เทศน์ก่อน ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรมาถึงวัดป่าบ้านตาด
เมื่อเย็นวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
วิสัยของธรรม วิสัยของโลก
คณะนายกฯจะมากันมากเท่าไร (ผู้ว่าฯบอกเป็นร้อยครับ) ที่จะค้างในวัดมากไหม (มากครับ) ศาลาใหญ่เราหลังหนึ่งมาสักกี่ร้อยก็มา อย่าว่าแต่ร้อยเลย สามร้อยสี่ร้อยก็มา นู่นอีกสามหลัง นี่ๆ อีก และยังบนหลังคาอีก ให้ความสะดวกทั้งหมด ถ้าใครไม่กลัวตายจะปีนไปนอนบนหลังคาก็ได้ แต่ตายแล้วเราไม่มากุสลาให้เท่านั้นเอง มันหาญไม่เข้าท่า คนอื่นเขานอนข้างล่างส่วนเราไปปีนขึ้นไปนอนบนหลังคา ตายแล้วจะ ให้หลวงตาบัวมากุสลาไม่มา คนนี้ตายผิดปรกติ
ที่อันนั้นไม่ได้ติดแนบให้นายกฯท่านอ่านบ้าง ที่หลวงตาอวดอุตริมนุสธรรม ข้อหนึ่ง ข้อสองหลวงตาเรี่ยไรหาเงินไม่ขออนุญาต และเป็นความผิดทางอาญา นักกฎหมายเขาว่างั้น เราฟังโอ๊ยขบขันสลดสังเวชนะ ถ้าหากว่ามันไม่รู้จริงๆ ก็จะมาพูดอวดตัวทำไม อย่างว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ดี ถ้าคนรู้ธรรม ได้เคยปฏิบัติต่อธรรมแล้วจะมาพูดอย่างนี้ไม่ได้เลย นี่แสดงว่าหลับตามาพูด พูดธรรมดาก็เรียกว่าขายตัวแหลกเลย
ที่สองก็ว่าเรี่ยไรเงินไม่ได้รับอนุญาต แล้วเป็นโทษทางอาญา หลวงตานี่เรี่ยไรเงินเข้าสู่คลังหลวงของเรา ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันกับ ๓๑๒ กิโลครึ่ง และดอลลาร์ได้ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ นี่ละที่ว่าเรี่ยไรไม่ได้รับอนุญาต เราเอาเข้านี้ (เขาจะพิจารณาโทษไหมครับ) เขาบอกเขาจะฟ้องหลวงตา แต่มันมีข้อแม้ พอถึงเดือนกันยาเขาจะเกษียณ มันมีข้อแม้ หาทางออก นี่ทำให้เราสลดสังเวชนะ อันนี้เป็นเรื่องที่หนักมากทีเดียว ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่หนักมากในหัวใจประชาชนผู้มีบาปมีบุญ มาพูดอย่างนี้เรียกว่าเลวสุดยอดเลย เลวร้ายสุดยอดเลยละ
เราคิดดูซิว่า พระพุทธเจ้าทีแรกท่านตรัสรู้ขึ้นมา แต่ก่อนธรรมใครมีเมื่อไร ไม่ปรากฏนะ พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วจึงได้นำธรรมสอนโลกด้วยพระเมตตาล้วนๆ ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงธรรมโปรดสัตว์โลกทั้งหลาย จากนั้นพระสาวกทั้งหลายก็เรื่อยมา ไม่ทราบว่ากี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านๆ พระองค์บรรดาสาวกที่สำเร็จมรรค ผล นิพพานแล้วนำธรรมนั้นมาสั่งสอนโลก โลกก็ได้รับผลประโยชน์ถึงพระนิพพานตามท่านไปก็มีมากมายก่ายกอง
เราไม่อยากพูดมันเกินกว่าที่จะพูดเสีย ถ้าว่าคนตายแล้วจะไปหาเอาหยูกเอายาที่ไหนมาฉีดมากิน มันตายแล้ว คำพูดทั้งสองประเภทนี้เป็นคำพูดของคนตายแล้ว ทั้งๆ ที่มีลมหายใจอยู่ แล้วจะไปแก้ไขยังไง คิดดูซิ นี่ละมันหนักขนาดนั้น มันถึงว่าตายทั้งๆ ที่มีลมหายใจอยู่ นี่หยาบสุดยอดเลยเชียว แล้วจะไปพูดอะไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันก็มีเท่านั้น เรามีแต่ปลงธรรมสังเวช จากนั้นก็พิจารณาโลกมันก็มีอย่างนั้น แน่ะ ผู้หนามี ผู้บางมี คนไข้ที่หลั่งไหลเข้าไปโรงพยาบาล หลั่งไหลเข้าไปหายออกมาอย่างรวดเร็วก็มี ช้ากว่ากันก็มีเป็นลำดับลำดา ผู้ที่ตายอยู่ในโรงพยาบาลก็มี ผู้อยู่ในห้องไอ ซี ยูก็มี
อันนี้โลกมันก็แบบเดียวกัน คละเคล้ากันอย่างนี้ ผู้หนาผู้บางไหลเข้าไหลออก หาความทุกข์ความทรมาน เหมือนคนติดคุกติดตะราง ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงมา ตกนรกหมกไหม้แล้วขึ้นมา สับสนปนเปในจิตวิญญาณของสัตว์ คนนี้เป็นคนของรัฐบาลเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา คนทำงานในรัฐบาลเป็นคนของรัฐบาล กินเงินของประชาชนจากภาษีอากรต่างๆ เลี้ยงอัตภาพร่างกายมาตั้งแต่เข้าทำราชการ เป็นคนของรัฐบาลเสียด้วย ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย คนใหญ่คนโต นี่มันน่าคิดเอามากนะ
ทองเขายังให้มาอีกนะ ทองไม่ใช่ว่ามอบเรียบร้อยแล้วเขาหยุดไปนะ เขายังทยอยให้มาอีกเรื่อยๆ ทองคำนะ ไม่หยุดไปทีเดียวตามที่เราประกาศว่ายุติแล้วการช่วยชาติ อันนี้ประกาศทั่วไปหมด แต่เขาก็ถวายมาอยู่เรื่อย ๆ ไม่มากก็มา แล้วทองเหล่านี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของเราตามเดิม คือได้มามากน้อยเพียงไรควรจะหลอมเราก็เข้าไปหลอม หลอมยังไม่พอก็เก็บไว้ในความรับผิดชอบของเรา จนกระทั่งพอแก่การมอบแล้วเราก็จะมอบ เมื่อมันมีมาอย่างนี้เราก็ต้องเก็บรักษาไว้ตามเดิม
มันมาอยู่เรื่อยๆ เพราะคนทั้งประเทศ คนหนึ่งไม่บริจาคมา เอ้าคนหนึ่งก็มา เราก็เก็บไว้เรื่อยๆ อย่างงั้น คิดว่ามันจะได้ไปอีกเรื่อยๆ ไม่มากก็จะได้ ค่อยไหลซึม เข้ามา อย่างดอลลาร์ก็เหมือนกัน ดอลลาร์ก็ค่อยมีมา เป็นแต่เพียงว่าดอลลาร์นี้จะผิดกับทองคำอยู่บ้าง คือทองคำนี้ร้อยทั้งร้อยเข้าเลย เข้าคลังหลวงทั้งหมด แต่ดอลลาร์หลังจากมอบแล้วนี้นั้นจึงไม่แน่นักคือดอลลาร์ หากว่าเงินไทยของเราที่ช่วยชาติบ้านเมืองทั่วประเทศนี้ขาดลงไม่พอ เราอาจจะเอาดอลลาร์นี้เปลี่ยนเข้าไปเป็นเงินไทยช่วยชาติก็ได้ อันนี้เราก็ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ส่วนทองคำร้อยทั้งร้อยตามเดิม ดอลลาร์นั้นมีทางแยกแยะได้
ทางวิทยุอุดรนี้แต่ก่อนตั้งแต่เรามาสร้างวัดทีแรก เขาก็แอบเปิดวิทยุที่เราพูดตอนเช้านี่ทุกเช้าๆ สถานีเดียวนะ ครั้นต่อมาขยับขยายเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ดูว่า ๙ สถานี ออกทุกสถานีและทุกวันด้วยถ้าเราอยู่ที่นี่ คือเป็นความสมัครใจของท่านเหล่านั้นเองนะ เราไม่ค่อยได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรละ พวกวิทยุพวกโทรทัศน์อะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลานี้ก็ออกทั่วโลก อย่างเทศน์นี้ตอนเช้าเขาออกทั่วโลก อินเตอร์เน็ตเขาฟัง เขาเห็นรูปเห็นร่างเราด้วยทั่วโลกเลย สหรัฐมากที่สุด ตอนเช้าคือเขาจับเวลาว่าเราเทศน์เวลาเท่าไรตอนเช้า เขาก็จับเวลาของเขาทางนู้น เช่นเรา ๘ โมงเช้า เขาก็ ๒ ทุ่ม เขาก็เริ่ม เขาฟังประจำ ถามปัญหามาเรื่อยๆ
เมืองไทยเรามันสะดวก ฟังทางอินเตอร์เน็ตได้ทั่วไปหมดเลยนะ เราก็ว่าเฉยๆ ว่าอินเตอรเน็ต เราไม่เคยเห็นอินเตอร์เน็ตมันเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ เขาพูดเขาโม้ก็โม้ไปตามเขา เราไม่เคยไปเห็นอินเตอร์เน็ตเป็นยังไงๆ ไม่เคยรู้ ในวัดนี้ก็มีเครื่องรับเขาเรียกอะไร นี่อย่างนี้ใหญ่ๆ ตั้งอยู่ทางนู้น พระท่านคอยดูแล เราเทศน์ทางนี้ ทางนี้ออกส่ง อินเตอร์เน็ตนี้ก็เป็นบริษัทชินวัตรนะมาจัดทำให้เลยนะ บริษัทชินวัตรมาทำให้เลย ก็ได้รับความสะดวกตลอดมา
ก็มีพระท่านที่ชำนิชำนาญทางนี้ ท่านทำงานหนักมากอยู่นะ เกี่ยวกับเรื่องเทศนาว่าการของเราจะเข้าที่นั่นหมด ท่านเข้าใจๆ หมด เราไม่รู้เรื่อง เทศน์เหล่านี้ใครเอาไปไหนก็ไม่รู้ เทศน์เราก็ไปกุฏิ ไม่เคยรู้เรื่องอะไรนะ ออกทางไหนๆ ก็ไม่เคยรู้ พระท่านเป็นผู้ทำงานแทน ทำงานอยู่ในวัดนี้ไม่ได้ไปไหนแหละ
ที่เราพูดนี้เราพูดอยู่ในวิสัยของโลกเราที่มีความสามารถขนาดไหน ก็ขุดค้นสิ่งที่มีอยู่มาทำประโยชน์ สิ่งที่ยังไม่สามารถแม้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี ที่ไหนที่ว่ามีก็ยอมรับกัน เพราะสามารถจะนำมาทำแล้ว เรียกว่าสิ่งนั้นมีโลกยอมรับกัน สิ่งไหนมีอยู่แต่โลกยังไม่สามารถก็ยังยอมรับกันไม่ได้ นี่คือเรื่องของโลก ความรู้ของวัฏจักร ของวัฏวน ความรู้ของโลก แต่ความรู้ของธรรมยังละเอียดกว่านี้ไปอีกมากมายทีเดียว อย่างพระพุทธเจ้านี่พระญาณหยั่งทราบปุ๊บหมดเลย พระญาณความรู้ของศาสดาองค์เอก เพราะศาสดาองค์เอกมีเฉพาะพระพุทธเจ้าของเราพระองค์เดียว
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส เปิดเผยโล่งหมด ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับความรู้ อะไรมียังไงเห็นตามความมีอยู่ๆ ทรงปฏิบัติต่อสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งเป็นวิสัยของโลกที่จะรับได้มากน้อยเพียงไรก็ทรงสงเคราะห์ไป อย่างพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรตพวกผีอย่างนี้ ก็เหมือนกันกับเรามีอยู่ทั่วๆ ไป แต่ทางมนุษย์เราไม่สามารถที่จะรู้จะเห็น จะติดต่อสื่อสารอะไรกันได้ ส่วนมากก็ปฏิเสธเสียว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี พวกเปรตพวกผี เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม จนกระทั่งถึงนรกอเวจี สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายมีนี้แหละ เป็นแต่เพียงว่าสิ่งที่จะไปติดต่อสื่อสารรับทราบกัน ให้ได้ผลประโยชน์มานั้นมันต่างกัน
สิ่งติดต่อสื่อสารก็เป็นวิสัยของปุถุชนเรา ก็ได้มาจากสิ่งที่อยู่ในวิสัยนี้มาใช้กันอย่างนี้ อย่างพูดอย่างนี้ได้ยินที่ไหนๆ แต่ก่อนเคยมีเมื่อไร แม้แต่วิทยุก็ไม่เคยมีมันก็มีมาหมด เวลานี้หายสงสัยกันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ก่อนเช่นเหาะเหินเดินฟ้ามันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้เหาะเหินเดินฟ้าหรือมันก็เป็นธรรมดาไปหมด เมื่อเขาเห็นเราเห็น เขาทำเราทำมันก็หมดปัญหาไปหมด สิ่งที่ลี้ลับเมื่อมันมาเปิดเผยกับผู้ที่มีความสามารถค้นพบแล้วมันก็ยอมรับกัน นี่เป็นวิสัยของโลก ที่เขาทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงเท่านี้นะ ที่เขายังไม่สามารถค้นพบในสิ่งที่มีอยู่นั้นก็มี แต่ยังไม่สามารถค้นพบนำมาทำประโยชน์ได้ ก็ยังไม่ปรากฏ ที่ปรากฏนี้คืออยู่ในความสามารถของเขา เขาก็นำมาใช้ให้เราเห็นทั่วหน้ากันอย่างนี้แหละ
นี่เป็นเรื่องของโลก เรื่องของธรรมนั้นเป็นอีกแง่หนึ่ง ละเอียดสุดยอดเลย จึงเอามาเทียบไม่ได้ เรื่องของโลกไปเทียบกับเรื่องของธรรมไม่ได้ ผิดกันมากมาย ธรรมเป็นวิสัยของจิต จิตนี้กับนามธรรมเข้ากันได้สนิท มันเป็นสิทธิของแต่ละชนิดๆ ในตัวของเราเองก็มีสิทธิต่างกัน ท่านจึงเรียกว่าอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์นั้นคือความเป็นใหญ่ ตาเป็นใหญ่ในทางดู หูไปแทนไม่ได้ หูเป็นใหญ่ในทางฟัง ตาไปทำหน้าที่แทนไม่ได้ จึงเรียกว่าเป็นใหญ่คนละทิศละทาง ท่านถึงเรียกว่าอินทรีย์ เข้าใจไหม ในตัวของเรามันก็ใช้ได้อย่างนี้ เป็นสัดเป็นส่วนของเรา เป็นกำลังของเรา
ทีนี้พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้านั้นไปอีก คาดไม่ได้เลย หูทิพย์ ตาทิพย์อย่างนี้เห็นหมดเลย เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สัตว์นรก ขับลำทำเพลงบนสวรรค์ชั้นพรหมทราบได้หมดตลอดทั่วถึง พวกสัตว์นรกประเภทต่างๆ ที่มีกรรมหนาบางต่างกันนี้ร้องห่มร้องไห้ทุรนทุราย เพราะอำนาจแห่งกรรมชั่วของตนนั้นละไปทรมานตน นี้ได้ยินหมด หูทิพย์เข้าใจไหม แต่หูทางโลกเราไม่ได้ยิน สัตว์นรกร้องครวญครางอยู่ในนรก เพราะฉะนั้นจึงพากันปฏิเสธได้สบายอย่างลงคอด้วยนะ อย่างเฉยด้วยว่านรกไม่มี นั่น
นี่ละวิสัยของจิตกับวิสัยของตา หู จมูก ลิ้น กายเรานี้มันต่างกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นวิสัยที่จะรับทราบสิ่งเหล่านี้ ส่วนพระญาณหยั่งทราบในด้านของธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นต้นนะ นั่นละต่างกันอย่างนั้น หูทิพย์ เอ้าจะออกทางไหน สัตว์โลกจะออกวิธีไหน ออกแง่ใด หูทิพย์จะได้ฟังหมด เสียงครวญเสียงคราง เสียงร้องห่มร้องไห้ หรือเสียงเพลิดเสียงเพลินอะไรได้ยินหมด แม้แต่เสียงสัตว์ที่มันอยู่ที่ไหนมันพูดมันคุยกันท่านก็รู้หมด
นั่นละเรื่องธรรมเป็นอย่างงั้นเหนือทุกอย่าง จึงควรเป็นที่ตายใจแก่โลก โลกจึงได้กราบไหว้ ถ้าโลกกับธรรมเสมอกันแล้วกราบกันหาอะไร เขากับเราก็พอๆ กัน เขาต้องสูงกว่าเรา ถ้าว่าความรู้วิชาก็สูงกว่า คุณงามความดี ความปฏิบัติตนก็สูงกว่าๆ มันกราบเองคนเรา มันลงเองลงใจ ถ้ามันไม่ทำให้ลง โหย จ้างก็ไม่ลง นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอ ในโลกนี้มีศาสนาเดียว เราพูดตามหลักความจริง ไม่ลบล้างศาสนาใดซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ที่ไหนศาสนามีอยู่ทั่วโลก แต่ศาสนาจะต่างกันที่ศาสนาทั้งหลายนั้นผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นคนมีกิเลส เป็นคลังของกิเลส
กิเลสถือเอาเครื่องมือเป็นโครงการของมันก้าวเดิน แนะนำสั่งสอนคนได้อย่างสะดวกสบาย เพราะกิเลสมีอยู่นั้นมันเป็นนายของคนนั้นอีกที สั่งให้ทำยังไง ชอบใจอะไรก็ว่าอันนี้ดี อันนี้เป็นบุญ อันนี้เป็นกุศล ฆ่าคนตั้งร้อยตั้งพันแล้วไปสวรรค์ได้ง่ายๆ ถ้ากิเลสมันชอบว่าอย่างงี้ ไอ้พวกที่เชื่อศาสดาของเขา เขาก็ทำตามก็จมลงนรกลงไปเรื่อยๆ มันไม่ได้ไปสวรรค์อย่างว่า เพราะเป็นโครงการของกิเลส
นี่แหละเรียกว่า ศาสนา แปลว่า คำสอน ศาสนธรรมคำที่เป็นคำสอนโดยแท้จริง ดังพระพุทธเจ้าของเรา ไม่ว่าพระองค์ใดการบำเพ็ญพระบารมีมาแบบเดียวกัน แถวแนวเดียวกันเลย ละกิเลสก็ละได้แบบเดียวกัน ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาของโลก กระจ่างแจ้งไปหมด กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีติดพระทัยเลย จึงเป็นพระทัยที่แจ่มแจ้ง อวัยวะภายในคือพระจิตนั้นจึงเป็นญาณหยั่งทราบรอบด้านไปหมดเลย พระจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นเป็นญาณหยั่งทราบไปหมด ด้วยเหตุนี้อันใดที่จะผ่านทางไหนๆ ทราบหมดๆ นั่นต่างกันอย่างนี้
ด้วยเหตุนี้พระองค์รับสั่งว่ายังไงจึงไม่มีคำว่าผิด ท่านจึงพูดไว้ในธรรมว่า เอกนามกึ คืออะไร หนึ่งไม่มีสอง แปลแล้ว หนึ่งไม่มีสอง คืออะไร คือพระพุทธเจ้า เวลาอุบัติก็อุบัติขึ้นมาทีละองค์เท่านั้น ไม่เคยมีสองเลย เป็นคู่เคียงกันมาเลย แล้วรับสั่ง อะไรก็แน่นอนไม่มีผิดพลาด พระญาณหยั่งทราบอันใดแน่นอนไม่มีผิดพลาด เรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองทั้งนั้นคือองค์ศาสดาที่บริสุทธิ์สุดส่วน จึงเรียกว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลกตลอดทั่วถึงไปหมด
นี่ละเครื่องมือของธรรม รู้รู้อย่างนี้ รู้ผิดกับจิตใจของเราทั้งหลายที่มีกิเลสรู้กันตามภาษีภาษา นี้ใครรู้ทางใดๆ ในโลกนี้เราก็สามารถนำมาใช้ตามความสามารถของเรา ที่นำมาใช้แปลกๆ ต่างๆ อย่างนี้ละแต่ก่อนก็ไม่เคยมี เหมือนหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีนะ มันมีอยู่แต่เราไม่สามารถที่จะค้นพบ เมื่อค้นแร่แปรธาตุไปต่างๆ มันก็เห็นธาตุต่างๆ กัน เอานำมาทำประโยชน์ๆ ได้เลย นี่ก็มีอยู่ ไม่มีค้นมาได้ยังไง ต้องเอามาจากของมีอยู่ นี้ธรรมะก็มีอยู่แบบเดียวกันกับวัตถุ ธรรมะก็มีอยู่อย่างเดียวกัน ไม่ผิดกัน ผู้สามารถขนาดไหน สามารถที่จะได้ธรรมมาทำประโยชน์ครองหัวใจ และทำประโยชน์ให้โลกกว้างขวางต่างกันอย่างนี้นะ เราพูดวันนี้พูดถึงวิสัยของธรรมวิสัยของโลกมันต่างกันอย่างนี้
เอาพูดเพียงเท่านี้วันนี้ เป็นที่ระลึกเอาไว้นะ อันใดไม่เห็นอย่าว่าอันนั้นไม่มีนะ เราไปเหยียบหนาม ไม่เห็นหนามก็เข้าใจว่าหนามไม่มีไปเหยียบปักเท้าแหลก ชนต้นไม้ก็ว่าต้นไม้ไม่มี ต้นไม้มันไม่เอนไปชนก็ปั๋งเลย หนามมันก็ไม่เอียง ว่าหนามไม่มี เหยียบไปตรงนั้นหนามมีมันก็ปักเอา ความรู้ความเห็นเราไม่ได้แน่นอน ความจริงเป็นของแน่ อะไรมีอยู่มีอยู่อย่างนั้น ใครไปลบล้างไม่ได้ละ
จะได้เวลาแล้ว วันนี้เทศน์ให้ฟังพอหอมปากหอมคอนะ มานั่งนานๆ ไม่ได้อะไรเป็นสาระเลยก็ไม่เหมาะ วันนี้เทศน์ให้ฟังย่อๆ พอได้เป็นคติเครื่องเตือนใจ
(ท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรมาถึงวัดป่าบ้านตาด)
ท่านนายกฯ : มาถึงค่ำหน่อย ไปแวะอำเภอเพ็ญ
หลวงตา : ไปแวะอำเภอเพ็ญเรื่องอะไรบ้างล่ะ
ท่านนายกฯ : ไปดูหนองศรีเจริญ ไปดูงานชาวบ้านที่แปรรูปพวกเนื้อหมู เนื้อวัวไปทำพวกไส้กรอก พวกกุนเชียง หลวงตาก็เบาใจปิดโครงการแล้ว
หลวงตา : เออค่อยเบาใจ
ท่านนายกฯ : หลวงตาหาเงินช่วยชาติตั้งห้าพันแปดร้อยล้าน และวันนี้จะมาขอนอนกับหลวงตา
หลวงตา : เออนอนเลย นอนไหนได้เลยละ เราเปิดโอกาสให้ นอนที่ไหนได้เลย นอนสะดวกสบาย ไม่ค่อยร้อนนักละ ระยะนี้ฝนตกไม่ค่อยร้อนเท่าไร เย็นสบายๆ
ท่านนายกฯ : มะรืนนี้จะไปนอนที่สาธารณสุขที่กันทรลักษ์
หลวงตา : โธ่ ไปหลายจังหวัด
ท่านนายกฯ : ทั้ง ๑๙ จังหวัดอีสาน ๓ จังหวัดภาคกลางกับภาคเหนือ ๘ วัน ๒๒ จังหวัด
หลวงตา : โถ ๘ วัน ๒๒ จังหวัด หนักเหมือนกันนะ หนักมากอยู่ไม่ใช่เล่นนะ
ท่านนายกฯ : ผู้ว่าฯลูกศิษย์หลวงตาของบเป็นพันล้าน ของบพัฒนาอุดร
หลวงตา : มันยังขอน้อยนะ เมืองไหนจะเป็นเมืองอดอยากขาดแคลน เมืองทุกข์เมืองจนยิ่งกว่าภาคอีสาน เรื่องขอนั้นยังขอน้อย เรายังตบอย่าไปขอมากนักหนา ที่อุดรนี้ก็ได้ช่วยหนหนึ่งแล้ว น้ำจะท่วมเมืองอุดรทั้งเมือง คราวนี้อันนั้นก็ฟังเหตุผล
ท่านนายกฯ : ครั้งนี้น้ำท่วมให้มาเท่าไรนะ ๙๐๐ ล้าน
ท่านผู้ว่าฯอุดร : ๖๐๐ กว่าล้านครับ
ท่านนายกฯ : ในเมืองไม่ท่วมแล้ว ข้างนอกยังท่วม
หลวงตา : ดีแล้ว ช่วยที่นั่นที่นี่ เราจึงว่าเสียดาย เสียดายคนดีๆ มันหาได้ยากนะ บ้านเมืองเราเจริญก็เพราะคนดีขวนขวายหามา อันนี้สำคัญมาก
ท่านนายกฯ : มากันจากจังหวัดไหนบ้าง
หลวงตา : โอ๋ยไม่ต้องถามละ ไม่ทราบว่ากี่จังหวัด จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ภาคอีสานมาหมดแถวนี้ มาหมดเลย เต็มไปหมด
ท่านนายกฯ : บรรดาผู้มากับผมไปทานอาหารได้ แต่ผมไม่ทาน อยู่วัดไม่ทานมื้อเย็น มานอนวัดมื้อเย็นไม่ทานครับ
หลวงตา : อย่างงั้นเหรอ
ท่านนายกฯ : ไปที่ใต้ไปนอนวัด สั่งอาหารจีนมาอย่างดี บอกผมไม่ทาน ผู้ติดตามผมทาน มานอนวัดพระไม่ทานก็ไม่ทาน
หลวงตา : ดี ไปนอนวัดเลยไม่ทาน เป็นยังไงหอมปากหอมคอรึยังพวกเรา จะให้พรละนะ ท่านเหนื่อยมากตลอดเวลามานี่
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|