ที่กรรมฐานรู้ภูมิกัน
วันที่ 3 เมษายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

ที่กรรมฐานรู้ภูมิกัน

สรุปทองคำวันที่ ๒ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑ กิโล ๘ บาท ๒๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๗๑ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น เวลานี้ได้เข้ามอบแล้ว ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ฝาก ๑,๐๒๕ กิโล รวมทองคำที่มอบไว้และฝากไว้ทั้งสองนี้เป็น ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากการฝากและมอบแล้ว ซึ่งจะนำไปหลอมจำนวน ๔ พันกิโลนั้น เวลานี้ได้แล้ว ๒๙๒ กิโล ๘ บาท ๒๔ สตางค์ อันนี้ถ้าถึง ๔๐๐ กิโลก็ให้หลอม แต่เราไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์มันละ ค่อยเดินไปเรื่อย ครบเมื่อไรเราก็หลอมไปเรื่อย

แต่การหลอมทุกครั้งต้องเผื่อเอาไว้ตั้ง ๑๘-๑๙ กิโล เช่น ๔๐๐ ต้องเป็น ๔๑๘-๑๙ กิโล เวลาหลอมแล้วมันค่อยหลุดหายไปทองที่สับปนกันมาประเภทต่าง ๆ เวลาหลอมเข้าเป็นทองแท้แล้วมันก็ขาดหลุดไป ตั้ง ๑๘-๑๙ กิโล ในจำนวน ๔๐๐ กิโลนี้ขาดไปถึง ๑๘-๑๙ กิโล หากเป็นทองแท่ง ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร หลอมปุ๊บเข้าเต็มเหนี่ยวเลย แต่พวกแหวนพวกประเภทต่าง ๆ ว่างั้นเถอะ มันหลุดออก ๆ จึงต้องได้เผื่อไว้เสมอ เวลานี้ก็ได้แล้วตั้ง ๒,๐๖๒ กิโลครึ่งแล้ว จำนวนนี้เป็นทองคำล้วน ๆ แล้ว ๒,๐๖๒ กิโลครึ่งนี่ คือหลอมเรียบร้อยแล้ว ได้มอบและฝากไว้แล้วอันนี้ ยังอยู่ข้างหลังก็พวก ๒๙๒ กิโลนี้จะหลอมเข้าไป ๆ

เมื่อวานนี้ใช่ไหมที่ไปภูเรือ (ครับ) อย่างนั้นละไปไหนมาแล้วลืม ข้างหลังตัดเข้า ๆ ไปเมื่อวานมาวันนี้ระลึกไม่ได้นะ ตัดเข้า ๆ เดี๋ยวฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยแล้วนี้ ตอนบ่าย ๕ โมงเย็นระลึกไม่ได้แล้วสะพายบาตรเข้าไปในบ้านนี่นะ เขาไม่มีข้อแก้ตัวเขาก็จะหาหมากหาพลูมาใส่บาตรให้พอแบกหน้ากลับคืนได้ อ้าว มันหลงลืมว่าไง ฉันตอนเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่าย ๔ โมง ๕ โมงก็จะว่า โอ้ ได้เวลา ๗ โมงเช้าแล้วพอบิณฑบาตแล้วก็บึ่งบั่ง ๆ ไปเลย เป็นได้ ตั้งแต่หลวงพ่อที่อยู่วัดศรัทธารวม โคราช ก็ยังเป็นที่เคยเล่าให้ฟัง พระก็เป็นพระพวกคุ้นกันพูดหยอกเล่นกันละซี กลางคืนวันพระท่านไม่นอนทั้งคืนท่านภาวนา ท่านอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวม แต่ก่อนมี ๒ วัด วัดป่าสาลวัน วัดป่าศรัทธารวม

วัดป่าสาลวัน ท่านอาจารย์สิงห์เป็นสมภาร วัดป่าศรัทธารวม ท่านอาจารย์มหาปิ่น เป็นน้องชายเป็นสมภาร ทั้งสองวัดนี้สงัดมาก อยู่ในป่าจริง ๆ สำหรับวัดศรัทธารวม เป็นป่าลึก ๆ ไปตั้งกิโลกว่า อยู่ในโคก ทีนี้วันพระท่านก็ภาวนาเดินจงกรมอะไรพระองค์นั้นไม่นอน ฟังว่าหลวงพ่อว่างั้นนะ มีครอบครัวมาแล้วมาบวช เร่งความเพียร แต่คงไม่แก่เท่าไร ไม่นอนทั้งคืน กลางวันมานั่งภาวนา ว่าจะเอนกายสักหน่อย มานั่งภาวนากลางวันไม่นอน เพราะกลางคืนก็ไม่นอนแล้วนี่ กลางวันก็เป็นเวลาสำคัญมาก ง่วงว่าจะเอนกายสักหน่อย พอเอนกายไม่ใช่เอนกายมันเอนตายไปเลย หน้าต่างกุฏิอยู่เตี้ย ๆ มองเข้าไปก็เห็น กุฏิไม่สูงนี่ สูงประมาณสักเมตร เมตรกว่าเล็กน้อย หรืออย่างมากดูไม่เลยเมตร ๕๐ ส่วนมากจะเมตร ๓๐-๔๐ เซนต์กุฏิกรรมฐาน กระต๊อบ ๆ ที่วัดศรัทธารวมเป็นกระต๊อบ เป็นแต่เพียงว่าเป็นไม้เนื้อแข็ง ๆ ไม่ใช่กระต๊อบแบบวัดป่าบ้านตาดเราซึ่งฝานี้มีตั้งแต่พวกจีวรขาด มันต่างกัน ฝานั่นเป็นฝาแอ้มไม้ธรรมดา

นอนหลับครอก ๆ บ่าย ๔ โมงเย็นซี ถึงเวลาพระปัดกวาดท่านก็ปัดกวาดลงมา ๆ พอปัดกวาดลงมาหาหลวงพ่อองค์นี้ เห็นเงียบ ๆ บริเวณนี้ไม่เห็นออกปัดกวาด พระองค์นั้นก็เลยปัดกวาดเข้ามา มาเห็นกุฏิเงียบ ๆ บริเวณนี้ก็ไม่เห็นปัด ก็เลยโผล่เข้าไปดูหน้าต่าง ทางนั้นยังหลับครอก ๆ ซี ทางนี้ก็พูดขึ้น ก็พวกเดียวกันถือกันอะไร มันยังไงนี่ตื่นสาย ไม่ใช่เขาไปบิณฑบาตกันแล้วเหรอนี่ ทำไมมาหลับครอก ๆ นี้มันจะทันบิณฑบาตเขาเหรอ ทางนี้พูดเล่นนี่นา ทางนั้นเอาจริงเอาจัง พอว่าแล้วก็ปัดกวาดเรื่อยไปองค์นี้ก็ดี ไม่ได้สำคัญอะไรนะ ก็พูดเล่นว่างั้นเถอะ ก็ไม่ได้นึกว่าพระองค์นั้นจะเป็นบ้ากับเรื่องเล่นไป องค์นี้ปัดกวาดออกไปที่หน้าศาลา ขอบเขตของวัดที่ปัดกวาด พระองค์นั้นก็ปัดกวาดไป

หลวงตาองค์นี้พอตื่นลุกขึ้นมาก็คึกคัก สะพายบาตร แบกจีวรตรงไปศาลาเลย กลัวไม่ทันเวลาบิณฑบาตซี ไปนี้ก็บันดลอีกแหละ พระองค์เก่านั่นละ ปัดกวาดเรียบร้อยแล้วมาศาลา พระองค์นี้ก็ครองจีวรสะพายบาตรลงไปยืนอยู่บันได ครูบา ๆ คือองค์พูดหยอกเล่นนี่พรรษาแก่กว่าหน่อย ครูบา ๆ พระองค์นั้นก็เดินมา องค์นี้ก็ยืนอยู่แล้ว ครูบาพระท่านบิณฑบาตกันหมดแล้วเหรอว่างั้นนะ สะพายบาตรอยู่นั้น มาก็องค์เก่านั่นแหละ องค์เคยดัดกันนี่ มันยังไงหลวงตาองค์นี้มันจะเป็นบ้าแล้วเหรอ ขึ้นแล้วนะที่นี่ จะบิณฑบาตยังไง นี่มันพึ่งบ่าย ๔ โมง ปัดกวาดบ่าย ๔ โมงทำไมเป็นบ้าจะไปบิณฑบาต หือ อย่างนั้นเหรอ ไม่ทราบว่ายังไงแล้ว ถ้าอยากเป็นบ้าไปบิณฑบาตก็ไป โอ๋ย ก็เผ่นกลับกุฏิล่ะซี

นี่เป็นเรื่องสด ๆ นะ สด ๆ ร้อน ๆ นี่เวลามันเผลอก็เผลอได้อย่างนั้น คนหนึ่งหลับครอก ๆ คนหนึ่งไปพูดตลก เวลาบ่าย ๔ โมง ๕ โมงปัดกวาดตอนเย็นใช่ไหมล่ะ มันคล้ายกับตอนเช้าล่ะซี ดูตะวัน ๗ โมงเช้ากับ ๕ โมงเย็นจะเข้ากันได้เหรอ ท่านก็ไปนะ นี่ก็กลัวจะบึ่งบั่งละซี ไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน มันลืมแล้วนี่ ฉันตอนเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วลืม ระลึกได้เมื่อไรก็สะพายบาตรออกไปซี

วัดศรัทธารวมนี้เป็นป่าช้า คือป่าช้าไม่ได้อยู่ในวัดนะ อยู่ทางเข้ามา แถวนั้นไม่มีใครกล้าไป มันเป็นป่าช้าด้วย เป็นป่าเต็มไปหมดไม่มีบ้านคน ใครไม่กล้าไปกัน แม้แต่กลางวันก็ไม่กล้าไป คือมันเงียบสงัด มันเป็นป่าเป็นทางไปเลย วัดอยู่ลึก ๆ แต่เวลานี้ไปดูซิ เราจำไม่ได้เลยนะวัดศรัทธารวมนี่ พอไปโคราชคราวที่แล้วนี่ เขามานิมนต์ไปเทศน์ คือเจ้าคุณพุธ เสียแล้ว เผาศพเรียบร้อยแล้วก่อเจดีย์เป็นอนุสรณ์ของท่าน เขาจะหาเงินมาก่อเจดีย์ ให้มีงานขึ้น งานทอดผ้าป่าเพื่อสร้างเจดีย์วัดป่าสาลวัน โดยอาจารย์มหาบัวเป็นองค์แสดงธรรม เขามานิมนต์เราเรารับ นั่นละไปแสดงธรรม ไปวัดศรัทธารวมดูมันเป็นครั้งนั้นหรือครั้งไหน ไปไม่รู้เลยนะ เป็นคนละโลกไปเลยเทียวกับคำว่าวัดศรัทธารวมอยู่ในป่า ไม่มีป่าเลย เป็นบ้านคนตลอดเลย ดูสภาพเป็นบ้านคนไปหมดแล้ว

ที่วัดศรัทธารวมเราก็เคยอยู่ วัดสาลวันก็เคยอยู่ เข้า ๆ ออก ๆ พักก็พัก ไป ๆ มา ๆ สองวัดนี่ เวลานี้เปลี่ยนแปลงหมดแล้ว ทอดผ้าป่าคราวนั้นก็ได้เงินตั้งหลายล้านนะ ดูว่า ๒ ล้าน ๗ แสน สองล้านกว่า ที่เราไปเทศน์ให้วันนั้น ก่อเจดีย์เจ้าคุณพุธ ได้เงิน ๒ ล้าน ๗ แสน ไปเทศน์นั้นกลับมานะไม่ได้ค้าง พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไป พอเที่ยงกว่าปั๊บก็ถึงพอดี บ่ายโมงก็เทศน์ พอเทศน์จบเรียบร้อยแล้วประมาณบ่าย ๔ โมงหรือไง พอบ่าย ๔ โมงกว่ากลับ พอเทศน์จบลงเรียบร้อยแล้วก็นิมนต์เจ้าคณะภาคมาเลย เพราะท่านก็นั่งอยู่ในพิธี ท่านเองมานิมนต์เรานะ ท่านเป็นประธานทางฝ่ายสงฆ์ มีฝ่ายทหารแม่ทัพภาค ๒ มา

มาก็นิมนต์ทั้งเจ้าคณะภาคมา แล้วเชิญแม่ทัพภาคมาอีกฝ่ายทหาร มาก็ชี้แจงให้ทราบ บอกว่าเขากำลังตั้งหน้าจะมาทอดผ้าป่าที่วัด ผมจะไม่รอ พอผมเสร็จนี้ผมก็จะไปเลย จึงเรียนให้ทราบทั้งสองท่านด้วย เจ้าคณะภาคและแม่ทัพภาคทหาร ปัจจัยทั้งหมดไทยทานอะไรที่เขามาถวายนี้ ให้มอบทั้งสองท่านนี้เป็นเจ้าของเป็นประธานรับผิดชอบในนี้ แล้วเขามาถวายเท่าไรมอบหมดเลยนะ แล้วผมจะกลับ จากนั้นก็โบกมือ เอ้า เข้าได้ ก็พรึบเลย ไม่นานเราก็ออกไปเลย คราวหลังมานี้เขาก็รายงานมาถึงได้ทราบนะ เขาได้จำนวนเท่าไร ๆ ดูว่าได้ ๒ ล้าน ๗ แสนกว่าไปช่วยพอพยุงกัน อันนี้เป็นฐานขึ้นเบื้องต้น ได้เงินถึง ๒ ล้านแล้วยังไงก็เป็นไปแน่ ๆ นี่ก็เพื่อพยุงกัน

เพราะเจ้าคุณพุธท่านก็เป็นพระปฏิบัติดี คุ้นกันมากับเรา โอ๋ย คุ้นกันมาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่สมัยเป็นมหาเปรียญด้วยกัน ท่านก็สนใจทางปฏิบัติเรื่อยมาจนกระทั่งท่านจากไป เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ท่านเทศน์ก็มีคมคายเราฟัง พูดให้ฟังเสียจริง ๆ กรรมฐานอ่านภูมิธรรมกันนี้ไม่ได้อ่านยากนะ ขึ้นเทศน์แม้จะเทศน์ประชาชนก็ตาม มันหากมีแย็บออกมาจับจนได้นั่นแหละ แสดงว่าเทศน์มีภูมิ อยู่ในภูมิไหน ๆ มันจะค่อยบอกไปเรื่อย ๆ แย็บออกมาตรงไหน ๆ ออก จะจับไปเรื่อย ๆ คือไม่รู้ออกไม่ได้ ความจริงว่าอย่างนั้นนะ

ธรรมความจริงในหัวใจนี้ เจ้าของไม่รู้แสดงออกไม่ได้ ไม่เหมือนปริยัติ ปริยัติไม่รู้ก็พูดได้ แต่มันพูดอย่างผิวเผินฟังมันก็รู้ พูดแย็บออกมาจากความจริงนิดหน่อยรู้ทันที ๆ เลย นี่ละพระฝ่ายปฏิบัติท่านดูกัน ดูด้วยการสนทนาหรือมีญาณดูกันก็ได้ มันมีอยู่สองสามประเภท ๑) มีจิตส่งดูกันก็ได้ ๒) เวลาสนทนาธรรมะกัน ภูมิอรรถภูมิธรรมก็ได้ ๓) เวลาท่านเทศนาว่าการในที่ต่าง ๆ จับได้ ๆ เป็นสามขั้น อย่างน้อยเป็นสามขั้น พระกรรมฐานท่านคุยกันท่านคุยอย่างนั้นนะ ท่านไม่ได้เอาตำรับตำรามาพูด นั้นเป็นแบบแปลนกางเอาไว้เพื่อจะก้าวเดิน แล้วได้ผลยังไงก็เข้ากันได้กับแปลน ๆ นั่นภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติ ปฏิเวธ สามประเภท

ศาสนาให้สมบูรณ์แบบก็คือมีทั้งปริยัติ การศึกษาเล่าเรียน คือการทำแบบแปลนแผนผัง ภาคปฏิบัติ เอาแบบแปลนนั้นออกมากาง ปลูกขึ้นมาเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา วิชชา วิมุตติ เป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ขึ้นไป แล้วก็เป็นปฏิเวธ ๆ รู้แจ้งเห็นชัดในตัวเอง สนฺทิฏฺฐิโก รู้ประจักษ์ใจ ๆ ว่า ขั้นนั้นภูมินั้น ๆ บรรจุในหัวใจ ๆ ที่ออกมาจากแหล่งคือปริยัติ เมื่อเป็นภาคปฏิบัติมันจะเห็นขึ้นที่ใจ ไม่ได้เห็นขึ้นที่แปลนคือพระไตรปิฎกนะ พระไตรปิฎกมีแต่ชื่อ นั่นแปลน พระไตรปิฎกนั่นแปลนของมรรคผลนิพพาน แปลนนรกสวรรค์ บอกไว้นั้นหมดเลย

ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติตามนั้น เอาแปลนมากางมันก็เหมือนเราปลูกบ้านปลูกเรือนนี่ แปลนชนิดไหน ๆ ปลูกขึ้นมาตามนั้น ๆ อันนี้ก็เหมือนกัน แปลนท่านบอกไว้กว้างขวางสามแดนโลกธาตุ อยู่ในแปลนแห่งพุทธศาสนาของเรานี้หมดไม่บกพร่องนะ มันบกพร่องหรือไม่มีก็เฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ หรือผู้ปฏิบัติไม่สนใจ ถ้าปฏิบัติตามแล้วก็สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับแปลนบ้านแปลนเรือนเขานั่นแหละ เอาแปลนมากางปุ๊บทำตามนั้น ๆ ได้สำเร็จเรื่อย ๆ ไปเลยอย่างนี้ อันนี้เอาปริยัติท่านแสดงไว้ถึงพระไตรปิฎก สำคัญมากก็อภิธรรมปิฎก ยอดของธรรม ยอดของแปลน รวมอยู่นั้นหมดเลย

พระวินัยปิฎกคือกฎหมายพระ กฎข้อบังคับของพระ ท่านเคารพของท่านด้วยดี ในแปลนวินัยพระกฎหมายพระท่านจะสมบูรณ์แบบในตัวของท่านเอง นี่ก็เรียกว่าท่านสร้างแปลนมาตั้งแต่วันบวช ถ้าท่านตั้งใจปฏิบัติตามศีลตามธรรม ศีลห้ามข้อไหน ๆ ท่านระวังรักษาตลอดไป นี่เรียกเป็นภาคปฏิบัติของท่านในศีลของท่าน ตั้งแต่วันท่านเริ่มบวช ทีนี้ภาคสมาธิก็อบรมภาวนาจิตใจเข้าไป นี่ก้าวเข้าภาคสมาธิแล้วนะ ภาคสมาธินี้เรียกว่าเป็นฝ่ายทางด้านธรรมไปแล้วที่นี่นะ วินัยปิฎกนี้คือด้านศีล พระสุตตันตปิฎกบอกเรื่องบาปเรื่องบุญคุณโทษของสัตว์ทั้งหลายที่ทำชั่วแล้วไปอย่างนั้น ๆ ทำดีแล้วไปอย่างนั้น ๆ แล้วพวกเหล่านี้ก็มีทำดีทำชั่ว ผู้ทำดีก็มีธรรมอยู่ในนั้นเสร็จ อันนี้ก็แทรกอยู่ในพระสุตตันตปิฎก คำว่าธรรม ๆ นี่นะ มีอยู่ในพระสุตตันตปิฎกด้วย

พอก้าวเข้าสู่อภิธรรมปิฎกนี้ พูดตั้งแต่สมาธิไปเลย ขึ้นข้ออภิธรรมทั้งนั้น ตั้งแต่ธรรมขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด อภิธรรมเป็นวิถีของจิตโดยตรง พูดนี้ต้องพูดในภาคปฏิบัตินะ เอาปริยัติมาพูดเฉย ๆ ไม่ได้เรื่องแหละไม่ว่าท่านว่าเรา เราไม่ได้ประมาทปริยัติเราก็เรียนมาเหมือนกัน เราเคารพปริยัติตลอดมา นั้นคือแบบแปลนแผนผัง เคารพอยู่ตลอดไม่เคยล่วงเกินฝ่าฝืนเหมือนกัน ทีนี้เวลามาปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนี้ขึ้นมา ศีลก็สมบูรณ์แบบ แล้วไปที่ไหนอบอุ่นตลอดเวลา เพราะเราเป็นตัวศีลทั้งตัวแล้วจะว่าไง แล้วสมาธิภาวนาการอบรมจิตใจก็อบรมตลอด ๆ เรื่องความสงบเย็นใจก็เริ่มขึ้น ๆ นี่รูปร่างของสมาธิจะปรากฏขึ้นแล้ว เรียกว่าการก่อสร้างด้วยการภาวนาของเรา ครั้นปรากฏขึ้น สร้างขึ้นเรื่อย ๆ เขาปลูกบ้านปลูกเรือนเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่เริ่มขุดดินวางรากฐาน ก็ขึ้นของมันเรื่อย ๆ จนกระทั่งสำเร็จ

อันนี้ก็วางรากฐาน พุทโธ ธัมโม สังโฆ กับคำบริกรรมติดแนบ ๆ วางรากฐานพื้นนะ ต้องวางรากฐานด้วยดีผู้ภาวนา สติเป็นสำคัญมากนะ สำคัญทุกขั้นของธรรมทั้งหลายตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งสุดยอดแห่งธรรม สติปราศจากไม่ได้เลย เมื่อเวลาเต็มที่แล้วสติกับปัญญาจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันหมุนติ้วเลย สติปัญญาเป็นอันเดียวกัน เข้าขั้นนี้เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาเป็นอันเดียวกันเลย มันเห็นประจักษ์ในหัวใจซีปฏิบัติ

ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ท้าทายกล้าพิสูจน์ความจริงได้ตลอด ไม่มีอะไรบกพร่องเลย ปฏิบัติเข้าไปซิ มีตั้งแต่เรียนแล้วก็มาเห่าก้อก ๆ แก้ก ๆ ดีไม่ดีมาเป็นข้าศึกต่อธรรมความจริงเสียด้วยนะเรียนมานั้นละ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นมันไม่เชื่อ นั่นเห็นไหมมันเป็นภัยแล้วนั่น เป็นภัยแก่ผู้มืดบอดนั่นแหละ ธรรมนี้ท่านแสดงไว้ด้วยความรู้ความเห็นแจ้งสว่างทุกอย่าง โลกวิทู แสดงไว้หมดแล้ว มันไม่ยอมรับมันก็เป็นข้าศึกต่อตัวเอง มาเห่าศาสนาอีกด้วยซ้ำ สร้างไปซีตั้งแต่สมาธิ เรือนร่างจะเริ่มขึ้นแล้ว สมาธิขั้นใดภูมิใดจะหนาแน่นขึ้นโดยลำดับ ๆ ทางด้านจิตใจ ทีนี้ออกทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์ มันเป็นขั้น ๆ ไปอย่างนั้น การปลูกการสร้างก็เหมือนกัน วันนี้วางรากฐาน อันนี้วางต้นเสา ตรงนั้นวางขื่อวางแป มันก็เป็นขั้น ๆ ของมันไปอย่างนั้น

เรื่องของปัญญาก็เหมือนกัน สมาธิก็ละเอียดไปอย่างนั้น จากนั้นก้าวออกทางปัญญาทีนี้ก็แยกออกละที่นี่ แยกออกเป็นขื่อเป็นแปเป็นต้นเป็นเสาเป็นอะไรแยกออกไปซิ คือแจงเรื่องปัญญา แจงธาตุแจงขันธ์พิจารณาธาตุขันธ์ แบกมาตั้งแต่วันเกิดแบกอะไร ดูซิดูตามความสัตย์ความจริงภาษาของธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมา ภาษาของกิเลสก็แบกผู้แบกคนแบกความสดสวยงดงาม แบกเทวบุตรเทวดา รูปร่างเป็นคนแต่งตัวโก้หรูเหมือนเทวดา ไปที่ไหน โอ๊ย พวกบ้าด้วยกันนี้ โอ๊ย นี่ชื่อเสียงเขาใหญ่โต เขามั่งมีเขามีวาสนาบารมีไปที่ไหน ข้างในมีแต่เปรต ธรรมดูข้างในมีแต่เปรต

นี่ภาษาธรรมแทรกปั๊บเข้าไป ข้างในมีแต่เปรต ประดับประดาข้างนอกด้วยความสวยงาม ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารไปล่ะซี ประดับประดากันออกไป มันไม่ได้ดูความจริง ที่เครื่องประดับประดามันประดับประดาอะไร มันประดับประดากองกระดูก เข้าใจไหม กองเนื้อกองหนังกองปฏิกูลโสโครก ขี้เก่าขี้ใหม่อยู่ในถังอันนี้หมด อยู่ในคนทุกคน ๆ เอาซิถ้าว่าธรรมว่าผิด เอาเปิดออกมาซิเห็นไหมของที่ว่านี่ นี่ธรรมของจริงพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ แต่กิเลสมันปลอมมันไม่ให้เห็น ปิดไว้ ๆ ตดก็ไม่ให้ได้ยินเสียงกัน อายกันตดกัน ทั้ง ๆ ที่มันก็มีอยู่กับทุกคน ตดก็ไม่ได้นะหัวเราะกันลั่นพวกบ้าเราอยากว่างี้ หัวเราะกันหาอะไร นี่ภาษาธรรมฟังซิ

เวลาออกทางด้านปัญญามันจะเข้าของมันหมดนะ มันจะไม่คำนึงว่าสูงว่าต่ำว่าหยาบว่าละเอียด โสโครกไม่โสโครก ความจริงมีอยู่ตรงไหน ธรรมคือสติปัญญาเรียกว่าเป็นน้ำที่สะอาดชะล้างเข้าไป ๆ สะอาดเข้าไปเห็นเข้าไป แจ้งเข้าไป ๆ ตีกระจายออกไปซิที่นี่ ตั้งแต่ขั้นหยาบธาตุขันธ์อันนี้ แยกส่วนแบ่งส่วนออกไปดู ดูตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่พระพุทธเจ้าให้ดูนี้ก่อนนะ ให้ดูอันนี้ไปแล้วให้ลุกลามเข้าไปข้างใน ท่านสอนพระท่านสอนกรรมฐาน ๕ ยังไม่มีเวลามากให้ดูนี้ละ แล้วดูเข้าไป พอถึงหนังแล้วท่านหยุด ตโจ ถึงหนังแล้วหยุดคือยังไง เอาคนทั้งคนลอกหนังออกหมดทุกคนซิดูกันได้ไหม นี่เห็นไหมกระจ่างแจ้งไหมกรรมฐานข้อนี้ แล้วมันจะทะลุถึงข้างในไปหมดเลย สติปัญญามียังไงมันจะแจงของมัน ๆ

เรื่องสติปัญญานี้เอาแน่นอนไม่ได้นะ แยบคายที่สุดคือเรื่องสติปัญญา ขึ้นแต่ละบุคคล ๆ นิสัยวาสนาของใครของเรา จะเป็นอุบายวิธีการต่าง ๆ ของผู้นั้นพิจารณาแยกแยะออกไปเอง อันนี้เราจะไปหาในพระไตรปิฎกก็ไม่พบ เพราะพระไตรปิฎกท่านก็พูดไว้กลาง ๆ ส่วนที่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นจากตัวเองนี้ มันจะแยกจะแยะแตกแขนงออกไปหาประมาณไม่ได้นะเรื่องของปัญญา

แล้วเราสรุปความได้เลยว่า สภาวธรรมที่เป็นความจริงทั้งหลายเต็มโลกธาตุนี้ เท่ากับเชื้อไฟ นั่นเอากันอย่างนี้เลยเพื่อสรุปความ สติปัญญาซึ่งเป็นเหมือนกับไฟนี้จะลุกลามไปหมด คือมันจะตามรู้ตามเห็นไปหมด ๆ ไปหมดเลย ขอแต่สภาวธรรมคือความจริงนั้นมีอยู่ที่ไหนไม่ต้องบอก สติปัญญาซึ่งเป็นเหมือนกับไฟนี้มันได้เชื้อคือสภาวธรรมแล้วมันจะเผาไหม้ไปหมด กิเลสก็อยู่ในเชื้อเหล่านั้น เผาไป ๆ เผาภายนอกเผาภายใน เผาไป กระจ่างหมดเลย นี่จึงเรียกว่าท่านรู้สภาวธรรม รู้ด้วยปล่อยด้วย ท่านไม่รู้เฉย ๆ กิเลสภายในใจก็เผาไปเรื่อย มันมีแง่ส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดขนาดไหนกิเลส สติปัญญานี้จะเผาไปเรื่อย ๆ สภาวธรรมอดรู้ไม่ได้มันก็รู้ไปตาม ๆ กัน เพราะใจนี้เป็นนักรู้ รู้ทั้งภายใน รู้ทั้งภายนอกตลอดทั่วถึง นั่นท่านจึงว่าใจเป็นนักรู้

นี่ละท่านว่าปฏิบัติ ทีนี้ผลที่เกิดขึ้นเป็นลำดับลำดาก็เป็นปฏิเวธ คือความรู้แจ้งในผลของตน ว่าเวลานี้จิตสงบแล้วระยะนั้น ๆ จนถึงขั้นปัญญา ปัญญาขนาดไหนมันก็รู้ประจักษ์ เป็นปฏิเวธ ๆ ไปโดยลำดับ จนกระทั่งฟาดกิเลสขาดสะบั้นออกไปหมดจากหัวใจไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นปฏิเวธเต็มภูมิ รู้แจ้งแทงตลอดทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึง นี้เต็มภูมิปฏิเวธ นี้ละปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ กลมกลืนกันเหมือนเชือกสามเกลียว ฟั่นกันเข้าแล้วเป็นเส้นเดียวคือพุทธศาสนา แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันไปแล้วศาสนาไม่เต็มบาทเต็มเต็ง

เวลานี้ศาสนามีเพียง เกลียวเดียวเราก็ไม่อยากพูดนะ ปริยัตินี้เรียนกัน นี่เกลียวหนึ่งนะ ปฏิบัติไม่ค่อยปฏิบัติกัน ปฏิเวธจึงไม่ค่อยมีและไม่มี เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าขาดภาคปฏิบัติเสียอย่างเดียว ซึ่งเป็นภาคที่เปิดทางปฏิเวธความรู้แจ้งแทงตลอด ไม่มีเสียอย่างนี้ปฏิเวธความรู้แจ้งก็ไม่มี ศาสนาจึงรู้สึกมีเพียงปริยัติการศึกษาเล่าเรียนมา ปฏิบัติก็ปฏิบัติไปอย่างนั้นละสุ่มสี่สุ่มห้าลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่แน่นอนนัก ผลก็ไม่ค่อยได้ มันเสียอย่างนี้นะ

นี่เราพูดถึงเรื่องภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ ปริยัติกับปฏิบัติมันต่างกันนะ ถ้าลงได้รู้ภายในแล้ว ไม่มีอะไรมาปิดได้ ไม่มีอะไรมาคัดค้านได้ รู้เพียงคนเดียวเท่านั้นไม่ไปสนใจกับใครว่าจะรู้ตามเห็นตามหรือหาสักขีพยาน ไม่จำเป็น ผึงทีเดียวรู้ประจักษ์เลย เท่านั้นละ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวสอนโลกได้ทั้งสามโลก พระองค์ไปถามใคร บรรดาสาวกทั้งหลายที่รู้ก็รู้แบบเดียวกันท่านจะไปถามใคร แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ถาม มันแจ้งอยู่ในนั้นแล้ว นี่ภาคปฏิบัติ

พูดถึงเรื่องการปฏิบัติหรือการพูดจาอะไรนี้ กรรมฐานที่มาศึกษาอบรมด้วยกันสนทนากันนี้ ท่านรู้กันอย่างนั้นเอง รู้ภูมิของกัน ๑) รู้จิตหยั่งทราบกัน ๒) สนทนากันลึกตื้นหยาบละเอียด ในการปฏิบัติธรรมของตัวเองออกมา คนหนึ่งคอยฟัง ๆ รู้กันไปโดยลำดับลำดา นี้อันหนึ่งเป็นสอง ๓) เวลาท่านแสดงอากัปกิริยาอะไรออกมา เช่น เทศนาว่าการ แม้ท่านจะไม่บ่งบอกว่าท่านรู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้นก็ตาม ธรรมที่สำคัญ ๆ ของท่านจะแย็บแฝงออกมากับการแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเทศน์สอนประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่น่าจะมีธรรมอย่างนั้นก็มีออกมาจนได้ ไม่มาก แต่ธรรมดาทั่วไปจะไม่รู้นะ ภาคปฏิบัติด้วยกันจับได้ทันที นั่นเป็นอย่างนั้น

ถ้าเทศน์ภาคปฏิบัติแล้วไม่ต้องพูดแหละ เช่น เทศน์สอนกรรมฐานนี้จะมีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมอันนี้ล้วนๆ ขึ้นเลย ๆ ทะลุพุ่งเลยนั่น ท่านเทศน์อย่างนั้น ท่านอัดท่านอั้นที่ไหนความรู้ภายในใจ อะไรจะมาปิดกั้นได้ในสามแดนโลกธาตุ มีกิเลสอันเดียวเท่านั้นปิดไว้ไม่ให้เห็นไม่ให้รู้นะ โลกทั้งหลายจึงได้จมกันๆ เพราะกิเลสปิดไว้เอาหัวชนเข้าไป ชนมันก็ไปถูกนรกละซี มันไม่ได้ลืมตาดู หลับตาดูมันก็หลับตาชนละซี

ผู้ลืมตาดูท่านจะไปทำอะไรความชั่ว ทางนรกอยู่แล้วท่านไม่ทำท่านไม่ตกนรก ไอ้ผู้ที่มันใจหนาสาโหดนั่นซี มันไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้าก็โดนเอ๊าโดนเอา แล้วจะทำยังไงจะไปตำหนิใครล่ะ ศาสนาพระพุทธเจ้าเวลานี้จะเหลือแต่ตำรานะ จะไม่มีมรรคผลออกมาเป็นเครื่องยืนยันเหมือนกิเลสนะ กิเลสมีทั้งมรรคทั้งผลของมัน มรรคคือทางเดินของกิเลส ผลคือความทุกข์ที่กิเลสผลิตขึ้นมา มันมีรอบตัวของมัน อยู่ในหัวใจของเรากิริยาของเราแสดงออกมา มีแต่กิเลสมันสร้างมรรคสร้างผลของมันทั้งนั้น มรรคคือทางเดินเพื่อกิเลส ผลคือกองทุกข์แก่สัตว์ทั้งหลาย ผลเพื่อมันแต่กองทุกข์เพื่อโลกทั้งหลาย นั่น มันสร้างของมันตลอดเวลา

นี่กิเลสมันเต็มภูมิของมันด้วยภาคปฏิบัติ การศึกษาเล่าเรียนเกิดขึ้นมามันก็รู้ของมันอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการเสี้ยมสอนจากคนชั่วช้าลามกแล้วมันยิ่งจับได้ง่าย เป็นนักเลงโตได้สบาย ด้วยการศึกษาโดยหลักธรรมชาติ ๑ นิสัยสันดาน ๑ นั่นละพูดง่ายๆ แล้วก็ได้รับการเสี้ยมสอนจากผู้อื่น ๑ เป็นมหาโจรไปได้ มันเป็นอยู่ในตัวของมันแล้วทุกคนๆ ไม่ศึกษาจากใคร หลักธรรมชาติแห่งการศึกษาอยู่ในตัวเสร็จ มันก็รู้ของมันปฏิบัติตามของมันจึงเป็นกิเลสไปด้วยกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้เป็นธรรมหนา กิริยาแสดงออกมานี้จะเป็นธรรมเหรอ มันเป็นแต่กิเลสๆ เราไม่รู้นี่นะ ให้ธรรมจับมันรู้หมดจะว่าไง ไม่งั้นจะว่าธรรมเหนือโลกเหรอ

โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือโลกก็เหนือกิเลสนั่นเอง มองไปไหนมันก็รู้หมดๆ ปิดได้ยังไงนอกจากท่านไม่พูดเท่านั้นแหละ ท่านไม่ใช่บ้าเหมือนเรา รู้เหมือนไม่รู้เห็นเหมือนไม่เห็น หลีกๆ ไปเสียอย่างนั้น นี่ภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติ ศาสนาถ้าลงมีการปฏิบัติอยู่นี้ศาสนาออกโชว์ได้เช่นเดียวกับเรื่องกิเลสออกโชว์ตัวทั่วแดนโลกธาตุ เวลานี้มีแต่กิเลสออกโชว์ตัว เป็นแต่กิเลสทั้งหมดทั่วแดนโลกธาตุ กิริยาท่าทางอะไรแสดงออกมามีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น นี่มรรคผลมันก็แสดงของมันให้เห็นอยู่ โลกเดือดร้อนตลอดเวลา ที่ไหนโลกได้ว่างจากความทุกข์ ที่กิเลสสร้างทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ไม่มีแก่สัตว์ สร้างขึ้นมาเท่าไรมันก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา เพราะกิเลสเป็นเหตุให้สร้างทุกข์ เมื่อกิเลสมีกิเลสก็ดีดออก แสดงขวนขวายหาผล ผลของมันก็คือความทุกข์ ก็ต้องมาเผาสัตว์ทั้งหลายจนได้

กิเลสมันขาดมรรคขาดผลเมื่อไร มรรคก็คือทางเดินของมัน มันก้าวเดินตลอดเวลาด้วยความเป็นกิเลส ๆ ผลก็เกิดขึ้นมาแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยความทุกข์ความทรมาน ด้วยเหตุนี้เองไปที่ไหนโลกทั้งหลายจึงเดือดร้อนวุ่นวายทั่วหน้ากันไปหมด เพราะกิเลสมันมีอยู่ทุกหัวใจซึ่งมีอยู่ทั่วโลกนี่ว่าไง จะไม่ให้เป็นทุกข์ยังไง ทีนี้ธรรมกำจัดกันเข้าไปซิ กิเลสอยู่กับตัวของเราเอง เราแก้ไขตัวของเรามันก็กระจ่างขึ้นมาที่เรา ใครเป็นผู้ปฏิบัติผู้นั้นกระจ่างขึ้นมาชำระกิเลสขึ้นมา ความทุกข์น้อยลงๆ ความสุขก็ดีดขึ้นๆ นี่เรียกว่ามรรคผลนิพพาน ถ้าเราดำเนินทางมรรคผลนิพพานก็เป็นขึ้นมาสำหรับบุคคลที่ดำเนินตาม ผู้ใดดำเนินไปทางไหนมันก็เป็นไปทางนั้น ทางกิเลสก็เป็นกิเลสวันยังค่ำ ทางธรรมก็เป็นธรรมวันยังค่ำ พากันจำเอา ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน

ศาสนานี้เต็มแบบเต็มฉบับแล้วศาสนาพระพุทธเจ้า ขอให้เอาแปลนคือการศึกษาเล่าเรียนออกมาปฏิบัติเถิด จะปรากฏเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ นั่นเองไม่พลาดไปอย่างอื่น เอาละพอ หมามันเทศน์แข่งแล้ว พูดไปพูดมาว่าจะไม่มาก มันก็มากอย่างนี้แหละ เทศน์ไปเทศน์มาไปเรื่อยๆ

ที่เทศน์นี้เขาก็อัดอยู่ข้างบน พอออกจากนี้เขาก็ออกทางอุดร ๘ สถานี จากนี้แล้วก็เข้ากรุงเทพฯ จากนั้นก็ออกอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวนี้หลวงตาบัวนี้กลายเป็นเทศน์ทั่วโลกแล้วนะ อย่างนี้ละเทศน์ทุกเช้าๆ เขาก็ออกทุกเช้านะ ออกอินเตอร์เน็ตๆ หลวงตาบัวมันขบขันนะ มีทั้งคนทั้งพระขึ้นเวที ทั้งหมาขึ้นเวที ส่วนมากไอ้หยอง ไอ้หมี ไอ้ปุ๊กกี้ มันขึ้นเวทีด้วยแทบทุกวัน วันนี้ดูไม่มีมันนะ พอพูดไปๆ เดี๋ยวไอ้หยองมาผ่านแล้ว หือไอ้หยองขึ้นแล้วติดแล้วนี่ มาเรื่อย ไอ้หยอง ไอ้หมี ไอ้ปุ๊กกี้มันขึ้นเวทีด้วยทุกวันแหละ นั่นเห็นไหมล่ะ (เสียงหมาเห่า)

ลูกศิษย์ หลวงตาเจ้าคะมีคนเขาถามมาเขาเป็นคนจีนเขานับถือศาสนาพุทธน่ะค่ะ

หลวงตา เขาถามมาว่าไง

ลูกศิษย์ เขาถามว่า

หลวงตา เอ้า เดี๋ยวฟังหมามันลงธรรมมาสน์เสียก่อน ยังไม่ยอมลงตัวนั้นยังแวกๆ อยู่ เอาว่ามา

ลูกศิษย์ เขาเป็นคนจีนเจ้าค่ะหลวงตา เขาถามว่าเขาทำบุญให้พ่อแม่เขา พ่อแม่เขาตายไปเขาจะได้รับหรือเปล่า เขาจะคอยฟังเวลาหลวงตาเทศน์จากทีวีแล้วก็อินเตอร์เน็ตเจ้าค่ะหลวงตา

หลวงตา เขาจะคอยฟัง

ลูกศิษย์ เจ้าค่ะ เขาคอยดูทุกวันเจ้าค่ะ

หลวงตา อันนี้ได้เทศน์แล้วว่าทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาปมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด นี่เขาคงไม่ฟังละมังถึงไม่ได้ยินในอินเตอร์เน็ต เราเทศน์อินเตอร์เน็ตก็เทศน์อย่างนี้อยู่แล้ว หมดปัญหาหรือยัง หายสงสัยหรือยัง ก็ต้องได้รับซี ทำบาปได้บาป ทำบุญทำไมจะไม่ได้บุญวะ แน่ะ นี่เขาถามมาก็ตอบอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ถามก็ไม่ตอบ เกี่ยวกับเงินดอลลาร์และทองคำที่กรุงเทพฯ ทองคำที่ได้รับบริจาคตั้งแต่วันที่ ๒ ถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๔๔ จำนวนทองคำได้ ๓๑ กิโล ๓๖ บาท ๕๔ สตางค์ แล้วดอลลาร์ในบัญชีที่กรุงเทพทั้งหมดได้ ๕๗๘,๘๘๙ ดอลล์

หลวงตา จะกลับหาดใหญ่เหรอ เออ จะกลับเหรอมานานแล้วนี่น่ะ

ลูกศิษย์ มา ๑๖ วันวันนี้เจ้าค่ะ

หลวงตา มาคราวนี้ ๑๖ วันเหรอ อ๋อ เราลืมนึกว่ามาตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ จนป่านนี้ยังไม่ได้กลับ ไปเรื่อยมาเรื่อยจำไม่ได้ซี เออ กลับเถอะนะ

ผู้ถูกกล่าวหา ผมที่โดนกล่าวหาครับหลวงตา จะมากราบเรียนหลวงตา

หลวงตา กราบเรียนอะไรอย่ามายุ่ง อย่ามายุ่ง หนีเดี๋ยวนี้เราไม่รับพิจารณาอะไรทั้งนั้นแหละเรื่องทำให้เรายุ่งยากทั่วประเทศไทย ใครเป็นคนทำ ยุ่งตลอดนี่ ไปหนีอย่ามายุ่ง ไม่เอาอย่ามายุ่งเราไม่เห็นใกล้เห็นไกลทั้งนั้น ธรรมเป็นธรรม มาหาเรื่องอะไรอีก

ผู้ถูกกล่าวหา ให้หลวงตาดูด้วยจิตหลวงตาครับ ว่ากระผมเป็นคนยังไงครับผม

หลวงตา ก็เป็นคนอย่างนี้แหละ เป็นคนวางยาพิษนี้แหละ จะเป็นคนยังไง

ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้ทำหลวงตา

หลวงตา ไม่ได้ทำยังไง ปฏิเสธเท่าไรก็ไม่มีความหมาย หยุดอย่ามายุ่งเราจับได้ชัดเจนตั้งแต่วันนั้นแล้ว อย่ามาหลอกเรา เรื่องโลกอย่ามาหลอกอย่ามาทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ ดีไม่ดีมาตีตัวว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว อย่ามาหาเรื่องนะเราไม่เล่นกับใคร ไม่เอา ไปเลิก อย่ามายุ่ง มันรู้กันชัดเจนกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว อย่ามาหาเรื่องประจบประแจงเราไม่เล่นด้วยทั้งนั้นแหละ

ผู้ถูกกล่าวหา ช่วยยกถาดเท่านั้นหลวงตา

หลวงตา ไปเลิก มันก็ดื้ออยู่งั้นแหละเรื่องนิสัยมันเคยดื้อ จะให้มันดีไม่ได้ หายุ่งอะไรอีกเห็นกันเต็มหูเต็มตา ไม่ใช่คนตาบอด ทุกคนๆ เป็นคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน มาหาเรื่องปลิ้นปล้อนหลอกลวง หลอกแล้วจะมาต้มหลวงตาบัวหรืออย่ามาต้มนะว่างี้แหละเรา เราเบื่อมันจะตายแหละโลกสกปรกโสมม เราเป็นอื่นไปไม่ได้ว่างั้นเลย เราเป็นเราตลอดเวลา ยอมรับเหตุการณ์เต็มตัวจะเป็นอื่นไปไม่ได้มีเท่านี้แหละ วันนั้นไม่มีคนสักคนเดียว จับกันได้คาหนังคาเขาประจักษ์อยู่นั่นแล้วจะให้เป็นอะไรไปอีก ไม่ใช่คนหาเรื่องกันนี่ว่ะ

หลักฐานพยานก็เต็มรุมกันดู ยาพิษจะว่าไม่เป็นยาพิษ ก็เอาไปพิสูจน์ทางโรงพยาบาลมาเรียบร้อยแล้วเป็นยาพิษร้อยเปอร์เซ็นต์จะให้ว่ายังไงอีก ไอ้ผู้หย่อนก็เห็นอยู่นี่วางยาพิษลงไป เขาเห็นจนกระทั่งเขาตกอกตกใจร้องจ้าก ขึ้นไปยาพิษ ทีแรกเขายังไม่รู้ว่าเป็นยาพิษ แต่เห็นทำผิดปกติจึงได้จับนี้เอานี้เข้ามาดูกัน นี่ตัวพยาน เอามาจนตัวพยาน ตัวพยานก็คือวางยาพิษคือผู้นี้ แล้วเอายาพิษไปพิสูจน์ ไปพิสูจน์มาแล้วก็เป็นยาพิษผิดไปไหน แล้วผู้เห็นก็เห็นกันเต็มตาทุกคนๆ ตลอดตำรวจมาจับต่อหน้าต่อตาจะเป็นอื่นไปได้ยังไง พิจารณาซิ จะมาหลอกอะไรอีก อย่ามาหลอกว่างี้เลย ยังจะทำให้ลุกลามเสียหายไปหมดนะนี่ คนดีจะเลอะไปหมดนะนี่ ไม่ยอมรับความจริง ไปๆๆ เลิก ทีนี้เลิกละ

เอาคนทั้งโลกมาปฏิเสธไม่มีความหมายอะไร ทำแล้วว่าไม่ได้ทำ ถ้าหากว่ามีความหมายแล้ว ก็ใครไปหาปล้นเมืองอุดรนี้ทั้งเมือง ไปปล้นมาแล้วก็บอกว่าเราบริสุทธิ์ เรื่องคดีทั้งหลายที่ไปปล้นก็หมดความหมายทันที แล้วมันหมดไหมล่ะพิจารณาซิ ความจริงแล้วหมดไหมล่ะ ก็เท่านั้นเอง ปฏิเสธเท่าไรมีความหมายอะไร ความจริงเหยียบหัวมันอยู่นั้นปฏิเสธไปไหน มันก็คือคำปฏิเสธความหลอกลวงซ้ำไปเรื่อยๆ เลอะเทอะไปเรื่อย เรารับใครไม่ได้ ลงข้อเท็จจริงได้เต็มหูเต็มตาแล้วเราเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ บอกวิธีไหนก็บอกเถอะไม่ฟังเลย ฟังแต่ความจริงล้วนๆ เท่านั้นเอง

นี้มันมากวนเราเรื่อยนะนี่ ๒ วัน ๓ วันมานี้มากวนเรื่อย ก็ไล่ออกไปเรื่อยอยู่นี้ แล้วก็ยืนคำเก่าเรานั้น ก็มันเป็นความจริงแล้วจะให้เลื่อนลอยไปไหนอีกล่ะ คำปฏิเสธๆ มีความหมายอะไร ความจริงท่วมหัวมันอยู่แล้วนั่น ยกกันทั้งขบวนทั้งโลกมาปฏิเสธมันก็เป็นโมฆะไปด้วยกันหมดจะว่าไง ก็ดังที่เราเคยพูดแล้ว ธนบัตรที่เป็นธนบัตรปลอมนี้ เช่น สมมุติว่าใบละพันบาทกี่ร้อยล้านใบก็ตามปลอมไปด้วยกันหมด ที่จริงก็คือธนบัตรจริง ๑๐๐ บาทเท่านั้นก็เป็น ๑๐๐ บาทเต็มตัว หรือ ๑ บาทเท่านั้นก็เต็มตัว นี่คือของจริงใช่ไหม ไม่ต้องหามาก ความจริงเต็มตัวของมันอยู่ใน ๑๐๐ บาทหรือ ๑ บาทแล้ว ไม่ต้องไปหามาเพิ่มก็เป็นความจริงเต็มตัว ไปหามาเพิ่มมาหลอกมาลวงกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ ก็ตามเลวทั้งนั้นปลอมทั้งหมด ก็มีเท่านั้นแหละ

ให้เรายุ่งเรื่อยนะไอ้เรื่องสกปรก ทำไมมันเป็นยังไง มันยอมรับความจริงเสียอย่างเดียวเท่านั้นก็แล้วไปนะ มันไม่ยอม จะให้คนทั้งโลกที่สะอาดสะอ้านนี้สกปรกไปด้วยคนสกปรกคนเดียวทำความสะอาดให้เหรอ สะอาดให้จนอะไรแหลกไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นเหรอ ทำไมเป็นยังงั้นไม่ยอมรับความจริง ยังดิ้นยังดีดอันนี้ก็ดี มันยิ่งขายไปโดยลำดับนะ ยิ่งดิ้นยิ่งดีดเท่าไรยิ่งขายไปเรื่อยๆ ไม่ยอมรับความจริง เลอะเทอะจริงๆ เอ๊ ทำไมมาเลอะเทอะอยู่ตลอด มันจะทำให้เลอะเทอะทั่วทั้งประเทศไทยเหรอ เราสลดสังเวชนะไม่ยอมรับ

มันยิ่งแสดงความเลวร้ายขึ้นไปโดยลำดับ จะเอาให้เลอะหมดทั้งประเทศเลยเทียวนะ เหมือนคนดีทั้งหลายตาบอดไปหมดเลย หูแจ้งตาสว่างเพียงคนชั่วเท่านั้นเอง คนเดียวสองคนก็ตามสว่างไปหมด ทำชาติบ้านเมืองจมได้ด้วยเหตุนี้แหละนะเรายอมรับไม่ได้ อย่ามาหลอกว่างั้นเลย หลอกธรรมนี้หลอกไม่ได้ คอขาดๆ ไปเลย ธรรมจะเป็นอื่นไปไม่ได้ว่างั้นเลย ไม่มีอะไรที่จะมาเอาคอเราไปได้ ถ้าธรรมเอาไปเลยเราไม่เสียดาย ขาดเพื่อธรรมอย่างอื่นเราไม่ยอม ความจริงก็มีอย่างนั้นนี่นะ เลอะเทอะจริงๆ สลดสังเวชนะเรา ไม่ยอมรับ ความจริงเต็มบ้านเต็มเมืองเห็นกันทั่วประเทศ ไม่ยอมรับความจริง ยิ่งเลวลงไปยิ่งแสดงความเลวให้เห็นเข้าไป ให้พากันระมัดระวังนะ เลวมากความชั่วไม่ยอมใครนะ จะแสดงความเลวตลอดไปอย่างนี้แหละ โห ทุเรศนะเรา

สลดจริงๆ นะ ทำไมถึงเลวขนาดนี้หน้าด้านเหลือประมาณ กับของสกปรกอย่างนั้นละ เลอะเทอะนะ เอือมระอาเหลือเกินเรา ยังจะเอาขี้มาราดต่อหน้าเราอีก นี่ทองคำท่านเห็นไหมว่างั้น โหย ทุเรศนะเรา เห็นประจักษ์ยิ่งทุเรศนะ เพราะมันประจักษ์มาพอแล้ว เรื่องสักขีพยานซึ่งแสดงความจริงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เหมือนกันหมดแล้วๆ จะมาทำลายอะไรนี่ซิมันน่าทุเรศนะ เราดูไม่ได้จริงๆ เอาละไปละที่นี่

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร 

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก