|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
โลกได้ดูหัวใจเราบ้างหรือเปล่า |
|
วันที่ 12 กันยายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
โลกได้ดูหัวใจเราบ้างหรือเปล่า
วันที่ ๑๔ บ่าย ๓ โมงไปเทศน์ที่ราชภัฏ อุดร แล้ววันที่ ๒๒ บ้านผือ พอวันที่ ๒๖ นี้ก็ต้องลงกรุงเทพอีกแล้ว วันที่ ๒ ตุลา กลับ รวมแล้ว ๗ วัน เมื่อวานนี้ไปโน้น เข้าเขตชัยภูมิ ไปโรงพยาบาลบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ ไปเขตชัยภูมิไปดูน้ำท่วม โอ๊ย น้ำท่วมคราวนี้รู้สึกว่ากว้างขวางมากทีเดียว ภาคอีสานนี้ท่วมไปหมดทุกจังหวัดเลย แล้วพิษณุโลกไปถึงภาคเหนือก็หมด พิลึกจริง ๆ สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ท่วมทั้งนั้นเลย ปีนี้รู้สึกน้ำจะมากเป็นพิเศษ ท่วมอย่างกว้างขวาง อย่างภาคอีสานนี้หมดเลย ไม่มีจังหวัดไหนที่ผ่านไปได้ แล้วยังภาคเหนือไปอีก หมด ตั้งแต่พิษณุโลกถึงเชียงใหม่ เชียงราย หมด ท่วมอยู่หลายวันเสียด้วย ตั้งอาทิตย์กว่า ฝนตกไม่หยุด พึ่งเมื่อวานกับวานซืนนี้ฝนไม่ตก งดอยู่สองวัน
ไปเมื่อวานก็ไปดูตามคราบน้ำที่มันท่วมแล้วมันลดลง มันเกาะติดอยู่ตามใบไม้ มันลดลงหมดแล้ว แล้วที่มันท่วมๆ ขนาดนั้น ๆ มันบอกเป็นคราบน้ำติดใบไม้ไว้ มองไปเห็นหมด น้ำกำลังลดลง ๆ บ้านแท่น คอนสวรรค์ เขตจังหวัดชัยภูมิ มันมีซอกแซก เราก็เข้าไปนะที่ซอกแซก ลำบากลำบนเรื่องอาหารการกินเราก็ไปส่งให้ ที่ใกล้ ๆ ถนนไม่ค่อยไปนักนะ ที่ซอกแซกอยู่ลึก ๆ อย่างนั้นมักจะไป อย่างจังหวัดเลยนี้ก็เข้าภูเรือ ภูหลวง เรามักจะหาเข้าไปซอกแซก ๆ ทางนี้เขาก็มา โกดังของเรานี้ก็เปิดโล่งไว้เลย เราไปเป็นพิเศษ ถ้าเราไปนี้มักจะเป็นพิเศษอยู่เสมอ เพราะสิ่งที่เราเอาไปด้วยที่เป็นพิเศษ เช่นอาหารสด พวกไก่ที่เขาขาย แล้วกล้วย สองอย่างนี่พิเศษ นอกนั้นเสมอกันหมด
โรงพยาบาลต่าง ๆ เขาก็มาเป็นประจำ เมื่อวาน ๓ โรง วานซืนนี้สามหรือสี่โรง เป็นประจำ ๆ คือทางโรงพยาบาลได้ทราบทั่วกันแล้วว่า เราบริจาคให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มาติดต่อพวกอาหารยาว ให้เสมอกันหมด คือทั่วประเทศไทยเราเปิดไว้หมด ไม่ว่าภาคไหน ๆ มา มีพระเวร พระยาม อยู่ทีละองค์สององค์ประจำตลอดเวลา นอกนั้นท่านไม่มายุ่ง ท่านเข้าภาวนาของท่าน จะออกมาเฉพาะองค์จำเป็น ทั้งวันนี้มักจะมีอยู่สององค์ คอยดูแลเกี่ยวข้องกับผู้คนเข้ามา แล้วรับผิดชอบในโกดัง ใครมาเข้าเวรที่นี่รับผิดชอบโกดังพร้อมเลย โรงพยาบาลไหนมาก็ผู้นี้ละรับผิดชอบตามวาระ ๆ เป็นระยะ ๆ ไป เราสงสารโรงพยาบาล คือเข้าไปถึงห้องครัวเลยนะเรา ไปซอกแซกดูจริง ๆ จากนั้นมามันก็ฝังใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องติดต่อกันเรื่อย เปิดทางให้เรื่อย ๆ ต้นเหตุมาจากนั้นแหละ มาจากที่เราไปซอกแซกซิกแซ็กดูตามโรงพยาบาลต่าง ๆ
นอกจากนั้นยังถามอีกว่าอาหารเหล่านี้ได้มาจากไหน ๆ เวลาเข้าครัวเป็นหลวงตาครัวไปเลยนะเรา ไม่ค่อยเหมือนใคร เข้าตรงไหนเป็นอันนั้นไปเลย เข้าไปแบบหลวงตาไม่มีใครทราบ นั่นละค้นไปหมดเลยนะ ก็เราไม่มีอะไรกับใคร มีแต่เรื่องของเรากับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นเราถึงเข้าได้ทุกแห่งทุกหนไปหมดเลย แล้วใครจะมีอะไรกับเรา เราก็ไม่มี เรามีแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกัน เช่นเข้าในครัวนี้ ครัวเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ขาดตกบกพร่องยังไงต่อยังไงดู เฉพาะอย่างยิ่งอาหารโรงพยาบาลนี้ได้มาจากไหน ถามเรื่องราว เขาว่ามีงบประมาณนะ ระยะหลัง ๆ นี้ขาดเขินมากทีเดียว สามสี่ปีผ่านมานี้ขาดเขินมาก นี่ที่เราตั้งหน้ารับหนักจริง ๆ ก็ในระยะนี้ แต่ก่อนก็ให้มาเรื่อย เราดูแล้ว
ผ้าขาวก็ให้ทุกโรงพยาบาลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นเวลาเรามาจากกรุงเทพ เราจึงเอามาเฉพาะผ้าขาว นอกนั้นสละทำประโยชน์ทางนู้นให้หมด เราสั่งขาดเลยนะ ไม่ให้เอามาทางนี้เป็นอันขาด บอกเป็นอันขาดเลย ยกเว้นเฉพาะผ้าขาวอย่างเดียว คือผ้าขาวนี้เราเอามา ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เอาผ้าขาวอย่างเดียวมา นอกนั้นเอาไว้สำหรับทำประโยชน์ทางนู้น ไปที่ไหนก็ทำประโยชน์ให้โลกนะ ต้องทำอย่างนั้น ส่วนผ้าขาวสำหรับโรงพยาบาล ต้องได้ทุกโรง ๆ เมื่อมีอยู่นะ เวลามันขาดมันก็ขาดบ้าง นี่ละที่ว่ามันขาดบ้างอะไรนี้ คือในวัดเรานี้ก็มี มีมากพวกผ้าขาวแต่ไม่พอ พวกโรงพยาบาลมากต่อมากมานี้ เราก็ไม่พอ เพราะฉะนั้นเวลาไปกรุงเทพจึงเอามาจากกรุงเทพ มาบวกกันเข้าช่วยกันไป ความสงสาร
เราพูดใครจะว่าบ้าก็ตาม มีแต่เราดูหัวใจโลก พูดเอาสาธารณะเจาะจงเข้าเลย เราดูแต่หัวใจโลก โลกได้ดูหัวใจเราบ้างหรือเปล่า เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ หัวใจนี้พูดจริง ๆ มันครอบไปด้วยเมตตาครอบโลกธาตุ ไม่ว่าในน้ำบนบก ครอบไปหมดเลย เพราะฉะนั้นการขวนขวายจึงไปตามอำนาจความเมตตาบังคับอยู่ในตัวนั้นแหละ หมดเป็นหมด ยังเป็นยัง ไม่ได้คำนึงถึงว่าความสิ้นความเปลือง หมดหรือไม่หมด ถ้าคิดอย่างนั้นทำไม่ได้นะ นี่เราไม่คิด บางทีหมดแล้วยังคว้าอีก หือ หมดแล้วหรือ เอาพักไว้ก่อน อย่างนั้นนะ มีแต่จะให้ท่าเดียว เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไปตามร้านค้าสองฟากทางนี้ ไม่ได้เรื่องอะไรแหละ ไปดูร้านนี้จอดรถ ไปเอามาหมด สงสารแม่ค้า เข้าใจไหม ไม่ต่อด้วยนะ เงินทอนไม่มีแหละ ขาดเท่าไรให้ไปหมดเลย ให้เต็มร้อย ๆ ไป เป็นอย่างนั้นนะไปที่ไหน ๆ บางคนเขาไม่เคยเห็นเขาก็จะว่าหลวงตาผีบ้า
บ้าแบบกูนี่สูเคยมีไหม อยากถามว่าอย่างนั้น กูเห็นแต่บ้าแบบขี้เหนียวนั่นแหละ บ้าแบบนี้สูเคยเห็นไหม อยากว่าอย่างนั้นนะ นี่ที่ว่าพระพุทธเจ้า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้ามีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวง ทำประโยชน์ให้โลกนี้หาประมาณไม่ได้เลย นี่แปลออกนะ นั่นละอำนาจความเมตตานี้ครอบไว้หมด ถ้าลงความเมตตาเข้าตรงไหน ความตระหนี่ถี่เหนียวไม่มี พังเลย ๆ ความเมตตาเป็นข้าศึกกับความตระหนี่ถี่เหนียว ออกจากเมตตาก็เสียสละซี คือความเมตตามีอำนาจมากบังคับ มันก็ต้องอยากเสียสละ เพราะความเมตตาบังคับให้อยากเสียสละ ทำบุญให้ทาน สงเคราะห์สงหา
ทีนี้ที่ทำไปทั้งหมดนี่นะ แทนที่ทำไปแล้วเจ้าของจะหมดเนื้อหมดตัว ไม่ได้ไปนะ ให้ไปเท่าไร ๆ ไหลเข้ามาประสานกันเลย ๆ ทางออกทางเข้าเป็นยังไง เปิดประตูออกแคบมันก็ไหลเข้าแคบ เปิดกว้างมันไหลเข้ากว้าง ไหลออกไหลเข้ากว้าง ๆ เปิดกว้างเท่าไรยิ่งไหลออกไหลเข้ากว้าง เอาทีนี้ฟาดกันตบท้ายนะ ปิดเลยไม่ให้มันออก มันเลยไม่เข้า นั่นละคนตระหนี่ถี่เหนียวไปที่ไหนตีบตัน มันเป็นอยู่ในนั้น ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า การสอนโลกนี้สอนด้วยความสิ้นกิเลส กระจ่างแจ้ง เปิดเผยหมด เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ไม่มีคลาดเคลื่อนเลยคำสอนพระพุทธเจ้า แต่กิเลสนี้ตัวคลาดเคลื่อน เรียกว่าตัวหลอกลวง ความจริงไม่มีในกิเลส หลอกตลอดเวลาคือกิเลส อยู่ในหัวใจสัตว์โลก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงถูกต้มจากมัน ในหัวใจตัวเองนั่นแหละ จากนี้แล้วก็ไปต้มคนอื่นอีกนะ มันต้มเจ้าของแล้วก็ไปต้มคนอื่นอีก กิเลสพาให้ต้ม
ความเสียสละเปิดออกนี้แล้วยังเปิดออกนอกอีก เปิดไป ๆ ไปที่ไหนไม่อดอยาก การให้ทานไปมากน้อย เห็นเรื่องหยาบ ๆ อันนี้ สิ่งที่เราให้เหล่านี้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานนะ เช่นเราเอาวัตถุสิ่งของมาให้ทาน นี้เป็นเครื่องหนุนจิตของเราต่างหาก จิตเราบงการออกมานี้ก็กลับไปหนุนจิต ออกไปมากเท่าไรเข้ามากเท่านั้น ๆ ประสานกันตลอดเลย นี่คือหลักธรรมชาติ ให้น้อยมาน้อย ออกน้อยเข้าน้อย ออกมากเข้ามาก เปิดโล่งออกเลย ไปที่ไหนเกลื่อนไปหมด อย่างพระสีวลี ไปที่ไหนใครจะไปเกินท่าน เพราะฉะนั้นในบรรดาสาวกพระสีวลีจึงเลิศเลอ เป็นผู้ทรงอติเรกลาภมากที่สุดในบรรดาสาวกทั้งหลาย นี่ก็เพราะอำนาจแห่งทานของท่าน ไปที่ไหนเสียสละ ๆ
แม้ที่สุดเป็นฆราวาสญาติโยมทำบุญให้ทาน เขาต้องเชื้อเชิญไปเป็นหัวหน้าในงานบุญงานทานทั้งหลายอยู่ตลอดนะ เป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าฝูงคล้ายคลึงกับพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหนต้องเป็นหัวหน้าทั้งนั้น คือเป็นผู้นำในทางที่ถูกที่ดี เวลามาเป็นศาสดาแล้วไปไหนก็เกลื่อนไป ทีนี้บรรดาสาวกก็เหมือนกัน ผู้ตระหนี่ถี่เหนียวก็เอาอีกแหละ จนกระทั่งท่านได้เอาตัวอย่างมาให้เห็นในตำรามีนี่ มาบวชเป็นพระ ตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นสัตว์เป็นอะไรมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวเป็นยอดเลย แล้วโผเผขึ้นมายังไงเวลานั้นนะ อาจจะเป็นยมบาลนอนหลับก็ได้นะ โผเผขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วมาบวชเป็นพระซี ครั้นมาเป็นพระแล้วความทุกข์จนข้นแค้นเต็มอยู่ในหัวใจ จะเอาความสมบูรณ์มาจากไหนมาบวชเป็นพระ ไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่ได้ ฉันอาหารไม่เคยอิ่มนะ ตามตำราท่านบอกเอาไว้
ไปบิณฑบาต พระท่านทดลองทำทุกอย่างกับพระองค์นี้ เฉพาะอย่างยิ่งสมภารวัดผู้เป็นหัวหน้าวัด เอา ให้ท่านออกบิณฑบาตข้างหน้า ครั้นไปแล้วมันดลบันดาลไม่ให้เขาเห็นเสีย เขาเห็นองค์ข้างหลังก็ใส่เสีย เอามาอยู่ย่านนี้ก็อย่างว่าแหละ แบบเดียวกัน ไปอยู่สุดท้ายหมดเสียอาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด ฉันอาหารไม่เคยอิ่ม จนเรื่องราวเหล่านี้โด่งดังไปถึง พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ท่านก็เลยเตรียมอาหารมาเลย มาก็ถามว่า ไหนได้ทราบว่าท่านฉันจังหันไม่เคยอิ่มเลยตั้งแต่วันบวชมา เป็นความจริงเหรอ เพราะเหตุใด ไม่มีใครใส่บาตรเหรอ ไม่มีใครทำบุญให้ทานเหรอ มี แต่เวลามาอยู่ในบาตรมันหากสูญหายไปด้วยอำนาจของกรรม คาดไม่ได้นะ จึงไม่เคยอิ่ม
เวลาให้บิณฑบาต ไปข้างหน้าก็อย่างว่า มาอยู่สุดท้ายก็เขาใส่หมดแล้วเสีย ใครเอามาทำบุญให้ทานเต็มบาตร เวลาฉันไม่ทราบมันค่อยสูญค่อยหายไปไหน เจ้าของยังไม่อิ่มของหมดแล้วในบาตร จึงไม่เคยอิ่มวันไหน อาหารหมดในบาตรเสียก่อน พระสารีบุตรมาถามเรื่องราวอย่างนั้นแล้วก็ เอา ท่านเตรียมมาแล้วนี่ บอก เอา วันนี้จะใส่บาตรให้ ฟาดเต็มบาตรเลย พอเต็มบาตรแล้ว เอ้า ทีนี้เริ่มฉัน พระสารีบุตรจับขอบปากบาตรไว้ ฟังซิน่ะ ถ้าปล่อยขอบปากบาตรนี้มันจะหมดอาหารเหล่านั้น ต้องอาศัยบุญญานุภาพของพระสารีบุตรจับขอบปากบาตรไว้ เอาฉัน ท่านก็ฉันฟาดเสียเต็มอิ่มเลยเทียว เพราะถ้าปล่อยนี้มันหายไปหมด ไม่อิ่ม วันนั้นฉันเสียเต็มอิ่ม พอฉันเต็มอิ่มแล้ววันนั้นตายเลย คงอิ่มมากแล้วตายไปเลย หายห่วงว่างั้นเถอะนะ
ใครอยากตายแบบหายห่วงอย่างนี้ไหม ถ้าอยากตายแบบหายห่วงนี้ให้เอาแบบพระองค์นั้นนะ อย่าทำบุญให้ทาน มีเท่าไรให้กวาดให้ต้อนมา ตายแล้วให้มีแต่พระมากุสลาให้เท่านั้น สมบัติเงินทองข้าวของทิ้งเกลื่อน เจ้าของไปจมอยู่ในนรกมันเกิดประโยชน์อะไร ได้มาแล้วหาปัญญาที่จะทำการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว กิเลสกวาดไว้ในอำนาจหมดเลย ตายแล้วก็จนตรอก ๆ ไปเกิดที่ไหนเป็นอย่างนั้น แม้แต่เป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์แบบนั้น
เพราะจิตวิญญาณอันนี้ไปเกิดที่ไหนก็ออกจากจิต บุญบาปอยู่กับจิตไม่ได้อยู่กับร่างกาย ร่างกายไปด้วยอำนาจของจิต จะเข้าไปสู่อัตภาพใด ๆ ก็บ่งบอกอยู่กับกรรมที่พาให้ไปเกิด ผู้ที่มีความกว้างขวางมีความเมตตา ไปที่ไหนกว้างขวาง เพื่อนฝูงไม่อดอยาก เราก็ไม่ลืมสมเด็จมหาวีรวงศ์ที่เรายกให้เป็นพระในพุทธศาสนา เราพูดจริง ๆ นะ เราไม่ได้ประมาทองค์ใด แต่ความสนิทติดใจของเรามีอยู่สององค์ ทางฝ่ายปกครองฝ่ายปริยัติ สมเด็จมหาวีรวงศ์ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อันนี้มีเท่าไรหมด ไม่มีเหลือ ก็เราพูดให้มันเต็มยศถึงตัวเท่าหนูก็ตาม จิตใจเรามันไม่เป็นหนูนี่นะ ไปอยู่ที่ไหนสมภารวัดตระหนี่ถี่เหนียว เราอยู่ไม่ได้นะ มันเป็นอยู่ในจิตนี่นะ มันคับแคบตีบตัน หาอุบายหลีกหนีจนได้ หนีแบบสวยงามไม่ให้รู้แหละ ไปดูมันไม่เข้าท่าพูดง่าย ๆ หลบหนี
ถ้าองค์ไหนมีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ มีความเมตตากว้างขวาง ติดกัน ทีนี้ก็มาเข้าถึงสมเด็จเรานี่ ตั้งแต่ไปอยู่กับท่าน เรื่องอติเรกลาภนี้ไหลมา ไหลมาเท่าไรก็ไหลออกแบบเดียวกันเลย เปิดโล่ง ๆ แต่ไม่เห็นท่านติดหนี้ใครเท่านั้นเอง เรียกว่าทางเข้ากับทางออกเสมอกัน มาเท่าไรก็ไหลออกพร้อมกันหมด ไม่เห็นท่านติดหนี้ เพราะเราเป็นผู้ควบคุมการเงินการทอง สตางค์หนึ่งเราไม่เคยแตะ เห็นไหมเราปฏิบัติต่อท่าน เราเป็นคนควบคุมการเงิน บัญชี สำหรับเงินก็มีผู้เก็บผู้รักษา เราเป็นคนสั่งในบัญชี ท่านไม่มาเกี่ยวข้องนะ การสั่งนี้ไม่ใช่สั่งอะไรนะ สั่งเพื่อทำประโยชน์นั้นแหละ มีแต่ท่านสั่งให้ทำประโยชน์ ท่านเปิดให้เราเลย สมควรที่จะสงเคราะห์ยังไง ๆ ท่านเปิดให้เรา เราเป็นคนสงเคราะห์สงหา มันก็ถึงใจเราละซี เพราะเราตัวเท่าหนูก็ตาม แต่ใจมันก็เป็นแบบนั้นมันเบิกบาน
เราไปเรียนหนังสือที่ไหนคณะเราเต็มไปหมดนะ พระเณรเต็มคณะเรา ก็เพราะแบบนี้แหละ ได้มาอะไรไม่ว่าของท่านของเราเหมือนพ่อแม่กับลูกในครอบครัว พอมานี้รุมหมดเลย แบบพระเณรรุมกับครูบาอาจารย์มันก็เหมือนพ่อแม่กับลูก มันเป็นคนละแบบ นั่นพระเณรรุมครูบาอาจารย์ซึ่งเท่ากับพ่อของท่านใช่ไหมล่ะ ไอ้เรานี่ลูกเต้ารุมพ่อแม่ เราจะตำหนิใครไม่ได้นะ ถูกไปคนละแบบว่างั้นเถอะ คือความตายใจ พอท่านได้อะไรมานี้ เราก็เหมือนลูกรุมเลย ลูกต่อลูกแย่งกัน นี่เห็นกับเราเองนะ ได้มาอะไรฉวยมับ ๆ เอาเลย เราเฉยเราไม่สนใจ นี่เป็นอย่างนั้นนะไปที่ไหน ทีนี้เวลาไปหาครูบาอาจารย์องค์ใด ท่านคับแคบตีบตันอยู่ไม่ได้นะนี่ มันเป็นอย่างนั้นในหัวใจเรา ถ้าท่านเปิดโล่ง ๆ อยู่ได้ถึงไหนถึงกัน อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์เปิดโล่งตลอด มีเท่าไรหมดสมเด็จฯนี่ เรื่องได้มา ๆ ไม่สงสัยไหลมาอยู่ตลอด แต่ก็ไหลออกอยู่ตลอดเหมือนกัน นี่ละองค์หนึ่งที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเรา เราบอกตรง ๆ เลย อาจารย์ทางฝ่ายปกครองฝ่ายปริยัติก็สมเด็จมหาวีรวงศ์เข้ามานั่งในหัวใจเรา ฝ่ายปฏิบัติกรรมฐานก็หลวงปู่มั่น หัวใจเรานี้มี ๒ องค์
ครูบาอาจารย์ที่นั่งอยู่บนหัวใจเรามีอยู่ ๒ องค์ จนกระทั่งทุกวันนี้เป็นอยู่อย่างนั้นตลอด เราก็เห็นชัด ๆ อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์นี่ เรื่องสมบัติเงินทองข้าวของไหลเข้ามาตลอดนะ ไหลเข้ามาเท่าไรก็ไหลออกเพราะเราเป็นคนดูแล บางทียังบอกกับหมู่เพื่อน นี่ไม่กี่วันนะคอยดู เราเองเป็นคนเก็บรักษา ไม่กี่วันละคอยดูของมาก ๆ เสร็จไม่มีอะไรเหลือ แล้วสั่งนั้นสั่งนี้สั่งอย่างนั้นอยู่อย่างนั้นจนหมด เอ้าที่นี่ของเข้ามาเต็มตู้ ๆ นี่จวนแล้วนะเดี๋ยวจะเขียนสลากนะเราว่า คือเราคอยดูแลอยู่ตลอด เราปฏิบัติ สักเดี๋ยวก็เขียนสลากติดสิ่งของให้ได้เสมอกัน ให้เสี่ยงกำเอา ใครจับถูกสลากอันไหนได้อะไรก็ให้เอานั้น เรียกว่าเป็นตามบุญตามกรรม
อันนี้ก็จับสลาก เราบอกว่าไม่นานนะคอยดู ของเต็มตู้แล้วคอยดู สักเดี๋ยวหมด เราต้องได้ไปขโมยเอา นี่เราก็เป็นแบบขโมยเหมือนกัน คือเวลาท่านบอกเอาให้หมดเลยไม่มีเหลือ เราก็ขโมยเอาไปซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง คือเวลานั้นเราคิดไว้ว่าหากว่ามีเหตุฉุกเฉินจำเป็น เช่น ไฟไหม้จีวรหรือของท่านเองหนึ่ง หรือใครที่ใกล้ชิดติดพันที่ควรจะรีบจะฉวยเอามาให้ทันเวลาหนึ่ง เราจึงรีบเอาอันนี้ไปซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งเสีย ทีนี้เวลาแจกแจกหมดนิมนต์พระมาทั้งวัด แจกหมดเสร็จ พอเรียบร้อยแล้วเราก็เอาของนี้แอบไปวางไว้ในตู้ เหอ มายังไงอีกนี่ ก็ให้ทานหมดแล้วยังไม่เห็นใครเอามาให้ มันมาได้ยังไง เอาละนะดุแล้วนะที่นี่ เราก็กราบเรียนท่านด้วยความจำเป็นมีเหตุมีผล ท่านนิ่งนะ โอ๋.ที่เอาไว้นี้ ไว้เพื่อความจำเป็นเวลาเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นอะไร ๆ มันจะหยิบฉวยไม่ทัน เราว่าอย่างนั้นท่านนิ่งนะ แน่ะเห็นไหมเหตุผล ท่านไม่ได้ว่าอะไรนะ เป็นอย่างนั้น
สำหรับหลวงปู่มั่นนี้ไม่ต้องพูด หมดตลอดเลย จนกระทั่งเรายังไม่ลืมนะ อยู่หนองผือปีนั้นเป็นปีสงครามโลก พวกผ้าพวกอะไรไม่มีคนจะเป็นจะตาย เมื่อมีผ้ามาท่านจะแจกทานหมดเลย ทีนี้พวกญาติโยมเขาก็มาขอทานท่าน ท่านก็เรียกพระมาเอาของในห้องท่านนั้นแหละ คือมีเท่าไรมันก็หมด อันนั้นยังไม่ได้เอาไปแจกที่ไหน พระเณรเอาของเข้าไปไว้ในห้องท่านเสียก่อน พอประชาชนเขามาขอผ้าขออะไร เออ นี่ก็พึ่งได้มา ท่านก็เลยปุ๊บปั๊บเข้าไป เขานั่งอยู่ข้างนอก ไปหาดูผ้าก่อนนะ ท่านว่าอย่างนั้น
พอท่านเข้าไปแล้วเขาก็รุมตามเข้าไปละซิ เคยมีที่ไหนประชาชนเข้าห้องหลวงปู่มั่น เข้าใจเหรอ นั่งอยู่ศาลานี่ ท่านกั้นห้อง พอท่านเข้าห้องเขาก็รุมเข้าไปด้วย พวกผู้ชายเต็ม มาอะไร จะเอาไปให้อยู่นี่ ไปออกไป เรายังไม่ลืมนะ เขาก็หลั่งไหลมา พวกผู้ชายรุมเข้าไปกับท่านจะเข้าไปเอาของ นี่เราก็ลืม ก็มีประชาชนเข้าห้องของท่านได้วันนั้นแหละ เราไม่เคยเห็นมีที่ไหนอีก ท่านก็เอะอะขึ้นมา โอ๊ย.ยังไงนี่จะเข้ามายังไง กำลังจะเอาไปให้อยู่ ไปออกไป เขาก็หลั่งไหลออกไป นี่เรียกว่าหมด หลวงปู่มั่น ๒ องค์นี้อยู่ในหัวใจเราเราไม่ลืม เรื่องการเสียสละนี้ยกนิ้วให้เลย สมเด็จมหาวีรวงศ์หมดไม่มีเหลือ ขอให้เข้ามาหาท่านเถอะ นี่อำนาจเมตตาธรรม ทีนี้เพื่อนฝูงที่ไหน ๆ อดอยาก โอ๊ย.ท่านมีเพื่อนฝูงมากที่สุด ไม่ว่าประชาชน พระเณร พระผู้ใหญ่ผู้น้อยมีเยอะทีเดียวนั่นอำนาจแห่งความเมตตาเสียสละ สำหรับหลวงปู่มั่นเราเป็นฝ่ายกรรมฐาน นี่เรียกว่าเปิดโล่งเลยอันนี้
ส่วนปริยัติไม่คอยมีอย่างนั้นเราไม่ค่อยเห็นนะ เพราะเราเป็นนักล่าอาจารย์ เข้านอกออกในทางฝ่ายปริยัติก็ ๗ ปี ออก-เข้าทุกแห่งทุกหน ฝ่ายปฏิบัติก็ตั้งแต่บัดนั้นมา เพราะฉะนั้นถึงได้เห็นเรื่องราวทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ เข้านอกออกในได้หมดมันก็รู้ ก็ไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์องค์ใดจะเป็นเหมือนสมเด็จมหาวีรวงศ์นะ ท่านก็สวยงามธรรมดา จะตำหนิติเตียนท่านก็ไม่ได้ ก็บอกธรรมดา แต่มันไม่เด่น สำหรับสมเด็จมหาวีรวงศ์นี้เด่นมากจริง ๆ ขอแต่มีเถอะ จนกระทั่งได้พูดกัน นี่ไม่นานนะคอยดูนะ พอมีใครเขาเอามาถวายแล้วนี่ไม่นานนะคอยดู เดี๋ยวหมด แล้วหมดจริง ๆ ด้วย นี่ท่านเป็นอย่างนั้นนะ นิสัยวาสนา
นี่ละอำนาจแห่งการเสียสละทำบุญให้ทาน เราอย่าเข้าใจว่าให้ไปแล้วจะไปที่ไหน วัตถุนี้เป็นเครื่องหนุนจิตใจของเราที่เต็มไปด้วยกุศล ซึ่งเราได้บริจาคแล้วนี้ ให้หนุนเราขึ้นสวรรค์นิพพาน พ้นทุกข์คือบุญกุศล อันนั้นไม่ได้ไป เขามาถวายอะไร เช่น ศาลาปลูกไว้ก็อยู่อย่างนี้แหละ มันไม่ไปสวรรค์นิพาน ถึงเวลามันก็พังวัตถุสิ่งของทั้งหลายที่มาบริจาค พวกนี้ไม่ไปสวรรค์นิพพานนะ ใจของเราต่างหาก บุญกุศลเข้าไปหนุน บุญกุศลที่ไปบริจาคเป็นวัตถุไทยทานออกมานี้ สวนเข้ามาทันที จึงว่าเปิดกว้าง เข้าได้มากออกได้มาก เปิดแคบเข้าได้น้อยออกได้น้อย ปิดปุ๊บไม่ให้มันออกมันเลยไม่เข้า คือจะออกเสียสละก็ความตระหนี่เหนียวกั้นไว้เสียไม่ให้ออกมันก็เลยเข้าไม่ได้ เข้าใจไหม นั่นเป็นอย่างนั้น
เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างไรแล้วไม่มีอะไรผิดนะ แม่นยำทุกอย่างจึงว่า สวากขาตธรรม ไม่ผิด ไม่เหมือนกิเลส กิเลสนี้หลอกตลอดเวลา แต่สัตว์โลกก็ไม่เคยเข็ดหลาบ ต้องจมไปกับมันนั้นละ ด้วยเหตุนี้เองอยู่ที่ไหน ชาติชั้นวรรณะใดก็ตามความทุกข์บนหัวใจจะถูกบีบอยู่ตลอดเวลา มีความทุกข์เสมอกันหมด เราอย่าเอาเรื่องภายนอกนี้มาวัดนะ เอาภายในใจวัดกัน หัวใจนั้นเป็นตัวรับทั้งทุกข์และทั้งสุขอยู่ที่หัวใจ ด้วยเหตุนี้เอง ทีนี้หัวใจอะไรพาให้มันทำก็คือกิเลสเป็นเครื่องบีบบังคับ ที่คลี่คลายกันออก ชะล้างกันออกได้ก็คือศีลคือทานเรา เข้าไปชะล้าง เป็นอย่างนี้นะ
ผู้ชอบทำบุญให้ทานเป็นนิสัยกว้างขวาง เกิดเป็นสัตว์ก็เป็น มันอยู่ในหัวใจ เกิดเป็นอะไร ๆ ก็มีนิสัยอย่างนั้นตลอดมา กว้างขวางเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อนฝูงไม่ว่าแต่มนุษย์ สัตว์ทั้งหลายก็ติดพันกันไปเลย ผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนอดอยากขาดแคลนเพื่อนฝูงไม่ค่อยมี ต่างกันอย่างนี้นะ นี่ละเรื่องการว่าทาน ๆ การให้ไปเหล่านี้มันไม่ได้ไปไหน อันนี้ไม่ไปสวรรค์นิพพาน ที่เราทานมากน้อยไม่ไป บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการให้ทานด้วยของสิ่งนี้ ๆ ต่างหากเข้ามาหนุนหัวใจเราไป สัตว์ลงนรกก็เหมือนกัน ไปฆ่าเขา คนตายเขาก็ไม่ได้ไปตกนรก ตัวเจ้าของผู้ฆ่านี้ไปตกนรกนะ นั่น มันอยู่ที่หัวใจ
จึงขอให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้าเถอะ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ท่านจึงให้ชื่อว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคืออะไร คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีละพระองค์เท่านั้นจะสองไม่มีนี่อันหนึ่ง อันหนึ่งพระญาณหยั่งทราบเรื่องราวอะไรหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีเคลื่อนคลาด พระวาจาที่รับสั่งมาอะไรไม่มีสองอีกเหมือนกัน พระธรรมเทศนาที่แนะนำสั่งสอนสัตว์โลก เอกนามกึ ไม่มีสอง ฟังซิน่ะ มีแต่ เอกนามกึ ๆ หนึ่งไม่มีสอง ๆ เข้าเป็นคู่แข่ง ศาสดาของเรานี้เป็นศาสดาองค์ เอกนามกึ สอนไว้ทุกแบบทุกฉบับ ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ยังไงให้บืนให้ได้นะ กิเลสมันเหนียวมากนะ มันกล่อมมาก ความอยากไปกับกิเลสนี้ต้องอยากไปมากยิ่งกว่าที่จะอยากไปหาพระพุทธเจ้านะ แต่ให้ไป มันไม่อยากไป เอ้าพระพุทธเจ้าให้ไป มันอยากไปกับกิเลสอย่าไป
เหมือนผู้หญิงวิ่งตามผู้ชาย เข้าใจไหม ผู้หญิงรักไอ้หนุ่มแล้ววิ่งตามไอ้หนุ่ม เสียศักดิ์ศรีดีงามหมด โคตรแซ่วงศ์สกุลนั้นเสียหมด เกิดประโยชน์อะไร เมื่อเห็นพร้อมยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว จะเอาหมามาเป็นผัวเป็นเมียก็ได้เมื่อยอมรับกันใช่ไหมล่ะ ถ้ามันขัดต่อประเพณีอย่าทำ ทุกคนอย่าทำนะ เราเป็นมนุษย์สูงศักดิ์ขนาดไหน อะไรจะรักจะสงวนยิ่งกว่าศักดิ์ดีงามของคนเรา เราต้องระวังอันนี้ให้ดี
นี่เราพูดถึงเรื่องคนไม่มีราคา เช่น ผู้หญิงวิ่งตามผู้ชายไม่มีราคา หมดราคาหมดคุณค่า วงศ์สกุลเสียหมดเลย เพราะโลกเขาไม่ยอบรับ โลกเขาตำหนิ เมื่อสิ่งใดที่โลกตำหนิสังคมไม่ยอมรับแล้ว จะว่าดีขนาดไหนมันก็ไม่ดีอยู่ในหัวใจคนนั้นแหละเป็นไฟอยู่นั้น ไปที่ไหนก็เหมือนกับเอาไฟไปแตกกระจาย ๆ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมคนประเภทนั้น จึงต้องให้อยู่ในกฎระเบียบอันดีงาม ซึ่งเป็นธรรมประเภทหนึ่ง ๆ ประจำสัตว์และมนุษย์ มนุษย์เราก็อย่างที่ว่านี้ แต่งกันเป็นผัวเป็นเมียมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ด้วยขนบประเพณีอันดีงาม ก็ไม่มีใครตำหนิกัน แล้วไปทำอย่างนั้นตำหนิมาตลอด นั่นเห็นไหมล่ะ ให้พิจารณาอย่างนั้นซิ
ข้อสำคัญคือให้พากันฝืนนะ เรื่องฝืน ๆ กิเลสเพื่อทำความดีต้องได้ฝืน เบื้องต้นมันหนามาก โหย.แตะไม่ได้นะ กิเลสมันตัวสำคัญมาก กำแพง ๗ ชั้นสู้กิเลสหนาแน่นไม่ได้ ความหนาแน่นของกิเลสเหนือกำแพง ๗ ชั้น เวลามันหนาหนาอย่างนั้นนะ ไม่มีอะไรพังได้นะ ต้องเอาธรรมเข้าพัง ถ้าธรรมเข้าพังแล้วเอาได้เลย มันตระหนี่กูจะให้ เข้าใจไหม นี่ละธรรมเข้าพังกำแพง เอาจอบเอาเสียมฟาดลงไป ไม่ได้ เอารถแทรกเตอร์ไถเข้าไป สุดท้ายกำแพงทั้งกำแพงพังได้
อันนี้ก็เหมือนกัน อำนาจแห่งความหวังดีเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรม พระสงฆ์ ว่าการทำบุญให้ทาน มีบุญมีกุศลช่วยตนให้พ้นหลุดพ้นจากทุกข์ เอ้า หนุนเข้าไปพังกำแพงความตระหนี่ให้ขาดสะบั้นลงไป แล้วเรานั้นแหละเป็นผู้ที่จะหลุดพ้น ความตระหนี่ไม่พาใครให้หลุดพ้นแหละ พาให้จมเท่านั้น แต่เรานี้มันมีแต่อยากจม เพราะเชื่อมัน ไม่รู้ว่ามันจะพาไปจมละซิ เชื่อมันแล้วจมเอา ๆ ให้พากันระมัดระวัง เรานี้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนโลกสงสารเราไม่มีสงสัย เราบอกตรง ๆ สอนในธรรมะขั้นใด ๆ ก็ตาม เราสอนด้วยความแม่นยำในหัวใจเรา พูดไปแล้วไม่ผิดว่างั้นเลย เราปฏิบัติมาอย่างนี้ รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ ไม่ผิด นั่น เอาอันนี้เป็นสักขีพยาน
เราปฏิบัติยังไง ๆ ผลถึงเป็นอย่างนี้ๆ เอาเหตุคือการปฏิบัติของเราเทียบผลที่เราได้มา ได้สัดได้ส่วนจนกระทั่งเป็นที่พอใจ ถูกต้องแล้วทั้งเหตุและผล บวกกันแล้วเป็นธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วการสอนใครจะผิดไปไหน เพราะไม่สงสัยนี่ ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใด ๆ ไม่ได้สงสัย ตลอดทะลุถึงมรรคผลนิพพานก็ไม่สงสัย แล้วจะผิดไปไหนพระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบเดียวกัน เพราะธรรมะความถูกต้องแม่นยำเป็นแบบเดียวกัน แล้วท่านจะสอนผิดไปไหน ผู้ปฏิบัติตามนั้น เอ้า บืนไป ถ้าบืนไปตามพระพุทธเจ้ามันจะลงนรกอเวจีนี้ให้เห็นเสียที เราไม่เคยเห็นนะ แต่ถ้าเป็นไปตามกิเลสตัณหามีเท่าไรลงกันหมด หมดทั้งโคตรทั้งแซ่ลงไปหมด พูดอย่างนี้ให้รีบไปปิดประตูกรงให้ไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยอง ไอ้หมีเรานะ เดี๋ยวมันจะโผเผเข้ามานึกว่าชวนมันไปสวรรค์ ความจริงจะพามันลากลงนรก เข้าใจไหม ให้ไปปิดประตูมันไว้ ไม่อย่างนั้นกิเลสจะลากมันลงทั้งคนทั้งหมาหมดทั้งวัดนี่นะ เพราะเชื่อกิเลส ๆ คนเชื่อก็จมได้หมาเชื่อก็จมได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องปิดหมาเราไว้ไม่ให้มันไป ถ้ามันจะเก่งจริง ๆ ให้มันไปแต่มนุษย์เจ้าของมันเช่น หลวงตาบัว มันเก่งนักก็ให้ไปแต่มัน ให้หมา ๓ ตัวนี้ยังอยู่นี้ไว้ ไม่ให้มันไปด้วย ให้มันพอได้ชี้แจงบอกพี่น้องทั้งหลายว่า นี่เห็นไหมเจ้าของของเรา หลวงตาบัวว้อ ๆ ๆ นี่ตายไปจมนรกแล้วเพราะเชื่อกิเลส ข้านี้ไม่เชื่อข้าไม่ออกจากกรงไป ข้าจึงได้มาประกาศให้พี่น้องหลายทราบว่า หลวงตาบัวเชื่อกิเลสจมไปแล้ว เราไม่ยอมเชื่อกิเลสเรายังอยู่นี้ ให้ท่านทั้งหลายยึดเราเป็นหลักนะ ยึดเราเป็นหลักจะว่ายังไงอีก จะว่าไอ้หมี ไอ้หยอง ไอ้ปุ๊กกี้ สรณํ คจฺฉามิ ก็ได้ เข้าใจไหม เราไม่ห้ามเพราะเราไม่หลงไปตามหลวงตาบัว หลวงตาบัวหลงไปแล้วไม่ สรณํ ก็หลงไปแล้ว กับเรานี้เราไม่พาหลง เราอยู่ในกรง สรณํ ก็ สรณํ เถอะน่ะ เข้าใจไหม มีข้าวต้มขนมเอามาอยู่ในครัวมีไหม อยู่ตามบ้านหมวยเรานี้มีไหม เอามายกกัณฑ์เทศน์ให้เรา เข้าใจเหรอ เอาละพอ
สรุปทองคำ ดอลลาร์และกฐิน วันที่ ๑๑ กันยา ๔๕ ทองคำได้ ๒ กิโล ๓๕ บาท ๔๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕๒๕ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๘ กอง เงินสดได้ ๑๖ กอง รวมเป็น ๒๔ กอง รวมทองคำทั้งหมดเวลานี้ได้ ๕,๒๖๖ กิโล กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น กฐินทองคำได้ ๖๒๓ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๒ กิโล ๒๔ บาท ๓ สลึง กฐินเงินสด ได้ ๒,๕๕๕ กอง เท่ากับเงินสด ๔,๐๘๘,๐๐๐ บาท รวมกฐินทองคำและเงินสดได้ ๓,๑๗๘ กอง ยังขาดอยู่อีก ๘๐,๘๒๒ กอง ในจำนวนกฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง กรุณาทราบตามนี้
เมื่อวานนี้ตอนบ่ายดูเหมือนจะเป็นอาจารย์มหาลัยขอนแก่น เรามาลงรถเราไปธุระของเรา เอาเช็คมาถวาย บอกว่าเช็คนี้ถวายเป็นกฐิน ๑๐๐ กอง ว่างั้น แล้วเป็นเงินแสนบาท ก็เข้ากันได้นะ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|