อรหันต์ ๔ มีในพุทธศาสนาเท่านั้น
วันที่ 14 กันยายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

อรหันต์ ๔ มีในพุทธศาสนาเท่านั้น

เทศน์ที่อุดรนี้หลายครั้งนะ ไม่ต่ำกว่า ๗ ครั้ง ไม่นับ กุมภวา วัดโยธาฯ แถวรอบนอกไม่นับ เฉพาะในตัวเมืองอุดรประมาณ ๗ ครั้งนะ แถวรอบนอกก็มีกุมภวา วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง วัดที่เราบวช ไปเทศน์วันที่ ๑๒ พฤษภา ที่ผ่านมานี้ ก็ตรงกับวันเราบวชพอดีเลย เราได้ไปเทศน์ที่วัดโยธาฯ ครบรอบวันบวช ๖๘ ปีเราบอกเลย คือบวชวันที่ ๑๒ พฤษภา บ่ายโมงเป๋งบวช วันนั้นดูเหมือนบ่าย ๒ โมงเทศน์ เราพูดไป ๆ ก็เปิดเลยเชียว ตั้งแต่วันบวชวิ่งเต้นขวนขวายหาอรรถหาธรรมมาเพื่อตัวเอง จากนั้นก็เพื่อพี่น้องทั้งหลาย ดังปัจจุบันนี้เพื่อพี่น้องทั้งหลาย ก็บอกตรง ๆ เป็นที่พอใจทุกอย่าง ไม่มีที่ต้องติในหัวใจเราแล้ว ได้มาสงเคราะห์พี่น้องทั้งหลายที่วัดโยธานิมิตรวันนี้ เราว่า ซึ่งเป็นวัดที่เราบวช เราบอกว่าอย่างนั้น

ตั้งแต่บวชแล้วก็เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมตลอดมา วันนี้จึงเป็นวันประกาศผลของการเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมมาเป็นยังไงบ้าง แล้วเปิดออกหมดเลยเทียว ๆ วันนั้นเปิดโล่งโลกธาตุทีเดียว กลับมาบ้านไม่เสียท่าเสียที ไม่ขายหน้าตัวเองและพี่น้องชาวอุดรเรา เราบวชที่นี่วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ ทีนี้เวลามาเทศน์วัดโยธาฯ ก็วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ เป็นเวลา ๖๘ ปีเต็มวันนี้ เราก็บอก วันนี้วันครบรอบการบวชของเรา เราก็พูดตั้งแต่เรื่องการบวชเบื้องต้น เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่มเรียนหนังสือ จากเรียนหนังสือก็เข้าป่าเข้าเขา บอกมาเรื่อย จนกระทั่งกลับจากป่าจากเขาแล้วก็มาอยู่ที่วัดนี้ แล้ววันนี้ก็เป็นวันครบรอบบวช ได้มาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง แล้วก็เป็นคติอีกอันหนึ่งว่า ควรจะแสวงหาความดีให้ได้มากน้อยพอสมควรคนเรา อย่าไปมือเปล่ามามือเปล่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ไปมือเปล่ามามือเต็มก็ยังดี

เทศน์วันนั้นก็ให้เป็นคติ เป็น ๖๘ ปีเต็มวันนั้นได้เทศน์ให้พี่น้องชาวอุดรเราได้ฟังทั่วหน้ากัน วันนั้นคนก็มาก ไปเทศน์ที่ไหนก็เหมือนกันเรื่องคนนี้ไม่น้อย ไปที่ไหนภาคไหนเหมือนกันหมดนะ เต็ม ๆ เลย อย่างภาคเหนือนี่อยู่จังหวัดไหน ๆ รุมไปฟัง ไปเทศน์จังหวัดนั้นก็รุมจากจังหวัดนั้นไปฟังแน่นหมด ๆ จังหวัดแพร่นี้ก็จังหวัดเล็กน้อย ไปนี้คนแน่นหมดเลย ในบริเวณกว้าง ๆ นั่น โห นี่มันไม่ใช่จังหวัดแพร่แล้วนะ มันควรจะยกฐานะขึ้นอีก หลวงตาบัวจะยกฐานะขึ้นให้เป็นมณฑลแพร่ เราบอก แต่เวลาหลวงตาไปแล้วมันจะตกไปไหนไม่รู้แหละ เราพูดสนุกเฉย ๆ คือคนมาก มากจริง ๆ ไปเทศน์ที่ไหน ยิ่งเชียงใหม่ด้วยแล้วนั้นเต็มหมดเลยนะ มหาวิทยาลัยกว้าง ๆ นั้นเต็มหมดเลย พระก็มากวันนั้น ประชาชนก็มาก เทศน์ที่เชียงใหม่ดูเหมือน ๓ หน วัดเจดีย์หลวง มหาวิทยาลัย ๒ ครั้ง เฉพาะตัวเชียงใหม่นี่มัน ๓ ครั้ง คนมากด้วยกันทั้งนั้น วัดเจดีย์หลวงก็แน่นหมดเลยวันนั้น พระก็มาก

เราพูดตรง ๆ ในหัวใจของเราที่ถอดออกมาสงเคราะห์พี่น้องทั้งหลาย จากการ เรียกว่าเดนตายมานั้นน่ะ เรามาสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความภูมิใจในธรรมทุกขั้น เราไม่ได้บกพร่องในธรรมขั้นใด ๆ จนกระทั่งฟาดให้มันถึงวิมุตติหลุดพ้นตลอดไปเลยเชียว เป็นแต่เพียงว่าภูมิของศาสดากับภูมิของหนูมีต่างกัน จุดหมายปลายทางหรือความสม่ำเสมอกันก็ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ได้แก่จิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นเรียบร้อยแล้วนั้นเสมอกันหมด นอกนั้นมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ภูมิของศาสดาก็รู้ลึกซึ้งกว้างขวางเต็มภูมิของศาสดา สาวกแต่ละองค์ ๆ ก็เป็นตามนิสัยวาสนาของตนที่สร้างมามากน้อย กว้างแคบเป็นลำดับลำดามา

เพราะฉะนั้น ท่านถึงยกพระอรหันต์ขึ้นเป็น ๔ ประเภทด้วยกัน ประเภทที่หนึ่ง สุกขวิปัสสโก การปฏิบัติอย่างเรียบ ๆ ราบ ๆ ไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอไปเรื่อย วิปัสสโกเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนา สติปัญญาติดตามฆ่ากิเลสเรียบไปเลย รู้อย่างสงบสบาย ไม่กระทบกระเทือน ไม่ตื่นไม่เต้นเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์มากนัก ภูมิจากนั้นกระเทือนธาตุขันธ์ กระเทือนจิตใจเป็นพัก ๆ การบำเพ็ญ กิเลสมีหลายคลื่น ธรรมะต้องมีหลายคลื่นด้วยกัน รับกัน ตอบรับกัน ฟัดกันบนเวที สำหรับสุกขวิปัสสโก รู้สึกท่านจะไปอย่างเรียบ ๆ แต่เราเล็งเอาตามศัพท์ที่ท่านแปลออกมา แล้วการปฏิบัติของเรามันก็เข้ากันทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สงสัยที่เทียบเคียงเหล่านี้ สุกขวิปัสสโก ผู้ที่รู้อย่างสงบเรียบไปเลย ได้แก่ประเภทที่ ๑

เตวิชโช บรรลุแล้วยังได้วิชชา ๓ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ จากนั้นก็ฉฬภิญโญ ได้อภิญญา ๖ นี่หมายถึงกรณีพิเศษ เครื่องประดับท่านเป็นพิเศษ ๆ ไป ลำดับที่ ๔ นี่เรียกว่าสุดยอดบารมีของพระอรหันต์ท่าน จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต เรียกว่าผู้แตกฉานมาก อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานหมด นี่เรียกว่า จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต อรหันต์ประเภทที่ ๔ เครื่องประดับของท่านเรียกว่าหยดย้อยมากทีเดียว นี่ก็คือเป็นไปตามความปรารถนาของท่าน

เวลาท่านปรารถนา เช่น ความวิมุตติหลุดพ้นต้องการด้วยกัน แต่มีความปรารถนาปลีกย่อยในเครื่องประดับ เหมือนต้นไม้ ต้นลำของมันเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันก็ตาม แต่กิ่งก้านสาขาแตกแขนงไปจะต่างกัน ๆ มีลักษณะต่างกันอย่างนั้น อรหันต์ ๔ นี้เหมือนกัน หลักของอรหันต์นั้นก็ได้แก่ ผู้สิ้นจากกิเลสด้วยกันเรียบร้อยแล้ว นี่เสมอกันหมด เรียกว่าต้นลำ ทีนี้กิ่งก้านสาขาที่แตกออกไปก็แตกไปเป็น สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต ๔ ประเภท แยกสาขา คือกิ่งก้านของท่านออกไปตามนิสัยวาสนาที่ผู้มีความปรารถนาอย่างไร ๆ เป็นเครื่องประดับความบริสุทธิ์ ท่านก็ปรารถนามา เวลาสำเร็จแล้ว กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ ซึ่งเป็นความปรารถนาปลีกย่อยก็รวม ๆ เป็นกิ่งเป็นก้านสวยงามตามนิสัยวาสนาของท่านที่ได้ทำความปรารถนามา นี่อรหันต์ ๔

ท่านทั้งหลายให้ทราบเสียนะ ว่าอรหันต์ ๔ อยู่ในศาสนาพระพุทธเจ้า ที่เป็นต้นลำของพุทธศาสนาเรียกว่าชั้นเอกอุ ในสามแดนโลกธาตุไม่มีศาสนาใดที่จะเทียบเสมอเหมือนพุทธศาสนาได้เลย เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารจริง ๆ ไม่บกพร่องเลย นี่เป็นอันหนึ่ง คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสมบูรณ์อรรถธรรมทั้งหลายเต็มภูมิของศาสดา จากนั้นก็มาสอนสาวก นี่คือออกจากพุทธศาสนานะ พอแตกออกมาก็เป็นสาวกบารมีญาณ สาวกทั้งหลายไปศึกษาอบรมจากท่าน แตกกระจัดกระจายออกมาเป็นมรรคเป็นผล แตกกระจัดกระจายไปหมดจากพุทธศาสนา เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมอยู่ มรรคผลนิพพานจะกระจายอยู่อย่างนี้ตลอด

เช่นเดียวกับกิเลสที่มีสัตว์โลกทั้งหลายเต็มโลกธาตุนี้ ส่วนมากมีแต่ความยินดีไปตามกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความดีดความดิ้นจึงเสมอกัน ไม่มีใครอยู่ได้เฉย ๆ ต้องดีดต้องดิ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลสมันผลักมันดันจิตใจ ให้คิดอย่างนั้น ให้อยากได้อย่างนี้ ต้องการอย่างนั้น มีแต่ความต้องการ ความหิวโหย เต็มหัวใจ ความอิ่มพอไม่มีในกิเลสที่มีอยู่ในหัวใจสัตว์ สัตว์จึงไม่มีใครอิ่มพอ เต็มไปด้วยความหิวโหย ไม่ว่าคนทุกข์ คนจน คนโง่ คนฉลาด ฐานะสูงต่ำประการใด กิเลสจะไปตั้งบ้านเรือนแห่งความกังวลวุ่นวายอยู่ในหัวใจทุกดวง กิริยาท่าทางภายนอกเป็นอย่างหนึ่ง แต่ภายในจิตใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่คือเรื่องของกิเลส แล้วสัตว์โลกทั้งหลายก็ดีดดิ้นไปตามมัน ผลของมันก็คือความทุกข์ความเดือดร้อน

ทีนี้เรื่องศาสนาผู้เข้าบำเพ็ญศาสนาตามกำลังความสามารถของตน ตามขั้นตามภูมิ ยกอันดับหนึ่งก็คือพระ ท่านออกปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ ท่านออกนี้เข้าป่าเข้าเขาๆ บำเพ็ญแต่อรรถแต่ธรรมล้วน ๆ ผลปรากฏออกมาเป็นสาวกของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือองค์นั้นสำเร็จพระโสดาฯ องค์นี้สำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคาฯ องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นสรณะของพวกเรามาตลอดทุกวันนี้ ออกมาจากหลักพุทธศาสนาที่แผ่กระจายต่อสัตว์โลกผู้มุ่งกับการปฏิบัติต่อธรรมของศาสดาเรา แล้วยังจะเป็นไปอย่างนี้ตลอด

ดังที่ท่านแสดงไว้กับพระอานนท์ ที่พระอานนท์ไปทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานานแสนนาน ไม่อยากให้พระองค์ปรินิพพานไปอย่างง่ายดาย พระองค์ก็ ภาษาของเราก็เรียกว่า ดุเอาบ้าง "อานนท์จะมาหวังอะไรกับเราอีก ธรรมทั้งหมดเราสอนไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อมรรคเพื่อผล นิพพานทั้งนั้นไม่บกพร่อง เราก็ยังเหลือแต่ร่างเท่านั้นเวลานี้ ธรรมะนี้เป็นศาสดาแทนเราตถาคตแล้ว ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแก่ศาสนธรรมนี้อยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์" นี่ประกาศกังวานไว้อย่างนั้น

มรรคผลนิพพาน จะเป็นไปตามการประพฤติปฏิบัติตัวในทางความดีงามทั้งหลายตามขั้นตามภูมิของผู้บำเพ็ญ จะแสดงผลออกไปเรื่อยๆ ๆ เช่นเดียวกับกิเลสมันเป็นทางฝ่ายต่ำให้หมุนไปตามมัน มันก็ไปทางความชั่วช้าลามก ได้รับความทุกข์มากน้อยตามความดีดความดิ้นของตัวเองนั้นแหละ ไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน เพราะกิเลสกับธรรมมีความเสมอภาค สามารถที่จะผลิตผลได้ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายกิเลสเสมอกัน จิตใจเอนเอียงไปทางกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาซึ่งเป็นฝ่ายความชั่วช้าลามก เอนไปมากเท่าไรก็จมลง ๆ นี้เป็นฝ่ายของกิเลสจะแสดงผลขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามการดีดดิ้นของผู้นั้นที่กระเสือกกระสนไปตามมัน

ทีนี้ทางด้านธรรมะเราก็ดีดดิ้นของเราทางด้านธรรมะก็ค่อยเป็นค่อยไป ก็ไปทางนี้อีกๆ สุดท้ายก็หลุดพ้นไปได้ ทั้งสองนี้มีผลเสมอกัน อยู่กับหัวใจของเรานะ กิเลสก็เกิดที่หัวใจของเรา อยู่ที่หัวใจของเรา ธรรมะก็เกิดที่หัวใจของเรา อยู่ที่หัวใจของเรา แล้วแต่เราจะหมุนไปทางไหน ถ้าหมุนไปทางกิเลสก็เป็นผลแห่งทุกข์ขึ้นมาเรื่อย ๆ ถ้าหมุนไปทางธรรมก็เป็นผลแห่งความสุขขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง เพราะการเดินตามธรรม ถ้าเดินตามกิเลสก็ลงนรกอเวจี หมุนไปเวียนมาอยู่ในวัฏวน ซึ่งเป็นเหมือนขอบด้งของวัฏจักรนั้นแหละ หมุนอย่างนี้ไม่มีวันออกได้เลย

การที่สัตว์โลกจะออกจากวัฏจักรนี้ได้นั้น ไม่มีอันใดที่จะดึงสัตว์โลกออกได้ ชี้นิ้วอันเดียวว่ามีธรรมเท่านั้น อย่างอื่นดึงออกไม่ได้นะ โลกนี้จะจมอยู่นี้ตลอดมา มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องฉุดลากดึงออกได้ ใครมีมากมีน้อยดึงออกได้มากน้อย มีเต็มที่ดึงออกหลุดพ้นจากทุกข์ ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน นี่คือผู้มีธรรมเต็มภูมิจากการขวนขวายของตน ให้จำเอานะพี่น้องทั้งหลาย นี้คือคงเส้นคงวาหนาแน่นในธรรมทั้งหลาย อย่าไปตื่นกับเรื่องกิเลสตัณหา มันหลอกลวง

ทุกวันนี้ไปที่ไหนกิเลสหลอกลวง กิเลสเป็นศาสดาเอกนะ มันไม่ได้ไปหาบำเพ็ญที่นั่นที่นี่เหมือนพระพุทธเจ้ามาเป็นศาสดาของโลกนะ มันหากเป็นศาสดาของสัตว์อยู่ในตัวของมัน ตัวมันเองก็ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เวลามันโม้มันคุยให้เพื่อนฝูงฟังนี้มันเก่งกว่าเพื่อนฝูงทุกคนนะ ไม่ว่าคนใดก็ตาม ถ้าลงได้วาดลวดลายกิเลส ไม่มีใครสู้มันได้ คนนี้เป็นศาสดาเอกในคลังกิเลสทั้งหลายด้วยกัน ไปทางไหนดิ้นก็ออกอย่างนี้แหละเรื่องกิเลส แล้วกล่อมสัตว์โลกให้ล่มจมตลอดเวลา นิ่มนวลมากนะกิเลส ไม่มีอะไรนิ่มนวลกว่ากิเลสไปได้ มีธรรมเท่านั้นที่เหนือกิเลส เพราะฉะนั้น ธรรมจึงฉุดลากสัตว์โลกที่จมอยู่ในกิเลสออกให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้โดยไม่ต้องสงสัย

ธรรมกับกิเลสนี้เป็นคู่เคียงกันมา เป็นข้าศึกศัตรูกันมาตลอด ใครจะหมุนไปทางไหนก็หมุน ถ้าหมุนไปทางกิเลสก็จะเป็นวัฏวนอยู่นี้ตลอด จิตไม่ฉิบหาย จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยฉิบหาย ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น จากร่างนั้นเข้าสู่ร่างนี้ การเข้าร่างแต่ละแห่งละภพละชาตินี้ไปด้วยบุญด้วยกรรมนะ ถ้ามีบุญมีกรรมมากไปทางที่ดี มีบาปมีกรรมมากไปทางที่ชั่ว บาปกรรมมากเท่าไรยิ่งจม ๆ นี้เป็นหลักธรรมชาติ ไม่มีใครแก้ไขได้เลย แม้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พระองค์ใดก็ตาม ไม่เคยมีพระพุทธเจ้ามาแก้กรรมของสัตว์ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปตามกรรมที่ตนได้ทำแล้วดีชั่ว นั้นแหละเป็นของเราตายตัว พระพุทธเจ้าองค์ใดมาแก้ไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เชื่อกรรม

กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ เรามีกรรมเป็นของตัว คือจะไปแยกให้เป็นสมบัติของใครไม่ได้ ต้องเป็นของตัวตั้งแต่ขณะทำลงไป จะไปแยกแบ่งสันปันส่วนให้ใครไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าก็มารับไม่ได้ มาแบ่งหนักแบ่งเบาให้ไม่ได้ ต้องเป็นตัวของตัวเป็นผู้รับ กรรมชั่วมากน้อยเป็นของตัวเองนี้เรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของเราทั้งดีแล้วชั่ว ถ้าเป็นของดีก็เป็นของเรา ใครจะมาแบ่งไปก็ไม่ได้ แย่งไปก็ไม่ได้ กรรมเป็นทายาท กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งที่ยึดที่อาศัย ถ้าเป็นกรรมดีก็เป็นที่อาศัย ถ้าเป็นกรรมชั่วเป็นภัย เพราะฉะนั้นท่านจึงมาตัดสินใจตอนท้ายว่า กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา กรรมดีหรือกรรมชั่วเราจะทำกรรมใด ถ้าทำกรรมชั่ว บาปเป็นของเรา ถ้าทำกรรมดี บุญเป็นของเรา ให้เลือกเอาตรงนี้ ท่านบอก

กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสสามิ คือเป็นของเราทั้งนั้นแหละไม่ว่าดีว่าชั่ว ให้รีบเร่งให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ เรามีธรรมขององค์ศาสดาแทนศาสดา คือแทนพระพุทธเจ้าอยู่แล้วเต็มหัวใจทุกคน เต็มคัมภีร์ใบลาน ครูบาอาจารย์ที่มาแนะนำสั่งสอนท่านก็สั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เราไปปฏิบัติ ฟิตหรือแก้ไขตัวเองให้เป็นคนดี เราอย่าวิ่งไปตามกิเลส วิ่งมากี่กัปกี่กัลป์ได้รับความทุกข์มามากเท่าไร ให้พากันเข็ดหลาบบ้างนะ ถ้าไม่เข็ดจะจมไปเรื่อย ๆ นะ ถ้าเข็ดหลาบก็สู้กัน มันอยากทำชั่วเราไม่ทำ มันไม่อยากให้ทำดีแหละเรื่องกิเลส เราทำ ต้องฝืนอย่างนี้ตลอด ครั้นฝืนไปฝืนมาความชั่วก็อ่อนลง ๆ ความดีเด่นขึ้น ๆ ทีนี้อยากทำแต่ความดี ตื่นตามาเช้าขึ้นมานี้ระลึกความดีเป็นที่พึ่ง ๆ แล้ว นั่นละจิตใจที่เคยกับความดีแล้วจะหมุนไปทางความดีๆ

ดังที่เราเคยพูดเรื่องอุบาสก ภาวนาเก่งด้วยนะอุบาสกคนนั้น ภาวนาจิตออกไปรู้ข้างนอก พูดเท่านั้นแหละเข้าใจทันที ธัมมิกอุบาสก นั้น เป็นผู้มีความสนิทติดพันกับอรรถกับธรรม หัวใจอยู่กับธรรม ชีวิตจิตใจอยู่กับธรรมโดยถ่ายเดียว มีการมีงานทางไหนเขาต้องมาเชื้อเชิญให้ไปเป็นหัวหน้า ๆ ในงานต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ว่างได้เลยแหละ ทีนี้พอจวนตัวเข้ามาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก แน่ใจว่าจะไปไม่รอดแล้ว ก็บอกลูก คือสั่งลูกให้ไปนิมนต์พระสงฆ์ท่านมาสวดสังวัธยายธรรมให้ฟัง เป็นเครื่องรื่นเริงในวาระสุดท้ายก่อนที่พ่อจะจากไป

ลูกก็ไปนิมนต์พระ พอนิมนต์พระมาแล้ว พระก็มาสวดธรรมให้ฟังท่านก็รื่นเริง จิตของท่านเคลิ้มไป ไม่ใช่เคลิ้มหลับนะ เคลิ้มเข้าไปแล้วเข้าสู่ความสงบ พอออกจากความสงบก็ออกรู้ ที่ไหนได้เทวดาสรรค์ ๖ ชั้น มาทุกชั้น รถทิพย์มาเต็มอยู่บนอากาศ ทีนี่ธัมมิกอุบาสกจิตรวมแล้วส่งออกไปรู้ซิ ทางนั้นก็เชื้อเชิญทางนี้ก็เชื้อเชิญให้ไปรถของเขาๆ พวกเทวดานะ เพราะท่านผู้นี้ควรแก่สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จะไปชั้นใดได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นรถทิพย์ของเทวดาจึงมาทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมจนกระทั่งถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ๖ ชั้น ทีนี้เมื่อท่านเห็นอย่างนั้นแล้ว ท่านก็เตือนพวกนั้น บอกให้รอเสียก่อน คือพวกนั้นคนนั้นก็เรียกร้อง คนนี้ก็ขอเชิญ เชิญตลอดเต็มท้องฟ้าว่างั้นเถอะ ทางนี้กลัวจะเป็นอันตรายแก่ธรรม เลยบอกให้รอไว้ก่อน คือบอกทางโน้น มันเลยหลุดปาก คือจิตนี้ทำงานกับพวกเทพนะ

เอ้า ฟัง เปิดถอดนี้ออกมาด้วยนะ คราวนี้มีพยานที่จะพูด คือจิตมันออกไปรู้โน้น พวกเทพทั้งหลายเต็มอยู่นั้น ทีนี้เลยหลุดปากออกไปให้รอเสียก่อน ไม่ได้เป็นคำพูดในภาษาธรรมกับพวกกายทิพย์นะ พูดกันโดยภาษาจิตเข้าใจไหม อันนี้มันเลยหลุดปากออกไปให้รอเสียก่อน ลูกหลานทั้งหลายก็ได้ยิน พระท่านสวดมนต์อยู่ท่านก็ได้ยิน บอกว่าให้รอก่อน นี่มันหลุดปากออกมา คือจิตพูดกับพวกเทพนะ แต่ปากมันหลุดออกมา นี่เรียกว่าหลุดปาก หลุดปากออกมาพระท่านก็เลยเลิกไป พอไปถึงวัด ทางนี้ก็พอดีกัน พอจิตถอนจากพวกเทพมานี้ พระหายหน้าไปหมด

อ้าว พระคุณเจ้าไปไหนกันหมด ก็คุณพ่อบอกให้ท่านรอก่อน ท่านก็ไปละซิ อู๊ย.พ่อไม่ได้บอกให้ท่านรอนะ พวกเทพทั้งหลายมารอพ่ออยู่บนอากาศเต็มไปหมดบนท้องฟ้า รถทิพย์เต็มไปหมดเลย แล้วมาเชื้อเชิญพ่อให้ไป พ่อบอกว่าให้รอไว้ก่อนทางโน้นอย่าด่วนยุ่ง มันจะเสียการฟังธรรมทางนี้ต่างหาก ไม่ได้ห้ามพระนะ ไปนิมนต์ท่านมาเดี๋ยวนี้ บอกลูกไปอีก พอดีพระไปถึงพระเชตวัน พระพุทธเจ้าก็ขนาบอีกนะ นี่มาอะไรสวดมนต์ยังไม่เสร็จ ก็อุบาสกท่านให้หยุดก็เลยมา อุบาสกไม่ได้ห้ามพวกเธอทั้งหลายนะ ห้ามพวกเทพต่างหาก นั่นเห็นไหมล่ะความรู้รับกันแล้ว พวกเทพทั้งหลายมาเต็มอยู่บนท้องฟ้าอากาศนั้น พวกรถทิพย์ทั้งนั้น ๆ แล้วอุบาสกนั้นห้ามพวกเทพ มันจะเป็นการรบกวนธรรมต่างหาก ไม่ได้ห้ามพระนะ ไปเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าไล่พระกลับมาอีก พออุบาสกคนนั้นรู้ตัวพอดีพระก็มา ทางนี้จะให้ไปนิมนต์พระ ก็เลยได้มาพร้อมกัน นี่ฟังซินะ

จิตของท่านดีทางด้านจิตตภาวนาด้วยนะ ไม่ได้มีแต่ทานการกุศลประเภทอื่น ๆ โดยถ่ายเดียว ทางจิตตภาวนาท่านก็รู้ พอจิตสงบลงไป ๆ มันส่งออกรู้พวกกายทิพย์ทั้งหลาย นั่นละที่ว่าห้ามก็ห้ามอันนั้น ถ้าธรรมดาจะไม่ออกคำพูดนะ เป็นภาษาใจ จะตอบกันอยู่บนอากาศ แต่นี้มันหลุดปากออกไป บอกว่ารอก่อน ๆ พอพระท่านสวดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว นี้ถึงกาลเวลาพ่อจะไปแล้วนะ แล้วไปเลยเดี๋ยวนั้น นั่นเห็นไหมห่วงใยอะไรที่ไหน นั่นละ อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลไม่พาใครให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน อุบาสกนั้นก็เตรียมพร้อมทุกอย่าง พอแล้วก็ไปละนะ แล้วก็ไปเลย

นี่ละอำนาจแห่งคุณงามความดี ถ้าสร้างไว้แล้วจะทำความชุ่มเย็นเป็นสุขให้แก่เจ้าของผู้สร้างบุญสร้างกุศล แต่การสร้างบาปสร้างกรรมนี้ สร้างมากเท่าไร ยิ่งจะตายเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้น เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจ คิดส่ายแส่ไปไหนมีแต่เรื่องบาปเรื่องกรรมที่เจ้าของทำไว้ ใจเลยเป็นกังวลอันใหญ่หลวง ตายแล้วจมเลย ให้จำเอานะ พี่น้องทั้งหลาย เรื่องบาปเรื่องบุญมีอยู่มาดั้งเดิม กิเลสก็มีมาดั้งเดิม ธรรมมีมาดั้งเดิม บาปบุญ นรกสวรรค์มีมาดั้งเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์ไหนก็มาเห็นสิ่งที่เคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มารู้แบบเดียวกันเห็นแบบเดียวกันสอนแบบเดียวกัน ทั้งฝ่ายชั่วฝ่ายดีให้โลกทั้งหลายได้รู้ แล้วให้พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ

ต้องฝืน ไม่ฝืนไม่ได้นะ นี้เตือนขนาดนั้นนะ ต้องฝืน เราจะอ่อนไปตามกิเลสไม่ได้จมแน่ ๆ ต้องมีการฝืน ฝืนเพื่อดีจะเป็นอะไรไป ทุกข์เพื่อความสุขไม่เป็นไร ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์นี้เสียหายมาก วิ่งเต้นตามกิเลสก็เป็นทุกข์ โลกทั้งหลาย มนุษย์สัตว์ทั้งหลายเรา แล้วก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นอีกเพราะบาปเพราะกรรมเข้าไป แล้วที่นี่ทุกข์ในทางความบึกบึน ทางสร้างความดีมันก็เป็นทุกข์ แต่ทุกข์เพื่อเป็นความสุข เอ้า ทุกข์เถอะ ทุกข์อันนี้ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน เป็นศาสดาเอกของโลก นี่ทุกข์สลบ ๓ หน เป็นศาสดาของโลกเลิศเลอขนาดไหน นั่นพระองค์ก็ยอมเสียสละ ให้พากันจำทุกคน ๆ ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ

กิเลสยิ่งหนาแน่นเข้ามาทุกวัน เรามองไปที่ไหนมันดูไม่ได้นะ เราพูดจริง ๆ ถ้าพูดออกไปเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า เอ้า ว่าจริง ๆ นะ แต่เราดูเขามันบ้าทั้งนั้น เข้าใจไหม ทีนี้เวลาเขามาตอบโต้เรา หลวงตามันเป็นบ้ามาจากโลกไหน มาอยู่กับคนดีทั้งหลายเขาจะว่า คือเขาเป็นบ้าทั้งโลก อันนี้ดูมันเห็นจะว่ายังไง แล้วชินได้ยังไง กิเลสตัณหา ความบาป เรื่องบาปเรื่องกรรมทั้งหลายกับธรรมทั้งหลายไม่ชินกัน มองรู้ทันที ๆ เลย เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านจึงไม่ชินต่อบาปต่อกรรม ต่อกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ ทั้งต่อบุญต่อกุศล ท่านไม่ได้ชิน เพราะจิตใจของท่านคล่องทุกอย่าง เป็นวิมุตติจิตแล้ว ไม่อยู่ในความชินชาหน้าด้านนะ จิตดวงนี้สว่างไสวตลอดเวลา

ท่านสอนพวกเราท่านสอนด้วยความสว่างไสว ไม่ได้สอนด้วยแบบหูหนวกตาบอดดังพวกเราสอนกัน สอนกันว่ายังไง ถ้าผัวจะไปวัด จะไปอะไร ฉันจะไปธุระ ฉันจะไปตกปลานี่นะ เมียสอนผัวเข้าใจไหม นี่มันเถียงกันแบบนี้ ถ้าเมียจะไปวัด ไปหาอะไรฉันกำลังจะไปตกปลาเตรียมทอดแหแล้วนี่ ไปอย่างนั้นเข้าใจไหม ระวังนะ ทะเลาะกันมันทะเลาะอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเมียก็ไปสวรรค์ ผัวก็ลงบ่อใหญ่เลย เข้าใจไหม บ่อเขาตกปลานั้นแหละ บ่อไหนก็ไม่รู้ เลยจากบ่อตกปลกก็บ่อนรก ให้ระวังนะผัวเมียอย่าทะเลาะกัน ถ้าไม่อยากลงบ่อใหญ่เข้าใจไหม เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละพอ

บัญชีกฐินของคุณชายปั๋มที่กรุงเทพฯ นะ เงินที่มีอยู่ในบัญชีกฐินช่วยชาติมีดังนี้ ธนาคารกรุงเทพฯ มีจำนวน ๒๖๔,๔๗๙ บาท เท่ากับ ๑๕๒ กอง แล้วบัญชีของกสิกรไทยมีจำนวน ๒,๗๓๔,๙๓๔ บาท เท่ากับ ๑,๗๐๙ กอง รวมจำนวนเงินทั้งหมดเป็น ๒,๙๗๙,๔๑๓ บาท เท่ากับ ๑,๘๖๒ กอง ส่วนเงินดอลลาร์มีจำนวน ๙๘,๒๒๒ ดอลล์ จึงกราบเรียนมาเพื่อทราบ

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก