เรียนธรรม เรียนกิเลส
วันที่ 10 ตุลาคม 2547 เวลา 8:30 น. ความยาว 50 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

เรียนธรรม เรียนกิเลส

 

         เมื่อคืนนี้เลยได้จดเอาจำนวนหอยทากเอาไว้ คือเดินจากทางจงกรมมากลางคืนนะ ตั้งแต่ทางจงกรมมาถึงกุฏิได้หอยทาก.๙ ตัว มากจริงๆ ในทางจงกรมก็เก็บออกๆๆ อยู่ฟากทางจงกรมทางนี้ก็เก็บเข้าไปไว้ทางนี้ในป่าด้านนี้ เก็บด้านนี้ไปปล่อยทางด้านนี้ เก็บได้ฟากทางจงกรมทางนี้ก็ไปปล่อยทางนี้ ได้หลายตัว ในทางจงกรมดูเหมือน ๔-๕ ตัว เฉพาะรอบๆ ทางจงกรมรวมแล้ว ๔-๕ ตัว แต่จากทางจงกรมไปถึงกุฏินั้น ๙ ตัว โอ๋ย พิลึกนะ เราเลยได้จำไว้ ขีดใส่กระดาษเอาไว้ ๙ ตัว มันพิลึก จากทางจงกรมไปหากุฏินี้ตั้ง ๙ ตัว พึ่งมีเมื่อคืนนี้ จึงต้องเขียนเอาไว้บ้าง ฤดูเขาออก ฤดูเขาเที่ยวหรือไง มีแต่ตัวเล็กๆ น่ารักๆ เดินจงกรมต้องได้ระวัง ไม่ระวังไม่ได้ เดี๋ยวไปเหยียบเอา

         เมื่อคืนนี้ก็หวุดหวิดไป คือเราเก็บหอยออกหมดเรียบร้อยแล้วเราก็เดินจงกรม ตอนท้ายๆ เราระลึกได้ตอนที่เราจะออกจากทางจงกรม จวนจะออกจากทางจงกรม ฉายดู มันอยู่ข้าง เดินอยู่นี่มันอยู่นี่แล้ว มันเข้ามาได้ยังไงก็ไม่รู้ เลยต้องได้จับไปอีกเพราะเรายังเดินอยู่นี่ เราจับไปปล่อย ไม่ปล่อยไกลนัก เพราะไม่นานเราก็จะไปกุฏิเลยไปปล่อยแค่นั้น ถ้าหากว่าเราเดินจงกรมนานๆ ไปปล่อยใกล้ๆ แล้วมาอีกนะ ต้องเอาไปปล่อยริมๆ เลยเป็นกังวลนะ เดินจงกรมเป็นกังวล คือเราเคยไปเหยียบเขาแล้วนี่ ก็ไม่เห็นนี่ว่าไง กร้อบเลย อ้าว แล้วกัน มองดูแหลกเลย มันยังไงกัน

         หอยทากกำลังชุมระยะนี้ เขาจะออกเที่ยว หากินท่า ส่วนมากจะตัวขนาดนี้ๆ และเล็กกว่านี้หน่อยมากที่สุด ตัวใหญ่ๆ นานๆ จะเจอที ตัวเล็กๆ นี้มีอยู่ทั่วไป ได้ระมัดระวัง ใครเดินจงกรมกลางคืนถ้าไม่ใช่บนกุฏิให้ระมัดระวังนะ อย่างทางจงกรมเราจากนั้นมาหากุฏิ จากนั้นมาหาศาลานี้เยอะนะ ต้องได้ส่องไฟ ไม่อย่างนั้นเหยียบเอาๆ ต้องระวัง คิดดูตั้งแต่ทางจงกรมออกมากุฏิเราเท่านั้นได้ถึง ๙ ตัว แต่เราไม่จับเขาแหละ เพราะเราออกมาแล้ว เราไม่ได้กลับไปกลับมาพอจะไปเผลอเหยียบเขา เราผ่านมาเราก็ดู ดูแล้วนับมาเรื่อยๆ ฉายไฟดูแล้วนับมาเรื่อย มาถึงกุฏิได้ ๙ ตัว โหย พิลึก เขาเที่ยวของเขา สนุกสนานของเขา นั่นละจิตวิญญาณอยู่ในนั้น จิตดวงนี้มันอยู่ในหอยทาก ไปช้าๆ เขาไป

         ขอให้ธรรมเข้าถึงใจเถอะพี่น้องทั้งหลาย จิตใจจะอ่อนนิ่มถึงกันหมด ไม่ยิงเขี้ยวยิงฟันใส่กัน กัดกันเหมือนหมา อันนี้เป็นเรื่องของกิเลส ลักษณะมันเป็นเหมือนหมา เหมือนยักษ์ เหมือนผี เห็นแก่ได้แก่เอา เอารัดเอาเปรียบ อยู่ในกิเลสทั้งหมด ถ้ามีอยู่ในหัวใจของใครแล้วขอให้พากันชำระออกด้วยธรรม ธรรมนี่เหมือนกับน้ำที่สะอาด ชะล้างสิ่งสกปรกคือกิเลสเหล่านี้แหละ ไปที่ไหน ผ่านไปไหนๆ คนมีกิเลสแบบไหนๆ มันจะออก ทนไม่ได้มันต้องออกของมัน

         นี่เรียนเรื่องของกิเลสเราก็ไม่ได้เรียน มาเรียนเอาตอนปฏิบัติธรรม จิตตภาวนาเป็นหลักใหญ่ การดูในตำรับตำราก็พอเป็นข้อคิดเครื่องเตือนใจ สะดุดใจไปเป็นระยะๆ เพราะเราเรียนเพื่อธรรม เราไม่ได้เรียนเพื่อชั้นภูมิ แต่มันอยู่ในแถวชั้นภูมิก็ต้องเรียน ให้ได้ชั้นนั้นๆ แล้วจะออก เรากำหนดเอาไว้ คือชั้นนี้ความรู้อย่างนั้นๆ ชั้นนั้นความรู้เพิ่มขึ้นอย่างนั้นๆ ชั้นนั้นความรู้อย่างนั้นๆ แล้วมันก็กระจายทั่วไป เหล่านี้ควรแก่การปฏิบัติได้แล้ว เป็นแนวทางที่ดีเหมาะสมแล้ว

         เพราะฉะนั้นเราจึงกำหนดเอาไว้ว่า เรียนให้ได้เปรียญสามประโยคเรียกว่าพอละที่นี่ นักธรรมก็ไปพร้อมๆ กันได้ พร้อมๆ กันไปเลย นักธรรมก็เต็มภูมิของฝ่ายนักธรรม ฝ่ายนักธรรมนี้เกี่ยวกับพระวินัยมาก ส่วนเปรียญนั้นเกี่ยวกับธรรมล้วนๆ ไปเรื่อยๆ ไป มันก็ได้ทั้งหลักพระวินัย ได้ทั้งธรรม กว้างขวางออกไป เรากำหนดกฎเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ได้นี้แล้วควรแก่การปฏิบัติได้แล้ว เป็นแนวทางได้ดี เวลาอ่านไปๆ จะสะดุดไปเรื่อยๆ ท่านพูดถึงเรื่องความผิดความพลาด บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีความลามกมันต่างกันๆ ก็สะดุดใจไปเรื่อยๆ

         ผู้ดียังไงๆ ก็สะดุดใจไปเช่นเดียวกัน เป็นคติๆ เวลาเรียนก็ได้คติอย่างนั้น ไม่ใช่ได้ด้วยความเพลิดเพลิน หวังจะเอาชั้นเอาภูมิ อันนั้นเป็นทางเดินของภูมิความรู้ อยู่ในภูมินี้เราจะให้ได้ภูมินี้ เพื่อได้ความรู้ภูมินี้มา เพราะฉะนั้นเวลาดูไปๆ จึงสะดุดใจไปเรื่อยๆ ทั้งดีทั้งชั่วสะดุดใจไปตามแถวแนวของปริยัติที่ท่านมีอยู่ในเล่มนั้นๆ ทีนี้เวลาออกปฏิบัติประมวลความรู้นั้นว่าสมควรแล้ว ในการดำเนินนี้ไม่ผิดพลาดพอจะเกิดโทษเกิดกรรมขึ้น เรียนได้รู้ได้เห็นนี้รู้สึกว่าเป็นที่แน่ใจ เฉพาะอย่างยิ่งหลักพระวินัยอย่างเข้มงวดกวดขัน

         เพราะฉะนั้นเราจึงกว้างขวางละเอียดลออทางพระวินัยมาก ด้วยความสนใจพระวินัยรักษาตัวไม่ให้เป็นโทษเป็นกรรม พระวินัยนี้ดูละเอียดลออไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ส่วนธรรมก็ธรรมดา เพราะมีมากต่อมาก แต่ส่วนพระวินัยนี้ย้ำแล้วย้ำเล่า เพราะเป็นกฎของพระ เรียกว่ากฎหมายพระ วินัยนั้นคือกฎหมายพระ ปฏิบัติตามกฎหมายนี้ทุกข้อทุกกระทงไปเลย ไม่ให้ผิดพลาด ถ้าผิดพลาดแล้วมันมากระเทือนเจ้าของ ความผิดอยู่กับเจ้าของ ท่านบอกเอาไว้อย่างนั้น เราทำผิดอย่างนั้นก็ผิดเจ้าของๆ จึงต้องได้ระมัดระวัง เรียนพระวินัย ดูพระวินัย จึงดูมากที่สุดเลย ดูทุกเล่มของพระวินัยเพื่อไม่ให้บกพร่องในการปฏิบัติตัว ไม่ให้ผิดให้พลาดตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพระ คือพระวินัย

         แล้วทีนี้ก็ออกปฏิบัติ คราวนี้เรียกว่าเรียนเรื่องกิเลสชัดเจน เรื่องธรรมอย่างชัดเจน กิเลสกับธรรมอยู่กับใจ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ความดี-ความชั่วอยู่ที่ใจ รวมอยู่ที่ใจทั้งหมด จึงเรียกว่ามหาเหตุ เหตุแห่งความชั่วก็อยู่ในนั้น เหตุแห่งความดีทั้งหลายก็อยู่ในนั้น รวมแล้วเรียกว่ามหาเหตุอยู่ที่ใจ ดูอะไรๆ ก็ไม่ละเอียดลออเหมือนเข้ามาดูใจด้วยจิตตภาวนา พอจิตจ่อเข้าไปในใจนั้นแล้วจะได้เห็นเหตุเห็นผล เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกิเลสคือความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มันทำงานของมันตลอดเวลา เราก็ดีดดิ้นไปตามมัน ผิดพลาดไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวนะ

         เวลาเรียนทางด้านจิตตภาวนา สติจ่อเข้าไปที่จิตของเรา เรื่องราวต่างๆ มันจะเกิดขึ้นให้เห็นๆ ทั้งดีทั้งชั่ว เห็นละที่นี่นะ เริ่มเห็นไปเรื่อยๆๆ ตรงไหนที่เป็นภัยๆ เมื่อมันเริ่มเห็นแล้วธรรมก็อยู่ด้วยกัน สติธรรม-ปัญญาธรรมพินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลง หรือบังคับบัญชา ถ้ากิเลสตัวไหนมันหนามากต้องบังคับให้หนักเทียว นี่เรียกว่าจิตตภาวนา ดูมหาเหตุ จึงเรียกว่าเรียนกิเลส-เรียนธรรมนี้เรียนด้วยจิตตภาวนา จะรู้ละเอียดทั่วถึง พร้อมกับการชำระล้างไปในตัวๆ กิเลสก็ชำระล้างไปด้วยธรรม

         วิริยธรรมคือความพากเพียร สนใจจดจ่อ ดูความเคลื่อนไหวของใจตัวเอง ซึ่งมันแสดงออกในทางดี-ทางชั่ว ทางดีมีน้อยมากนะ ความชั่วนี้จะออกก่อนๆ กำจัดความชั่ว เป็นภาระอันหนักทีเดียวเรื่องจิตตภาวนา นี่ละเรียกว่าเรียนกิเลส เรียนธรรม เรียนด้วยจิตตภาวนาจึงจะรู้ละเอียดทั่วถึง พอเรียนไปถึงไหน เห็นจริงที่ไหนกำจัดออกๆ ซักฟอกออกเรื่อยๆ จิตใจเป็นทองทั้งแท่งนะจิตใจแท้ๆ เป็นทองทั้งแท่ง แต่ถูกมูตรถูกคูถคือกิเลสตัณหามันครอบไว้หมด ไม่ให้มองเห็นทองทั้งแท่งคือใจนั้นเลย

         เพราะฉะนั้นโลกจึงแสดงออกตั้งแต่เรื่องความชั่วช้าลามก ไม่รู้จักอาย ไม่รู้จักคำว่าหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมไม่มี เพราะอำนาจของกิเลสมันหนามากเกินกว่าที่จะมาสังเกตตามมัน นอกจากมันลากไปถลอกปอกเปิกไปทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มีตั้งแต่กิเลสลากถูหัวใจเราไปถลอกปอกเปิก เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ ไป พอมาดูจิตตภาวนาแล้วเห็นละที่นี่ เห็นความเคลื่อนไหวของกิเลสมันลากมันเข็นจิตใจไปในทางใดบ้าง ทีนี้ชำระออกด้วยน้ำคือสติธรรม ปัญญาธรรม พินิจพิจารณาค่อยแก้ไขกันไป ซักฟอกกันไปด้วยจิตตภาวนา เราขึ้นเวทีจิตตภาวนาเหมือนกับเขาขึ้นต่อกรกันบนเวที นักมวยต่อกรกันใครเผลอคนนั้นแพ้ อย่างน้อยแพ้ มากกว่านั้นถูกน็อกตาย ทีนี้กิเลสตัณหาที่จะเอาจริงเอาจังกันจริงๆ กับธรรมต่อสู้กัน ก็ต้องเอากันอย่างหนักด้วยความมีสติมีปัญญาระมัดระวังตัวเอง

ความเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนสติติดอยู่กับจิตเป็นอันดับหนึ่ง กระจายออกมากิริยาอาการเป็นสัมปชัญญะอันดับต่อมา ครอบอยู่นั้นๆ ภัยไม่ค่อยมีละที่นี่เพราะสติรักษาอยู่ตลอด ทีนี้ธรรมก็ค่อยเจริญขึ้นภายในจิตใจ ใจที่มีความวุ่นวายมากๆ นั้นมีหลายวิธีการที่จะฝึกหัดดัดแปลงใจที่มีความผาดโผนโจนทะยานในเรื่องต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาพาให้แสดงก็เห็นกันในเวลานั้น ระงับกันด้วยสติ สติเป็นสำคัญมากนะ กิเลสจะมีมากขนาดไหนก็ตามจะเหนือสติไปไม่ได้ ถ้าสติบังคับไว้แล้วไม่ให้คิดมันก็ไม่คิด จะคิดเรื่องใดนี้สติจับปุ๊บๆ มันคิดออกไม่ได้ๆ เมื่อสติจับได้จิตใจก็มีความสงบ เพราะไม่มีอะไรเข้าไปกวนใจให้ว้าวุ่นขุ่นมัว ใจค่อยมีความสงบลงไปๆ ถ้าว่าตะกอนก็นอนก้น ไม่เต็มไปหมดทั้งโอ่งนั้น เพราะถูกสารส้มแกว่งตะกอนจะนอนก้น

นี่จิตถูกสติปัญญาซึ่งเปรียบเหมือนกับสารส้มกวนอยู่ตลอดเวลา จิตจะค่อยสงบลงๆ เราก็เห็นน้ำใสละที่นี่ ตะกอนนอนอยู่ก้น มันยังไม่หมดตะกอนค่อยลดลงไปอยู่ทางก้นเรื่อยๆ เข้าไป จิตใจค่อยสงบ พอจิตใจค่อยสงบจากนั้นไปก็ส่งแสงสว่างออกมา เพราะกิเลสคือมูตรคือคูถมันปิดมันบังนั้น ค่อยจางออกไปด้วยการซักฟอกโดยทางสติปัญญาตลอดเวลา จิตใจเมื่อสงบแล้วย่อมเย็นสบาย ที่ไม่สบาย ก็เพราะกิเลสกวนนั่นเอง เมื่อกิเลสกวนจิตก็วุ่นวายตลอด ถ้าเป็นน้ำก็ขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปเลย เพราะถูกกวน ผสมผเสกันกับตะกงตะกอนสิ่งที่สกปรกทั้งหลาย กลายเป็นน้ำขุ่นเป็นตมเป็นโคลนในตุ่มในโอ่งในไหในที่ไหนก็ตาม ถ้าตะกอนมีมากที่ไหนน้ำในโอ่งนั้นจะขุ่นมัวไปหมด เพราะกวนกันเรื่อยๆ

กิเลสก็คือตะกอน การกวนน้ำให้ขุ่นมัวก็คือกิเลสเป็นผู้กวนเอง จิตใจก็เลยกลายเป็นจิตใจที่ขุ่นมัว เมื่อระงับลงด้วยสติธรรม ปัญญาธรรม บังคับเอาไว้ไม่ให้คิดในสิ่งที่จะเป็นภัย เรียกว่ามันกวนตัวเอง แล้วจิตก็สงบลง เมื่อจิตสงบลงแล้วจะเย็น ตะกอนเหล่านั้นไม่กวน เย็นลงไปๆ นี่เรียกว่าเรียนกิเลสเรียนธรรม เรียนอยู่ที่ใจซึ่งเป็นมหาเหตุที่บรรจุกิเลสกับธรรมไว้อย่างเต็มเหนี่ยว แล้วค่อยซักฟอกออกไปๆ จิตใจค่อยสงบเย็นลงๆ จากสงบเย็นแล้วจะแสดงความสง่าผ่องใสขึ้นมาๆ ภายในใจ จากนั้นกลายเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในจิตดวงนี้แหละ เมื่อกิเลสได้ถูกซักฟอกออกไปๆ โดยลำดับ ท่านจึงเรียกว่าจิตมีความสงบผ่องใส

ผ่องใสด้วยจิตตภาวนา โดยมีสติสำคัญมากเป็นเครื่องรักษา จากนั้นก็สง่างามขึ้นมาเป็นสมถธรรม จิตใจมีความสงบ จากนั้นก็เป็นสมาธิธรรม จิตใจนอกจากสงบแล้วยังแน่นหนามั่นคงในตัวเองอีกด้วย  นี่ท่านเรียกว่า สมถะ วิปัสสนา สมถะก้าวเข้าสู่สมาธิ จากสมาธิแล้วออกวิปัสสนาคือทางด้านปัญญา ทีนี้จะกลั่นกรองซักฟอกละที่นี่ ตะกอนตะแกนอยู่ที่ไหน อยู่ข้างบนข้างล่าง รวมไปๆ ไปนอนอยู่ข้างล่าง ปัญญาจะตามซักตามฟอกเรื่อยเข้าไป ท่านว่าปัญญา วิปัสสนา ความพินิจพิจารณาสิ่งปกคลุมทั้งหลาย ก็คือ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูกของเรานี้แหละ เอาหนังหุ้มห่อไว้ข้างนอก ประดับประดาตกแต่งให้เป็นของสวยของงาม แล้วทีนี้สิ่งที่สกปรกซึ่งหนังหุ้มห่อไว้นั้นมันก็มองไม่เห็น

พอวิปัสสนาคือความพิจารณาเพื่อความรู้แจ้งเห็นแจ้งกระจายเข้าไปๆ สิ่งที่ถูกปกคลุมหุ้มห่ออยู่ภายในคือความสกปรกนั้น มันก็เห็นเข้าไปๆ เปิดหนังเข้าไป หนังบางๆ เท่านั้นแหละที่ห่อไว้ให้สัตว์โลกหลงกัน มีตาร้อยดวงก็บอดหมด ไม่มีความหมายในตาเนื้อนะ จะมีความหมายในตาปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาตาปัญญาเข้าสอดส่องพิจารณาแยกแยะ นี่ท่านเรียกว่าวิปัสสนา

สมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ จิตใจอิ่มอารมณ์แล้วไม่อยากคิดอยากรู้อยากเห็นอยากดูอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งเป็นเรื่องกวนตัวเอง แล้วไม่มีความอ่อนตัวด้วย ยิ่งหิวโหยไปเรื่อยๆ พารู้พาเห็นพาเป็นตามกิเลสเท่าไรก็ยิ่งฟุ้งซ่านวุ่นวาย ทีนี้ระงับอันนี้ลงไป เอ้า ดู นี่พระพุทธเจ้าท่านสอน นี่ละวิธีซักฟอกสิ่งที่ปกคลุม ผมปกคลุมอย่างหนึ่ง ปกคลุมร่างกายของเรา ประดับประดาตบแต่งทุกอย่าง เราเห็นไม่ใช่เหรอโรงเสริมสวยนั่น นั่นละกิเลสมันไปทำไว้อย่างนั้น เอาธรรมจับเข้าไปโรงเสริมสวยนั้น  เอา ดู ดูตั้งแต่ผม ผมมันมายังไง ที่เกิดของมันเกิดในที่สกปรกโสโครก  ออกมามันก็เป็นของสกปรกโสโครก ดูเข้าไปถึงผมถึงขน เล็บ ฟัน เหล่านี้มีแต่ของปฏิกูลทั้งนั้นๆ ดูเข้าไป จนกระทั่งถลกหนังออก หนังบางๆ ที่มันห่อ นี่เรียกว่าวิปัสสนา การแทงทะลุในกิเลส ซักฟอกกิเลสให้ขาวกระจ่างขึ้นมาภายในใจของตัวเอง

พอเปิดหนังออกแล้ว หนังนี้บางๆ นะไม่ได้หนาเท่าใบลาน เขาเรียกหนังกำพร้านี้ปิดไว้หมด ทั้งหญิงทั้งชาย สัตว์ บุคคล ตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้หลงมาก ปัญญาสอดเข้าไปตรงนี้ ดูหนังนี้แล้วฟาดเข้าไปดูข้างในหนังเป็นอะไร เป็นเนื้อเป็นเอ็นเป็นกระดูก ตับ ไต  ไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า มีแต่ของดูไม่ได้เลย นี่ปัญญาแทงทะลุเข้าไปๆ นี่เรียกว่าอ่านกิเลส อ่านธรรม ไปด้วยกัน กิเลสมันยึดมันถือมันว่าเป็นของสวยของงาม ธรรมตีเข้าไปตามหลักความจริง มันสวยที่ตรงไหน ดูตรงไหนดูตามความจริง ความจริงมันไม่ได้สวย เมื่อดูตามความจริงแล้วมันก็ไม่สวย เมื่อไม่สวยแล้วก็ถอนความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิด ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดเพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็จางไปๆ ท่านเรียกว่าปัญญา

นี่ละอ่านกิเลส อ่านธรรม ดูที่ตรงนี้ แล้วกระจายออกไปตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเอ็นกระดูก ตับไตไส้พุง อาการ ๓๒ อ่านดูหมด มันไม่มีอะไรเป็นสาระเมื่อดูแล้ว ก็มีหนังเท่านั้นที่มาหลอกประดับหน้าร้านเอาไว้ เปิดหนังออกแล้วดูกันไม่ได้ทั้งนั้น ทีนี้จิตจะไปยึดมั่นถือมั่นที่ตรงไหน ไปสำคัญที่ไหน ไปแบกหามที่ไหนพอให้เป็นภาระล่ะ จิตใจก็เบาลงไปๆ

ความยึดมั่นถือมั่นคืออุปาทานมันกดถ่วงหนักมากนะ ทีนี้เบาลงๆ กระจายออกไปหมดในสกลกายจนไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นหมดทุกอย่าง ดูร่างกายเจ้าของชัดเจน ดูร่างกายของคนอื่นสัตว์อื่นก็แบบเดียวกันๆ ไม่ต้องไปหาดูที่ไหน ดูที่นี่เทียบกันได้หมดเลย เข้าใจกันได้หมด ปล่อยกันได้หมดเรื่อยๆ เข้าไป นี่ละที่ว่าดูกิเลส อ่านกิเลส เรียนเรื่องของกิเลสเรื่องธรรมจะรู้ไปด้วยกันนั้นแหละ เหล่านี้อยู่ที่ใจ ใจเป็นผู้ลุ่มผู้หลงสิ่งที่มีอยู่ของตน เลยมาปิดบังให้ลุ่มหลงไปหมด แตกกระจายออกไปนี้

วันนี้พูดถึงเรื่องเรียนธรรมเรียนกิเลส เรียนเข้าไปที่ใจด้วยจิตตภาวนา พอเรียนเข้าไปหมด ร่างกายนี้หมดทุกอย่าง หายสงสัยหมดแล้ว ทีนี้ตัวราคะตัณหา ตัวดีดตัวดิ้น ตัวคึกตัวคะนองไม่มีวันจบสิ้น มันติดอันนี้เอง เมื่ออ่านอันนี้จบแล้วราคะตัณหาขาดไปจากสิ่งเหล่านี้ที่ได้พิจารณารอบคอบแล้ว เมื่อราคะตัณหาขาดไปแล้วความกดถ่วงจิตใจที่ดิ่งลงๆ เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้จะดีดขึ้นทันทีเลย ไม่ต้องบอก จิตใจดีดขึ้นเลย พอราคะตัณหาขาดสะบั้นลงไปจากใจเท่านั้น ราคะตัณหามาจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เหล่านี้ที่ถูกหุ้มห่อไว้ เสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงาม แบกหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก ภูเขาเราไม่ได้ไปแบกเพราะเราไม่ได้หลงภูเขาเหมือนเราหลงภูเรา

ภูเราคือตัวของเราเอง พิจารณานี้แล้วเราก็ปล่อยภูเราลงไป ที่หนักๆ แบกไปแบกมานี้ปล่อยลงไป ราคะตัณหาหมด เอ้า ฟังให้ดีนะ นี่ละเรียนเรื่องภาระที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมากมายเพราะอำนาจของกิเลส เรียนเข้าไปที่ใจตัวยึดตัวถือตัวลุ่มตัวหลงอยู่ในใจ พออ่านนี้เข้าไปๆ จนกระทั่งอ่านดูร่างกายหมดโดยสิ้นเชิง ทั้งสัตว์ทั้งบุคคลไม่มีอะไรที่ว่าสดสวยงดงามน่ารักใคร่ชอบใจ พอที่จะให้เกิดราคะตัณหาความกดถ่วงจิตใจให้ได้รับความทุกข์มากมายนั้น ลดลงๆ จนกระทั่งพิจารณาร่างกายทุกส่วนรู้หมดแล้ว ราคะตัณหาจะไปยึดอะไร ยึดกระดูก ก็กระดูกยึดมันหาอะไร เนื้อหนัง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไปยึดมันอะไร น่ารักที่ตรงไหน นั่น ปล่อยแล้วนะนั่น ปล่อยหมดทั่วร่างกาย จิตใจก็ดีดผึงเลย

นี่ละเรียนจบขั้นสกลกาย กิเลสที่อยู่ในภูเราก็ดูสกลกายของเรา เรียนอันนี้จบแล้วกิเลสตัวนี้ขาดสะบั้น จิตใจดีดขึ้นเลย แต่ก่อนกดถ่วงลงเพราะอันนี้เอง พอเรียนอันนี้จบแล้วจิตดีดขึ้นไป ผึงขึ้นไปเลย นี่เป็นขั้นรูปธรรมของการพิจารณาเพื่อรู้เพื่อเห็นกิเลสประเภทต่างๆ เห็นประเภทมันติดกายเสียก่อน รักกายชอบกายหลงกายนี้ก่อน เปิดออกด้วยปัญญาพินิจพิจารณาแล้วทิ้งออกหมด ความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่มี เพียงเท่านี้แหละจิตใจจะสบายมากทีเดียว และเป็นเครื่องตัดสินตัวเองได้เลยทั้งๆ ที่ยังไม่หลุดพ้นนะเวลานั้น ร่างกายนี้เองเป็นตัวกดถ่วง ไม่ให้รู้เรื่องความเกิดความตาย ความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง มาจากกัปใดกัลป์ใด ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ พอตัวนี้ขาดออกแล้วมันก็ย้อนหลัง ต่อไปนี้เราจะไม่มาเกิดอย่างนี้อีกแล้ว

ถึงยังไม่สิ้นจากทุกข์แต่จะไม่กลับมา นี่คือพระอนาคามี เรียนจบเรื่องสกลกาย ดังที่พระพุทธเจ้ามอบอาวุธที่สำคัญให้ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นเครื่องปกปิดหุ้มห่อจิตใจของโลกให้หนาแน่น เรียกว่าดำมืดไปหมด เอาปัญญาสอดเข้าไปตรงนี้สว่างกระจ่างแจ้งแล้วปล่อยได้หมด หมดเรื่องภพที่จะมาเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลต่อไปอีกเพราะร่างกายนี้ รู้เรื่องของมันแล้วปล่อยหมดแล้ว จะไม่มาเกิดเป็นประเภทนี้อีก จิตใจจะดีดขึ้นข้างบน

ข้างบนก็มีที่รับรองเอาไว้ ยังไม่สิ้นสุดก็ตาม แต่เป็นสถานที่พักผ่อนเพื่อความพ้นทุกข์คือพระนิพพานจะรออยู่แล้ว ๕ ชั้น ผู้สำเร็จพระอนาคามีตั้งแต่เบื้องต้น พอสำเร็จแล้วตายแล้วจะไปเกิดชั้นอวิหา เลื่อนขึ้นไปอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี่คือภูมิของธรรมที่เป็นนามธรรมล้วนๆ ร่างกายไม่มี ปล่อยวางหมดแล้ว เหลือแต่นามธรรม เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ไม่เห็นเป็นรูปเป็นนาม ไปนี้จะเลื่อนไปเรื่อย จากอกนิฏฐาแล้วก็นิพพาน จบสิ้น ไม่มาเกิดอีก แต่จะไปเป็นพักๆ เพื่อข้างหน้า จะไม่มาเกิดอีก ไม่ถอยหลัง มีแต่ก้าวหน้าๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน

นี่คือเรียนเรื่องกิเลส เรื่องธรรม เรียนที่จิตตภาวนา จะมาประมวลกันที่นี่ รู้ชัดกันที่นี่ เปิดความโง่ความหลงออกได้โดยสิ้นเชิงในวิชาจิตตภาวนา จากนั้นก็ทะลุไปถึงนิพพาน โลกนี้ว่างไปหมดเลย เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนแก่มานพ ๑๖ คน เพราะผู้นี้เป็นผู้ที่จะหลุดพ้นได้อย่างรวดเร็วรออยู่แล้ว ท่านจึงเอาธรรมบทนี้เข้าไปเลย เปิดให้เข้าเลยพูดง่ายๆ ขึ้นเป็นภาษิตว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ      โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ  โลกํ  อเวกฺขนฺตํ          มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกนี้ให้เป็นของสูญเปล่า ถอน อัตตานุทิฏฐิ ความถือว่าเราว่าเขาว่าตนว่าตัวออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพระยามัจจุราชเสียได้ พระยามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ นั่น  ท่านสอน

ทีนี้เวลามันเข้าถึงขั้นนี่แล้ว ผึงเท่านี้โลกก็ว่างเปล่าไปหมด สุญฺญโต โลกํ ของพระโมฆราช กับ สุญฺญโต โลกํ ของผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ก้าวถึงขั้นนั้นแล้วเป็นธรรม สดๆร้อนๆ ด้วยกัน ว่างเหมือนกันหมด ให้มันเข้ามาในหัวใจของเราเข้ามาดูซิน่ะ ธรรมเปิดออกๆ มันจะว่างด้วยกันหมด พระพุทธเจ้านิพพานไปกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีคำว่ายืดว่ายาวว่าครึว่าล้าสมัย จะสดๆร้อนๆ ขึ้นที่หัวใจของผู้บรรลุธรรมถึงขั้นโลกสูญเปล่าว่างเปล่าเหมือนกันหมดเลย นี่ละโลกสูญเปล่า กิเลสนั้นแหละปิดบังไม่ให้สูญ ให้เป็นตนเป็นตัวเป็นความสุขความทุกข์ดิ้นกันไป พอเปิดอันนี้หมดแล้ว โลกเป็น สุญฺญโต โลกํ คือ ว่างเปล่าไปหมดเลย

นี่ละเรียนให้รู้กิเลสรู้ธรรม เรียนที่จิตตภาวนา พอถึงขั้นสุดยอดแล้วนี้ โลกนี้สูญไปเอง ว่างไปหมด ทำไมจึงว่าง ภูเขาดินฟ้าอากาศเขามีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เขาว่างไปไหน จิตไปยุ่งกับเขาต่างหาก พอจิตถอนตัวเข้ามาแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไร เพราะเราไปให้ความหมายเขา จิตของเราถอนความหมายเข้ามาสู่ตัวของตัวเอง ตัวของตัวเองก็ไม่ได้หมายตัวเอง บริสุทธิ์ทั้งข้างนอกข้างใน ว่างทั้งข้างนอกข้างใน สูญทั้งข้างนอกข้างใน ไม่มีอะไรที่จะเกาะจะยึด นั้นคือ นิพพานเที่ยง นั้นคือ สุญฺญโต โลกํ  จิตว่างไปหมดแล้ว นี่ละเรียนจิตตภาวนา ท่านเรียนอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ใช่ทำแบบครึๆ แบบล้าสมัย ที่อยู่ในป่าในเขาแล้วเป็นคนวิกลจริตอย่างนั้นนะ

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้วิกลจริต พวกเรานี้พวกวิกลจริต ตายอยู่ในกองมูตรกองคูถ อยู่ในตลาดกระดูกหมูกระดูกวัว พวกเรานี้พวกวิกลจริตทั้งนั้น พระพุทธเจ้าพ้นจากวิกลจริตแล้ว เพราะการอยู่ในป่าอยู่ในเขาตลอดมา สกุลของศาสดาทุกๆ พระองค์ บำเพ็ญในป่าอยู่ในป่า สอนให้สาวกทั้งหลายอยู่ในป่า ชำระกิเลสอยู่ในป่า ให้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว หมดโล่งไปแล้วเป็น สุญฺญโต โลกํ ท่านเหล่านี้แล เป็นผู้ที่เลิศเลอสุดยอด ตรงกันข้ามพวกเรานี้พวกวิกลจริต เกลื่อนกล่นอยู่ในกระดูกหมูกระดูกวัว ในยศในลาภในความสรรเสริญเยินยอ นี่เป็นพวกมูตรพวกคูถ ใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกนี้เป็นพวกวิกลจริตทั้งนั้น ไม่ว่าใครไม่ว่าพระ ฆราวาส ถ้าไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้แล้วเป็นพวกวิกลจริต เข้าใจหรือ

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ใช่พระวิกลจริต สลัดสิ่งที่พาให้วิกลจริตนี้ออกจากจิตใจแล้ว เป็นผู้เลิศเลอ จำเอานะ นี่ละการเรียนดูเรื่องของกิเลสของธรรม ให้มาดูที่ใจ ทุกข์ไม่ได้อยู่ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ อยู่ที่ใจ เพราะกิเลสสร้างขึ้นมา ความสุขก็ไม่ได้อยู่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ อยู่ที่ใจ เพราะธรรมซักฟอกเสร็จเรียบร้อยแล้วความสุขนี้จะเกิดขึ้นที่ใจเองด้วยจิตตภาวนา จำเอานะ ให้พากันพิจารณา

วันนี้พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้พอเบาหัวใจเสียบ้างเถอะ วันไหนมีแต่มูตรแต่คูถ มีแต่เรื่องของวิกลจริตเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ได้เอาธรรมเข้ามาแทรก วันนี้เอาธรรมเข้ามาแทรก ธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมวิกลจริต ศาสดาองค์เอกไม่ใช่ศาสดาองค์วิกลจริต อยู่ในป่าด้วยความปราศจากสิ่งมืดมัววิกลจริตทั้งหลายโดยสิ้นเชิง พระสาวกทั้งหลายปราศจากสิ่งที่วิกลจริตทั้งหลายโดยสิ้นเชิง เป็นผู้บริสุทธิ์สุดส่วนแท้ พวกเรานี้พวกวิกลจริตเต็มอยู่ในบ้านในเมืองในที่ไหน มีแต่พวกวิกลจริตทั้งนั้น ขาดบาดขาดตาเต็ง เรียกว่าพวกวิกลจริต เข้าใจหรือ ถ้าเลยวิกลจริตแล้วก็เรียกว่าโรคบ้าโรคตาบอดว่างั้นเลย ให้เต็มยศ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ

         โยม คุณหมอจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนามาเจ้าค่ะ

         หลวงตา มา เราอยากพบอยู่แล้วแหละ หมอจักรธรรมก็ลูกศิษย์ หลานศิษย์ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นลูกศิษย์ อันนี้เป็นหลานศิษย์ เรียกว่าหลานศิษย์เลย ลูกศิษย์ หลานศิษย์ วันนี้ได้พบหลานศิษย์แล้ว ลูกศิษย์คือท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ อันนี้เป็นหลานศิษย์ เข้าใจเหรอ วันนี้ได้พบทั้งลูกทั้งหลาน ลูกศิษย์ก็คือท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ หลานศิษย์ก็คือนี้เอง เป็นลูกเป็นหลาน แต่เหลนยังไม่พบนะ ก็ดีละ

         ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราให้มีความแน่นหนามั่นคง ชุ่มเย็น ด้วยธรรมครองโลกนี้ ถ้ากิเลสมาครองโลกเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นเถ้าเป็นถ่านได้นะ ถ้าธรรมมาปกครองโลกแล้วชุ่มเย็นถ้วนหน้ากันไปหมด ให้พากันอยู่เป็นธรรม ปฏิบัติเป็นธรรม พูดเพียงเท่านั้นก่อนเพราะเทศน์มามากแล้ว เหนื่อยยังไม่หาย มากันหลายคนหรือนี่

         คุณหมอฯ กระผมมาจากกรุงเทพฯสองคนครับ มากับภรรยาสองคน ภรรยาคนเดียวแต่รวมกันแล้วเป็นสองคนครับ

         หลวงตา ไม่ใช่ภรรยาแอบแฝงเหรอ เราทำท่าขู่เฉยๆ ละ ถ้าเป็นลูกท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เราเชื่อแน่เลย (สาธุ) อันนี้เราพูดเพื่อขู่พวกบ้า อันนี้เป็นเหตุยกขู่พวกนั้นต่างหาก

         คุณหมอฯ กระผมพาเพื่อนข้าราชการ ที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาอยู่ที่อุดร ที่หนองคาย และที่หนองบัวลำภู มากราบหลวงตาด้วยขอรับ

         หลวงตา เออดีแล้ว วันนี้ดีแล้วนะ ให้พากันปฏิบัติหน้าที่ สำนักงานพุทธศาสนานี้คือหัวใจของชาติไทยเรา ชาติไทยของเราเป็นลูกชาวพุทธทั้งหมด เราเป็นผู้ทำงานเพื่อหัวใจแห่งชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ จึงขอให้พากันดำเนินหน้าที่การงานไปด้วยความสงบราบรื่นดีงาม ตามเหตุตามผล เพราะเรื่องธรรมนี้จะเป็นไปตามเหตุตามผล ให้เราน้อมตัวของเราเข้าสู่เหตุผลคืออรรถธรรม ฟังเสียงเหตุเสียงผล ยิ่งกว่าเสียงอื่นใดซึ่งมักจะมีเสมอ

         เรื่องประจบประแจงเลียแข้งเลียขานี้ แล้วจิตใจของคนที่มีกิเลสก็อ่อนลงไปแล้วมันเหยียบหัวไปเลย มีได้นะ ให้พากันระมัดระวัง ให้ทำหน้าที่ ชาวพุทธเราหัวใจอยู่กับสำนักนี้ละสำนักงานฯ ให้ทำหน้าที่ให้เป็นไปเพื่อความสุจริตธรรม พระสงฆ์องคเจ้าทั้งหลายท่านก็มีความสงบร่มเย็น ตายใจ เมื่อมีจุดศูนย์กลางเป็นที่สะดวกสบายตายใจได้แล้วพระสงฆ์ก็สบาย ดำเนินกิจการไปตามหน้าที่การงานของตน

         วันนี้จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่ตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาถวายตัวเป็นลูกศิษย์ตถาคต ทำงานในสำนักงานพุทธศาสนาด้วยความสุจริตธรรม จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลายทั่วหน้ากัน เอ้าสาธุพร้อมกัน ทีนี้จะให้ศีลให้พร (บูชาธรรมด้วยเจ้าค่ะ) บูชาธรรมนี้เป็นความถูกต้องดีงาม อย่าเอาธรรมไปบูชากิเลสก็แล้วกัน ฝากอันนี้ไว้ ให้พร

         นี่จะเผดียงให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายทราบ ลูกศิษย์ที่มานี้ชื่อว่าคุณหมอจักรธรรม นี่เป็นลูกของท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้มีธรรมเต็มเปี่ยม ทางเพศฆราวาสยกนิ้วให้เลย ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นธรรมอย่างยิ่งทีเดียว แล้วเป็นลูกศิษย์ลูกหามาตั้ง ๔๐ ปีละมั้ง เวลาท่านเอาลูกชายของท่าน ดูเหมือนเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นอะไร (คุณหมอ : ผู้พิพากษาขอรับ มาอยู่ที่อุดรครับ) ท่านพามาเอง แล้วมาฝาก อันนี้ผมเป็นลูกศิษย์ เรายังไม่ลืมนะ ก็ฝากตัวท่านแล้วว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน อันนี้ก็ฝากให้เป็นหลานศิษย์ เราเลยไม่ลืมนะ ให้มาเป็นหลานศิษย์ของหลวงตาอยู่ที่นี่แหละ แต่นั้นยังหนุ่มอยู่ ไม่เรียกว่าว่าหลวงตา เรียกว่าอาจารย์ คราวนี้จะมาฝากหลานศิษย์ไว้ที่นี่นะ แล้วแต่ผิดถูกประการใดมอบให้อาจารย์ฟาดเลย หลานศิษย์ให้เป็นผู้เป็นคน ว่างั้น เราไม่ลืมนะ

         นี่เผดียงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นผู้เด่นทั่วประเทศไทยในความดีงามทั้งหลาย คิดดูเวลาพระราชทานเพลิงศพ สกุลกษัตริย์เสด็จไปหมดเลย เราเคยเห็นที่ไหน นี่เราฟังมาตลอดนะ มีที่ไหน ก็คือท่านสัญญา ธรรมศักดิ์เรา ที่พระราชทานเพลิงศพนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ในวงศ์สกุลกษัตริย์เสด็จไปหมดเลย มีที่ไหนประเทศไทยเรา นี่ก็ยกนิ้วให้เลย ความดีเป็นอย่างนี้ เข้าใจเหรอ เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก