เพราะความเสียสละนั่นเอง
วันที่ 4 ธันวาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

เพราะความเสียสละนั่นเอง

 

ก่อนจังหัน

สีผ้าพระกรรมฐานเรารู้สึกว่านิ่มนวลตา สีผ้าแก่นขนุน สีกรัก มีตามพระบาลีมาดั้งเดิม อันนี้ก็เป็นโอกาสอันหนึ่งที่เราจะแยกออกมาพูด หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านดำเนินอย่างไร การครองผ้า ท่านบอกว่าเป็นสีแก่นขนุน สีกรัก เราก็สอดเข้าไปว่า สีเหลืองธรรมดานี้มีไหม ไอ้สีเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง ฟังซิท่านพูด สีผ้าเหลืองๆ นั่นละท่านบอกว่าสีเจ้าชู้ สีพระขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง พื้นฐานจริงๆ คือสีแก่นขนุน ท่านพิจารณาเรียบร้อยนะ อย่างนั้นละหลวงปู่มั่น ของเล่นเมื่อไร

คือแต่ก่อนท่านปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามาๆ จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร พุทธภูมิจะปรากฏเข้ามา ทีนี้เราก็อยากจะพ้นจากทุกข์เป็นกำลัง ท่านว่างั้นนะ ความปรารถนาพุทธภูมินี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์นะ ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามทรงทำนายไว้แล้วว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ แล้วแก้ไม่ตก เรียกว่าตายตัวเลย อันนี้ท่านก็บอกว่า เราถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้ากับเป็นสาวก ความพ้นทุกข์ก็พอๆ กัน ส่วนความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของท่านที่เกี่ยวกับสัตว์โลก เราได้แค่นี้ก็เอาแหละ คือเอาตัวของเราพ้น เลยพลิก ท่านบอกว่า ขอถอนคำอธิษฐานจากพุทธภูมิ จากความเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นพระสาวกภูมิ เป็นสาวกธรรมดา

พอท่านพลิกคำอธิษฐาน รู้สึกใจมันลดฮวบลง ภาระ ว่างั้นนะ ตั้งแต่นั้นมาพิจารณาจิตเข้าผึงๆ ไปได้เลย นั่น นี่ท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิท่านจึงติดมา ท่านพิจารณาอะไรนี้ละเอียดลออมาก ท่านพูดไปถึงเรื่องประเพณีของพระอริยเจ้าทั้งหลายและการครองผ้า เฉพาะการครองผ้าท่านบอกว่ามีแต่สีแก่นขนุนทั้งนั้น เป็นสามขั้น สีแก่นขนุนอ่อน แก่นขนุนปานกลาง สีแก่นขนุนแก่ ท่านว่าอย่างนี้นะ นี่ละเป็นเหตุที่จะให้เราเรียนถามท่านสีนั้นสีนี้ ว่าสีเหลืองนี้มีไหม สีเหลืองธรรมดาที่ใช้อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีไหม ท่านว่าสีพระเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ยังไง ท่านไม่ได้ตอบว่ามีหรือไม่มี บอกอย่างนั้นก็เท่ากับปฏิเสธไปแล้ว

แปลกที่ว่า สีเจ้าชู้ สีขุนนาง พระเจ้าชู้ พระขุนนาง ฟังซิน่ะ ก็ท่านพูดตรงๆ ตามการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว บอกว่าไม่มี นั่นเห็นไหมล่ะ ดูสีผ้าพระเรานี้ก็น่าดูแล้ว ให้พากันสำเหนียกศึกษานำไปปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าเอาแต่กิเลสตัณหาเข้ามาพอกพูน ลากจูงกันไปๆ ดังที่พูดเหล่านี้ เดี๋ยวนี้มันมักจะเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยมาเป็นพระเจ้าชู้ พระขุนนาง มากกว่านั้นเป็นพระเทวทัตทำลายศาสนาของตัวเอง ทำลายพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังเต็มอยู่ในกรุงสยามของเรานี้ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาทุกคนๆ

การมาอบรมศึกษา ตามี หูมีให้ดู ใจให้คิด ให้ได้ประโยชน์ เช่นอย่างมาสถานที่นี่เป็นยังไง ให้คิดให้อ่าน ตาดู หูฟัง ใจนำไปคิด นั่นละเรียกว่ามาหาผลประโยชน์ อย่าสักแต่ว่ามาๆ แล้วก็เอาไปจับจ่ายขายกิน แล้วยกหลวงตาบัวขึ้นว่า มาจากสำนักหลวงตาบัว แพรวพราวอะไร ใครอยากทดลองเครื่องก็มา มันจะเป็นอย่างนั้นนะ มันมาหาอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันน่าทุเรศนะ กิเลสนี้เหยียบหัวไปตลอด ไปที่ไหนธรรมจะออกลำบากนะ แม้ในพระกรรมฐานเรานี้ก็เหมือนกัน กิเลสจูงหน้าจูงหลัง ธรรมไม่ได้จูงนะส่วนมาก พิจารณาให้ดีนะ

เทศน์เป็นคติของวงกรรมฐาน ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปฏิบัติมานี้ก็คือท่านปฏิบัติตามอริยประเพณี อย่างปัจจุบันนี้ก็มีหลวงปู่มั่นพาดำเนินพาปฏิบัติ อย่างที่ว่าสีผ้านี่ก็เหมือนกัน ท่านครองผ้าสีขนาดกลาง ไม่ใช่สีกรักแก่ อ่อน ท่านใช้สีกลางๆ  นี่ละสีครั้งพุทธกาลท่านว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ท่านพิจารณาอะไรนี้ผิดที่ไหนๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่น เมื่อปฏิบัติจริงๆ ก็รู้ได้จริงๆ เห็นจริงๆ อย่างนี้แหละ

ธรรมพระพุทธเจ้าเวลานี้เท่ากับน้ำในสระ เต็มสระอยู่ แต่มีตั้งแต่จอกแต่แหน คือกิเลสปกคลุมหุ้มห่อสระ มองลงไปไม่เห็นน้ำเลย เห็นแต่จอกแต่แหนเต็มสระ ใครมองไปเห็นแต่จอกแหนก็ว่าน้ำไม่มีๆ อันนี้มองไปไหนชาวพุทธเรานี้ เห็นแต่เรื่องกิเลสตัณหา เห็นแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความคึกความคะนอง ดีดดิ้นไปทุกแห่งทุกหน นี่คือพวกจอกพวกแหน ธรรมที่แท้คือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานนั้นจะไม่มี นี่ละเรียกว่าน้ำในสระ ธรรมแท้อยู่ในหัวใจเรานี้ ถูกกิเลสตัณหาครอบไว้หมด ทีนี้กิริยาแสดงออกก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาไปหมด เรื่องธรรมเลยไม่มีนะ ให้พากันจำเอา

ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้คงเส้นคงวาหนาแน่น ผลก็เหมือนน้ำในสระสะอาดไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย แต่ถูกจอกแหนปกคลุมเอาไว้มองหาน้ำไม่เห็น ธรรมในหัวใจมีอยู่แต่ถูกกิเลสตัณหาปกคลุมลากเข็นไปหมด ให้พากันขนจอกขนแหน คือกิเลสตัณหาภายในใจนี้ออกด้วยการประกอบความพากเพียรชำระจิตใจ คำว่าชำระจิตใจก็คือชำระจอกแหนคือกิเลสนี้ละออกจากใจ เราจะได้ทรงมรรคทรงผล และมีความสง่างามขึ้นภายในใจของเรา ใจของทุกสัตว์โลกนั่นแหละ เลวได้ ดีได้ เลวสุดได้ ดีสุดได้ ขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของจะพอกพูนในทางที่เลว หรือจะสั่งสมในความดีก็เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติ

พระมาแต่ละครั้งๆ ให้มาศึกษา ให้มาดู แบบแผนตำรับตำรามีในคัมภีร์ เมื่อไม่มีผู้นำออกมาปฏิบัติก็ยึดก็จับได้ยาก นี่ก็มีท่านนำออกมาปฏิบัติให้รู้อย่างเปิดเผย ก็เป็นสักขีพยานแก่ใจของเรา เราก็ได้ปฏิบัติด้วยความมั่นใจ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็ให้ได้ไปปฏิบัติด้วยความมั่นใจจากการสำเหนียกศึกษาจากครูอาจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ให้มองดูธรรม อย่ามองดูตั้งแต่กิเลส วิ่งตามกิเลส ให้มองดูธรรม ผิดถูกชั่วดีประการใดให้ดูความเคลื่อนไหวของใจก่อน ออกจากนั้นก็มากิริยาอาการ ถ้าใจไม่ดี กิริยาก็เหลวไหลๆ ถ้าใจดีแล้วกิริยาออกมาก็งามตา นี่ละธรรมฝังอยู่ที่ใจ สติธรรม ปัญญาธรรม และสังวรธรรม คือความสำรวมระวังตลอดเวลา นี้คือผู้รักษาตนด้วย เป็นผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมอย่างแท้จริงด้วย พากันจำเอานะ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภา มาจนกระทั่งป่านนี้หลายเดือนแล้วนะ เรากลับจากกรุงเทพวันที่ ๔ วันที่ ๕ มาฉันจังหันไม่ได้ ลดฮวบ จากนั้นมาก็ไข้ จากไข้ไล่มาหาเข่า ปวดเข่า จากปวดเข่าแล้วก็เข่าอ่อน เลยมาอยู่ที่ปวดเข่าแล้วเข่าอ่อนเดี๋ยวนี้ ได้หลายเดือนแล้วนะ เป็นมาหลายเดือนแล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ ๔ จากกรุงเทพมาแล้วแหละแต่ไม่แสดงมาก พอวันที่ ๕ ถึงแสดงมาก เป็นไข้พร้อมเลย หมอจีนเขาก็บอกว่าเป็นไข้มาจากกรุงเทพแล้ว เขาตามมาตรวจ

ทุกวันนี้ป่าช้าเข้าไปตั้งเมรุอยู่ในวัด เผาที่วัดๆ แต่ก่อนป่าช้าเป็นป่าช้า ไม่ได้มาอยู่ในวัดเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้มีแต่เมรุอยู่ในวัดสำหรับเผาศพคนตาย ป่าช้าเป็นที่เผาศพพิเศษต่างหาก เช่นอย่างบ้านตาดเขาก็มีป่าช้าของเขา บ้านใดๆ เขามีป่าช้า สงวนที่ไว้เฉพาะ ป่าช้าเผาศพที่นั่น เป็นประจำในหมู่บ้าน เดี๋ยวนี้ไหลเข้าไปหาวัดเลยแหละ มีเมรุในวัด สร้างเมรุในวัด แต่สำหรับหมู่บ้านตาดนี้เราสร้างเมรุให้ ไม่ให้มายุ่งในวัด เดี๋ยวจะมา กุสลา ธมฺมา ปัจจัยได้กี่บาทนา พระเลยสั่งสมกิเลสเข้าไป ท่านอาจารย์ลีท่านห้ามไม่ให้ตั้งเมรุในวัด เรายกมือสาธุทันทีเลย แทนที่จะไปปลง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันจะไปนับเงินอยู่นั้น ป่าช้าเงินอยู่ในนั้นแหละ ป่าช้าพระตายสดๆ ร้อนๆ ก็อยู่ในนั้น นับแต่เงินแต่ทอง อรรถธรรมไม่สนใจ นี่เห็นไหม ไอ้หลังลายถ้าลงไปเหยียบไหนแล้วหมอบราบนะ เหยียบไม่ได้แต่ธรรม ผู้มีธรรมไอ้หลังลายเหยียบไม่ได้ นอกจากนั้นไอ้หลังลายเหยียบแหลกหมด

นี่เราพูดถึงเรื่องเมรุ บ้านตาดนี้เราก็สร้างเมรุให้ ๖ แสน คือขนาดกลาง สร้างโรงสวด กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ไหนนาให้พร้อมเลย โรงสวดโรงอะไรเราให้หมด สร้างให้หมดเลย ไม่ให้เข้ามายุ่งในวัดเรา บ้านตาดนี่สร้างเมรุให้เลยโดยเขาไม่ได้มาขอร้องแหละ เราเห็นความจำเป็นที่จะสร้างเมรุ ที่สงวนไว้เป็นป่าช้ากว้างๆ ให้ตัดเข้ามา เอกชนเขาก็ยิ่งรุกเข้าไปอยู่แล้ว เราก็บอกให้เลย เราให้แล้ว เขต(ป่าช้า)นี่ปักหลักไว้เสีย ในเขตบริเวณเมรุนี้กับโรงสวด นี้เป็นบริเวณสาธารณะสำหรับป่าช้า ใครตายมาเผาที่นี่ เมรุทำให้เรียบร้อย ที่กว้างๆ ที่สงวนไว้ตัดเข้ามาให้เขาทำอยู่ทำกินไป ของเราไม่จำเป็นจะยึดอะไรนักหนา เอาเฉพาะจำเป็น เราก็บอกให้ปักเขตไว้เลย เราสร้างเมรุให้เรียบร้อย นอกนั้นให้เขาหมดแหละ มันจะไม่มีที่ทำอยู่ทำกิน เราให้หมด

ทางที่เบิกกว้างออกมานี้ ตั้งแต่หมู่บ้านตาดออกมาวัดกว้างขวางนี้ แต่ก่อนพวกล้อพวกเกวียนจะสวนกันไม่ได้นะมันแคบ ที่ไร่ที่นาเขาดันเข้ามาๆ จนจะไม่มีทางไป เวลาเรามาสร้างวัดนี้เราก็ดูเหตุการณ์ต่างๆ ตกลงเราก็ซื้อให้หมดเลยเทียว สองฟากทางนี้ซื้อเอาเท่านั้นๆ ใครก็อยากขายเพราะซื้อด้วยความเมตตา ใครก็เลยอยากเสนอขาย อุ๊ย อยากให้นาเรามาอยู่ติดถนน นั่นละเราทำอะไรมีแต่เมตตาทุกอย่าง เบิกกว้างออกมาตลอดถึงนี้ วัดของเรานี้ก็ให้ย่นเข้ามาทำกำแพง ย่นให้เป็นสาธารณะเป็นทางกว้างขวางไป กำแพงนี้ย่นเข้ามาตั้งหลายวา สี่วาห้าว่านู่น เอาให้พอดีเลย อันนี้เป็นสาธารณประโยชน์ สำหรับวัดมีเท่านี้พอแล้ว

เราซื้อมาตลอดนะ สายทางต่างๆ ที่เบิกกว้างออกมานี้มีแต่เราซื้อหมดๆ ซื้อด้วยความเมตตา ใครก็อยากขาย โอ๊ย อยากได้ที่นาติดถนน เขาว่า เราให้อย่างนั้นแหละ คือให้ด้วยความเมตตา ซื้อด้วยความเมตตา ที่ไร่ที่นาเขาจะไปทำกินที่อื่น เขาว่าที่นี้ไม่ดีเขามาขอขายให้ แล้วแต่จะเมตตา เขาก็รู้นิสัยเราแล้ว เราก็ให้เป็นที่เพียงพอ เขาก็ปุ๊บเลยแล้วไปซื้อนาใหม่ อย่างนั้นแหละแถวนี้ อะไรที่ควรซื้อให้เราซื้อให้ ซื้อด้วยความเมตตา ในบริเวณบ้านตาดเราให้มากมาย เราซื้อให้ๆ เป็นสาธารณะไปหมดเลย ที่ว่างอยู่นั้นว่างเพื่ออะไร ที่ข้างถนนมีต้นไม้นั้นเป็นที่ว่าง เราซื้อนาเขานะนั่น เขามาเสนอขายให้ เขาอยากได้นาใหม่ เราก็ซื้อให้ๆ เพราะฉะนั้นที่จึงเป็นป่า ป่านี้ก็ไม่แน่นอนนัก หากว่ามีความจำเป็นที่จะปลูกสร้างอะไรเป็นสาธารณประโยชน์เราก็ยังให้ ที่อื่นเราก็ให้อยู่แล้ว ที่ว่างอยู่นั้นเราก็พร้อมที่จะให้ อันไหนจำเป็นให้ๆ ไปหมดเลย

ที่อยู่แถวบริเวณเราดูแลทั่วถึงเราให้ทั้งนั้น เบิกให้ๆ ไปหมดเลย ที่วัดนี้ก็ย่นเข้ามาให้ทางเบิกกว้างออกไป ถ้าเป็นเรื่องสาธารณประโยชน์เราสงวนมากนะ เช่นอย่างพวกด่านพวกอะไรอย่างนี้ คิดดูซิที่ด่านน้ำหนาวมีอยู่สองด่าน เขารักษาสาธารณสมบัติของชาติ ป่าสงวน เขารักษาป่า เขามีด่านรักษาอยู่สองด่าน เราไปส่งอาหารให้ทุกเดือน เริ่มแรกก็เราไปสร้างตึกโรงพยาบาลอำเภอหล่มสัก เราเดินทางผ่านไปผ่านมาดูสภาพของเขา รู้สึกว่าแร้นแค้นกันดาร แต่เขามาอยู่ด้วยความจำเป็น เราส่งให้ทุกเดือนจนกระทั่งทุกวันนี้ ให้ทุกเดือนเลยสองด่าน ใส่ของไปเต็มรถ แบ่งให้สองด่าน ด่านหนึ่งมีกี่ครอบครัวๆ และปัจจัยให้ครอบครัวละ ๖๐๐ จากนั้นก็พวกข้าวสารพวกอะไรเป็นประจำทุกเดือนไม่ขาด

แม้แต่เขาใหญ่ที่ปราจีนบุรี ถ้าเราไปกรุงเทพเราก็ไป เราว่างเมื่อไรเราก็ซื้อของไปเต็มรถ ไปเทลงด่านที่ขึ้นเขาใหญ่ อย่างนั้นละถ้าเป็นสาธารณประโยชน์เราสงวนมาก เราช่วยเราสนับสนุน ที่ไหนๆ เราซื้อไว้มีน้อยเมื่อไร ช่วยที่เขาจนตรอกจนมุม เราไปซื้อให้ๆ แล้วออกทำเป็นสาธารณประโยชน์ต่อไปๆ เขาขายแล้วเขาก็ไปซื้อที่ใหม่ตามความต้องการของเขา เราซื้อให้ด้วยความเมตตาแล้วเอาที่เหล่านี้ทำเป็นสาธารณประโยชน์ เป็นหลายอย่างในหมู่บ้าน โรงร่ำโรงเรียนอะไร เราสละให้หมด โรงเรียนแต่ละแห่งๆ เราสร้างให้ไม่ทราบว่ากี่หลัง ในหมู่บ้านตาดนี้ก็สามสี่หลังโรงเรียนใหญ่ๆ นะ สร้างให้ทั้งนั้น มองไปแทบจะไม่มองเห็นฝีมือของชาวบ้าน เห็นตั้งแต่ฝีมือของวัด ออกไปนู้นก็สร้างให้ โรงเรียนมัธยมเราสร้างให้ เราทำประโยชน์ให้โลกตลอดมาอย่างนี้ เราไม่เคยหวังอะไรเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ถ้าว่าซื้อก็ซื้อด้วยความเมตตา เป็นอย่างนั้นมาตลอด

ตามสายทางถ้าหากว่าไม่เสียเวลาเรานี้ ดูจะไม่ถึงไหนละนะ จะลงไปซื้อแถวนั้นทั้งนั้น เขาตั้งร้านค้าอยู่ที่ไหนเราจะไปซื้อ ซื้อเอาบ้างไม่เอาบ้าง แต่เงินให้เต็มสัดเต็มส่วน ให้เพิ่มๆ เรื่อยไป อย่างนี้ตลอดนะเราไปไหน แต่นี้มันจะเสียเวลา มองเห็นสงสารแล้วก็ผ่านไป เสียเวลาของเราที่จะไปข้างหน้า ถ้าพอมีเวลาบ้างก็แวะซื้อ ซื้อบางทีไม่เอา ให้แต่เงินแล้วไปเลย เป็นยังไง นี่ละอำนาจแห่งความเมตตา ท่านทั้งหลายดูเอานะ เราช่วยโลกนี้เราช่วยด้วยความเมตตาล้วนๆ เสียงจะแผดขนาดไหนก็ตาม เด็ดเดี่ยว แผดขนาดไหนก็ตาม จะไม่มีกิเลสเข้าไปแทรกเลย มีแต่อำนาจแห่งความเมตตา พูดเป็นธรรมล้วนๆ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกไปเลย เรื่องของธรรมจะไม่อ่อนต่อสิ่งใดที่ไม่ถูก ถ้าถูกแล้วยอมรับทันที ถ้าไม่ถูกตัดขาดไปเลยๆ อย่างนั้นละ

พูดถึงเรื่องที่เราก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา ที่ไหนๆ โอ๋ย กว้างขวางมาก สำหรับวัดนี้ซื้อที่ให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ และเป็นประโยชน์แก่เจ้าของเขาเองมากมาย ถนนหนทางกว้างออกมานี้ใครไม่เห็นแต่ก่อน ความจริงก็คือเราซื้อเบิกออกทั้งหมดให้เป็นทาง ซื้อของเขาซื้อแพงๆ อย่างนั้นตลอดมา ให้เป็นประโยชน์แก่โลกเราเป็นที่พอใจ วันไหนไม่ได้ทำประโยชน์ให้โลกเหมือนว่าไม่มีนะ แต่วันไหนได้ทำน้อยรู้สึกไม่สบายใจเลย เป็นอยู่ในจิตนี้ ถ้าได้ทำให้เต็มเหนี่ยวๆ ไอ้เรื่องหมดเรื่องยังอย่ามาถามเลย ไม่สนใจ อันนั้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอา เรื่อยไปเลย ไปตามถนนหนทางนี้เป็นเหมือนแม่ครัว กวาดขึ้นใส่รถๆ จนกระทั่งรถจะไปไม่ได้แล้วเอาละไป เป็นอย่างนั้นตลอดมา นี่ละอำนาจแห่งความเมตตาสงสาร ไปที่ไหนเบิกกว้างไปหมด

ความคับแคบตีบตันไปไหนไม่ได้นะ เจ้าของปิดทางเจ้าของ แล้วปิดทางการสงเคราะห์ของคนอื่น เขาจะได้กับเรานี้ไม่ได้ ความตระหนี่มันเอารัดเอาเปรียบ ความตระหนี่นี้มีแต่ความเอารัดเอาเปรียบ ความเสียสละ ความเมตตาสงสารมีแต่เบิกกว้างออกด้วยความเสียสละ เงินอยู่ในกระเป๋าของเรามีเท่านี้บาท มันก็อยู่เฉยๆ ธรรมดา พอยื่นออกไปให้เด็กคนนี้ห้าบาท คนนี้ห้าบาท เราดูสีหน้าเด็กก็รู้ เด็กมีความยิ้มแย้มแจ่มใสไปหมด จากเงินในกระเป๋าของเรา อยู่ในกระเป๋าของเราก็ไม่เห็นยิ้มแย้มอะไรใช่ไหมล่ะ พอยื่นออกไปให้คนนั้นคนนี้แล้วยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด เห็นไหม นี่ประโยชน์เห็นอย่างชัดเจน ไปที่ไหนยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกกว้างออกไปเรื่อยๆ นี่ความเสียสละ

ความตระหนี่ถี่เหนียวไปที่ไหนคับแคบตีบตัน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม แม้เป็นฆราวาสก็ตามนะ ถ้าใครคับแคบตีบตันเพื่อนฝูงไม่ค่อยมี ถ้าใครเป็นผู้มีนิสัยกว้างขวาง จะเป็นคนมีคนจน เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม เพื่อนฝูงมีมาก ผิดกับคนคับแคบตีบตันอยู่มากทีเดียว นี่อำนาจแห่งความเสียสละ มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยกัน ความเสียสละเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่อยู่ด้วยเห็นแก่ได้แก่เอาอย่างเดียว อย่างนี้อยู่ด้วยความคับแคบ เดือดร้อนวุ่นวาย เหมือนหนึ่งว่าไม่มีความหมายในมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ถ้าอยู่ร่วมกันด้วยความเสียสละ ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ใจเขาใจเราหวังพึ่งผู้อื่นเหมือนกัน แม้แต่เศรษฐียังต้องวิ่งพึ่งคนงานคนการที่เขามาทำงาน คนงานนั่นแหละหนุนเงินทองให้เป็นเศรษฐี เศรษฐีเลี้ยงคนงาน นั่น ต่างคนต่างมีน้ำใจต่อกันอยู่ด้วยกันได้ สุดท้ายก็กลายเป็นพ่อแม่กับลูกไป

ยกตัวอย่างเช่น รถเมล์ขาวแต่ก่อน คุณหญิงเลอศักดิ์เป็นเจ้าของบริษัทรถเมล์ขาว แล้วนิมนต์เราไปฉันที่นั่น ตอนนั้นพวกรถเมล์ต่างๆ เดินขบวนกันหรือว่าคัดค้านต้านทานนายจะตายไปละ ยุ่งไปหมด แต่สำหรับบริษัทรถเมล์ขาวนี้ไม่มี เราก็ถามเหตุถามผล เป็นเพราะเหตุไรจึงไม่มี เพราะบริษัทนี้เลี้ยงเหมือนเลี้ยงลูกเลย พวกคนงานต่างๆ ที่อยู่ในนี้เหมือนลูกเต้าของเรา เจ็บไข้ได้ป่วยส่งเข้าโรงพยาบาล เราจ่ายให้หมดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรขาดเขินบกพร่อง ทางนี้สงเคราะห์เหมือนกันกับลูกเต้าในครอบครัวของเรา เพราะฉะนั้นจึงไม่เกิดอะไรขึ้นมา บริษัทนี้สงบเงียบ ไม่มีลูกน้องที่จะก่อหวอดนั้นก่อหวอดนี้ นี่ก็เพราะความเสียสละนั่นเอง

เหตุที่เราจะจำชื่อได้ก็คือเราไปฉันที่บ้านเขา เขาพูดถึงเรื่องความเสียสละที่มีต่อบริษัทบริวาร บริษัทบริวารก็ไม่มีอะไรกับนายเพราะเลี้ยงดูสมบูรณ์พูนผล เจ็บไข้ได้ป่วยนี้ส่งให้หมอ ทางบริษัทเป็นผู้จ่ายให้หมด นั่น แล้วเขาจะมาทวงหาอะไรใช่ไหมล่ะ ก็เมื่อจำเป็นนายช่วยทั้งนั้นๆ นี่ละความเสียสละ อยู่ด้วยกันที่ไหนดีหมดมนุษย์เรา จงพากันให้เห็นใจกันนะมนุษย์อยู่ด้วยกัน เด็กก็มีหัวใจ ผู้ใหญ่มีหัวใจ แม้ที่สุดหมาก็มีหัวใจ สัตว์ต่างๆ มีหัวใจ อย่าไปเบียดเบียนทำลายเขา ที่ควรสงเคราะห์ก็สงเคราะห์กันไป มนุษย์เรามีความจำเป็นที่จะหวังพึ่งกันตลอดเวลา ส่วน อตฺตา หิ อตฺตโน  นาโถ ที่จะพึ่งตนเองนี้มีน้อย

ความพึ่งตนเองก็เป็นพื้นฐาน แต่ความหวังพึ่งผู้อื่นนี้หวังอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่เศรษฐียังหวังพึ่งคนงาน คนงานก็หวังพึ่งเศรษฐี แยกกันไม่ออกนะ เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เห็นใจกัน อย่าเห็นแก่การเอารัดเอาเปรียบ การรีดการไถ การคดการโกง นั้นเป็นอุบายของคนขวางโลก เป็นอุบายสร้างความชั่วใส่ตัวเอง ปักขวากปักหนามกั้นทางตนเองให้ก้าวไม่ออก ถ้าความเสียสละ ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันนี้มันเบิกกว้างออกเองอย่างนั้นละ

เรื่องน้ำใจเป็นของสำคัญ สมบัติเงินทองข้าวของขึ้นอยู่กับน้ำใจ ถ้าน้ำใจไม่มี สมบัติก็ไม่มีคุณค่า ถ้าน้ำใจมีแล้วสมบัติกลายเป็นของมีคุณค่าไปหมดจากน้ำใจที่มีคุณค่า น้ำใจมีคุณค่าก็คือเฉลี่ยเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สมบัติสิ่งของที่ได้มามากน้อยจะทำอะไรพิจารณาเสียก่อน อย่าจ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายลืมเนื้อลืมตัว ว่าตัวมีเงินมากแล้วจ่ายสุรุ่ยสุร่ายนี้เสียคน ลืมตัว เจ้าของผู้มีเงินก็ลืมตัว เสียคน

ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐีสามสกุล เขาเรียกว่าเศรษฐี เพราะมีเงินมากสามสกุลนี้มีเงินมีทองแล้วลืมเนื้อลืมตัว เอาเงินของตัวนี้ไปทำความเสียหายแก่ตัวด้วย ทำความเสียหายแก่ครอบครัวอื่นๆ ด้วย ให้กระทบกระเทือนไปหมดเลย เอาเงินนี้ไปจ้างผู้หญิงลูกใครหลานใครเมียใครมาบำรุงบำเรอตน ครอบครัวเขาเดือดร้อน ระหว่างผัวเมียกระทบกระเทือน ครอบครัวแต่ละครอบครัวที่เศรษฐีเหล่านี้เข้าไปทำลายด้วยความลืมตัว เอาเงินไปโปะลงๆ ใครก็ต้องเห็นแก่เงิน ทีนี้คนก็เสียเพราะความเห็นแก่เงินนั้นแหละผู้เสียก็ดี เลยเกิดทะเลาะเบาะแว้ง เศรษฐีทั้งสามสกุลนี้พอตายแล้วบึ่งลงนรกเลย

ตกนรกจากพื้นนี้ลงไปถึงก้นนรก เสวยทุกข์ไปตั้งแต่นี้ถึงก้นนรก ๖ หมื่นปี แล้วอยู่ใต้ก้นนรกอีก ๖ หมื่นปี จากก้นนรกขึ้นมาอีก ๖ หมื่นปี สามหกสิบแปดหมื่นปี พอโผล่ขึ้นมาถึงผิวพอจะบรรเทาทุกข์ได้นิดหนึ่งเท่านั้น ลงแล้วๆ กล่าวคาถา ๔ คาถาไม่จบ ท่านแสดงไว้ในบาลีว่า ทุ สะ นะ โส

ทุนั่นคือ ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา    เยสํ โน น ททามฺห เส

วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ           ทีปํ นากมฺห อตฺตโน

        กล่าว ทุ คำเดียวนี้ไปถึงจบบาทคาถาพูดไม่จบ ได้ ทุ คำเดียว ลงแล้ว

         สะนี่ก็คือ สฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ                ปริปุณฺณานิ สพฺพโส

นิรเย ปจฺจมานานํ    กทา อนฺโต ภวิสฺสติ

กล่าวได้ สะ คำเดียวลงแล้ว

นะนี่หมายถึง นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต        น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ

ตทา หิ ปกตํ ปาปํ    มม ตุยฺหญฺจ มาริสา

กล่าวได้ นะ คำเดียวลงแล้ว ยังไม่ถึงคาถาจบ ท่องคาถายังไม่จบ

โส นั่นก็ โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา      โยนึ ลทฺธาน มานุสึ

วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน  กาหามิ กุสลํ พหÿ

อันนี้กล่าว โส ได้คำเดียวลงแล้ว ๖ หมื่นปีๆ ตลอดเวลา ขึ้นมาเพียงจะสวดคาถาเดียวไม่จบ ได้ ทุ คำเดียว คาถาเต็มว่า

ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา     เยสํ โน น ททามฺห เส

วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ   ทีปํ นากมฺห อตฺตโน

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีชีวิตอยู่ มัวแต่ประมาทลืมเนื้อลืมตัว แม้สมบัติมีอยู่ถึงขั้นเศรษฐีก็ไม่นำไปทำประโยชน์ มีการทำบุญให้ทาน สงเคราะห์โลกสงสารแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นชีวิตของพวกเราทั้งหลาย จึงเป็นชีวิตที่ชั่วช้ามากที่สุด นี่แปลออก

สะ นี่คือ สฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ         ปริปุณฺณานิ สพฺพโส

นิรเย ปจฺจมานานํ    กทา อนฺโต ภวิสฺสติ

กล่าวได้เพียง สะ ลงแล้ว เมื่อเราถูกไฟไหม้อยู่ในแดนนรกตั้ง ๖ หมื่นปี คือลงไปก็ ๖ หมื่นปี อยู่ก้นนรกก็ ๖ ขึ้นมาก็ ๖ หมื่นปีบริบูรณ์ แล้วที่สุดแห่งทุกข์เหล่านี้เมื่อไรจะปรากฏ จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเหรอ

นะ นี่คือ นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต     น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ

ตทา หิ ปกตํ ปาปํ    มม ตุยฺหญฺจ มาริสา

เรื่องที่สุดแห่งทุกข์นั้นไม่มี เพราะพวกเราทั้งหลายได้ทำบาปทำกรรมมาแล้วตั้งแต่สมัยนั้น จึงไม่มีเรื่องที่สุดแห่งทุกข์

โส นี่คือ โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา      โยนึ ลทฺธาน มานุสึ

วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน  กาหามิ กุสลํ พหÿ

เมื่อพ้นจากนรกนี้ไปแล้วได้กำเนิดเป็นมนุษย์ เราจะเป็นผู้ไม่ประมาทเหมือนที่เป็นมาแล้วนี้ จะถึงพร้อมด้วยศีล จะทำกุศลให้มากมูนแน่นอน พูดอย่างยืนยันตัวเองว่าจะทำกุศลให้มากมูนแน่นอน มียิ้มนิดหนึ่งที่ว่า ได้พ้นจากนี้แล้วจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ในวันพรุ่งนี้ แล้วจะได้สร้างบุญกุศลอย่างมากมูนในวันพรุ่งนี้ ยิ้มนิดหนึ่ง เพราะอันนี้มันทุกข์มากแสนมาก จะได้เป็นมนุษย์เท่านั้นก็ยิ้มแล้ว เหมือนจะได้เป็นในวันพรุ่งนี้ แต่ป่านนี้ก็ยังไม่ได้ขึ้นมาเป็นมนุษย์ พิจารณาซิ นี่ละความประมาท สมบัติเงินทองมีมากไม่รู้จักใช้ก็มาเป็นภัยแก่ตัวเอง เป็นภัยแก่ผู้อื่นด้วย ให้พากันพินิจพิจารณา

ได้มาเพื่อความจำเป็น พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่างจะทำอะไร อย่าสุรุ่ยสุร่าย อย่าลืมตัวว่ามั่งว่ามีว่าจะไม่หมดไป หมดได้ด้วยกัน น้ำลำคลองยังหมดได้ เงินเราไม่ใช่น้ำมหาสมุทรจะไม่หมดได้ยังไง ต้องนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เรา อะไรที่จะทำประโยชน์ให้โลก สมบัติที่เป็นความดีงามที่ทำประโยชน์ให้โลก กลับมาเป็นของตัวเอง หนุนตัวเองขึ้นอีก เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าสมบัติเหล่านี้เอาไปทำความเสียหายแก่ตน กลับมาเป็นภัยแก่ตนและเป็นภัยแก่ผู้อื่นด้วย พากันจำเอานะทุกคน

ทองคำที่เป็นน้ำไหลซึมนี้ก็กรุณาทราบทั่วหน้ากัน เราเป็นเจ้าของสมบัติของชาติคือคลังหลวงของเรา ขอให้ได้ทองคำเป็นประเภทไหลซึมเข้ามาเรื่อยๆ  เพราะทองคำเรายังขาดมากอยู่ในคลังหลวง ที่ได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วเราก็ยังไม่จุใจ เพราะทองคำบกพร่องอยู่มาก จึงได้บิณฑบาตหรือขอร้องหรือออดอ้อนกับพี่น้องทั้งหลาย ให้เห็นจิตใจของชาติไทยเราคือคลังหลวง ให้อุตส่าห์พยายาม ได้มาคนละเล็กละน้อย หลายครั้งหลายหนมันก็มากเอง เวลานี้ก็ได้ ๒๐ กว่ากิโลแล้วทองคำประเภทน้ำไหลซึม ต่อไปก็มากขึ้นๆ พอหลอมเราก็จะหลอมแล้วเก็บไว้ พอที่จะมอบเราก็มอบตามเดิม กรุณาทราบตามนี้ด้วยกัน

(วัดป่าภูสอยดาวกับวัดป่าภูกระไดม้า ถวายปัจจัย ๑๖,๕๐๐ บาท)

(พนักงานสอบสวนสภอ.อุดรธานี อยู่กองเมือง ขอเมตตารถยนต์สองคัน มีความจำเป็นมากครับ) อันนี้ก็จำเป็นมาก ไม่มีเงิน ยังไม่ให้ เพราะหนักมาก หนักจริงๆ ตึกก็หกเจ็ดหลังใหญ่ๆ กำลังสร้าง รถยนต์ก็ส่งไปให้ทางนั้นทางนี้ ให้ไม่ทัน เราหนักมากตลอด นอกจากหนักมากแล้วยังติดหนี้เขาก็มี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ติดหนี้เขานะเศรษฐีบัว เขาร่ำลือว่าหลวงตาบัวนี้มีเงินถึงขั้นเศรษฐี เพราะคนเคารพนับถือมาก อย่างมานี้เห็นกันทั่วหน้า คนนั้นให้เท่านั้น คนนี้ให้เท่านี้ เห็นกันทั่วหน้า แต่เวลาหลวงตาบัวเขียนเช็คนั้นน่ะเขาไม่เห็น เช็คใบหนึ่งหลายแสนบาท หลายล้านบาท ส่งทางโน้นทางนี้ตลอด อันนี้เขาไม่เห็น ประตูออกเขาไม่เห็น เห็นแต่ประตูเข้าทั่วหน้ากัน ก็ต้องเหมาละซิว่าหลวงตาบัวมีเงินมาก

ทางนี้มาขอรถ หลวงตาก็มีความจำเป็นตรงหาเงินไม่ได้ อันนั้นชำรุดอันนี้ชำรุด รถก็ชำรุดสองคันสามคัน หลวงตาก็ชำรุดไม่มีเงินจะให้ ต้องสอดแทรกหากระเป๋านั้นกระเป๋านี้ ไม่ทราบจะได้มาสักกี่สตางค์มาซ่อมพอได้รถ ปัญหาอยู่ตรงนี้ จึงยังให้ไม่ได้เดี๋ยวนี้ (เข้าคิวไว้ก่อนได้ไหมครับ) ไม่ให้เข้า เข้าแล้วก็มามัดคอหลวงตาละซี ไม่เอา หลวงตาจะพิจารณาตามเหตุผลที่สมควร ควรตูมตูมเลย ถ้าเหตุผลจำเป็นจริงๆ ที่ควรจะตูม ไม่ต้องมีใครบอก ผางทันที ถ้าควรจะรอก็รอไปอย่างนั้นละ เวลานี้กระดุกกระดิกไม่ได้เลย

ผ้าป่าหน้าศาลาวันที่ ๔ ธันวา ๔๗ ได้ ๑๔,๓๗๙ บาท ทองคำ ๕ บาท เอ้าสาธุ (สาธุ) สมบัติเหล่านี้ออกช่วยชาติทั้งนั้นละนะไม่ไปไหน หลวงตาไม่เคยแตะแม้บาทหนึ่ง แม้แต่เขามาถวายเรานี้ก็แบบเดียวกันเลย เราไม่เคยสนใจกับเงินกับทองอะไร เพราะเหลือเฟือ ฉันจังหันให้ตายก็ได้มันท่วม เข้าใจไหม ผู้อดอดจะตาย คิดอย่างนั้นซิ เพราะฉะนั้นจึงออกๆ ตลอดเลย มีเท่าไรออกหมดเพื่อโลกเพื่อสงสาร ตายไปแบบเปล่าๆ แหละเรา ไม่เอาอะไรติดไปเลย ไม่เอาทั้งนั้น แดนสมมุตินี้ปัดหมดโดยสิ้นเชิง ในหัวใจไม่มีเหลือ เหลือแต่รูปร่างกับความเมตตาที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยและทั่วโลกอีกด้วย มีเท่านั้นที่เหลืออยู่

หลวงปู่ลีหรือธรรมลี วัดถ้ำผาแดง ทองคำ ๕ บาท ๘๔ สตางค์ เงินสด ๒๔๙,๐๑๐ บาท เช็ค ๘๖,๙๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๓๕,๙๑๐ บาท ดอลลาร์ ๘๐ ดอลล์ เอ้าสาธุ (สาธุ) ธรรมลีนี่เศรษฐีธรรมนะ เก็บอยู่เงียบๆ ออกมาจึงจะรู้ ออกมาจากเศรษฐีธรรม ธรรมพอในใจแล้วอันนี้ออกช่วยโลก เราจึงเรียกว่าเศรษฐีธรรม

คณะลูกศิษย์หลวงปู่เจี๊ยะพร้อมแหวนอีกหนึ่งวง ทำบุญทอดผ้าป่าหลวงตาบัวรวมเป็นเงิน ๘๔,๐๐๐ บาทแล้วต่อยอดอีก ๘,๘๒๐ บาทรวมทั้งหมดเป็น ๘๕,๓๒๐ บาทกับแหวนอีกหนึ่งวง สาธุ(สาธุ) นี่เป็นของอาจารย์เจี๊ยะ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก