เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพ
เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
วิทยุเสียงอรรถเสียงธรรม
ท่านอาจารย์เจี๊ยะท่านเป็นลูกเจ๊ก ท่านบ๊งเบ๊งๆ แม้แต่กับพ่อแม่ครูจารย์ท่านยังเถียงบ๊งเบ๊งๆ เถียงทีไรก็หน้าผากแตกทุกที เล่นกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ได้หลายหมัดแหละ เดี๋ยวหงายเลย ท่านอาจารย์เจี๊ยะท่านนิสัยอย่างนั้น นิสัยตรงไปตรงมา บ๊งเบ๊งๆ ใส่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นฟังเสียงบ๊งเบ๊งๆ แล้วเงียบเลย เอาแล้วถูกหน้าผากแล้ว แต่รู้สึกพ่อแม่ครูจารย์มั่นเมตตามาก ท่านไว้ใจทุกอย่างเลย เป็นผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดกับท่าน ละเอียดลออมากทีเดียว ใครไปแตะของของท่านไม่ได้นะ ท่านเป็นผู้ดูแลบริขารพ่อแม่ครูจารย์มั่น สะอาดมากทีเดียว ละเอียดลออ
กิริยาภายนอกเป็นอย่างนั้นละ บ๊งเบ๊งๆ แต่ภายในท่านละเอียดลออมาก นั่งอยู่ด้วยกันนี้ท่านเอามือมาดึงด้ายที่เย็บพ้นออกมาจากผ้าของเรา นั่งอยู่ท่านปุ๊บปั๊บมาดึงออก ทำไมล่ะ มันไม่น่าดู อย่างนั้นละท่านละเอียดมาก นั่งอยู่โน้นคุยกันกับเรา ท่านปุ๊บปั๊บมาจับดึงออก ทำไมล่ะ มันไม่น่าดู เป็นอย่างนั้นละท่านละเอียดมาก ภายในท่านละเอียด กิริยาภายนอกบ๊งเบ๊งๆ อย่างนั้นละ เวลาเข้าถึงกันมันก็รู้กันเองกับอาจารย์เจี๊ยะนี่ คุ้นกัน อยู่ด้วยกันมานานกับเรา แต่ท่านเคารพเรา รู้สึกว่าท่านเคารพมาก ท่านก็บอกเลยว่า ครูบาอาจารย์ที่มาอยู่หัวใจผมมีอยู่สององค์ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านพูดตรงๆ อย่างนี้
ท่านบอกตรงๆ เลย ครูบาอาจารย์ที่มาอยู่บนหัวใจผมมีสององค์ คือท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญก็คือ กุฏิเราหลังอยู่ทุกวันนี้ ปีนั้นปี ๒๕๐๔ ละมัง ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาดด้วยกัน ท่านกำลังเกลี่ยพื้นถมดิน เขาเรียกอะไร ไม่ใช่คราด มันเป็นกระดานแผ่นหนึ่งมีไม้อันหนึ่งเป็นแบบคันไถสำหรับไสไปไสมาให้พื้นเรียบราบ (คราดดินครับ) ถ้าคราดมันก็มีฟันมีเขี้ยวไม่ใช่หรือ (เรียบๆ ก็มีครับ) เออ แบบนั้นละ ตอนเย็นพอปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เกลี่ยนั้นเกลี่ยนี้
ทีนี้ท่านไม่ได้คิดละซี พอค่ำจวนจะมืด ต่างองค์ต่างเดินจงกรมอยู่ เพราะวัดป่าบ้านตาดมีการเดินจงกรม นั่งสมาธิตามเวล่ำเวลาไม่เคลื่อนคลาด เวลานั้นเป็นเวลาสงัด กำลังจะมืด ฟังเสียงเปรี้ยงๆ ที่กุฏิท่าน ท่านได้เหตุไปจากนี้ละ ท่านไปทำคราดอันนี้ตอนค่ำๆ ฟังเสียงเปรี้ยงๆ โอ๊ มันยังไงนักหนา เราก็ไม่เคยได้ยินตั้งแต่ตั้งวัดมานี่ สร้างวัดมาไม่เคยมี เราก็ออกจากทางจงกรมแล้วไปเลย ไปท่านกำลังตีคราดอันนี้อยู่ ท่านจะเอามาทำที่กุฏิเรา แต่ท่านไม่ได้คิดว่ากาลเวลาควรหรือไม่ควรนั่นซิ ใส่เปรี้ยงๆ ดังลั่นนะ เราอยู่ทางจงกรมในป่ายังต้องออกจากทางจงกรมไปเลยเทียว ไปก็เห็นท่านกำลังทำ พอไปเราก็ไปยืนอยู่นั้น ท่านอาจารย์เจี๊ยะ ว่าอย่างนี้เลยละเรา การอยู่กับท่านอาจารย์มั่นนี้ท่านอยู่เป็นอันดับหนึ่งนะที่นานที่สุด แล้วท่านอาจารย์มั่นท่านทำอย่างไร ท่านพาดำเนินอย่างไร เวลานี้ท่านดำเนินอย่างไร ผมไม่พูดอะไรมาก เพราะท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นมากยิ่งกว่าผมอีก ผมพูดเพียงเท่านี้ เราพูดอย่างเปรี้ยงๆ เลยนะ พูดแล้วก็กลับ ทางนั้นก็เงียบเลย
พอตอนเช้าถึงเวลาที่จะบิณฑบาตเราก็ลงมาศาลา ท่านมารออยู่นี้ เรานั่งอยู่นี้ท่านรออยู่นั้น พอเรากราบพระเสร็จแล้วมานั่ง ท่านปุ๊บปั๊บเข้ามานี้เลย มาจับขาเราลากออกไป มาจับหาอะไร เราว่างั้น เท้านี้สำหรับเหยียบขี้เหยียบมูตรเหยียบคูถ โอ๊ย ขอจับหน่อย จับแล้วเอาหัวท่านมาถูนี่นะ เอาเท้าเราไปนี้ เอาหัวท่านมาถูนี่เลย น้ำตาพังนะ อย่างนี้จึงเรียกว่าอาจารย์ โห ผมยอมเลย เมื่อคืนนี้ผมจนนอนแทบไม่หลับ ผมผิดเอามากทีเดียว ท่านอาจารย์นี้ถูกต้องที่สุด แบบเดียวกับท่านอาจารย์มั่นเลย ผมจะไม่ลงได้ยังไง ว่าอย่างนั้นนะ แล้วเอาเท้าเรานี้ถูหัวท่าน
บอกท่านเท่าไรท่านก็ไม่ฟัง ขอทำให้สมใจเถอะ ผมนี้โง่ที่สุดเลย นี่ละท่านทำของท่านอย่างนี้ ท่านจับขาเราดึงออกแล้วก็เอาหัวท่านถู แหม ท่านอาจารย์ทำไมถึงพูดได้ถูกต้องแม่นยำนักหนา แบบฉบับเดียวกับหลวงปู่มั่นเลย จากนั้นก็บอกว่ากิริยาท่าทางของเรากับหลวงปู่มั่นนี้คล้ายคลึงกันมาก ท่านพูดทีหลัง วันนั้นท่านเอาแค่นั้นละ ก้มหัวแล้วเอาเท้าเราไปถูหัวท่าน น้ำตาท่านพังนะ ผมลงถึงใจเลย ไม่มีใครที่จะสอนได้อย่างนี้ ท่านอาจารย์นี้สอนแม่นยำมากเทียว แบบท่านอาจารย์มั่นเลย นี่ละท่านลง
ท่านอาจารย์เจี๊ยะนิสัยท่านตรงไปตรงมา ความละเอียดลออภายในละเอียดมาก ทำอะไรๆ งานอะไรนี้ ถ้าลงท่านได้ทำแล้วเรียบหมดเลย แต่กิริยาภายนอกเป็นอย่างนั้นละ บ๊งเบ๊งๆ ภายในละเอียดนะ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น โถ ตั้งแต่ไปอยู่เชียงใหม่ จากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์ของเรามานิมนต์ท่านไปอยู่อุดร เวลาท่านไปจากเชียงใหม่ไปอยู่อุดร หลวงปู่มั่นไป อาจารย์เจี๊ยะก็ไปด้วย ไปอยู่อุดรตั้ง ๒ ปี จากนั้นก็ไปสกลนครด้วยกัน ท่านไปอยู่นานหลายปี เหมือนพ่อกับลูกกัน ท่านเมตตามากทีเดียวกับอาจารย์เจี๊ยะนะ เหมือนพ่อกับลูก เพราะทำอะไรละเอียดลออมาก คนดูภายนอกดูเผินๆ จะยกโทษท่านแหละ เอาโทษใส่ตัวเอง ท่านเป็นพระที่ละเอียดมาก เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองนะ เราว่า วันที่ ๒๓ ก็จะไปเผาศพท่าน นี่ละลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นองค์หนึ่งที่เป็นพระสำคัญอยู่ ภายในท่านดี ภายในก็ดี แต่ภายนอกอย่างที่ว่าละ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง บ๊งเบ๊งๆ นิสัยท่านชอบตีเหล็ก เรียกว่าเป็นช่างเหล็กก็ได้ ช่างตีเหล็กก็ได้ แน่ะ นิสัยไปคนละอย่าง จะว่าท่านไปสร้างมลทินในตัวเองในงานอย่างนั้นก็ไม่ใช่ หากเป็นนิสัยของท่านอย่างนั้นเอง
ตีมีดตีขวาน มาอยู่นี้ท่านก็ทำอยู่มั้ง นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ภายในท่านละเอียด ภายนอกเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อรู้นิสัยกันแล้วสนิทกันได้ดีเลย สำหรับเรากับท่านสนิทกันมาก ท่านก็เคารพเรามาก ถึงขนาดที่ว่า อาจารย์ที่มาอยู่หัวใจของผมนี้มีอยู่สององค์ ท่านว่า ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง ท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านว่าอย่างนี้ท่านบอก ผมไม่ลงใครง่ายๆ ตอนสำคัญที่ว่ามาจับเท้าเราไปเอาหัวมาถูนี่ซี แล้วน้ำตาพัง แหม ทำไมจึงสอนได้ถูกต้องแม่นยำแบบเดียวกับท่านอาจารย์มั่นเลย แล้วลงสนิทด้วย น้ำตาพัง ท่านบอกว่ากลัวแต่ท่านอาจารย์มหาบัวองค์เดียว ท่านอาจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว กลัวแต่อาจารย์มหาบัวองค์เดียว นอกนั้นไม่กลัวใคร ท่านก็พูดตรงๆ ว่ากลัวแต่ท่านอาจารย์มหาบัวองค์เดียว นอกนั้นไม่กลัวใคร คือแต่ก่อนกลัวพ่อแม่ครูจารย์มั่น หลังจากนั้นมาก็มากลัวเราองค์เดียว เราก็ไม่เคยว่าอะไรท่าน ก็มีเท่านั้นแหละว่าให้ท่าน
วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากนักละ สอนเมื่อคืนนี้ก็ออกทางวิทยุแล้ว วิทยุนี้เราก็วิตกวิจารณ์เหมือนกัน ผลได้กับผลเสียมันจะตามกันมา เบื้องต้นก็ว่าได้ผลดี ออกวิทยุนี้พูดเป็นอรรถเป็นธรรมให้คนทั้งหลายได้ยินพอเป็นคติเครื่องเตือนใจ ครั้นต่อมานี้ความเลอะเทอะมันจะแทรกเข้าไป คืบคลานเข้าไปนะ แล้วเสียงขับเสียงลำเสียงเพลงเสียงอะไรมันจะเข้าไป ต่อจากนั้นจะมีแต่เสียงมูตรเสียงคูถเต็มวิทยุนี่นะ คอยดูคำพูดอย่างนี้จะผิดไหม พิจารณาซิ หรือเดี๋ยวนี้มันจะมีแล้วก็ไม่รู้ ไอ้เรื่องสกปรกมันเร็ว
ทำวิทยุนี้เราทำประโยชน์แก่โลกสงสาร เพราะโลกมันมีแต่เรื่องสกปรกรกรุงรัง เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่ค่อยมี เมื่อมีผู้มาขออยากจะทำวิทยุนี้ขึ้นเป็นอรรถเป็นธรรมสอนประชาชน เราก็เห็นดีด้วยจึงอนุโลมให้ แต่ก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน เรื่องสกปรกมันจะแทรกเข้า ต่อไปนี้เรื่องสกปรกมันจะเริ่มนะ เรื่องอรรถเรื่องธรรมจะมีน้อยมาก ต่อไปจะมีแต่เรื่องขับลำทำเพลงเรื่องอะไรต่ออะไรยุ่งไปหมด โลกมันเป็นอย่างนั้น ความสกปรกนี้เข้าอย่างรวดเร็วนะ ธรรมไปที่ไหนมันแทรกเข้าไป แล้วเหยียบหัวธรรมไปเลย
วิทยุสวนแสงธรรมนี้ระวังให้ดีนะ ใครเป็นคนกำกับ ถ้าหากว่าไม่เป็นท่าแล้วเราให้รื้อเลยนะ เราไม่ได้เหมือนใคร รื้อทิ้งเลยไม่เสียหายมากยิ่งกว่าเอาวิทยุนี้ไว้นานๆ กระจายสิ่งที่เสียหายให้แก่โลกได้ทราบทั่วถึงกัน แล้วทำลายทั่วประเทศเขตแดน อันนั้นมีความเสียหายมาก รื้อวิทยุทิ้งเข้าป่าไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้าไม่เป็นท่าจริงๆ แล้วสั่งงด รื้อถอนทิ้งเลย เราไม่ได้เสียดายอะไรยิ่งกว่าหัวใจคน เราทำนี้เราทำเพื่อหัวใจคน เพราะหัวใจมันคลุกเคล้าด้วยของสกปรก เอาน้ำเข้าไปชำระล้างพอให้เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นความสะอาดสะอ้านขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็เอาความเลอะเทอะเข้าไปใส่นั้น เรียกว่าปาเข้าป่าเลยวิทยุนี้อย่าเอามาไม่เกิดประโยชน์
ที่พูดเหล่านี้จะไม่ผิด ที่ไหนเขาก็ขอ เวลานี้เยอะนะเขาขอวิทยุเกี่ยวกับธรรมะของหลวงตา อย่างสกลนครมีตั้ง ๑๐ แห่งออกทั่วไป ภาคอีสานกระจายๆ ออกไป ไปตั้งวิทยุแล้วก็เอาเสียงอรรถเสียงธรรมเราเข้าไป เอาเทปเอาอะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างแหละเข้าไปเทศน์ให้คนฟัง มาขอหลายแห่งแล้วนะ เราก็อดคิดไม่ได้เรื่องอย่างนี้แหละ เรื่องสกปรกมันจะค่อยคืบคลานเข้าไป มันเอาธรรมะเป็นโล่บังหน้าก็ได้ แต่ไม่มีเจตนามันหากเป็นโดยหลักธรรมชาติของมัน มันจะมีอย่างนั้นจนได้แหละ
สวนแสงธรรมเรานี้ก็เหมือนกัน ให้ระวังนะใครเป็นคนกำกับรักษา ถ้าหากว่าทำให้เลอะๆ เทอะๆ เรารื้อทิ้งเลยนะ เราพูดไม่เหมือนใครพูด เราไม่มีอะไรเสียดายยิ่งกว่าหัวใจคนที่เสียหายไป ไม่อยากให้เสียหายเพราะความเลอะเทอะเหล่านี้ ตั้งวิทยุขึ้นมาแทนที่จะเป็นประโยชน์ เป็นวิทยุเสียงอรรถเสียงธรรม กลับเป็นวิทยุเสียงมูตรเสียงคูถเสียงตดเสียงขี้ไปหมดไม่เอานะ เราสั่งให้รื้อเลยไม่มีอะไรเสียดาย เหตุผลเท่านั้น เราก้าวเดินตามเหตุผล จะไปเสียดายนั้นเสียดายนี้อย่างไม่มีเหตุผลเราไม่มี จะมีแต่เหตุผลเท่านั้น ควรตัดตัดทันที ควรเสริมเสริมทันที ผู้ที่รักษาวิทยุให้ระมัดระวังนะ อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ทำแบบเลยเถิดเตลิดเปิดเปิง มันจะเป็นไปได้นะไม่สงสัย
ตอนกลางค่ำกลางคืนก็ให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนากันบ้าง สงบใจประมาณสัก ๕ นาทีก็ยังดี เบื้องต้นบังคับเสียก่อน ท่านทั้งหลายให้บังคับท่านทั้งหลายเอง บังคับความชั่วที่มันคิดมันปรุงอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เอาความหลับนั้นเป็นเวลาระงับความคิดนี้ ถ้าไม่ได้หลับ...ตายมนุษย์เรา นี้ได้นอนหลับได้ระงับความคิดความปรุง มันก่อฟืนก่อไฟตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ให้เอาไประงับ ภาวนา ภาวนาธรรมบทใดก็ตามให้ได้วันหนึ่งสัก ๕ นาที เอาไปบังคับตัวเองบ้างซิ มันเป็นยังไงบังคับเพื่อความดีแก่ตนมันจะเสียหายที่ตรงไหน
บังคับ ๕ นาทีนี้ เราจะเอาคำบริกรรมใดก็ได้มาติดกับใจของเรา เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโม หรือสังโฆ อานาปานสติก็ได้ แต่ที่สำคัญคือให้มีสติบังคับตลอด ในเวลานั้นอย่าให้คิดเรื่องอื่น ให้คิดแต่เรื่องคำบริกรรมหรือลมหายใจนี้เท่านั้น ได้ ๕ นาที ได้ ๕ นาทีวันนี้ เอ้า วันหลังได้ ๕ นาที ต่อไปมันจะเข้าสัมผัสธรรมนะ เวลานี้หัวใจของเรามีตั้งแต่มูตรแต่คูถเต็มหัวใจทั่วโลกดินแดน เรื่องธรรมเข้าไปสัมผัสใจนี้แทบจะว่าไม่มี ก็มีแต่แดนแห่งชาวพุทธ ชาวพุทธผู้ที่ตั้งใจภาวนาก็แทบไม่มีอีกนะ มันย่นเข้าไปๆ นี้จึงเอาออกเรื่องภาวนาเป็นเครื่องประกาศธรรมสอนโลก กระจายออกจากภาวนา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สอนธรรมจากภาวนา อันนี้ขอให้เอาภาวนาไปสอนตนบ้างนะ สอนตนบังคับตนบ้าง เอา ๕ นาทีเสียก่อน ทีนี้พอธรรมได้สัมผัสใจแล้วมันจะตื่นเต้น เพราะรสอะไรไม่เหมือนรสธรรม พอธรรมได้สัมผัสใจเพราะบังคับจิตไม่ให้คิดไปกับกิเลสความสกปรก เพียง ๕ นาทีเสียก่อน บังคับ สติบีบบังคับเอาไว้ แล้วต่อไปมันหากมีระยะใดระยะหนึ่ง วันใดวันหนึ่งจนได้แหละจิตจะก้าวเข้าสู่ความสงบ พอเข้าสู่ความสงบ นี้เรียกว่าธรรมเริ่มสัมผัสใจแล้ว จิตใจจะมีความรู้สึกตื่นตัวตื่นใจ และจะรู้คุณค่าของความสงบจากธรรม และจะเห็นโทษของความวุ่นวายของตนไปโดยลำดับ ทีนี้มันก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ทีนี้ ๕ นาทีไม่ต้องพูดนะ พอจิตได้ดื่มธรรมเท่านั้น ๕ นาทีไม่ต้องพูด มันขยับของมันไปเองๆ เป็นชั่วโมงๆ สองชั่วโมง สามชั่วโมง ได้ทั้งนั้น เพราะอรรถธรรมอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้อยู่กับมืดแจ้งอะไรนี่นะ
เมื่อจิตใจเราหิวโหยโรยแรงจากอรรถจากธรรมมานาน มาได้เจอธรรมเข้าแล้วทำไมจะไม่กระตือรือร้น นี่ละที่นี่อัน ๕ นาทีหมดความหมายไปเลย ความดูดดื่มของใจจะพาไปเองๆ พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ ให้บังคับเอา ไม่บังคับดีไม่ได้นะเรา เราจะเอาตั้งแต่ตามใจๆ อันตามใจนั้นเป็นเรื่องของกิเลสทำลายเราทั้งนั้น ไม่ได้ส่งเสริมเราให้ดี การบังคับเราเพื่อความเป็นคนดี จะชั่วก็ขอให้เห็นเสียที พระพุทธเจ้าบังคับพระองค์จนเป็นศาสดา ชั่วที่ไหน พระสาวกอรหันต์ที่ว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นั่นท่านบังคับตนเอง ชั่วที่ไหน ทำไมจึงได้มาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ต่อโลกได้ นี่เราบังคับเราให้เป็นที่พึ่งของตน พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ในเบื้องต้นเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นสรณะ พอขยับเข้าไปจิตกับธรรมในหัวใจตนเป็นสรณะของตนขึ้นมาๆ ทีนี้สง่าผ่าเผยแล้ว อยู่ที่ไหนติดกับธรรมอันนี้ตลอด ยืนเดินนั่งนอนไปไหนอบอุ่นตลอดเวลา นี่ละธรรมเข้าสู่ใจ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ไม่มีเช้าสายบ่ายเย็น อบอุ่นตลอดเวลาเลย พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เอาละพอ ต่อไปนี้จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |