลส ปิดไว้ให้หมด ให้เปิดทางตั้งแต่พุทโธ ๆ เป็นต้น กับสติติดแนบด้วยกัน ใจจะสงบเย็นลงๆ เรื่อย นั่นละทีนี้ใจสงบ
เมื่อใจสงบแล้วสติลงไม่หยุดไม่ถอย บำรุงขึ้นเรื่อย ๆ ใจก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นมาภายในจิตใจ ใจอิ่มเอิบด้วยอรรถด้วยธรรม อยู่ที่ไหนสบายหมด เช่นอยู่ในป่าในเขา พระท่านบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา จะเข้าใจว่าท่านเป็นเศษมนุษย์เหรอ นั่นละมนุษย์ที่จะเริ่มเป็นความเลิศเลอคือมนุษย์ประเภทนั้น มนุษย์ที่ใครไม่ปรารถนา ไปอยู่ในป่าในเขาเหมือนผ้าขี้ริ้วแต่เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านอยู่ในป่าในเขาทุกข์ยากลำบาก แต่ธรรมในหัวใจของท่านสง่างาม ๆ นี่คือทอง ธรรมกับทองเทียบกันอย่างนี้ ท่านอยู่อย่างนั้นท่านสบายนะ นี่หมายถึงผู้บำเพ็ญ
อยู่ที่ไหน ๆ อย่าไปตื่นดินฟ้าอากาศ มืดกับแจ้งมีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ ให้ดูเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับจิต ส่วนมากจะเป็นเรื่องของกิเลสเกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องมีสติปัญญาครอบไว้เสมอ บังคับเป็นน้ำดับไฟ ๆ อยู่ตลอด เมื่อมีน้ำมากทีนี้ไฟคือความร้อนรนกระวนกระวายภายในจิตใจจะสงบตัวลง ๆ แล้วจิตใจจะเย็น หรือว่าอบอุ่นขึ้นภายในใจ ต่อจากนั้นใจก็จะสง่างาม ใจสง่างามไม่มีอะไรเสมอเหมือนในโลกนี้
เพราะฉะนั้นความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี เราจะไปหาโลกไหนไม่เจอ แต่มีอยู่กับหัวใจของมนุษย์และสัตว์นี้เท่านั้น นี่ละเป็นมหาเหตุให้ระงับตัวนี้ให้ได้ ความสุขที่เกิดจากธรรมคือการบำเพ็ญของเราจะปรากฏขึ้นที่ใจ อยู่ที่ไหนสง่างามไปหมด นี่ละท่านผู้เสาะแสวงหาธรรม ที่ว่าทรงมรรคทรงผลต้องทรงอันนี้ละให้ดี ทรงความพากความเพียร สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตส่าห์พยายามไว้ให้ดี ไปที่ไหนเหมือนกับว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกฝีก้าวเลย
ถ้าเป็นผู้มีสติทางความพากความเพียรอยู่ตลอดเวลา เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ถ้าขาดสติไปเสีย ขาดความพากความเพียรไปเสียสำหรับพระนักปฏิบัติเรา เรียกว่าเหินห่างจากพระพุทธเจ้าไปตลอดเวลา ถ้าใกล้ชิดติดพันกับสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หมุนติ้วเข้าหาใจที่เป็นตัวฟืนตัวไฟ ดับมันลงด้วยน้ำคือความเพียรของเราแล้ว ใจของเราจะเริ่มเย็นขึ้น ๆ นั่นละอยู่ที่ไหนสง่างาม ให้พากันจดจำเอา
พระลูกพระหลานก็มีน้อยแล้ววงกรรมฐานเวลานี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เรานี้มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เราอยากให้มีพระในภาคกลางของเรานี้แหละเป็นผู้ปฏิบัติได้หลักได้เกณฑ์ แน่ใจในตัวเองแล้วมาสั่งสอนประชาชน ประชาชนเขาเกาะก็จะได้รับความร่มเย็น เกาะติด ๆ ไม่ผิดไม่พลาดนะ ครูบาอาจารย์ผู้มีหลักมีเกณฑ์เป็นสำคัญมาก เพราะท่านได้หลักได้เกณฑ์ พูดอะไรถูกต้องแม่นยำ ยึดไปปฏิบัติก็ได้รับความอบอุ่น และเป็นสารคุณแก่ตัวของเรา ไม่ใช่พระและธรรม ๆ ธรรมที่ไหนมันก็มี ธรรมความจำก็มี ธรรมความจริงก็มี
ธรรมความจำเรียนมาก็จำได้แต่กิเลสมันไม่ยอมถอย จำได้เฉย ๆ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิก ถ้าภาคปฏิบัตินี้เรียนมาตรงไหนแล้วปฏิบัติตามที่เรียนมาแล้วกิเลสจะค่อยถอยห่างออกไป ๆ นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ก็เป็นความจริงขึ้นมาภายในใจ ที่รู้ขึ้นภายในใจเวลาพูดออกมาก็ไม่ผิดพลาด แน่ใจตัวเอง และสอนใครก็ไม่ผิด ถ้าลองเจ้าของแน่ใจแล้วสอนใครได้ทั้งนั้น ถ้าเจ้าของไม่แน่ใจก็ยื่นแต่ความผิดพลาด ความสงสัยสนเท่ห์ให้ผู้มาฟังทั้งหลายไม่ค่อยได้สารประโยชน์เท่าที่ควรนะ ถ้าเจ้าของเป็นผู้แน่ใจในอรรถในธรรมทุกขั้นทุกภูมิของเจ้าของด้วยแล้ว นั่นละสอนตรงไหนพูดที่ตรงไหนเป็นอรรถเป็นธรรมทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ตลอดวิมุตติหลุดพ้น มรรค ผล นิพพาน ไม่ผิดพลาด ผู้เกาะผู้ยึดก็แม่นยำภายในใจ อบอุ่น เกาะติด ๆ ก้าวเดินไปด้วยความสะดวกราบรื่น
เราต้องการเสมอ ที่อยากจะให้พระเราทางภาคปฏิบัติได้มีหลักมีเกณฑ์มาอยู่ เฉพาะภาคกลางเราขาดพระปฏิบัติมากทีเดียว มีเล็กน้อย ๆ นี่ท่านสงบ ท่านหยีนี้ก็มาจากวัดป่าบ้านตาดมาอยู่ที่นี่ เท่าที่ทราบมาก็ว่าเป็นมงคลพอสมควร เราก็อบอุ่นในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ได้สอนท่านสงบมาแล้ว ถ้าปฏิบัติตนดีเราก็พอใจ สมเจตนาที่เราสอนเพื่ออรรถเพื่อธรรมล้วน ๆ แล้วก็ให้มาเป็นความร่มเย็น เป็นเกาะเป็นดอนก็ยังดี ถ้าไม่มีเลยพระปฏิบัตินี้ขาดมากนะ พระปฏิบัติเป็นสำคัญมาก ตามหลักของศาสดาเป็นอย่างนั้น
มีภาคปฏิบัติเจ้าของก็ปฏิบัติ ได้รู้ได้เห็นตามหลักความจริงที่เป็นจริงภายในจิตใจแล้วสง่าผ่าเผยภายในจิตใจ องอาจกล้าหาญชาญชัย ไม่สะทกสะท้านว่าจะผิดไป เพราะความถูกต้องเต็มหัวใจอยู่แล้ว เทศน์ไปก็แน่นอน ๆ ไปโดยลำดับ นี่ละเราอยากได้พระประเภทเหล่านี้นะมาอยู่ทางภาคกลางเรา เพราะภาคกลางเรารู้สึกว่าขาดพระครูบอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์มาสั่งสอนอยู่มากทีเดียว เราจึงอยากให้มี เพราะบรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลายส่วนมากไหลไปทางภาคอีสาน เพราะทางนู้นมีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมีอยู่มาก
บรรดาใจท่านใจเรามันก็เหมือนกัน ที่ไหนเป็นที่แน่ใจ เป็นที่อบอุ่น มันก็ต้องไป ใกล้ก็ไป ไกลก็ไป ไม่ควรจะไกลนักก็ควรจะได้ตามแถวนี้ก็อยากให้มีครูบาอาจารย์มาอยู่เป็นหลักเป็นเกณฑ์แถวนี้ กระจายกันไป ไปมาหาสู่กันง่าย เราอยากให้มีอย่างนั้น จึงต้องอุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนพระเรา ยังไงขอให้ฝึกฝนตนให้ได้เสียก่อน เรื่องการสอนคนภายนอกมันหากมาเองเป็นเองตามนิสัยวาสนาของแต่ละราย ๆ ตอนต้นต้องเอาเจ้าของให้แน่นหนามั่นคง เป็นที่แน่ใจเจ้าของมากน้อยเพียงไรผลอันนี้จะกระจายออกไป
ปิดไม่อยู่แหละ จะเอาไปไว้ภูเขาลูกไหนมันก็รู้ คนไม่รู้เทวบุตรเทวดาก็รู้ เช่นอย่างพระพระจิตตคุตต์ ท่านอยู่ในภูเขามาตั้ง ๖๐ ปี ไม่มีคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ท่านไม่ยุ่งกับใคร แต่เทวดาห้อมล้อมเต็มตลอดเวลา เทวดารักท่านมาก เคารพท่านมาก ท่านก็เมตตาเทวดามาก มนุษย์ไม่ค่อยรู้ แต่เทวดานี้รักมาก ใครไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แสดงเหตุต่าง ๆ ให้เห็นแหละ นี่พระจิตตคุตต์ท่านเป็นอย่างนั้น อันนี้เทวดาจะมีหรือไม่มีก็ตาม พวกหูหนวกตาบอดเราลบล้างไปเสีย ให้มีตั้งแต่มนุษย์ด้วยกัน มีแต่ครูบาอาจารย์ด้วยกันก็ขอให้มีมนุษย์ที่ดี สนใจในศีลในธรรม มีครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้ศีลให้ธรรมต่อเรานี้ก็เป็นมงคลอย่างยิ่งอยู่แล้ว
เราจึงต้องการอยากให้มีพระกรรมฐานเรา มีหลักมีเกณฑ์ทางด้านจิตตภาวนา ได้รับการอบรมถูกต้องดีงามมาเรียบร้อยแล้ว แล้วสั่งสอนประชาชนจะเป็นความสง่างามไปมาก และมีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากันโดยลำดับลำดา ที่สถานที่มีพระครูบา อาจารย์ที่แน่อยู่ในสถานที่นั้น แนะนำเป็นอรรถเป็นธรรม เราไม่อยากให้อยู่ละแห่งละหนกัน เช่นอย่างภาคกลางโดดไปทางภาคอีสาน ส่วนมากมักไปทางนู้น เพราะครูบาอาจารย์มีอยู่ทางนู้นมากก็ต้องไป ทีนี้มีอยู่ทางไหนมากหัวใจคนมันก็ต้องไป ไกลลำบากก็ไปใกล้ ไม่ลำบากมันก็ไป ไม่ลำบากลำบนมากนัก
เราจึงอยากให้มีพระกรรมฐานที่มีหลักมีเกณฑ์มีอยู่ทุกแห่งทุกหน เฉพาะภาคกลางนี้ขาดวงกรรมฐานมากทีเดียว เราจึงอยากให้มี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาองค์ไหนที่พอเป็นไปเราก็อยากให้มีในทางแถวนี้ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไปอบรมอยู่วัดป่าบ้านตาดทั่วประเทศไทย ไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าพูดตามความสัตย์ความจริงแล้วหลวงตาบัวนี้มีลูกศิษย์ฝ่ายพระนี้มากที่สุด แต่มันมักจะเหลว ๆ ไหล ๆ โล ๆ เลก ๆ แล้วท่านสงบ ท่านหยีมาอยู่นี้มันโลเลโลกเลกหรือเป็นอะไรก็ไม่ทราบ เพราะนี้เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว หลวงตาบัวจึงไม่ไว้ใจ ให้ท่านทั้งหลาย ถ้าทำไม่ถูกให้ตีเลย ไม่ตีสูง ๆ ก็ตีต่ำ ๆ ฟาดแข้งเข้าใจไหมให้แข้งหัก นี่ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้เหรอ ให้ว่างั้นเข้าใจเหรอ เตือน หลวงตาสั่งมาไม่เป็นไร ตีเลย แข้งลูกศิษย์หลวงตาบัวมันไม่เป็นท่าให้เขาตีหนัก ๆ
นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนี้ ที่เราต้องการอยากได้พระเจ้าพระสงฆ์มาปฏิบัติ ลงธรรมเกิดขึ้นในใจแล้วมันจะสง่างามมากทีเดียวนะ ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน จ้าขึ้นภายในจิตใจพอแล้วสำหรับเราคนเดียว พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเป็นศาสดาได้สามโลกธาตุ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านไม่หาพยานที่ไหน บรรลุผึงขึ้นมานี้แดนโลกธาตุนี้สว่างจ้าไปหมด นี่ละผู้นำธรรมมาสอนโลกโดยความสว่างไสว
เราก็อยากให้ลูกศิษย์ลูกหาของเราปฏิบัติตนตามทางของศาสดาแล้ว จะเกิดธรรมเหล่านี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัยนะ จะสว่างขึ้นมาตามนิสัยวาสนาของตน การแนะนำสั่งสอนประชาชนขึ้นกับนิสัยวาสนา ส่วนความบริสุทธิ์อันเป็นที่อบอุ่นในตัวเอง และให้ความอบอุ่นกับประชาชนนั้นปิดไม่อยู่ ต้องเป็น แต่การแนะนำสั่งสอนจะกว้างแคบหนักเบาขนาดไหนเป็นไปตามนิสัยวาสนา ในครั้งพุทธกาลท่านก็มีมาอย่างนั้น บางองค์ท่านสำเร็จแล้วท่านอยู่ในป่าเลย ไม่ออกมาเกี่ยวข้องกับผู้ใด ถึงเวลาจะนิพพาน มาทูลลาพระพุทธเจ้าแล้วไปนิพพานแล้วอย่างนั้นก็มี
ผู้ที่สั่งสอนโลกจนโลกธาตุกระเทือนไปหมด ก็จำนวนมากมายบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า นี่ละนิสัยวาสนาต่างกันอย่างนี้ ส่วนจิตใจขอให้เป็นพื้นฐานอันดีงามที่เลิศเลอภายในใจเถอะ อันนี้เป็นความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้บรรดาพระลูกพระหลานตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ การขบการฉัน การเป็นอยู่ปูวายไม่ยากสำหรับกรรมฐานเรา มีอะไร ๆ ฉันได้หมด พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอกยิ่งกว่าภายในที่จะฆ่ากิเลสภายในใจ ตัวยุ่งเหยิงให้มันขาดสะบั้นไปจากใจนี้เป็นที่พอใจ สมพระทัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำสั่งสอนให้บรรดาสาวกทั้งหลายได้บรรลุอรรถธรรมขั้นต่าง ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอรหัตตบุคคลและเป็นที่พอพระทัย เราสนองตามเสด็จพระพุทธเจ้าก็ให้ดำเนินตามสวากขาตธรรมจะเป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแหละ
วันนี้เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ พูดไปพูดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อย ให้บรรดาพระลูกพระหลานยึดเป็นคติเครื่องเตือนใจนำไปปฏิบัติ หลักธรรมการเทศนาว่าการในเทปก็มีมากอยู่แล้ว ควรจะยึดไปเป็นคติฟังเสียงอรรถเสียงธรรมตามเทปนั้น ปฏิบัติไปตามนั้นจะไม่ผิดพลาด เทปของเราที่เทศน์นี้เราแน่นอนในหัวใจเรา ไม่ว่าเทศน์ในขั้นใดภูมิใดเราไม่เคยสงสัยในธรรมที่แสดงออกเลย ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสุดขีด มีธรรมทุกขั้นที่เราเทศน์ เราไม่สงสัยทุกขั้นของธรรมที่แสดงออก ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติไปตามนั้นเราก็แน่ใจว่าไม่ผิด ให้เอานี้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปปฏิบัตินะ
เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ กาลเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|