กรรมฐานคือตัวกิเลส
วันที่ 26 สิงหาคม 2547 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

กรรมฐานคือตัวกิเลส

 

ก่อนจังหัน

 

         พวกเด็กเพ่นพ่านๆ อยู่หน้าวัดน่ะ มาจากไหนต่อจากไหนบ้างก็ไม่รู้นะ แตกมาๆ เหมือนปล่อยหมาเข้าถานนะอยู่ในนั้นน่ะ เขามาเลี้ยงมาดูแล้วพวกนี้ไปใหญ่เลยเทียวนะ เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน พอกินอิ่มแล้วก็ขี่จักรยานวิ่งเพ่นพ่านๆ เราไปเห็นตอนเย็นเมื่อวาน มันเลอะเทอะนะพวกนี้ เด็กมาจากไหนก็ไม่รู้มากองกันกินอยู่นี่ เหมือนปล่อยหมาเข้าถานนั่นละ กินแล้วออกเพ่นพ่านๆ ดูไม่ได้นะ พวกนี้มันเคยอยู่ในนรก จมอยู่ในนรก มันไม่เคยเห็นของดิบของดี เลอะเทอะกันใหญ่นะ

มาจากที่ไหนกันบ้าง ไปตีเกราะประชุมหรือ ออกทางวิทยุกระจายเสียงแถวนี้ให้มานี้หมดพวกเด็ก มากินแล้วเหมือนปล่อยหมาเข้าถาน กินแล้วก็ขี่จักรยานวิ่งเพ่นพ่านๆ นะ ไม่มีแบบมีฉบับอะไร ดูไม่ได้เลย มันเป็นยังไงพวกนี้ เลอะเทอะเอามากเทียว แตกมาจากไหนก็ไม่รู้มากองกันกินอยู่ตามแถวนี้ กินแล้วก็เพ่นพ่านๆ มองไปดูไม่ได้เลย เมื่อวานเราไปไล่จี้เอาตอนกำลังจะมืดเราออกไป ยังเพ่นพ่านๆ อยู่มันอะไร เลอะเทอะเอาจริงๆ พวกนี้ มาขี้ใส่วัดไปหมดแล้วนะ

เด็กนั่นสำคัญมากนะ จักรยานเต็มอยู่ตามแถวนั้น มากินกันอึกทึกอยู่นี่ ไม่ได้เรื่องอะไร ตั้งมาหากินเอาเฉยๆ แล้วมาหากินก็แบบปล่อยหมาเข้าถานด้วยนะ อู๋ย มูมๆ มามๆ ดูไม่ได้นะ โธ่ๆ ๆ ทำไมเลอะเทอะเอามากมายพวกนี้ ลูกใครพ่อใครแม่ใครดูกันบ้างซิมันเป็นยังไง เลอะเทอะเอาจริงๆ ให้พร

 

หลังจังหัน

 

         วันพรุ่งนี้พระวัดป่านานาชาติจะให้มาฉันข้างใน พระทั้งหลายเราออกไปฉันศาลาใหญ่ข้างนอก ส่วนพระนานาชาติจะมากันเยอะ จะจัดให้ท่านฉันที่นี่ ดูแลกันที่นี่ เพราะวันพร่งนี้คนจะมาก.ท่านอาจจะมาตอนเย็นวันนี้ วัดนานาชาติมีเยอะพระ เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชา เราเคยไปวัดนานาชาติดูเหมือนสองหนหรือสามหน ก็พระเหล่านั้นละนิมนต์เราไปอุบล นิมนต์เราเข้าไปวัดนานาชาติ มีที่ไหนบ้างเราจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าที่นั่นเหมาะสมมากวัดป่านานาชาติเป็นดงเหมาะสมดี

คนจะเริ่มมากตั้งแต่เย็นวันนี้ไปละ วันพรุ่งนี้วันที่ ๒๗ นั่นละจะมากเต็มที่ ๒๗-๒๘ มาก ศพจะเคลื่อนเวลาไหนเราก็เปิดโอกาสให้แล้ว ศพจะเคลื่อนลงไปนู้นเมื่อไรเราก็เปิดโอกาสให้แล้ว แล้วแต่ความเหมาะสมที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ท่านปัญญาท่านฝึกจิตของท่านมาด้วยดีทุกอย่าง เวลาไปก็ไปสะดวกง่ายนิดเดียว ครั้นเวลาจะไป สงบแล้วไปเลย นี่ละจิตที่ได้ฝึกอบรมแล้ว สำคัญตรงนี้นะ ถ้าไม่ได้ฝึกอบรม โหย มันดิ้นมันดีดตกที่หลับที่นอน ตกเตียงไปเลยไม่ได้สติ คือไม่มีสติควบคุมใจก็เป็นแบบนั้น ถ้ามีสติด้วยดีทุกสิ่งทุกอย่าง สติควบคุมด้วยดีแล้ว อยู่เรียบไปเรียบเลย

คือจิตนี่นะ เราจะยกเป็นข้อเทียบเคียง จิตที่ไม่มีสติควบคุมนี้มันเหมือนคนเสียจริต เขาไปนั่งทำอะไรของเขาอยู่ในสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เขาทำของเขาสบาย เฉย แต่รถวิ่งขวักไขว่จะชนกันก็มี ไม่งั้นมันก็จะไปชนคนบ้า ไอ้รถมันวิ่งสี่แยกธรรมขันธ์เราไปเห็นเอง โอ๋ เป็นอย่างนี้เอง คนเราเมื่อไม่มีสติแล้วก็เป็นอย่างนี้เอง คือรถมันวิ่งมาสี่แยก แล้วคนๆ นั้นอยู่ตรงกลางเสียด้วย จัดนั้นจัดนี้ กระป๋องแตกๆ ผ้าขาดๆ มันจัดอันนั้นใส่นี้ จัดนี้ใส่นั้นเฉย ไม่สนใจกับใคร รถมาทางไหนๆ โอ๋ย ยุ่งกันใหญ่เลย เราก็ไปนั้นพอดี จึงได้คิด อ๋อ สติไม่มีเสียอย่างเดียวแล้วอะไรๆ ก็ไม่มีความหมาย คือสติควบคุม สตินี้เป็นสมมุตินะ สติปัญญา ตั้งแต่สติปัญญาธรรมดาถึงขั้นมหาสติ มหาปัญญา เป็นสมมุติทั้งนั้น เครื่องใช้ๆ เครื่องซักฟอกจิต เหล่านี้ไม่ใช่ธรรมชาติแท้ เป็นเครื่องกำกับ เครื่องรักษาใจ บำรุงใจ

จึงว่าให้มีสติ ทำอะไรให้มีสติปัญญาเป็นเครื่องรักษา ที่เราเห็นได้ชัดก็คือว่า ตั้งแต่สติปัญญาขั้นอัตโนมัติมันก็ทำงานของตัวเองตลอด ฆ่ากิเลส อันนี้พื้นเพของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติ จะคิดจะปรุงเรื่องราวอะไรนี้ กิเลสนำๆ หมดเลย นำหน้าๆ อยู่ทุกอิริยาบถ กิเลสมันดันจิตให้เคลื่อนให้ไหว ให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่อย่างนี้เป็นประจำทุกตัวสัตว์ นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน เราก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้แต่ก่อน เวลาเข้าไปตรงนั้นแล้วมันถึงรู้กันเอง เริ่มตั้งแต่ฝึกหัดล้มลุกคลุกคลานไป ฝึกจิตฝึกสติ สติสำคัญมากนะ ฝึกเข้าไปๆ สติก็ค่อยดีขึ้นๆ การรักษาจิตใจดีขึ้นโดยลำดับ ใจก็ค่อยแคล้วคลาดปลอดภัยจากอารมณ์ที่เป็นภัยคือกิเลสไปโดยลำดับลำดา ดูกันอยู่นี้ นี่ละขึ้นเวทีมันถึงได้ชัดเจน

ชำระซักฟอกไปเรื่อยๆ  ไปถึงขั้นมรสุมใหญ่ที่จะเอาเป็นเอาตายกันจริงๆ นี้ ฟังเสียนะท่านทั้งหลายไม่เคยฟัง สงครามอันนี้จะไปอยู่กับกามกิเลส ราคะตัณหา ตัวนี้ตัวออกแนบรบ กษัตริย์คืออวิชชาอยู่ในพระราชวัง อันนี้ออกแนวรบ กามกิเลส ราคะตัณหา สุดเหวี่ยงเลยเทียว เวลากองทัพธรรมเข้าไปรบกันมันถึงได้รู้กันชัดเจน เรื่องสงครามในโลกนี้อันนี้ตัวเป็นอันดับหนึ่งเลย ราคะตัณหาเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในหัวใจ ทำงานอยู่บนหัวใจ ออกแนวรบตัวนี้ออกตลอดเวลา มหากษัตริย์คืออวิชชาอยู่ภายในพระราชวัง อันนี้ตัวออกแนวรบ เอากันตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ซัดเข้าไปจนชำนิชำนาญ มองไปที่ไหนมองดูคนดูสัตว์ดูที่ไหน เป็นอันเดียวกันหมดเลย เรื่องอสุภะอสุภังมันชำนิชำนาญของมัน หมุนติ้วทีเดียวขาดสะบั้นไปหมดๆ นี่ปัญญามีอำนาจตีอันนี้ลง ฟังให้ดี นี่ละบนเวที ระหว่างกิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจ แย่งนางงามจักรวาลคือใจ

เวลาธรรมมีกำลังก็ตีออกๆ ตีออกเรื่อยๆ ชำนาญจนกระทั่ง ท่านเขียนไว้ในตำราก็มี มันก็เข้ากันได้ทันที ก็เดินทางสายเดียวกันนี่ มันจะรู้ไปไหน ธรรมของจริงอันเดียวกันทั้งนั้นละค้านกันไม่ได้ พระท่านเดินภาวนาอยู่ในป่าท่านชำนาญในเรื่องที่ว่านี้ กำลังเข้าขั้นชำนิชำนาญ มองไปที่ไหนเห็นแต่โครงกระดูกไปหมด ท่านชำนาญไปทางโครงกระดูก โครงกระดูกต้องออกหน้าๆ อันไหนที่เด่นกว่าเพื่อนอันนั้นต้องออกหน้าเรื่อยๆ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา ทะเลาะกับผัวแล้วหนีจากบ้านมาผ่านไป ท่านกำลังเดินจงกรมท่านมองไปเห็นผ่านไป ท่านเป็นธรรมทั้งนั้น พิจารณาเป็นธรรมหมดเลย

ไม่นานนักก็เห็นสามีตามมา ท่านเห็นผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมานี้ไหม โอ๊ย ท่านก็พูดตรงไปตรงมาจริงๆ นะ ไม่เห็นแหละ เห็นแต่กองกระดูกผ่านไปนี้ นี่ในตำรานะ คือท่านกำลังชำนาญมาก มองอะไรนี้เห็นเป็นโครงกระดูกไปหมดเลย ทีนี้พอผู้หญิงคนนั้นผ่านไปแล้ว สามีเขาก็ตามมา เห็นผู้หญิงไหม ไม่เห็นแหละเห็นแต่กองกระดูกไปนี้ นี่ในตำรามี อ๋อ นี่กำลังท่านชำนาญ มันเข้ากันได้ทันทีๆ เห็นอันใดเป็นอันนั้นหมดเลย นี่ละเรื่องของปัญญาเวลามีความชำนิชำนาญ เวลาเต็มเหนี่ยวแล้วเรื่องอสุภะอสุภังทั้งหลายครอบโลกธาตุอยู่นี้ ที่จิตออกไปวาดภาพทางด้านธรรมะ ตีกิเลสลง ก็ออกวาดภาพที่ฆ่ากิเลส

ตั้งแต่ก่อนกิเลสวาดภาพฆ่าธรรมะ เห็นอะไรสวยงามไปหมด รักก็เป็นโทษ ชังก็เป็นโทษ เป็นโทษไปหมดด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งรักทั้งชังทั้งเกลียดทั้งโกรธเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดมันทำงานของมัน ทีนี้เวลาธรรมตีเข้าๆ เหล่านี้เป็นธรรมไปหมดๆ เลย เรื่อยไปถึงขั้นอสุภะอสุภังชำนิชำนาญ มองไปที่ไหนเป็นอันเดียวกันหมด เป็นหลักธรรมชาติของสติปัญญาขั้นนี้ เราจึงไม่เรียกว่าสติปัญญาขั้นนี้เป็นอัตโนมัติ เรายังไม่เรียก ขั้นชุลมุนในสนามรบบนเวทีคือหัวใจ มันหมุนกันติ้วๆ ชุลมุน

ทั้งหมดนี้รวมกันแล้ว เรื่องอสุภะอสุภังในโลกธาตุ มีแต่ธรรมะวาดภาพออกหมด แต่ก่อนเป็นสุภะสุภัง ของสวยของงามของดี ทั้งรักทั้งชังเปื้อนกันไปหมด เป็นเรื่องกิเลสออกทำงาน ทีนี้เวลาธรรมออกทำงานชะล้าง อะไรๆ กลายเป็นอสุภะไปหมด มองดูทั่วโลกธาตุเป็นอสุภะไปหมด นี่เวลาธรรมมีกำลังมาก จากนั้นอสุภะทั้งมวลนี้รวมตัวเข้ามาๆ เข้าสู่จิตใจ หมด มารวมอยู่ที่จิตใจทีเดียวเลย เรื่องอสุภะทั้งหมดมีแต่ภาพของธรรมะออกไปวาดเพื่อแก้เจ้าของ แต่ก่อนเป็นเรื่องกิเลสผูกมัดเจ้าของ ภาพอะไรเป็นเรื่องของกิเลสผูกมัดเจ้าของทั้งนั้น ทีนี้เวลาธรรมะมีกำลังมาก ธรรมะออกวาดภาพทางแก้กิเลสฆ่ากิเลส ออกไปที่ไหนเป็นอสุภะอสุภัง ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลว่าอะไรเป็นไปหมดเลยเทียว

ทีนี้รวมทั้งหลายนี้ มันชำนาญมากแล้วมันก็ดึงเข้ามาเอง เรื่องอสุภะอสุภังทั้งหลายกำหนดดูๆ เรื่องอสุภะทั้งหลายประมวลเข้ามาๆ กึ๊กเข้าถึงหัวใจเลย พอเข้าถึงหัวใจแล้ว อสุภะภายนอกทั่วแดนโลกธาตุขาดสะบั้นไปหมด เป็นตัวนี้เองเป็นอสุภะ ไม่มีอะไรเป็นอสุภะ ตัวนี้เองเป็นสุภะก็ดีอสุภะก็ดี สุภะความสวยงามก็ดี อสุภะไม่สวยงามก็ดี เป็นตัวนี้ทั้งนั้นๆ พอจับตัวนี้แล้วตัดอันนั้นขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่อสุภะภายใน ปล่อยเลยเรื่องอสุภะภายนอก หมด อย่างนั้นซิ เราเคยคาดเคยคิดเมื่อไรว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เวลามันเป็นตามความจริงแล้วไม่บอกมันก็เป็น ไม่บอกมันก็เชื่อเอง มันประจักษ์ในหัวใจเจ้าของ

พออสุภะภายนอกขาดหมด แล้วรวมอสุภะเหล่านั้นเข้ามาเป็นเรื่องของจิตใจนี้กลืนไว้หมดเลย เข้ามาอยู่ที่นี่ อ๋อ ตัวนี้เองเป็นเหล่านั้นๆ ไม่ใช่ตัวไหนเป็น ตัดอันนั้นออกปุ๊บก็จับอสุภะภายในนี้ ฝึกซ้อมตรงนี้ อันนั้นขาดไปหมดแล้วยังเหลือตั้งแต่อสุภะอันนี้ ตั้งขึ้นปั๊บพังกันลงที่นี่ ตั้งขึ้นพังกันลงที่นี่เรื่อย ฝึกซ้อมจนละเอียดลออๆ เข้าไป รวดเร็วเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นแสงหิ่งห้อย ภาพตั้งขึ้นมานี่ พอตั้งขึ้นพับดับพุบๆ จะพิจารณาเป็นสุภะอสุภะอสุภังไม่ทัน มันรวดเร็ว ขาดสะบั้น มีแต่เกิดดับๆ ยิบแย็บ เกิดปั๊บดับพร้อมๆ มันก็มาฝึกซ้อมอยู่ภายใน เรื่องภายนอกหมดแล้วนะ

พออสุภะอันนี้ขาดปึ๋งลงไปเท่านั้น นี่ละราคะตัณหาขาดลงในจุดนี้เอง ที่มันกดมันถ่วงสัตว์โลกให้จมดิ่งอยู่ในวัฏวนกี่กัปกี่กัลป์ มีอันนี้ทั้งนั้น กิเลสนี้ออกไปวาดภาพหลอกตัวเอง ทีนี้เวลาธรรมตามวาดภาพแก้กันมาแล้วก็เข้ามาอยู่ภายใน เป็นตัวนี้ทั้งนั้น นั่น ทีนี้ก็ปัดทางนั้นออก ราคะตัณหาขาดสะบั้นลงไปเลย นี่ละท่านว่าท่านสำเร็จพระอนาคามี สำเร็จตรงที่อสุภะภายนอกอสุภะภายในเข้ากลมกลืนกันแล้ว ตัดอสุภะภายนอกออกหมด ยังเหลือแต่อสุภะภายใน ฝึกซ้อมอสุภะภายในให้มีความเกรียงไกรคล่องแคล่วว่องไวเร็วขึ้นๆ ตั้งขึ้นพับดับพุบๆ จะพิจารณาสุภะอสุภะไม่ทันเวลามันชำนาญพอแล้ว พอแพล็บเท่านั้นขาดพร้อมกันๆ นี่ฝึกซ้อมเข้าไปๆ เรื่อย นี่ได้ระดับแล้ว เรียกว่าราคะตัณหาขาดลงในนั้นแล้ว ถ้าว่าสอบก็สอบได้แล้ว ๕๐% ขึ้นไป นี่เป็นพื้นฐานแห่งอนาคามี

พอตัวนี้ขาดไปแล้ว ฝึกซ้อมอันนี้ พื้นฐานอนาคามีจะก้าวขึ้นเรื่อย ๕๐% ๖๐% นี้หมายถึงผู้ที่ไปอย่างเชื่องช้า ผู้ที่ไปอย่างรวดเร็วลบพรึบหมดเลยทันที เป็นขั้นตอนต่างกันนะ ผู้ที่เดินไปโดยลำดับเป็นอย่างนี้ จะได้เห็นชัดเจนมากนะ ผู้ที่เป็นไปอย่างเชื่องช้านี้เห็นชัดเจนมาก ละเอียดลออติดตามกันไปหมด จนกระทั่งอสุภะภายในนี้เป็นแสงหิ่งห้อยเท่านั้น ตั้งขึ้นพับดับพร้อมๆ จากนั้นก็ว่างไปไหม ไม่มีสุภะอสุภะ ดับ มีแต่ความว่างของจิต พอนิมิตสุภะอสุภะขาดไปจากจิตแล้ว นี่เป็นอันดับสุดท้ายของอนาคามี หมด เหลือแต่ความว่างของจิต มองไปที่ไหนจะดูอะไรเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้ มันว่างไปหมดเลย นี่มันฝึกอยู่ภายในจิต

จากนั้นก็เข้าหาตัวกษัตริย์ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จะเข้าไปตรงนั้น ตีภายนอกนี้เสียก่อนอย่างหนักทีเดียว ตั้งแต่ฝึกซ้อมเข้าไปนี้เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ตอนชุลมุนวุ่นวายกับอสุภะอสุภังที่จะขาดสะบั้นกันในเบื้องต้นนั้น เป็นขั้นชุลมุน สำหรับเราให้เรียกเราไม่กล้าจะเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นสติปัญญาขั้นชุลมุน ขั้นกิเลสราคะตัณหาจะขาดจากจิตนี้เป็นขั้นชุลมุน พอนี้สอบได้ระดับแล้ว ทีนี้เป็นขั้นอัตโนมัติฝึกซ้อมตัวเอง ฝึกซ้อมขั้นนี้เป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นไปหมด ฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ ขาดไปๆ ละเอียดลงๆ รู้อยู่ในใจนั้นแหละ ไม่ถามใคร หากรู้อยู่ในใจ

พอจากนั้นมันก็สืบเข้าไปหาอวิชชา เกิดดับๆ เกิดดับมาจากไหน ดีชั่ว สุขทุกข์ สังขารตัวนี้ปรุง สังขารตัวนี้เป็นเครื่องมือของอวิชชา ท่านจึงเรียกว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นต้นเหตุ คือเป็นกิเลสตัณหา สังขาร วิญญาณ นามรูป ไปเป็นเรื่องของกิเลสไปหมดๆ พออันนี้ดับพรึบ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ย้อนหลังเข้ามา พออวิชชาดับ สิ่งทั้งหลายดับหมดเลย เข้านี้ปึ๊งเลย หมด นี่เรื่องสติปัญญาอัตโนมัติพูดได้ขั้นนี้เป็นอัตโนมัติ พอละเอียดเข้าไปจะไปหาอวิชชานั้นเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วนะ มันละเอียดลออซึมซาบเลย กิเลสนี่ไม่ได้ฟันป๊อกๆ แป๊กๆ นะ ขาดไปเลยๆ

ความละเอียดลออรวดเร็วของสติปัญญาขั้นนี้ เรียกว่า มหาสติมหาปัญญา จากนั้นก็เข้าถึงอวิชชามหากษัตริย์ พังมหากษัตริย์ลงแล้วเปิดโล่งหมด โลกธาตุไม่มีอะไรเหลือเลย ท่านจึงเรียกว่า อาโลโก อุทปาทิ จ้าไปหมดเลย ไม่มีขึ้นชื่อว่าสมมุติที่จะเข้ามาในนี้ ไม่มี หมด จิตนี้เป็นวิมุตติล้วนๆ แล้วไม่มีสมมุติ คำว่าไม่มีสมมุติ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จึงหมดโดยสิ้นเชิง จะพิจารณาอสุภะอสุภังอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ผ่านไปหมดแล้วไม่เอา  เรียกว่าหมด นั่นท่านหมดกรรมฐานท่านหมดอย่างนั้น กรรมฐานคือตัวกิเลส อันนี้ขาดสะบั้นลงแล้ว กรรมฐานทั้งหลาย สุภะอสุภะไม่มีเลย มีตั้งแต่ธรรมชาติที่ว่างเปล่า สูญเปล่าไปหมด เป็นวิชชาวิมุตติล้วนๆ แล้ว หรือเป็นธรรมธาตุ มหาวิมุตติ มหานิพพาน สมมุติทั้งหลายไม่มี

เพราะฉะนั้น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่เราเคยเป็นทางก้าวเดินไปๆ หรือผ่านไปๆ พอสิ้นสุดแล้วอันนี้ดับหมดไม่มีเหลือ มีตั้งแต่ธรรมชาติที่ว่างเปล่าจากสมมุติโดยประการทั้งปวงเท่านั้น นี่ว่าง ทีนี้หมด เรื่องมันเห็นได้ชัดก็คือราคะตัณหานี้เป็นตัวที่กดถ่วงมากที่สุด ในบรรดากิเลสไม่มีอะไรเกินราคะตัณหา เป็นอันดับหนึ่ง เวลารบกันก็ตัวนี้เป็นตัวชุลมุนเอามากทีเดียว พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจิตนี้ไม่มีคำว่ากดถ่วงลง มีแต่ดีดขึ้นเรื่อย นั่นละท่านฝึกซ้อมท่านในขั้นอนาคามีได้ระดับ ฝึกซ้อมไป

จิตนี้เบาหวิวๆ ขึ้นเรื่อยๆ ละเอียดไปเรื่อย ให้ลงไม่มี กิเลสมีแต่ดึงลงๆ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วความดึงลงหมด มีแต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนสำลีขึ้นบนอากาศ เรื่อยๆ เข้าถึงจุดอวิชชา ฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไปหมด ทีนี้สมมุติทั้งมวลในโลกธาตุนี้หมดโดยสิ้นเชิงภายในจิตดวงบริสุทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้นท่านผู้ที่ถึงขั้นนั้นแล้วจึงว่าไม่มีกรรมฐาน พูดตรงๆ อย่างนี้เลย เพราะกรรมฐานก็เป็นสมมุตินี่ อันนั้นผ่านไปหมดแล้ว หมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้เรื่องกองทุกข์ไม่มี ประจักษ์แล้ว

กองทุกข์ที่เด่นชัดที่สุดคือราคะตัณหา ตัวนี้ขาดลงไปแล้วจิตดีดขึ้น แต่ก่อนอันนี้ดึงลง พออันนี้ขาดแล้วอันนั้นดีดขึ้น พอถึงอวิชชา พังอวิชชาแล้วผางไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีคำว่าขึ้นว่าลง เรื่องกรรมฐานเป็นสายทางเดินมาหมดโดยสิ้นเชิง นั่นจิตที่ถึงวิมุตติถึงอย่างนั้น ไม่ต้องไปถามใคร พูด สาธุขึ้นทันทีเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ของจริงอันเดียวกัน ไม่ค้านกัน เท่านั้นเอง จิตก็เป็นนักรู้ ธรรมกับจิตก็เป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอันเดียวกันหมดหาที่ค้านกันไม่ได้ ของอันหนึ่งหาที่ค้านกันไม่ได้ ถ้าสองมีค้าน มีคู่แข่งกัน ถ้าหนึ่งแล้วไม่มีอะไรค้านไม่มีอะไรแข่ง ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีคำว่าค้านกัน

นี่พูดถึงเรื่องภาคปฏิบัติให้ท่านทั้งหลายฟัง ถอดเอามาจากเวที ขึ้นบนเวทีฟัดกัน เป็นของฝึกได้จิต ถ้าฝึกไม่ได้ พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้นะ ต้องอาศัยการฝึก หนักเบาก็เอา ฟัดกันไปๆ สุดท้ายก็ค่อยคล่องตัวๆ จนกระทั่งถึงกิเลสโผล่ไม่ได้ ขาดสะบั้นไปเลย นี่ก็เป็นอัตโนมัติ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะฆ่ากิเลสนะ ความรวดเร็วของอัตโนมัตินั่นละเป็นเอง ขาดสะบั้นๆ จนกระทั่งกิเลสไม่มีแล้ว ขาดสะบั้นไปหมด เรียกว่า อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าหมดเลย ทีนี้หมดละขึ้นชื่อว่าสมมุติทั้งมวล

ก็ยังเหลือแต่ธาตุแต่ขันธ์ ส่วนที่ยังเหลืออยู่กับธาตุกับขันธ์ หมดไปแล้วจากจิตโดยสิ้นเชิง คือจิตที่บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับขันธ์ แม้ขันธ์จะมีอะไร ขันธ์มีอยู่ตามธรรมชาติของขันธ์ เช่นชอบอันนั้นไม่ชอบอันนี้ อันนั้นดีอันนี้ไม่ดี อยู่ในวงขันธ์นะไม่ได้ออกจากนี้ไป หากรู้อยู่ในตัวเองนั้นแหละ มันเป็นของมันเอง อันนั้นดีอันนี้ไม่ดี อันนั้นน่ารักอันนี้น่าชัง อยู่ในวงขันธ์ ก็น่ารักเพียงเท่านั้นแหละ ชังก็เพียงเท่านั้น ไม่เลยนั้นไป หากจะปฏิเสธไม่ได้นะ มันมีอยู่นั่น เข้าใจไหม นี่เรียกว่าสมมุติในขันธ์ที่แสดงตัวอยู่นั้น จิตที่เป็นจิตตวิมุตติ รับผิดชอบดู อะไรแสดงขึ้นมาในขันธ์รู้หมดๆ ธรรมชาตินั้นไม่มาเกี่ยวข้อง เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง นี่คือจิตที่บริสุทธิ์

จิตที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้นไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน พูดแล้วสาธุทันที พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามท่านหาอะไร ความจริงเป็นอันเดียวกัน ค้านกันไม่ได้ ไม่มีทางค้านกัน เรายอมรับเราแล้ว พระพุทธเจ้ากับอันนี้ก็อันเดียวกัน ค้านกันได้ที่ไหน นั่นละการปฏิบัติภาวนา ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอ สอนโลกให้สุดยอดเลยนะ ไม่มีผิดมีเพี้ยน กำหนดพิจารณาไปอะไร รู้ตรงไหนพระพุทธเจ้าสอนไว้หมดๆ เปิดทางไว้หมด เป็นแต่เพียงว่าเรายังไม่รู้ ก็ค่อยก้าวเดินไปตามที่ท่านสอนไว้ๆ ไปก็เจอไปๆ ยอมรับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสิ้นสุดวิมุตติแล้วหมดโดยสิ้นเชิง

นี่ละพุทธศาสนา ให้ท่านทั้งหลายจับเอาไว้นะ นี่ออกมาจากเวทีบนหัวใจ หัวใจนี้มีกิเลสกับธรรมฟัดกัน พออันนั้นขาดลงไปแล้วเป็นธรรมล้วนๆ ภายในหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันไม่มีที่ค้านกันเลย จ่อปั๊บลงไปนี้ถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย อันเดียวเท่านั้นถึงกันหมดเลย แล้วจะไปถามหาพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน อันนี้กับอันนั้นอันเดียวกันแล้ว นั่นละท่านว่าเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือเห็นอันนี้เอง ไม่ต้องไปถามหาองค์ไหนอีกแล้ว นี่ละธรรมเลิศอยู่ที่ตรงนี้

ทีนี้อดีตอนาคตที่เป็นสมมุติทั้งมวลหมดโดยสิ้นเชิง อดีตผ่านมาแล้วเป็นยังไงไม่ไปยุ่ง อนาคตที่จะเป็นไปข้างหน้าเป็นยังไงไม่ยุ่ง ปัจจุบันก็หมดปัญหาแล้วยุ่งหาอะไร มิหนำซ้ำปัจจุบันก็เป็นสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติเข้ากันได้ยังไง นั่น พากันจำเอานะ เราจวนจะตายแล้วเราเปิดให้ฟังทุกคนๆ เปิดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน อยากจะพูดว่า เดี๋ยวนี้ก็มีแต่หลวงตาบัวองค์เดียวพูดวอกๆ อยู่นี่ องค์ไหนใครคนใดจะมาพูดก็ไม่เห็นมีพูด ท่านรู้ท่านก็รู้อยู่จำเพาะท่านตามนิสัยวาสนา ของผู้ที่จะนำออกทำประโยชน์ให้โลกมากน้อย เป็นตามนิสัยวาสนา

ความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด แต่การแสดงออกที่จะทำประโยชน์ให้โลกต่างกันนะ ไม่ได้เหมือนกัน ผู้มีอำนาจวาสนากว้างขวางท่านก็ทำประโยชน์ให้โลกได้อย่างกว้างขวางๆ ไปเรื่อยๆ ผู้ที่พอตัวอยู่เฉพาะตัวแล้วท่านก็อยู่ของท่านไป เช่นอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านบรรลุธรรมก่อนใครทั้งหมด ครั้นเวลาท่านได้บรรลุธรรมแล้วท่านก็ไม่ได้สอนใคร ก็มีหลานชายคนเดียวพระปุณณมันตานีบุตร เป็นธรรมกถึกเอก แล้วดูเหมือนท่านจะไม่ได้สอนด้วยซ้ำ ถึงเวลาที่จะไปนิพพาน ท่านไปอยู่ที่ฉัททันตสระตั้ง ๑๑ ปี พวกโขลงช้างทั้งหลายอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ช้างก็เป็นช้างโพธิสัตว์อุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน ถึงกาลเวลาแล้วท่านก็ออกมา ท่านรู้ของท่านแล้ว ออกมาทูลลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ภาษาเราเรียกว่าทูลลาตาย

ครั้นออกมาแล้วพระเณรหนุ่มน้อยอย่างพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่ ตาใสเหมือนตาแมวนี่ เหมือนพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ ครั้นเห็นท่านมา ท่านอยู่ในป่าท่านจะไปหาแก่นขนงขนุนที่ไหนมาย้อม ท่านก็ย้อมด้วยดินแดง ผ้าจีวรท่านแดงโร่ออกมา เพราะท่านอยู่ในป่า ครั้นออกมาทูลลาพระพุทธเจ้า พวกพระเณรตาใสแป๋วเหมือนตาแมวก็นั่งดู รำพึงในใจ เอ๊ หลวงตาองค์นี้มาจากไหน คงคิดไปอย่างนั้น พอมาทูลลาพระพุทธเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว พวกพระเณรตาใสเหมือนตาแมวก็รุมเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า นี่เป็นหลวงตามาจากไหน มองดูสีผ้าเหมือนสียักษ์

อู๊ย อย่าพูดอย่างนั้น เห็นไหมพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นหลวงตาบัวจะตีปากเสียก่อนถึงจะบอก แต่นี้ท่านยังว่า อุ๊ย อย่าพูดอย่างนั้นนะ นี่พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลาย พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นปฐมสาวกของเราตถาคต นี่เธอมาลาไปปรินิพพาน จะว่าสียักษ์สีผีอะไร ทางนี้พอรู้เรื่องแล้วก็ตัวสั่น ป่านนี้ยังสั่นอยู่ละมั้ง พอรู้เรื่องว่าท่านเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ นี่ถึงเวลาท่านก็มาลาไปเลย องค์นี้ท่านก็ไม่ทำประโยชน์ที่ไหนมาก แต่พวกเทวบุตรเทวดาปฏิเสธไม่ได้นะ ไม่ได้ทำให้มนุษย์ก็ทำให้เทวบุตรเทวดา พวกสัตว์พวกอะไร เช่น ช้าง เป็นต้น ท่านก็ทำไปแบบหนึ่งของท่านตามนิสัยของท่านเอง ท่านก็ไม่กว้างขวาง

แต่องค์อื่นๆ เช่น พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ กระเทือนทั่วแดนชาวพุทธเรา นิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารต่างกันทำประโยชน์ได้มากน้อยต่างกัน ทั้งๆ ที่ความบริสุทธิ์เหมือนกัน เข้าใจไหม ความบริสุทธิ์นั้นท่านบอกว่าเสมอกันหมด ไม่มีรายใดยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่นิสัยวาสนาที่เป็นเครื่องประดับ ในเวลาที่ทำความปรารถนาไว้ตั้งแต่บำเพ็ญอยู่นั้น สมมุติว่าสำเร็จแล้วขอให้มีฤทธาศักดานุภาพ มีวาสนาไปทางนั้นๆ  พอสำเร็จแล้วก็เป็นไปตามนั้นๆ ต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นบรรดาพระสาวกถึงจะบริสุทธิ์ก็ตาม นิสัยวาสนาจะทำประโยชน์ให้โลกได้กว้างแคบต่างกันมีอย่างนี้เอง ส่วนความบริสุทธิ์เสมอกันหมด

วันนี้ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรๆ จนกระทั่งถึงป่านนี้ เอาละมั้งขนาดนี้พอแล้วนะ เอาละ

ผู้กำกับ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ประจำวันนี้

เรื่องสมณศักดิ์สมณเสกที่ยังไม่จบ

มาว่าเรื่องสมณศักดิ์สมณเสกกันต่อ เรื่องนี้ก็ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์เสียบ้างคนเลวก็จะเหิมเกริมไปกันใหญ่ เรื่องนี้พระชั้นผู้ใหญ่ท่านรู้อยู่เต็มหัวอกแต่พระคุณท่านพูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้เพราะมีศีลาจารวัตรเป็นกรอบบังคับ ดังนั้นผู้ที่เป็นมัคนายกเท่านั้นที่จะต้องออกมาทำหน้าที่แทนพระเจ้าพระสงฆ์ เพื่อให้ผู้ที่คิดไม่ดี ทำไม่ดีต่อพระศาสนาและทวยเทพเบื้องบนจะได้เกิดความละอายใจกันบ้าง

คำว่าหิริโอตตัปปะไม่ได้เกิดกับคนเลวๆ เหล่านี้ได้หรอก ต้องกะเทาะเปลือกออกสดๆ ให้ได้เห็นซะบ้างมัน ถึงจะสาสม!

อย่างเมื่อวานนี้ที่ว่ามีคนใจบาปเข้าไปร่วมในการจัดโผ เขาคนนี้นอกจากจะมีผลประโยชน์ด้วยแล้วเขายังทำหน้าที่เชลียแข้งขาท่านผู้นำในฟากรัฐบาล ดังจะเห็นได้ว่ามีรายชื่อพระหลายรูปให้ได้เลื่อนสมณศักดิ์ ซึ่งพระเหล่านั้นล้วนแต่มีผลต่อคะแนนเสียงของรัฐบาล

กับพระอีกรูปหนึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการขายที่ดินของวัด ให้คนมีเงินนำไปจัดสร้างทำสนามกอล์ฟชื่อดัง พระรูปนี้กำลังถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องร้องเป็นคดีค้างคาอยู่ในศาล ทางส่วนราชการฟ้องว่าพระรูปนี้ได้กระทำการบุกรุกที่ดินของทางราชการ

เหม็นคาวฉาวโฉ่ไปทั้งบ้านทั้งเมือง แต่เจ้าคนชั่วกลับไปเอาใจเจ้านายด้วยการเสนอรายชื่อพระรูปนี้ให้ได้เลื่อนสมณศักดิ์!!

กับพระอีก ๒ รูปก็เช่นกัน มีหลักฐานอยู่โทนโท่ว่าเป็นผู้บงการให้พระภิกษุสามเณรก่อเหตุร้ายในพุทธมณฑล มีการวางแผนให้คนฆ่าคน ส่งเสริมให้ญาติโยมก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนในพุทธศาสนสถาน แต่กลับได้รับการเสนอชื่อเลื่อนสมณศักดิ์แซงหน้าพระที่มีผลงานดีเด่นรูปอื่นๆ

แล้วจะไม่ให้คนเขาเรียกสมณเสกที่ได้มาจากสมณมันนี่ได้อย่างไร ก็ในเมื่อพระที่ดีๆ กว่าก็ยังมีอีกมากมาย ทำไมท่านถึงไม่ได้รับการเสนอรายชื่อให้เลื่อนสมณศักดิ์?

ขอยกตัวอย่างเอาง่ายๆ อย่างท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิโสภณ รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก พระคุณเจ้ารูปนี้ได้สร้างพระเณรให้ได้รับปริญญาตรี โท เอก จนได้เป็นเจ้าคุณนั่นเจ้าคุณนี่ ได้เป็นเจ้าคณะปกครองในระดับนั้นระดับนี้ตั้งมากมาย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาพระคุณท่านเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองอธิการบดี แห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พอมาถึงวันนี้ พระรุ่นลูกรุ่นหลาน พระลูกศิษย์รุ่นต่างๆ กลับพากันได้ดิบได้ดี ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณนั่นเจ้าคุณนี่ โดดข้ามหัวพระคุณท่านไปเป็นแถว

ยังปล่อยให้พระคุณดักดานอยู่ในชั้นสามัญอยู่อย่างนั้น!

ว่าก็ว่าเถอะ ในวันที่พระฝ่ายมหานิกายนับเป็นหมื่นๆ รูปได้เข้าไปกราบสักการะให้กำลังใจสมเด็จเกี่ยวจนแน่นเอี๊ยดพระอุโบสถวัดสระเกศ พระคุณเจ้าเหล่านั้นเข้าไปเสนอหน้าจนได้ดิบได้ดีขึ้นมาก็เพราะใคร หากไม่ใช่เพราะท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิโสภณรูปนี้

ไม่เป็นเพราะท่านหลบหน้าหลบตาไปอยู่ด้านหลังดอกหรือ ไม่เป็นเพราะท่านมีหิริโอตตัปปะเกิดความละอายใจดอกหรือ ท่านจึงไม่ยอมออกมาเสนอหน้าให้ได้เห็น ชื่อนามของพระคุณท่านถึงได้ตกไปจากบัญชีเสนอรายชื่อเลื่อนสมณศักดิ์

ศิษย์ของพระคุณท่านเกือบจะรุ่นสุดท้าย ก็ยังได้รับการเลื่อนสมณเสกให้ได้ขึ้นเป็นชั้นเทพในคราวนี้ด้วยซ้ำ

ผมทำนายไว้ล่วงหน้าไม่มีผิด บอกไว้ก่อนแล้วว่าการประชุมมหาเถรสมาคมนัดนี้ จะมีม็อบพระจำนวนมากเข้ามาลอกเลียนแบบ เลียนแบบพฤติกรรมการเสนอหน้า ถ้ารูปไหนเสนอหน้าออกมาให้ได้เห็นบ่อยๆ รูปนั้นแหละที่มีสิทธิ์จะได้รับการเสนอชื่อเลื่อนสมณศักดิ์ในคราวหน้า เป็นพฤติกรรมที่ลอกเลียนแบบมาจากชาวโลก

อย่ามาอ้างเลยว่า ที่พากันเข้าไปตั้งแถวเชียร์กันในพุทธมณฑลนั้นเป็นการทำสามีจิกรรมต่อพระผู้ใหญ่เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา

ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านใด สั่งสอนให้ท่านเข้าไปแสดงสักการะในเทศกาลเข้าพรรษาเยี่ยงนั้น เวลาจะเข้ากราบแสดงสามีจิกรรม เขาถือกระทำกันเฉพาะในพระอารามเท่านั้นมิใช่หรือ

อย่าเห็นแก่ ยศ ลาภสักการะ ให้มากนัก ประเพณีวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาจะไม่มีเหลือให้ตกถึงแก่ลูกหลานในกาลข้างหน้า

                                                    

                                                                                                ณ หนูแก้ว

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก