ฝากเป็นฝากตายได้คือธรรมพระพุทธเจ้า
วันที่ 6 กันยายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

ฝากเป็นฝากตายได้คือธรรมพระพุทธเจ้า

วันนี้นับว่าคนน้อยนะ ก็ขนาดนี้ ถ้าธรรมดาจะมากกว่านี้ แล้วพวกนักเรียนหลายโรงเรียนอีกด้วยที่มาเพิ่มเข้า วันไหนเต็ม ๆ ทั้งอนุบาลก็มีนะ เมื่อวานนี้อนุบาลมาเต็มไปหมด เรายังพูดขบขัน ดูเหมือนจะติดในเทปด้วยมัง ว่าครูพาพวกเด็กอนุบาลมานี้เต็ม หัวเท่ากำปั้น ๆ กำลังน่ารักดี เราเห็นเราอยากหยอกนะ มานี้พอพูดอะไร ๆ พอสมควรแล้ว เขาอยากจะขอถ่ายภาพหลวงตา พวกเด็กเหล่านี้ คือเริ่มที่เขาจะมา เขาดูหยดน้ำบนใบบัว แล้วเขาได้เห็นหลวงตาในทีวี ได้ทราบเรื่องราวของหลวงตาแล้วเขาอยากมาดู เด็กนะ เราก็คิด ถ้าเด็กอยากมาดูก็นับว่าค่อนข้างดีมากสำหรับเด็กนะ ทำไมถึงอยากดูพระเฒ่าพระแก่ พอเห็นในหนังสือหยดน้ำบนใบบัว เห็นในทีวี แล้วเขาอยากมาดูตัวจริง เสร็จแล้วเขาอยากจะขอถ่ายรูปเรา เราก็ต้อนรับอย่างเต็มยศเลย พอเขาขออนุญาตถ่ายรูปเรา เออ เราเปิดโอกาสให้เรียบร้อยแล้ว เอ้ามาถ่าย ยกโคตรยกแซ่มา ยกหมูหมาเป็ดไก่มาถ่ายได้หมดวันนี้ เราว่าอย่างนั้น เด็กเขาก็หัวเราะ เปิดให้แล้ววันนี้ ทำไมเด็กถึงอยากดูมันน่าคิดอยู่

พูดถึงเรื่องโรงเรียนในอุดรนี้ โรงเรียนไหน ๆ มา ส่วนมากก็มัธยม เช่น อุดรพิทย์ เป็นต้น มาแทบทุกวัน เว้นวันเสาร์วันอาทิตย์ ที่เขามากันแทบทุกวันนี้คือว่า วันนี้เปลี่ยนห้องนั้น ๆ ในโรงเรียน แล้ววันนี้โรงเรียนนั้นมา ๆ เปลี่ยนห้องนั้น ๆ มา มันก็เลยไม่ขาด มาเรื่อย โรงเรียนมันหลายโรงเรียนด้วย หลายชั้นด้วย มาไม่ขาด วันนี้เห็นเบาไปไม่ค่อยมี

มาธุระอะไร ๆ กันบ้างถึงมาแวะที่นี่ (เปล่าครับ มาวัดเฉย ๆ แล้วจะไปอีกหลายวัดครับ) ไปหลายวัดไปหาเลือกดูวัด วัดไหนที่พอเป็นขวัญตาขวัญใจได้ค่อยไป วัดไหนไม่เป็นท่า โกโรโกโสแล้วอย่าไป หลวงตาบัวนี้ก็เป็นพระเหมือนกัน เลือกทั้งเราเลือกทั้งเขา เลือกพระเราเลือกพระเขาอีก เลือกมาตลอด ไปหาครูอาจารย์นี้ก็เป็นนักล่าอาจารย์เหมือนกัน สมภารเจ้าวัดเป็นยังไง ดูหัวหน้าวัดแล้วก็ดูลูกวัด ทั้งเราก็เป็นตาบอดหูหนวกแต่อยากได้ของดี เข้าใจไหม ก็หาสอดหาส่องดู ไปเรื่อย ๆ (จะไปค้างที่วัดภูวัวครับ) ไปภูวัวต้องไปภาวนานะ จะไปดูแต่พระไม่ได้ดูเราไม่ได้นะ จะไปหาดูแต่พระ เจ้าของเป็นยังไงไม่ดูไม่ได้นะ เดี๋ยวพระสวนหมัดมาตกหงายวัดภูวัวลงมา อย่าว่าหลวงตาไม่บอกนะ หลวงตาตีส่งอีกลงกรุงเทพเลย ดีวัดภูวัว

วัดภูวัวเป็นวัดที่รักสงวนของหลวงตามากทีเดียว ก็มีเท่านั้น คือวัดนี้เป็นสถานที่บำเพ็ญ เรียกว่าชั้นเอกเลย เทียบกับปริยัติเทียบกับตำรับตำราเข้ากันได้สนิท เรียกว่าสถานที่เป็นชั้นเอก เพราะฉะนั้นเราจึงส่งเสริมพระให้มาอยู่ที่นั่น ตามธรรมดาพระก็อยู่ไม่ได้มาก ทุกวันนี้อาจจะอยู่ได้ถึง ๕ องค์ ๖ องค์ เพราะมีหมู่บ้านทางโน้นอีกนะ แต่ก่อนไม่มี มีสองสามหลังคาเรือน พระไปอยู่ได้ทีละองค์สององค์ หรืออย่างมากก็ ๓ องค์ เท่านั้นเป็นประจำมา ได้ทราบแต่ว่าเป็นสถานที่ภาวนาดีมาก พอได้โอกาสเราก็ไป เพราะได้ยินชื่อของวัดนี้มานานแล้ว

พอไปลงรถแล้วก็ตระเวนเลย เข้าบนหลังเขาเที่ยวซอกแซกซิกแซ็กไปหมดเลย เป็นที่พอใจทุกอย่างไม่มีที่ต้องติ พอมาแล้วก็ประกาศป้างขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย (ท่านอุทัยประจำอยู่นั้น) บอกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านจะรับพระมากน้อยเพียงไรให้รับได้เลย ถ้าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอา มาผมจะรับเลี้ยง ผมไปดูสถานที่หมดแล้วเหมาะสมมากกับการบำเพ็ญธรรม พระที่ตั้งใจปฏิบัติดี เอ้า มาเท่าไรมา คือมาเท่าไรเราจะรับ ถ้าหากว่าเรารับไม่ได้เราจะยอม เวลานี้ยังไม่ยอม เอา มา ถ้าตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเถอะ เราหาอย่างยิ่งหาพระดี แต่พระที่มาโกโรโกโสอย่าให้อยู่ภูเขาลูกนี้ ไล่ลงให้หมดโดยด่วน แล้วเด็ดทั้งสองอย่าง

ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ ๑๐ กว่าปีมาแล้วนะที่เรารับเลี้ยงตลอดเลย พระเวลานี้ก็อยู่ใน ๓๐ กว่าเข้า ๔๐ แหละ ปีนี้ก็ดูเหมือน ๔๓ เราไม่ว่า เพราะเราเปิดไว้แล้วว่า พระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมุ่งหน้าต่ออรรถต่อธรรมจริง ๆ ให้มา มาเท่าไร เอา มา เราว่างี้เลย เราจะรับเลี้ยง เราก็รับเลี้ยงจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ส่งอาหารให้เป็นประจำ ๆ ประจำเดือน ๆ พอสิ้นเดือนก็ส่ง อย่างน้อยเรียกว่าพอดีกับพระทั้งหลาย ส่วนมากมักจะมีแต่เผื่อทั้งนั้นแหละไม่อยู่ในขั้นพอดี มีเผื่อไว้ ๆ ตลอด เพราะพระที่อยู่ตามแถวนั้นยังมี แห่งละ ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง อยู่ในป่าในเขา เวลาท่านมาก็ถวายท่านไป ๆ เปิดเลย เอ้า ทางไหนมาให้ไปเลย ผมไม่สามารถที่จะเที่ยวส่งซอกแซกได้ เพราะทางมันลำบาก ส่งในจุดเดียว เราจึงจัดไว้เผื่อ ๆ ตลอดไปเลย นี่เราสงวนมาก

ท่านทั้งหลายจะไปที่นั่นเราพอใจด้วย ให้ไปดูสถานที่ ให้ดูลึก ๆ เข้าไป ถ้าดูแต่บริเวณนั้นก็ไม่ค่อยเท่าไร ให้ดูซอกแซกเข้าไปยิ่งเหมาะ ๆ ไปอยู่ที่ไหนเป็นความสงัด ๆ รู้ตัวตลอด อย่างนั้นท่านถึงไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา พอเข้าไปในป่าความรู้สึกมันจะเปลี่ยนของมัน สติจะติดแนบกับตัว ๆ ความพินิจพิจารณาถึงเรื่องปัญญามันค่อยเป็นค่อยไป จิตก็ไม่เพ่นพ่าน จิตคุ้นต่อธรรมไม่ค่อยดีดค่อยดิ้น ทีนี้เวลาอยู่ไป ๆ มันก็ค่อยชิน ๆ จิตก็เข้าสู่ความสงบเย็น นั่น ความสุขจะเริ่มปรากฏขึ้นที่นี่นะ

เราหาความสุขแทบล้มแทบตายทั่วโลกดินแดน ไปที่ไหนเห็นแต่กองฟืนกองไฟทั่วโลกธาตุ ว่างี้เลย ไม่มีความสุขใดที่ใครจะมาจับยกขึ้นโอ้อวดว่า ความสุขเราหาแล้วหาที่ไหนไม่เจอ มาเจอที่นี่ อย่างนี้ไม่เคยมี มีแต่พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ นั่นท่านผู้เจอ เจอตรงนี้เวลาเจอ ไปเที่ยวไหนก็ไป ไปอยู่สถานที่เหมาะสมยังไงก็ตาม เหมาะสมเพื่อจะบำเพ็ญ รักษาหรือบำรุงจิตใจนี้ให้ดี เพื่อจะเอาความสุขเกิดขึ้นที่ใจ นี่ละถ้าไปอยู่ที่นั่นความสุขจะเริ่ม ความวุ่นวายทั้งหลายจะค่อยจางไป ๆ พวกนี้พวกเหล่าร้ายทั้งหลาย พวกกิเลสพวกตัวทำลาย เมื่อเข้าไปสู่สถานที่เหมาะสมในป่าในเขาอย่างนั้นแล้ว ทุกอย่างเรื่องการดำเนินของพระจะไม่เหมือนโลกนะ

การอยู่ถือเอาที่สงบสงัดที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญภาวนา การกินต้องเล็งถึงธาตุถึงขันธ์ เล็งถึงอรรถถึงธรรม เล็งถึงความได้ความเสียจากอาหาร ท่านจึงบอกว่า อาหารสัปปายะ คืออาหารเป็นที่สบาย คำว่าสบายส่วนมากจะหมายเป็นโลกนะ ส่วนธรรมไม่เป็นอย่างนั้น อาหารเป็นที่สบาย คือเวลาฉันลงไปแล้วเป็นยังไงบ้างในการภาวนา ต้องถือจุดภาวนาเป็นสำคัญ แล้วฉันอาหารประเภทนั้นประเภทนี้ที่ได้มาจากบิณฑบาตเขา ฉันแล้วสังเกตดูการภาวนา ถ้าธาตุขันธ์เบาสะดวกสบาย นี่เรียกว่าอาหารสัปปายะ การภาวนาก็สะดวก ถ้าอาหารฉันลงไปแล้วไปส่งเสริมธาตุขันธ์ แล้วส่งเสริมกิเลสไปในตัว ย่ำยีธรรมะลงไป อาหารชนิดนี้ไม่เรียกอาหารเป็นที่สบาย งด ๆ นั่นท่านสังเกตอย่างนั้น เรียกว่าอาหารสัปปายะ

การหลับนอนล้มลงที่ไหนได้ทั้งนั้น คือธรรมอย่างเดียว จุดที่ตั้งของใจคือธรรมอย่างเดียว จะอดอยากขาดแคลนอะไรไม่สนใจ สนใจแต่ธรรมอย่างเดียว ขอให้สะดวกในการบำเพ็ญธรรม ๆ นี่สำคัญ เพราะฉะนั้นการอยู่ท่านจึงหาที่อย่างนั้น เหมาะสมแล้ว การกินได้อะไรมาพอ ไม่ได้สนใจว่าอาหารหวานคาวที่เขาจะหามาถวาย มาใส่บาตรนั้นดีชั่วประการใด ท่านไม่สนใจ จะมุ่งต่ออรรถต่อธรรมโดยเฉพาะ อันนี้ก็ยกตัวอย่าง พระท่านอยู่ในป่าภาวนา เวลาครองผ้าจะบิณฑบาต กิเลสมันแย็บออกไปจากใจล่ะซี เออ วันนี้ญาติโยมเขาจะเอาอาหารประณีตบรรจงอะไรใส่บาตรเรานา คิดเท่านั้นละนะ ทางนี้ก็ตีปั๊วะเลย เหอ เจ้าของยังไม่ไปมันไปหากินก่อนแล้ว

นี่ธรรมตีนะ เจ้าของยังไม่ได้ไปเลยกิเลสมันไปก่อนแล้ว ไปกว้านเอาอาหารประณีตบรรจงจากญาติจากโยมแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ไป วันนี้ไม่ไป เปลื้องผ้าทันที หยุดไม่ไปบิณฑบาตเลย ดัดสันดานกิเลส เอ้า วันนี้จ้อกัน วันหลังต่อไปถ้ามันออกอีกไม่ไปอีก พยายามจ้อ มันก็กลัวมันตายมันก็ไม่ออกละซิ นี่มีในตำรา นั่นเห็นไหมท่านดัดของท่าน อาหารการบริโภคของโลกของสงสารเป็นประเภทหนึ่ง อาหารของธรรมนี้เป็นอีกประเภทหนึ่ง มีแต่เขียม ๆ ๆ เรื่องของธรรม เพื่อจะให้ธรรมเจริญภายในใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นอาหารการกินการใช้การสอย เขียมทุกอย่าง ไม่ยุ่ง แต่ธรรมนี้ดีด ๆ ตั้งเป็นจุดหมายเอาไว้ตลอด

การอยู่อยู่เพื่อธรรม กินเพื่อธรรม หลับนอนเพื่อธรรม การใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่าง พระกรรมฐานไม่ค่อยมีละ ใช้นั้นใช้นี้ท่านไม่มีเหล่านี้ ถึงมีท่านก็อย่างว่า มีแต่อย่างเขียม ๆ นี่ละที่เจริญธรรม ธรรมเกิดกับอาการเช่นนี้ของผู้บำเพ็ญ ธรรมจะไม่เกิดในตลาดลาดเล กระดูกหมูกระดูกวัวชุม ๆ ไม่เกิด มีแต่กิเลสมีแต่ส้วมแต่ถานเกิดทั้งนั้น เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มพระเต็มเณร ถ้าใครใฝ่ใจในทางนั้นมีแต่ส้วมแต่ถาน ใครใฝ่ใจตามทางของพระพุทธเจ้านี้จะมีแต่ความสง่างามภายในใจ สงบร่มเย็นตลอด แล้วบำรุงรักษาตลอดเวลา จิตก็ต้องมีความแคล้วคลาดปลอดภัย สิ่งที่เป็นภัยก็จางออก ๆ ระงับดับความคิดไม่ให้มันออกไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นภัย จิตใจก็เจริญรุ่งเรือง ทีนี้ความสงบเย็นขึ้นมา ความสุขจะเริ่มปรากฏแล้วที่นี่ หาทั่วแดนโลกธาตุจะมาปรากฏที่นี่นะ

จากนั้นพอสงบเย็นใจ จิตมีความแน่นหนามั่นคง ด้วยความสงบมากเท่าไร ทีนี้จิตยิ่งสง่างาม อยู่ที่ไหนเย็นสบาย ๆ มองดูอะไร ๆ นี้จิตมันสว่างรอบตัว ๆ ตามขั้นแห่งธรรม ยิ่งจิตมีความสว่างไสวด้วยสติปัญญามาก อันนี้ละเอาละที่นี่นะ จิตจะเบิกกว้างออก ๆ จิตดวงนี้ ทีแรกมันตีบตันอั้นตู้ คือกิเลสทั้งหลายมันเหมือนเมฆหนา ๆ มาปิดปุ๊บ พระอาทิตย์ทั้งดวงก็มองไม่เห็น เรามองหาพระอาทิตย์ไม่เห็น เพราะอาทิตย์นั้นถูกเมฆปิดกำบัง ทีนี้พอเมฆจางไป ๆ พระอาทิตย์ก็ส่องแสง ทีนี้จิตของเรานี้เป็นเหมือนพระอาทิตย์ พอค่อยชำระมันค่อยจางไป ๆ พวกกิเลสจึงเป็นเหมือนเมฆ จางไปจึงค่อยสว่าง ๆ สว่างไปถึงขั้นปัญญา นี่ละขั้นปัญญาใครคาดไม่ได้นะ เรื่องสมาธิคาดได้ด้วยกัน ใครเป็นสมาธิเต็มภูมิรู้หมด พอถึงนั้นแล้วเป็นน้ำเต็มแก้ว สมาธิจะให้เลยนั้นไม่เลย เหมือนน้ำเต็มแก้ว เอาน้ำที่ไหนมาเทก็ล้นออกหมด เรียกว่าน้ำเต็มแก้วแล้ว สมาธิเต็มภูมิก็แบบเดียวกัน แต่เบิกออกทางด้านปัญญา ทีนี้ท้องฟ้ามหาสมุทรแคบไปแล้วนะ มันไปรู้ไปเห็นไปหมด

นี่เราไม่ได้พูดที่ว่าเป็นแบบเดียวกันหมดนะ มันขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนา แต่เรื่องออกรู้ ๆ เต็มภูมิของตนของท่านนั่นแหละ แต่ผู้ที่มีความลึกซึ้งละเอียดแหลมคมเข้าไป ๆ อย่างนี้ยิ่งจ้าออก ๆ ๆ อย่างความรู้พระพุทธเจ้าความรู้พระอรหันต์ พระอรหันต์แม้จะเชี่ยวชาญขนาดไหนก็ตาม ขี้ปะติ๋วของพระพุทธเจ้าว่างั้นเถอะ ทีนี้ผู้เชี่ยวชาญพระอรหันต์เชี่ยวชาญ ผู้ไม่เชี่ยวชาญก็มี ความรู้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันอย่างนี้นะ แต่ยังไงก็ตามจิตนี้ครองความสุขด้วยกัน ที่จะชมในสิ่งต่าง ๆ เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่โลกทั้งหลายหูหนวกตาบอดปฏิเสธกันลั่นโลกนี้ ท่านจ้าอยู่ตลอดเวลา กับพวกตาบอดที่ปฏิเสธสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีนั้น ท่านเจออยู่ตลอดเวลา มองเมื่อไรมันก็จ้า มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วสิ่งเหล่านั้น ท่านเห็นอยู่อย่างนั้น

นี่ละ อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่ทั้งกลางวันกลางคืน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ และพระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญ ตามเสด็จพระพุทธเจ้าใกล้ชิดติดพันกันไป นี่ละถึงขั้นปัญญา ขั้นปัญญานี้เอาความแน่นอนไม่ได้เลย ไม่เคยรู้เคยเห็น มันรู้มันเห็น รู้ไปซอกแซก รู้ไปตรงไหนหายสงสัย ๆ เจอเข้าไปตรงไหนอ๋อ ๆ เรื่อย และอ๋อ ก็หมายความว่า ยอมรับแล้ว ก็กราบพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แต่เมื่อไร เราพึ่งมาเจอเดี๋ยวนี้ ๆ นั่น ความหมาย นี่ละที่นี่เรื่องความสุขจะปรากฏเด่นขึ้น ๆ ทีนี้ความเพลินในความพ้นทุกข์สำหรับผู้ที่ยังไม่พ้นก็ยิ่งเพลินเรื่อย ๆ ลืมหลับลืมนอน ทุกสิ่งทุกอย่างเพลินไปด้วยความเพียร เห็นโทษของกิเลสก็เห็นได้อย่างเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็แบบเดียวกัน แล้วพุ่ง ๆ เลย ทีนี้ปัญญาออก ออกไปหมด ทั้ง ๆ ที่แก้กิเลสอยู่นั้นนะ

กิเลสกับจิตมันก็พันกันอยู่นี้ สิ่งที่นอกจากกิเลสกับจิตก็พวกเปรต อสุรกาย พวกสัตว์นรกประเภทต่าง ๆ มันก็จ้ารอบกันไป ๆ ละซิ ก็ความรู้มันเห็นไปหมด มันแทรกมันแซงไปหมด อยู่ใกล้ก็มีอยู่ไกลก็มี มีรอบตัว พ้นความรู้ไปได้ยังไง ความรู้นี่มันจะซ่านไปหมด แล้วไม่ต้องถามใคร นี่ละท่านเรียกว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติ ปริยัติเราเรียนแบบแปลนแผนผังแต่ยังไม่รู้นะ ปฏิบัติแล้วทีนี้เหมือนกับก้าวเดินดู แล้วความรู้ความเห็นเหล่านี้เป็นสมบัติของตัวด้วยนะ ปริยัติไม่เป็น เป็นความจำเฉย ๆ เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลาเราไปปฏิบัติผลปรากฏขึ้นเป็นสมบัติของเราเป็นลำดับลำดาไป ตั้งแต่ความสงบเย็นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจ้าไปหมดนั่นแหละ

ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียธรรมพระพุทธเจ้าประกาศมา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว เป็นยังไงเปิดหูเปิดตาเรา มันลืมบ้างไหม เราอยากถามอย่างนี้นะ หลวงตาตัวเท่าหนูมันก็เปิดจ้าอย่างนี้ ไม่อย่างงั้นกล้าพูดได้เหรอ ก็มันเห็นจัง ๆ อยู่นี้ ใครไม่เห็นมันก็ไม่เคยสนใจกับใคร อะไรจะแน่นอนยิ่งกว่าเรากำอยู่ในเงื้อมมือของเรา เปิดออกเมื่อไรมันก็เห็น เขาไม่เห็นเขาจะว่ายังไงช่างเขาซิ ความรับผิดชอบทุกอย่างอยู่กับเรา สมบัตินี้เป็นสมบัติของเรา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เพียงรู้องค์เดียวเท่านั้นไม่ต้องถามใคร ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจ นี่ละเป็นอย่างนี้แหละเรื่องความรู้ทางด้านธรรมะ เป็นความรู้ที่อัศจรรย์มากเป็นลำดับลำดา

ความรู้ของโลกรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกตาบอดเขาจึงไม่ยอมเชื่อศาสนา เชื่ออรรถเชื่อธรรม ไม่เชื่อจนกระทั่งบุญบาป แล้วหาบตั้งแต่บาปแต่กรรมใส่หัวเจ้าของ ไปที่ไหน ๆ แทนที่ท่านเปิดไว้แล้วทางสวรรค์ นิพพานก็มี มันไม่ยอมไปมันโดดลงนรกอเวจี พวกเปรตพวกผีประเภทต่าง ๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ในน้ำบนบกที่ไหน สัตว์เหล่านี้ที่จะไปอยู่ไม่ได้ไม่มีนะ อยู่ได้หมดด้วยอำนาจแห่งกรรมของตัว นั้นแหละท่านถึงสอน ใครจะละเอียดลออยิ่งกว่าพุทธศาสนาของเรา ยกให้เรื่องพุทธศาสนาเอกเลย

ศาสนานอกนั้นเราไม่ยุ่ง เพราะเป็นศาสนาของคนมีกิเลส คลังกิเลส สอนไปตรงไหนก็เหมือนเราเหมือนท่าน ลูบดำกำตาไป สอนไปผิดๆ ถูก ๆ เพราะคนมีกิเลส มิหนำซ้ำก็ยังมาเข้าตัวเอง อันไหนที่ชอบใจอันนี้ถูก อันไหนไม่ชอบใจอันนั้นผิด ถึงอันนั้นจะถูกก็ตามก็ว่าผิด เพราะจิตใจมันเป็นกิเลส แต่ธรรมพระเจ้าไม่ลำเอียง รู้เห็นยังไงดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว เอียงที่ไหน ตรงแน่ว ๆ นี่ละศาสนาของผู้สิ้นกิเลส คือพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นเป็นศาสนาของคลังกิเลส ใครจะมีศาสนาใดกี่ศาสนาก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ประกาศตนเป็นหัวหน้าเฉย ๆ เป็นศาสดาเฉย ๆ แต่ความจริงกิเลสเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน จะเอาความแน่ใจ ฝากเป็นฝากตายกันได้ยังไง ส่วนธรรมพระพุทธเจ้านี้ฝากได้ตลอดไปเลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ที่รู้เห็นทุกอย่างแล้วเอามาตรัส ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้เดินตามนี้ ๆ

ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์มากนะ เป็นของเล่นเมื่อไร โลกมันไม่มองดูธรรม มองดูตั้งแต่กิเลสน่ะซิ มันถึงลำบากลำบนมากทีเดียว ยิ่งหนาแน่นขึ้นไปทุกวัน ๆ นะ สิ่งที่จะเสริมส่งให้กิเลสหนาแน่นเพื่อเอาไฟเผาโลก ยิ่งหนาขึ้นทุกแง่ทุกมุมรอบด้านเลย ข้างนอกก็เข้ามารอบด้าน ข้างในก็สั่งสมขึ้นรับกัน ๆ มีแต่กิเลสภายในภายนอกออกรับกัน เป็นไฟขึ้นมาแต่ละกอง ๆ ภายในหัวใจของสัตว์โลกนั้นแหละ แล้วก็บอกโลกนี้เจริญโลกนั้นเจริญ มันเจริญที่ไหน ถามหาตามความจริงซิ อย่าเอาความจอมปลอมมา ว่าอิฐ ว่าปูน ว่าหิน ว่าทราย เมืองไหนมันก็มี มันเจริญที่ไหน ปลูกตึกรามบ้านช่องกันไปกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ มันก็เอาไปจากอิฐ จากปูนจากหินจากทรายจากเหล็กจากหลานี้ ไปประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วก็ไปตื่นอิฐทรายหินปูนว่า บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ หัวใจมันเป็นไฟเผาอยู่ มีใครดูไหม เจ้าของเองก็ไม่รู้

ธรรมต่างหากส่องปั๊บเห็นหมด ๆ ไม่งั้นจะว่าเป็นศาสดาของโลกหรือ จะว่าเป็นโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกได้ยังไง ถ้าธรรมเสมอกับโลกแล้วหรือต่ำกว่าโลกแล้วใครจะกราบธรรมได้ลงคอ ไม่มีใครกราบได้ นี่ก็เพราะเหนือโลก ขอให้ทุก ๆ ท่านได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรมนะ ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอมาแต่กาลไหน ๆ พอเจอเข้าแล้วเท่านั้น ฟังซิว่าจนกระทั่งไม่หลับไม่นอน เพลินหรือไม่เพลินขนาดไหน ความเห็นโทษเห็นภัยในทุกข์ทั้งหลายที่เคยฝังจมกันมา มันก็เปิดขึ้น ๆ ความเห็นคุณค่าที่จะหลุดพ้นไปจากกองฟืนกองไฟนี้เสีย ก็ยิ่งเปิดขึ้นด้วยกัน ความเห็นโทษเต็มหัวใจ ความเห็นคุณเต็มหัวใจ อยู่ไม่ได้ว่างั้นเลยนะ ดีดผึง ๆ เลย

ให้มันเป็นในหัวใจใครก็เป็นเถอะน่ะ มันไม่มีหญิงมีชายแหละ เพราะกิเลสกับธรรมไม่มีหญิงมีชายอยู่กับหัวใจทุกคน ขอให้เปิดออกเถอะ เปิดออกมันจะรู้ด้วยกันเห็นด้วยกัน มากน้อยตามกำลังความสามารถของเราเห็นโดยแท้ เพราะธรรมนี้เป็นธรรมที่เปิดเผยให้เห็นความจริง พากันจำเอานะ เอ้า พูดเพียงเท่านี้เสียก่อน แล้วมีอะไรบ้างล่ะ จะไปวัดภูวัวก็ไป มันต่อเลยพอว่าวัดภูวัวนะ

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก