เมื่อวานนี้หลวงพ่อสังวาลย์ก็มาที่นี่ตอนค่ำ พักอยู่ที่นี่ วันนี้ท่านก็จะกลับ พอดีกับเมื่อวานนี้เราไปทำวัตรท่านเจ้าคุณวัดโพธิฯ พอกลับมาท่านก็มาถึงก่อนเล็กน้อยเมื่อคืน วันนี้ท่านก็จะกลับ ท่านอาจารย์สังวาลย์ก็น่าสงสารมากนะ เป็นพระเป็นครูอาจารย์ที่มีอุปนิสัยกว้างขวาง จิตใจเต็มไปด้วยเมตตา เราดูบริษัทบริวารของท่านก็รู้ ครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตามมันดูออก สิ่งที่มาเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกันมากน้อย หลวงพ่อสังวาลย์ท่านมีเมตตาจิตอยู่มากนะ ไปที่ไหน ๆ เกลื่อนด้วยการเสียสละ ความเมตตาสงสารกับความเสียสละเป็นคู่เคียงกันไป
อย่างที่ได้เห็นพี่น้องชาวมาเลเซียมานี้ (๒๐ คน) เราคิดอย่างโลกสมมุติที่กิเลสมันฝังไว้จม ๆ นี้ ทำให้คนเย่อหยิ่งจองหองมากทีเดียว หลักธรรมชาติของธรรมแล้วเรียกว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายครอบหมดเลย ไม่มีชาติชั้นวรรณะ นี้เป็นหลักธรรม หลักวัฏจักรนั้นมีชาติชั้นวรรณะ มีสูงมีต่ำ คือความถือนะ เรื่องมีเป็นธรรมดา ที่ตั้งไว้เป็นชั้น ๆ นั้นเป็นธรรมดาแหละ แต่กิเลสมันเข้าไปแทรก ความไปยึดแล้วก็เย่อหยิ่งจองหองพองตัวเหยียบย่ำทำลายผู้อื่นไปด้วยความสำคัญตนว่าสูง ว่าชาตินั้น วรรณะนี้ อันนี้กิเลสเข้าแฝง ธรรมชาติของธรรมแท้มองปั๊บนี้ พระพุทธเจ้าท่านมองดูสัตว์โลก ท่านไม่ได้มองดูชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำประการใด พระองค์ไม่ดู จ่อเข้าไปนี้ในจิต มืดก็มืดในจิต ชาติชั้นวรรณะสูงต่ำประเภทใด ๆ นี้ไม่มีความหมาย ธรรมอยู่ในจิต กิเลสความชั่วความดีอยู่ในจิต เล็งดูสัตวโลกเล็งดูจิตนะ ไม่ได้เล็งดูชาติชั้นวรรณะ หลักใหญ่อยู่ตรงนี้
เพราะฉะนั้นเวลาท่านเล็งญาณดูสัตวโลกที่ว่ามืดหนา ก็คือจำนวนมากของสัตว์นี้เรียกว่ามากต่อมาก มืดหนานั่นก็คือหัวใจของสัตว์โลก ไม่ใช่ชาติชั้นวรรณะพาให้มืดหนา เช่น ฐานะสูงต่ำ บริษัทบริวารเงินทองข้าวของไม่ใช่พาให้มืดหนา พาให้สว่างไสว มืดหนาและสว่างไสวอยู่ที่ใจ ให้พากันจำเอาไว้นะ ท่านดูปั๊บมองดูใจจะเห็นก่อนวัตถุแล้ว นั่นละเห็นไหมวิสัยของใจ ปั๊บจะมองเห็นกันเรื่องภายในใจเป็นยังไง มืดดำกำตาหรือสว่างไสว มีอุปนิสัยยังไง ๆ จะดูเข้าไปในจิตใจของสัตว์โลก ไม่ได้ดูว่าฐานะนี้สูง ชาติชั้นวรรณะนั้นวรรณะนี้ ไม่ได้ดู จิตท่านไม่ได้สนใจ เพราะจิตพระพุทธเจ้าไม่สนใจจะดูสิ่งเหล่านั้น ดูหัวใจสัตว์โลกนะ มองปั๊บนี้จะดูตรงนั้นเลย อันนี้เป็นสัตว์โลก สพฺเพ สตฺตา ท่านจึงดูเสมอไปหมด
เราดูแบบกิเลสดูแบบยกตนข่มท่าน ๆ ไม่มีอะไรเกินกิเลสนะ ถึงจะทุกข์จนขนาดไหนมันก็ทำท่าพองขึ้น กิเลสเป็นอย่างนั้นไม่ยอมตัวนะ ถ้าเรื่องธรรมนี้ดูตามสภาพ เป็นอย่างนั้น นี่ละที่พระพุทธเจ้าเล็งญาณดูสัตวโลก ท่านดูหัวใจสัตว์ ท่านไม่ดูชาติชั้นวรรณะ ประเทศนั้นประเทศนี้อะไร ๆ อยู่ที่ไหน แม้แต่เป็นสัตว์ก็มีอุปนิสัยอยู่ในสัตว์ ท่านดูตรงนั้น ๆ นะ ไม่ได้ดูสิ่งเหล่านี้ พระจิตพระพุทธเจ้าจะทะลุถึงจิตของสัตว์โลกก่อนอื่น วัตถุนี้ไม่มีความหมาย เข้านั้นก่อน ตรงนั้นละ เพราะฉะนั้นธรรมท่านจึงสอนว่าอย่าประมาทกัน แม้แต่เขาเป็นสัตว์อย่าไปประมาทเขานะ เวลานี้เขาเสวยกรรมตามวาระของเขาของเรา ทั่วโลกดินแดนเสวยกรรมตามวาระของตน ๆ เวลาหลุดจากนี้แล้วเขาสูงกว่าเราก็ได้ เหมือนกับเราลงไปทางขลุกขลัก พอพ้นจากนี้พุ่งเลยก็ได้ แต่ไปทางเรียบ ๆ มันคดมันโค้งพาลงนรกอเวจีก็มีทางเรียบ ๆ นั่น ทางกิเลสชอบเป็นทางเรียบ ๆ หลอกสัตว์โลกได้ตลอดนะ ทางของอรรถของธรรมนี้มีขรุขระ ตอนที่มีขรุขระก็มี เวลามีโล่งก็มี เวลาโล่งก็อย่างที่เคยพูดแล้ว เวลาโล่งๆ ทะลุเลย นี่ทางของธรรม เป็นอย่างนั้น
ท่านดูสัตว์โลกท่านไม่ได้ดูรูปร่างกลางตัว วัตถุอะไร ๆ ทั้งนั้นไม่เอาเข้ามาเกี่ยว พุ่งเข้านั้นเลย เป็นหลักธรรมชาติของศาสดาองค์เอก และผู้เชี่ยวชาญในบรรดาสาวก ท่านก็มีรอง ๆ กันอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะทรงรู้ทรงเห็นแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระสาวกก็รู้ แต่ตามอุปนิสัยของสาวก บางองค์ก็ไม่รู้ อย่างนั้นนะต่างกัน เพราะนิสัยวาสนาสร้างมาต่างกันจากความปรารถนาของตน
อย่างที่ว่าชาวมาเลเซียนี้ก็สะดุดกึ๊กขึ้นนี่เลย นี่คือสถานที่นั่น ๆ เป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้เสวยกรรมด้วยกัน ความหมายว่างั้นนะ ไม่ได้มีอะไรหมายยิ่งกว่านั้น นี่ลึกมากทีเดียว เป็นที่อยู่ของสัตว์ ตามสถานที่ต่าง ๆ และตามวาระของกรรมของตนที่มีมากมีน้อยยังไง ควรจะเป็นยังไง ทีนี้เล็งญาณดูสัตว์ เช่นเวลามองเห็นสัตว์ที่มีอุปนิสัยปัจจัยอย่างนี้ ไม่ได้ชาติชั้นวรรณะนี้นะ ไม่ได้มีที่ใกล้ที่ไกล มองปั๊บนี่มองเห็นไปหมดเลย อยู่ที่ไหน แทรกอยู่ตรงไหน ๆ รู้หมด นั่นละที่ท่านแนะนำสั่งสอนหรือฉุดลากพวกเราขึ้นมาด้วยธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมนี่ละดึงขึ้น นอกนั้นดึงไม่ได้นะ กิเลสมีแต่ดึงลงหมด ในหัวใจทุกสัตว์โลกที่กิเลสจะไม่มีนี้เป็นไม่มี นอกจากใจพระพุทธเจ้า ใจพระอรหันต์เท่านั้นกิเลสไม่มี กิเลสจะต้องเป็นเครื่องดึงดูดลงเสมอ ธรรมมีมากมีน้อยดึงขึ้น ๆ เสมอ ให้พากันจำให้ดีนะ
เราอย่าไปเชื่อกิเลสจนเกินไป เพราะอันนี้ดึงลงเท่านั้น เราหลงกับมันมาสักกี่กัปกี่กัลป์แล้ว ตายกองกันอยู่นี้สักเท่าไร ก็เพราะอำนาจแห่งความดึงดูดของกิเลส มันแหลมคมมากทีเดียว ถ้าไม่ใช่ธรรมไม่เห็น สิ่งในโลกมีสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรจะแหลมคมและอำนาจมากยิ่งกว่ากิเลส กล่อมสัตว์โลกให้จมไปเลย ๆ มีธรรมเท่านั้นปั๊บเข้าไปนี้จับได้ ๆ นั่นละดึงขึ้นมา ถ้าไม่มีธรรม โลกนี้จะจมไม่มีวันฟื้นเลย ตลอดกัปตลอดกัลป์ก็อยู่อย่างนี้ไป ที่ฟื้นขึ้นมาพ้นไปได้ ๆ เพราะอำนาจแห่งธรรม ธรรมมีมากมีน้อยถึงจะยืดยาวก็ตามสายทางมี สายทางเดินยืดยาวก็ไปจนถึง สายอุปนิสัยปัจจัยของผู้สร้างความดี
พระพุทธเจ้าท่านว่าหนาแน่นก็คือหนาแน่นในหัวใจของสัตว์ เบาบางก็เบาบางในหัวใจของสัตว์ ไม่ได้หนาแน่นเบาบางกับสิ่งทั้งหลายและสถานที่อยู่ต่าง ๆ ชาติชั้นวรรณะอันใด ไม่ได้หนาแน่นนะ หนาแน่นอยู่ที่ใจ ให้ดูใจให้ดี ให้ประคับประคองใจให้ดีทุกคน ๆ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามอำนาจของกิเลส ความโลภท่านพูดใหญ่ ๆ นะคำว่าความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความหลงมันเป็นพื้นอยู่แล้ว ไม่เอามาพูดก็โดนเลยแหละ กิ่งก้านออกมาจากความลุ่มหลง ลุ่มหลงก็จะเป็นอะไร อวิชชา นั่นละท่านว่าตัวลุ่มหลงใหญ่อยู่ที่อวิชชา ท่านจึงวางพื้นฐานไว้ว่าความหลง เท่านั้นพอ ทีนี้แตกแขนงขึ้นมานี้ อวิชชามันเป็นกษัตริย์อยู่ภายใน บริษัทบริวารมันออกมาอาละวาดโลกนะ
ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้ตัวอาละวาด ตัวออกสนาม ทำสัตว์โลกให้เดือดร้อนวุ่นวายคือตัวเหล่านี้ ซึ่งได้รับการหนุนมาจากอวิชชา เพราะฉะนั้นเวลาอวิชชาดับแล้วจึงอะไรดับหมดเลย เหมือนต้นไม้มันจะกิ่งก้านสาขาดอกใบสวยงามขนาดไหน ต้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม พอถอนรากมันพรวดขึ้นมาเท่านั้น มันไม่มีความหมายกิ่งก้านสาขาดอกใบตายไปด้วยกันหมดเลย ที่ยังมีอยู่ก็คืออวิชชา คือรากแก้วของมันนั่นเอง นี่ละรากฐานของวัฏจักรอยู่ที่รากแก้วของกิเลสได้แก่อวิชชา พากันจำให้ดี เราพยายามรื้อถอนเรานี้ อย่าจืดจางนะ อย่าชินชาต่อการทำความดี อย่าชินชาจนขี้เกียจไปเสีย ถ้าชินชากับกิเลสก็จมไปตามมันเสีย เรียกว่า ทอดอาลัยตายอยาก ไม่คิดจะฟื้นฟูหรือต่อต้านความชั่วเลย คนเช่นนั้นเรียกว่าคนชินชาไปทางต่ำจนจมไปเลย รอแต่ลมหายใจเท่านั้น
อุปนิสัยปัจจัยของสัตว์โลกนี้มีอยู่ทั่วไป ไม่ได้มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ มีอยู่ที่ใจเท่านั้น ๆ ชี้ตรงนั้นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เล็งตรงนี้ก่อน เราก็ยิ่งจวนจะตายพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ พูดด้วยความเมตตาล้วน ๆ นะ ไอ้เรื่องที่จะโอ้จะอวดอย่าเอามายุ่งว่างั้นเลย อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ความผยองพองตน เหยียบย่ำทำลายคนอื่นแล้วยกตนขึ้น นี่คือกิเลส เรื่องธรรมแล้วเสมอภาคไปเลย
ไอ้เรื่องคนจะมาว่าเราโอ้เราอวด เราก็เคยพูดแล้ว มันถังขยะอย่าไปยุ่งกับมัน เหยียบหัวมันไป รื้อขนสัตว์ไป ตรงไหนที่จะเป็นประโยชน์แก่สัตว์รายใด ๆ สอนลงไป ๆ ผู้นั้นจะได้ยึดเป็นคติเป็นประโยชน์แก่ตน ไอ้ตัวถังขยะอย่าไปสนใจกับมัน มันเห่าเท่าไรมันก็เห่า เห่าก็เห่าจากปากมัน ปากมันก็ลงไปกินถังขยะ มันจะไปกินของวิเศษวิโสที่ไหน มันก็กินถังขยะของมัน เห่ามา มันไม่ได้ทำ แต่มันยกตนเก่งทุกอย่างไม่มีอะไรเกินอันนี้นะกิเลส ความดิบความดีมันไม่ทำ แต่การโจมตีความดีของสัตว์โลกที่สร้างมาแทบเป็นแทบตาย คือกิเลสนั้นแหละเป็นผู้โจมตี ตีเรื่อยไปไหน เพราะมันไม่มีความดีที่จะมาช่วยสนับสนุนโลก ผู้สร้างความดีให้ดีขึ้น มันมีตั้งแต่ความชั่ว มีตั้งแต่ดึงลง ๆ นี่สกุลของกิเลสสกุลของวัฏวน ต้องเป็นสกุลที่หมุนอยู่หัวใจสัตว์ ให้ได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายตลอดเวลา สกุลของธรรมรื้อขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมารื้อสัตว์โลกทั้งหมด
นี่ถึงว่าตรงกันข้าม ๆ ฝั่งปลอมฝั่งจริงยังบอก กิเลสปลอมมาตลอด เป็นคู่แข่งกัน แล้วธรรมจริงมาตลอด ชะล้างกัน ถ้าไม่มีธรรมโลกไม่มีความหมายนะ แต่ก็มีมาดั้งเดิมเรื่องธรรม กิเลสมีมาดั้งเดิม เป็นแต่เพียงว่าฝ่ายไหนมากฝ่ายไหนน้อยตามกาลตามเวลา กาลเวลาก็คือว่า ถ้ากาลใดสมัยใดพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ นั่นละธรรมจะค่อยเจริญรุ่งเรืองจากสัตว์ จะค่อยดีดค่อยดิ้นกันไป กิเลสก็ค่อยอ่อนตัวลง พอธรรมนั้นจางไป คือธรรมแท้นั้นมีอยู่ตลอด ผู้ที่จะรื้อธรรมขึ้นมาสั่งสอนโลกนั้นมีเป็นครั้งคราว เช่น พระพุทธเจ้าเป็นต้นนะ มาเป็นครั้งคราว เวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี้โลกทั้งหลายได้รับความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน ทีนี้พอธรรมพระพุทธเจ้าผ่านไปแต่ละองค์ ๆ ก็เหมือนกับว่าจมลงนรกเลย ไม่มีความหมาย
เวลานี้เราอยู่ในท่ามกลางนะ จะไปทางไหนก็ไปได้ พระพุทธเจ้าก็เอื้อมพระหัตถ์ กิเลสก็เอื้อมมือมาหมดโคตรหมดแซ่มันจะลากเรา ลากที่ไหนมันก็ไม่ถนัด ลากคอสัตว์นั้นพอดีนะ เพราะคอมันคอกิ่ว ๆ นี่ ลากสบายไปเลย มันลากง่ายนะ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกมันถึงวิ่งได้ง่าย เพราะมันกลัวตาย จับคอมันลากมันก็กลัวตายมันก็วิ่งตามละซิ
การสั่งสอนสัตว์โลกนี้ เราได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว สิ่งเหล่านี้เราก็ไม่เคยคิด เราไม่เคยสะดุดใจเลยว่า จะรู้จะเห็นในสิ่งต่าง ๆ แต่เพราะอำนาจแห่งธรรมพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาเอกของโลก สอนไว้ด้วยสวากขาตธรรม เชื่อธรรม คือ สวากขาตธรรมนี้แล้วก็บึกบึนไปตามนี้ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ไปตามนั้น มันก็ค่อยคืบคลานไปได้ ๆ ดังที่สอนมานี้ ล้มลุกคลุกคลานไม่มีอะไรเกินคนกิเลสหนาอย่างพวกเรานะ คือบืนใส่ธรรมนี้ล้มลุกคลุกคลาน ครั้นบืนไปบืนมาบืนไม่หยุดไม่ถอย มันก็แข็งตัวขึ้นมาได้ ชำนาญขึ้นมาได้ต่อไปก็ฟัดหัวกิเลสได้เลย นั่น เป็นอย่างนั้น
เราสอนโลกเราไม่ได้สอนเล่น ๆ ยังบอกแล้ว เรื่องของโลกที่จะมาอะไร เช่น อย่างวาระที่เรากำลังช่วยโลกอยู่นี้ มันจะมาแง่ใดมุมใด เราไม่เคยสนใจนะ ว่าเขามาว่าดีให้เราชั่วให้เรา ว่าอะไรมันก็ออกจากปากเขาจากหัวใจเขา ไม่ได้ออกจากเรา เราสร้างกรรมอะไรเราก็เป็นเรื่องของเรา ๆ เขาสร้างอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องของเขา เขาจะโจมตีคนอื่นถือว่าเป็นของดิบของดีของเขา นั้นก็คือไฟเผาเขาเอง ไม่ใช่เผาคนผู้ที่ถูกตำหนินะ ชมเชยสรรเสริญ ความดีก็เข้ามาหาตัวเอง นี่ละให้จำเอานะ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ กรรมคือมโนกรรม ขึ้นแล้ว วจีกรรมพูดออกมาก็เป็นทางวาจา มโนกรรมคิดภายในใจก็เรียกว่าความคิดทางใจ เรียกว่ามโนกรรม
ทำกรรมทั้งชั่วทั้งดีภายในใจ ทั้งชั่วทั้งดีทางวาจา ทั้งชั่วทั้งดีทางการกระทำด้วยกายของเรา ออกมาจากใจทั้งนั้น ใครทำเป็นของคนนั้น ก็เมื่อเขาทำเป็นของเขา เราจะไปเดือดร้อนกับเขาอะไร เขาจะว่าอะไรทำอะไรก็ให้เขาว่าไป หน้าที่ของเราที่จะทำความดีทำไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นแหละ นี่ชื่อว่าผู้เชื่อบุญเชื่อกรรม นี่เราพูดจริง ๆ ไอ้สามโลกธาตุที่จะมาทำอะไรเราดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถูกโจมตีทุกแห่งทุกหน เราเฉยเหมือนหมาปล่อยหำนั้นแหละ เราไม่สนใจกับมัน เราก็รู้อยู่แล้ว ฐานของมันเป็นมาจากอะไร เป็นมาจากใจ ใจของใคร ใครเป็นผู้คิดผู้ดำริ ใครเป็นผู้พูด ใครเป็นผู้แสดงกิริยาออกมาก็ออกจากคนนั้น ๆ มันก็เป็นเรื่องของคนนั้นทั้งหมดทั้งดีทั้งชั่ว เราจะไปเดือดร้อนอะไรกับเขา
เรื่องของเรา กาย วาจา ใจเป็นของเรา เป็นสมบัติของเรา เราทำหน้าที่อันนี้ให้ถูกต้องดีงาม เราก็ดีไปตลอด ถ้าเขาทำชั่วเขาก็ชั่วไปตลอด เราจะเอากิเลสมาเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าเหยียบหัวเรา เราจมนะ ต้องเอาศาสดาเหยียบหัวกิเลสซิ ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ ถ้าฟังเสียงกิเลสแล้วก็กลัวแต่เรื่องเขาจะติฉินนินทาอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าของทำชั่วสักเท่าไรไม่ได้คิดเจ้าของ มันทำชั่วที่เปิดเผยไม่ได้ก็ไปหาทำที่ลับ อยู่ในที่ลับ ๆ ลี้ ๆ ว่าใครจะไม่เห็น ก็เจ้าของเห็นเจ้าของอยู่นั่น ใครจะไปเปิดเผยยิ่งกว่าตัวเองเปิดเผยต่อตัวเองวะ เราทำดีทำชั่วเปิดเผยอยู่กับเรา เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อยู่ในป่าใครไปเห็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เห็นไหมอยู่ในที่ลับก็ตรัสรู้ได้ ที่แจ้งก็ตรัสรู้ได้ เพราะการกระทำไม่มีที่ลับที่แจ้ง ขึ้นอยู่กับผู้ทำ ขึ้นอยู่ตรงนี้นะ
เราอย่าไปมองแต่ที่ลับที่แจ้งไม่ได้นะผิด เรื่องกิเลสมันหลอก ทำที่แจ้งคนจะเห็น ไปทำที่ลับเสีย ไปหาทำอยู่ที่ลับในป่าในเขา แล้วเวลาไปฉกไปลักเขาก็ไปฉกไปลัก เวลาเขานอนหลับนั้นละเรียกว่าที่ลับ เขาหลับเราสนุกโกยของเขา ครั้นเขาจับมัดใส่ตะรางแล้ว ไม่ทราบที่ลับที่แจ้ง ก็คือตะรางของนักโทษนั้นแหละ เข้าใจเหรอ เสวยสุขเสวยทุกข์ไม่มีที่ลับที่แจ้ง มันเสวยอยู่ในเรือนจำนั้นแหละ อันนี้คนเสวยกรรมของตัวเองก็แบบเดียวกันไม่มีที่ลับที่แจ้ง อยู่ที่ไหนมันก็เสวยอยู่อย่างนั้น ไอ้เรื่องที่ลับที่แจ้งอย่าเอามาอวดนะ มันอยู่กับตัวเองความดีชั่ว ให้พากันจำเอาไว้ นี่จวนจะตายเท่าไรก็บอกแล้ว ๆ เราไม่ห่วงอะไรแล้ว เราหมดเราก็บอกว่าหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง จะหายังไงหาธรรม กิเลสมันก็หลอกเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะตื่นก็ตื่นซิ
ธรรมท่านปลุกตลอดเวลา ถ้าจะตื่นก็ตื่นซิ ตื่นเพื่อความดี ตื่นเรื่องของกิเลสก็ให้เห็นโทษเห็นภัยของมัน ก็มีเท่านั้นเอง นี่ก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีอะไรเหลือแล้วเวลานี้ สอนเปิดเผยออกมาเรื่อย ๆ ยังอยู่ก็แล้วแต่สิ่งที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับใจ จะเป็นผลประโยชน์มากน้อยเพียงไรผู้เข้ามาเกี่ยวข้อง นั้นมีอยู่แง่นั้นเท่านั้นเอง แง่หนักก็หนักแง่เบาก็เบา ถ้าไปที่ไหนมีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ก็ไม่ทราบจะสอนไปหาอะไร นี่ก็เคยพูดแล้วว่า เหมือนเขากางแหที่จะทอดลงไป มองลงไปนี้เป็นมูตรเป็นคูถเป็นขี้หมูขี้หมาแล้วจะไปทอดยังไง แหผืนหนึ่งมันราคาเท่าไร แล้วทอดตูมลงไป ล้างทั้งวันมันก็ไม่สะอาดใช่ไหม แล้วใครจะไปเสียสละหาประโยชน์ไม่ได้ เสียสละหาอะไร ก็แหเพื่อทอดปลา แน่ะ เขาไม่ได้ไปเพื่อทอดมูตรทอดคูถนี่นะ
อันนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าเพื่อสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย รื้อขนสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นเหมือนกับแหนั้นเอง เจ้าของแหก็คือศาสดาคือครูคืออาจารย์ แหก็คือธรรม จะทอดลงตรงไหน ๆ นี้ก็มีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ทอดไม่ได้ก็ปล่อยไป ๆ ๆ สุดท้ายท่านก็ผ่านไปเสียเราก็จมตามเดิม มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ได้สอนพี่น้องทั้งหลายในโลกธาตุนี้ โลกทั้งหลายต้องคิดกันอย่างเต็มหัวใจ คือโลกของกิเลส แต่โลกของธรรมก็รู้แบบเดียวกัน เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้าสอนโลกนั้นสอนอยู่ในท่ามกลางข้าศึกของกิเลสนะ ไปที่ไหนก็ถูกเขาโจมตี ปากกิเลสใจกิเลสมันอยู่กับคน ไปที่ไหนก็ถูกโจมตี เช่น เสด็จไปบิณฑบาตนี่ เขาจ้างวานกันให้ด่าทอพระพุทธเจ้าเป็นแถวไปเลย ไอ้อูฐ ไอ้ลา ไอ้หัวโล้นโกนคิ้ว ไอ้เป็นคนขอทาน ไอ้กะลามะพร้าวทุกอย่าง พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตเฉย ก็รู้อยู่แล้ว กะลามะพร้าวไม่ใช่พระพุทธเจ้า แน่ะ สรุปลงแล้วประสากะลามะพร้าว เขาจะหาว่าอะไร มันก็เป็นกะลามะพร้าว ท่านก็เป็นศาสดาไป จนพระอานนท์เกิดความอับอายขวยเขิน ทูลพระพุทธเจ้า ขออาราธนาให้ไปโปรดเมืองอื่น เมืองนี้ถูกเขาด่าเขาทอ เขาโจมตีทุกด้านทุกทางไม่สมควรจะอยู่ที่นี่เลย
พระองค์ก็ว่า แล้วเวลาไปเมืองอื่นจะไปเมืองไหน แน่ะฟังซิ ฟังคำของพระพุทธเจ้าซิ ไปเมืองไหนที่เขาไม่มีปากไม่มีใจ ไม่มีกิริยาที่แสดงออกได้ จะไปเมืองไหน ถ้าไปเมืองนั้น ๆ ถ้าเขาว่าอย่างนั้นจะว่ายังไง ถ้าเขาด่าเขาทอเขาโจมตีอย่างนี้แล้วจะไปเมืองไหน ไปเมืองนั้น ๆ ถ้าเขาว่าอย่างนั้นจะว่ายังไง สุดท้ายพระอานนท์จนตรอก เพราะไปเมืองไหนก็มีแต่เมืองคนมีปากมีท้อง อมมูตรอมคูถอยู่ในปากในท้องพ่นออกมาเหมือนกันหมด เข้าใจไหม จะว่ายังไง อานนท์ สุดท้ายพระอานนท์ก็จนตรอกหาที่ไปไม่ได้
ท่านจึงยกขึ้นว่า อหํ นาโค ว สงฺคาเม จาปโต ปติตํ สรํ ดูก่อนอานนท์ เธอทั้งหลายอย่าไปหวั่นกับโลกธาตุอันนี้ซึ่งมันสกปรกมานมนาน อยู่กันด้วยการด่าทอ ด้วยการดูถูกเหยียดหยามทำลายกันอย่างนี้มาตลอด ธรรมไม่ใช่ธรรมประเภทนั้น เราต้องเดินไปตามธรรม โลกอันนี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ท่านจึงยกขึ้นว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความนินทาสรรเสริญไม่ใช่เกิดมาวันนี้เมื่อวานนี้ เกิดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ตื่นมันหาอะไร นี่เรื่องโลกธรรมแปด เป็นของเกิดมีมาดั้งเดิม ตื่นมันหาอะไร นี่พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น อันนี้แม้ที่สุดตัวเท่าหนูก็ตามนะ ที่เราช่วยโลกอยู่เวลานี้ จะเรียกว่าอยู่ในท่ามกลางขวากกลางหนามก็ได้ไม่ผิดนะ เหมือนพระพุทธเจ้า
ขวากหนามก็คือความสรรเสริญ ความนินทา ความว่าทุกอย่างนั่นแหละ ที่จะให้เป็นภัยต่อพระพุทธเจ้า แต่มันกลับเป็นภัยแก่ตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในวงวัฏจักรอันนี้ เหนือวัฏจักรนี้หมดแล้ว มันเป็นอะไรมันก็หมุนกันอยู่ในวงวัฏจักร วิวัฏจักรคือศาสดาองค์เอกเหนือวงวัฏจักรไปแล้วก็สนุกดู ถ้าจะว่าสนุกดูนะ แต่พระองค์จะสนุกยังไง สัตว์โลกเอาไฟเผากันอยู่ตลอดเวลาให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา จะไปสนุกดูได้ยังไง ก็มีแต่ปลงธรรมสังเวช ควรสอนได้ก็สอน ลากขึ้นมาได้ก็ลากขึ้นมาจากไฟนรกที่กำลังเผากันอยู่ ด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานี้ตัวใหญ่ ๆ มันเผากันอยู่ในโลกอันนี้
พระองค์พอฉุดลากได้ก็ฉุดลากขึ้นไป ๆ พระองค์ไม่ได้มาสนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ มีแต่ฉุดลากสัตว์โลก อยู่ในท่ามกลางของขวากของหนามนั้นแหละศาสดาองค์เอกแต่ละพระองค์ ๆ เพราะขวากหนามนี้มีมาดั้งเดิม ศาสดาตรัสรู้ขึ้นมาก็พ้นขวากพ้นหนาม พ้นถังมูตรถังคูถออกไป ก็สั่งสอนพวกสัตว์โลกที่อยู่ในถังมูตรถังคูถนั้นให้พ้นไปได้ ๆ พระองค์เป็นมาก่อนแล้วเรื่องเหล่านี้ อยู่ในท่ามกลางขวากหนามอยู่ในท่ามกลางแห่งข้าศึกศัตรูของกิเลสตัณหาทั้งหลาย นี้เราก็อยู่ในท่ามกลางเหมือนกัน เราพูดตรง ๆ ตัวเท่าหนูก็เท่าหนูเถอะน่ะ ธรรมเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน สงสัยไปไหน เราไม่ได้อยู่ในกรณีนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในขวากในหนามในวงวัฏวนนี้ นอกวัฏวนแล้ว สอนวัฏวนคือนอกจากกรณีของวัฏจักร นี่ก็อยู่ในนอกจากกรณีพิพาทของโลกของสงสารที่กัดที่แย้งที่ฉีกกันอยู่ทุกวันนี้
ดังที่เห็นอยู่นี้ คนหนึ่งดำเนินความดีแทบเป็นแทบตาย คนหนึ่งไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่จะหากัดหาแทะ หาถีบหายัน หาทำลายหาจุดหาเผาตลอดเวลานี้คือความชั่ว คนชั่ว มันไม่มีความดี มันมีแต่อันนั้น แล้วจะให้ว่ามันอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของเราที่จะทำความดี เป็นน้ำดับไฟก็ดับไป ๆ ตามหน้าที่ของผู้ดับไฟ คือศาสดาองค์เอกคือคำสอนของพระพุทธเจ้า นี้เรานำมาสอนโลกก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การสอนโลกเราจึงไม่คำนึงถึงว่า คำเทศนาว่าการนี้ว่าหนักไป เบาไป สูงไปต่ำไปเราไม่เคยคำนึง แล้วแต่เหตุการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ควรหนัก ๆ ควรเบา ๆ เหมือนเขาชะล้างสิ่งสกปรก สิ่งสกปรกมีน้อยน้ำก็เทลงน้อย สิ่งสกปรกมีมากน้ำเทลงมาก ๆ ๆ ชะล้างให้ทันกัน เพื่อมีความสะอาดขึ้นมาแล้วใช้การใช้งานได้ตามฐานะของมัน นี่ก็ตามฐานะของสัตว์โลกที่อยู่ร่วมกัน
เราจึงสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย การสอนนี้สอนแบบธรรมเลยเทียว ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องเลยว่า เรานี้ได้โกหกโลก หรือเรานี้ได้ทำความอิจฉาตาร้อนแก่โลกแม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มีเราก็บอกเราไม่มี ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก พูดตรงไปตรงมาอย่างนี้เรียกว่า ภาษาธรรม พูดอย่างอื่นไม่ใช่ภาษาธรรม ดังที่กิเลสมันใช้เผากันอยู่ตลอด มีแต่ภาษาของกิเลสเป็นภาษาของฟืนของไฟเท่านั้นที่เขาถือว่าเป็นของดี เผากันอยู่อย่างนั้นก็ว่าดี ๆ ๆ นี่เป็นภาษาของกิเลสของวัฏวน ภาษาของธรรมสอนให้แยกออก อันไหนไม่ดีแยกออก นี่เราก็สอนตามแนวทางของศาสดา อย่างสอนมาตลอดนี้ก็เหมือนกัน จนกระทั่งวันตายเราก็จะสอนแบบนี้ เราจะสอนแบบอื่นไปไม่ได้เรื่องธรรม เราไม่ได้อยู่ในวงกรณีนี้
ถ้าว่าจิตใจที่ถูกกิเลสเผา จิตใจเราไม่มีกิเลสที่จะมาเผาอย่างแต่ก่อน ไม่มีก็บอกไม่มี ถ้าว่าธรรมเต็มหัวใจ เราเอาธรรมเต็มหัวใจออกสอนโลก แล้วไม่อยู่ในวงกรณีพิพาทกัดฉีกกันอยู่อย่างนี้นะ นอกจากนี้เรียกว่า จับฉุดลากออก ๆ ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น เราไม่ได้เอาอะไรนะ สอนโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วยเราไม่ได้หวังเอาผลประโยชน์อะไรจากโลก นอกจากให้โลกมีความสุข ความสงบเย็นใจต่อกัน สมกับนามว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์ขี้ขลาดอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่เป็นหมู่เป็นคณะ เมื่อเป็นอย่างนั้นต้องปรับปรุงความรู้ความเห็นของตนเอง ให้ถูกต้องต่อกันแล้วก็อยู่กันเป็นผาสุก นับตั้งแต่ตัวเองครอบครัวเหย้าเรือนถึงสังคมต่าง ๆ ไป ให้ปรับปรุงตัวเองเข้าสู่สังคม
เช่น อยู่ในครอบครัวเหย้าเรือน ผัวกับเมียอย่าทะเลาะกัน ให้ปรับปรุงจิตใจ ใจผัวก็เป็นใจคน ใจเมียเป็นใจคน ให้รู้ใจซึ่งกันและกัน เอาศีลธรรมเข้าไปจับ ๆ ฝ่ายไหนขัดข้องให้แก้ไขทันที ฝ่ายภรรยาผิดแก้ไข ภรรยาต้องแก้ ฝ่ายสามีผิดสามีต้องแก้ แก้แล้วก็เข้ากันได้สนิท ๆ จากนั้นก็ออกสังคม สังคมมากน้อยเท่าไรต้องเห็นใจของสังคม แต่ละสังคมมีหัวใจด้วยกัน แล้วการดำเนินงานมีผิดถูกชั่วดี ตามความรู้ความเห็นคนในสังคมนั้นแหละ ที่จะทำให้กระทบกระเทือนกัน ให้ต่างคนต่างปรับปรุง เอาธรรมเข้าไปแก้ไขก็สะอาดไป แล้วสังคมนี้ก็สงบร่มเย็นตลอดทั่วโลกดินแดน เมื่อเอาธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟแล้วก็เย็นกันทั่วโลกทั่วสงสาร ธรรมเป็นอย่างนี้นะ เราอย่าเข้าใจว่าอะไรวิเศษนะ มีธรรมเท่านั้น แต่เมื่อไม่มองดูธรรม มองดูแต่กิเลสมันก็เห็นแต่ฟืนแต่ไฟเต็มหัวใจสัตว์โลก ไปที่ไหนทุกข์ ทุกข์นี้เต็มอยู่ทุกหย่อมหญ้า เต็มไปหมดนะ นี่ละพากันเข้าใจ
นี่เราก็พูดตามหลักธรรมชาติ ไม่มีคำว่ากล้าว่าหาญ ว่ากลัวเราก็ไม่มี ว่าได้ว่าเสียเราก็ไม่มี คำว่าแพ้ว่าชนะเราก็ไม่มีในหัวใจเรา มีแต่ธรรมล้วน ๆ เต็มไปด้วยเมตตาที่สั่งสอนสัตว์โลก ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็สุดวิสัยเท่านั้น ใครผิดบอกว่าผิด ใครถูกต้องบอกว่าถูก ชมเชยผู้ถูก ตำหนิผู้ผิดเพื่อให้แก้ตน ก็มีเท่านั้นเรื่องของธรรม อย่างอื่นเป็นไปไม่ได้นะ เราจะต้องพิจารณาตัวของเราเอง
นี่ละเราช่วยโลกมาในระยะสั้น ๆ เหล่านี้เป็นเวลา ๔-๕ ปีเข้ามาแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องหนัก หนักมากนะเราน่ะ อยู่เฉย ๆ อย่างนี้ละ เรื่องความคิดมันจะครอบโลก ไม่ว่าแต่โลก ครอบโลกธาตุโน่นอีกนะ จะว่าอะไร อันใดที่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขดัดแปลงหรือช่วยเหลือได้เราก็ช่วยเหลือเต็มกำลังของเรา อะไรที่ช่วยไม่ได้ก็เหมือนอย่างคนตายนี้ จะไปเอาคาถาจากพระมากี่วัดกี่วามา กุสลา ธมฺมา เป่าฟู่ ๆ มันก็คือคนตายนั้นแหละ เป่าคนตายเข้าใจไหม เป่าคนเป็นก็ว่าอย่าพากันทำบาปนะ ผัวกับเมียอย่าทะเลาะกัน คำทะเลาะกันนั้นเรียนวิชาหมามากัดกันไม่ใช่ฐานะผัวกับเมีย ผัวกับเมียก็ต้องแยกกันเข้าใจไหม นี่วิชาธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าวิชาหมาแล้วยุตัวนั้นมายุตัวนี้มา ช่วยกัดกันแหลกไปหมด สนามหมากัดกันเข้าใจไหม.ให้พากันจำเอานะ ต้องฟังกันอย่างนี้ซิ
นี่ก็เห็นพี่น้องทางมาเลเซียมา เราก็สงสาร มาใกล้มาไกลก็มาอยู่ในแดนวัฏฏะอันเดียวกันแหละ ไม่มีใครใกล้ใครไกล มันหมุนไปหมุนมาอยู่อย่างนั้น ก็ว่าที่นั่นที่ใกล้ที่ไกล มันสำคัญอยู่ที่ใจ ถ้าอยู่ใกล้ ๆ ติดพันกับวัดกับวากับศาสนาไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าไม่สนใจปฏิบัติ อยู่ไกลอยู่อะไรน้อมเข้ามาปั๊บ เป็นสมบัติของตัวเราเป็นประโยชน์ไป พากันเข้าใจแล้วนะทุกคน วันนี้เทศน์เรื่องอะไร ๆ ก็เลยหมุนไปเรื่อย เลยไม่ทราบว่าขึ้นตรงไหน ลงตรงไหนนะ ก็แล้วแต่มันจะขึ้นก็ยังบอกแล้ว เอ้า ทีนี้มีอะไรว่ากันไป เอ้า จบแค่นี้ก่อนละนะ อันนี้เราจะเล่าสู่กันฟังก็พูดกันได้ต่อกันพวกเดียวกันนะ หลวงตาบัวนี้ก็พูดภาษาเดียวให้ทั่วกันไปหมด ไปแปลกันเอาเองนะ
สรุปทองคำและดอลลาร์ และกฐิน วันที่ ๒๐ ทองคำได้ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๙๔ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๑ กอง เงินสดได้ ๒๗ กอง รวมเป็น ๒๘ กอง ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๕,๐๕๙ กิโลครึ่ง ทอคำที่ได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงแล้วได้ ๒๐๒ กิโล ๑๐ บาท ๑๙ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดเวลานี้ได้ทองคำ ๕,๒๖๑ กิโลครึ่ง ที่เราได้แล้วที่เข้าคลังหลวงและยังไม่เข้า รวมแล้วเป็น ๕,๒๖๑ กิโลครึ่ง ทีนี้กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น ประเภททองคำได้ ๑๐๗ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๒๖ บาท ๓ สลึง ส่วนประเภทเงินสด ได้ ๘๔๐ กอง เป็นเงิน ๒,๙๔๔,๐๐๐ บาท รวมกฐินทั้งหมดได้ ๑,๙๔๗ กอง ยังขาดอยู่อีก ๘๒,๐๕๓ กอง
ให้พากันจำเอานะ อันไหนที่เป็นทองคำมาก็แยกเป็นทองคำไปเลย อันไหนที่เป็นเงินมานี้ก็เอาเข้าธนาคารนี้ก่อน เข้าบัญชีปุ๊บ พอถึงเวลาแล้วก็อ่านบัญชีนี้ ถอนออกมาหมด เราซื้อทองคำเข้าคลังหลวงอันนี้ต้องได้แปรรูปเสียก่อน คือเป็นเงินสดมาก็ต้องแยกไปซื้อทองคำ ส่วนเป็นทองคำมาก็เอาเข้าเลยทีเดียว มี ๒ อย่าง อย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น เพื่อให้เป็นความสะดวก จึงได้ชี้แจงให้ผู้บริจาคทั้งหลายได้ฟังทั่วหน้ากัน
|