|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
อารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลส |
|
วันที่ 31 สิงหาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
อารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลส
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ กิโลกับ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๖๓ ดอลล์ กฐินเงินสดได้ ๑๑ กอง รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๒๖๓ กิโล กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กอง ทองคำได้ ๔๖๙ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๑ กิโล ๕๒ บาท ๑ สลึง เงินสดได้ ๒,๒๖๒ กอง เท่ากับตัวเงิน ๓,๖๑๙,๒๐๐ บาท รวมกฐินทองคำและเงินสดได้ ๒,๗๓๑ กอง ยังขาดอยู่อีก ๘๑,๒๖๙ กอง
ขยับเข้าเรื่อยพวกเรา อย่าอ่อนแอไม่ได้นะ เป็นระยะที่จะเร่งเครื่องเร่งเรื่อย ๆ เรื่องจะออมจะเบาหรือผ่อนผันมันเป็นของมันเอง แต่เร่งเครื่องมันยากอยู่นะ เมื่อวานนี้ได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องหม่อมอุ๋ยนะ น่าฟังดี เขาออกหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้เรื่องหม่อมอุ๋ยมาเกี่ยวกับเรา น่าฟังตลอด เรียกว่าทางพื้นนี้โล่ง ๆ ที่จะก้าวเดินต่อไป พื้นฐานของเราดีแล้ว ๆ เรื่อยไป มีแต่จะก้าวเดินบุกเบิกข้างหน้าไปเรื่อย ไม่ต้องห่วงข้างหลังแล้วว่างั้น ฟังอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ เดี๋ยวนี้เราเลยกลายเป็นนักหนังสือพิมพ์ไปแล้วนะ แต่ก่อนไม่เลย ตัดขาดสะบั้นเลย ทีนี้พอมาเกี่ยวกับการบ้านการเมืองก็ต้องได้ฟัง สังเกตสอดรู้อยู่ในหนังสือเป็นข่าว เพราะฉะนั้นจึงได้ฟังเรื่องหนังสือพิมพ์เรื่อย ๆ แต่อ่านไม่ได้เรื่องแล้ว ให้คนอื่นอ่านให้ฟัง
เมื่อวานนี้อ่านเรื่องหม่อมอุ๋ยกับธนาคารชาติ กับเงินของพวกเราที่มาในที่ต่าง ๆ มันไหลเข้ามา ๆ ก็รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นเหมือนกัน คือมันไหลเข้ามา ถ้าเราดูนอกๆ เผิน ๆ นี้เรียกว่าไม่มีเหตุมีผลเลย แต่มันก็ไหลเข้ามาเรื่อย ๆ มันแปลก จะปฏิเสธผลที่เห็นอยู่นี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่ามาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่มันก็มาของมันเรื่อย นี่ที่มันแปลกว่างั้น ฟังอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อคืนนี้ ก็ดีอยู่
สำหรับดอลลาร์นี้ยังไงต้องได้ ๑๐ ล้านแน่ ๆ เพราะทองคำเวลานี้ขาดอยู่ตั้ง ๔ ตันกว่า ก้าวไป ๆ กว่าจะถึง ๑๐ ตัน ดอลลาร์ที่ขาดอยู่ ๓ ล้านนี้จะต้องถึงเต็มจำนวน ๑๐ ล้านเหมือนกัน ทองคำ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน ที่เคียงข้างกันไป แต่สำหรับดอลลาร์เรายังไม่ค่อยเป็นห่วงมากยิ่งกว่าทองคำ ทองคำรู้สึกว่าเป็นห่วงมากกว่า ถ้าได้ทองคำตามจุดที่หมายนี้แล้วหลวงตาพอใจเลย เต็มเหนี่ยวในหัวใจที่เรากำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เพียบพร้อมไว้หมดในนี้ มาออกเป็นทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ออกจากนี้ไป
ถ้าได้ตามนี้แล้วเราพอใจในการช่วยชาติคราวนี้ หลับใหลไปเมื่อไรเราไม่เป็นห่วง นี่เราเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเราใน ๑๐ ตันนี้ ไม่ห่วงอันอื่น เพราะอันนี้เป็นเครื่องหมายของชาติเราอย่างสำคัญมากทีเดียว ที่ลบล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มันกำลังจะขยี้ขยำเมืองไทยเราให้จมในทะเลหลวงเมื่อ ๓-๔ ปีผ่านมานี้ มองดูอะไร ๆ เหลืองไปหมด ไม่ใช่เหลืองอร่ามนะ เหลืองเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้คนทั้งชาติ มองดูอะไรจนจะดูไม่ได้นะ เวลานี้ก็ค่อยฟื้นขึ้นมา ๆ ทุกอย่างฟื้น ๆ ทองคำเราก็ฟื้นไปค่อน ๑๐ ตันแล้ว กำลังฟื้นขึ้นมา
เราจึงพยายามจะเอาจุดนี้ให้ได้ ปักลงตรงไหนนี่ต้องเอาให้ได้ อันนี้ไม่สุดวิสัยของพี่น้องชาวไทยเราในทองคำ ๔ ตันกว่า ที่เราได้ผ่านมาแล้ว ๕ ตันกว่า ก็เพราะกำลังวังชาของพี่น้องทั่วแดนไทยเรา มาเป็นทองคำ ๕ ตันกว่าแล้ว ยังขาดอยู่อีก ๔ ตันกว่า เอาให้ได้ตรงนี้นะ หวุดหวิด ๆ หวุดหวิดเพื่อจะกำนะ ไม่ใช่หวุดหวิดเพื่อจะหลุดมือไป หลุดมือไม่ได้ว่างั้นเถอะ หลวงตาบัวยังไม่ตายจะหลุดไปไม่ได้ ถ้าหลวงตาบัวตายแล้วก็สุดวิสัย เวลานี้ยังไม่สุดวิสัย จึงต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว น้ำหนักทองคำ ๑๐ ตันเราก็ไม่เคยมีคราวนี้ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยมีที่เมืองไทยจะจมดังที่ผ่านมาแล้วนี้ ทีนี้ก็ไม่เคยมีแหละที่จะได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันมาลบล้างอันนี้ มันแก้กันตรงนี้นะ เพราะฉะนั้นเอาให้ดี
เงินสดเราที่มีอยู่ในธนาคารเวลานี้ให้ต่ำกว่า ๕๐ ล้านไม่ต่ำ จะเกินกว่านั้นอยู่ แต่ที่เราแน่ใจนั้นแน่ใจแล้วว่าจุด ๕๐ ล้าน เงินในบัญชีธนาคารนี้เราไม่เคยถอนไปใช้ในทางใดนะ ถอนออกมาปุ๊บก็ซื้อทองคำเลย จากนั้นก็เข้าในบัญชีตามเดิม ๆ อันนี้ก็รอเพื่อจะเอาซื้อทองคำ ไม่คิดที่จะดึงอันนี้ออกไปช่วยชาติบ้านเมืองทั้งหลาย เราจะเอาส่วนอื่นออก ๆ อันไหนที่เข้าในบัญชีแล้วจะไม่เอาออก เป็นความมั่นใจตลอดมาอย่างนั้น เวลาถอนก็ถอนตามนั้นเลย ไม่ถอนออกไปทางอื่น ถอนเข้าสู่ทองคำ นี้เราก็ได้เงินสดไม่ต่ำกว่า ๕๐ ล้านแหละ เวลานี้ร่อยหรอมากนะเงินโอน อันนี้เราก็ไม่ตำหนิพี่น้องชาวไทย เราตำหนิใจของเรา ตำหนิร่างกายของเรา มากกว่าที่จะไปตำหนิพี่น้องทั้งหลาย
ก็เป็นธรรมดาต้องมีพักเครื่องบ้างเป็นธรรมดา เราเองก็ไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน เราจึงไม่ตำหนิพี่น้อง ต้องตำหนิเราว่าเราไม่ค่อยเข้มแข็งตึงตังเหมือนแต่ก่อน ทีนี้พวกนั้นก็พักผ่อนนอนหลับครอก ๆ แครก ๆ บ้าง เราจึงบอกว่าเราไม่ตำหนิพี่น้องชาวไทย มันขึ้นอยู่กับเราเหมือนกัน จักรตัวหน้าจักรตัวใหญ่พาหมุนแรงหมุนเบาขนาดไหนก็อยู่กับเรา เราก็รู้สึกตัวของเราอยู่มันอ่อน ความอ่อนนั้นอ่อนยังหวังว่าจะได้นะ ไม่ใช่อ่อนเฉย ๆ นะ ยังหวังว่าจะได้อยู่ แต่เมื่อความหวังมีมากขึ้น ๆ เครื่องก็เลยต้องอ่อนบ้างพักบ้างเป็นธรรมดาเท่านั้นเอง เวลาเข้าถึงตาจนจริง ๆ แล้วจะหมุนใหญ่เลยไม่ใช่ธรรมดานะ จะให้อ่อนลงไปจากการกำหนดเรียบร้อยแล้วนั้นไม่ได้ สำหรับเงินโอนตามธนาคารก็ร่อยหรอไปเวลานี้ เราก็ไม่พูดถึงเลย ประหนึ่งว่าลืมไป มีแต่พุ่ง ๆ ใส่ทองคำเลยไม่ได้คิดสิ่งเหล่านี้ นาน ๆ ถึงจะมาสัมผัสจึงเอามาพูด
อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ให้ท่านผู้กำกับอ่านให้ฟัง เราฟังทุกกิทุกกี ดีน่าฟัง เป็นผลโดยลำดับลำดาเรื่อย ๆ อันหนึ่งที่ใหญ่อยู่ข้างหน้า อย่างอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อคืนนี้ วันที่ ๑๐ ธันวา อันนี้ก็จะรวมหัวกันหมดในงานธนาคารชาติคราวนี้ รวมกันเลย ทั้งทองคำ ดอลลาร์ เงินสด จะรวมในงานนี้อีกเหมือนกัน อ่านดูซิเกี่ยวกับเรื่องธนาคารต่าง ๆ ที่รวมกัน
ผู้กำกับ : หม่อมอุ๋ยบอกว่า มีเรื่องมากราบขอหลวงตาครับ คือปีนี้ประมาณวันที่ ๑๐ ธันวาคม ปีนี้จะเป็นปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอายุครบ ๖๐ ปี หรือจริง ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมาดวงไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเองได้เรียนถามพระอาจารย์ปิ๋วไว้ว่า ผมอยากจะนิมนต์พระสายวิปัสสนาธุระ คล้าย ๆ กับไปสวดให้เป็นสิริมงคลมหามงคลให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยสักทีหนึ่ง อย่างที่ท่านอาจารย์เคยทำให้ที่ท้องสนามหลวง อาจจะไม่ใหญ่แต่ว่าเป็นลักษณะที่เอาพระสายวิปัสสนาธุระที่ปฏิบัติแก่กล้าจริง ๆ สวดเป็นสิริมงคล คิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังต้องอยู่อีกนาน ก็อยากให้เป็นมงคล อย่าให้มีอะไรมาทำให้เสียได้ ที่ตั้งใจไว้ว่าประมาณวันที่ ๙-๑๐ ธันวาคม อันนี้ก็กราบเรียนท่านอาจารย์เสียก่อน จะมีองค์ไหนบ้างแล้วแต่ท่านหลวงตาครับ
หลวงตา : แล้วจะเอาประมาณสักกี่รูป
ผู้ว่าการธปท. : ผมก็แล้วแต่ท่านอาจารย์จะแนะนำ ท่านอาจารย์เป็นหัวเรือที่ท่านเต็มใจจะมา อย่างอาจารย์ติ๊ก ที่วัดหลวงปู่เทสก์ ท่านก็เต็มใจจะมา อาจารย์ติ๊กก็แวะเวียนมาหาเรื่อย ถ้าอย่างนั้นท่านก็เต็มใจจะมา ห้าหกสิบรูปครับถึงจะเป็นตัวเลขที่เป็นมงคลจริง ๆ
หลวงตา : แต่การสวดการอะไรให้เป็นเรื่องของพระนะ ไม่ให้เป็นเรื่องของหลวงตาเลยเถอะนะ ให้เป็นเรื่องของพระทั้งนั้นแหละ
ผู้ว่าฯ : ท่านอาจารย์ต้องเลือกท่านอาจารย์ก็ต้องอนุมัติก่อน ตัวผมเองอยู่เดี๋ยวด๋าวเดี๋ยวก็ไป ธนาคารยังอยู่อีกนานครับ ไม่อยากให้เสียหายอย่างไรเกิดขึ้นอีก ตอนนั้นขาดสติทำอะไรเสียหายกันมาก
หลวงตา : จะเอามากใช่ไหมล่ะ
ผู้ว่าฯ : แล้วแต่ท่านหลวงตาครับ
หลวงตา : หลวงตาว่าอยู่ในขนาด ๓๐ ลงมาจะเหมาะกว่า ให้พิจารณาติดต่อถามตามวัดนะ
ผู้ว่าฯ : ยังไงผมก็ติดต่อท่านอาจารย์ปิ๋วครับ แล้ววันนั้นผมจะได้เรี่ยไรทองทุกธนาคารด้วย จะเอาทุกธนาคารเลย ท่านอาจารย์ยังเดินรับบิณฑบาตอยู่ไหม
หลวงตา : เดี๋ยวนี้ไม่ออก อยู่ในวัดก็ไม่ออก แต่การบิณฑบาตหลวงตาบิณฑบาตได้นะ หลวงตาคำนึงถึงเหตุและผลได้ผลเสียของหลวงตานี้ คือหลวงตาไม่บิณฑบาต แต่ถึงเวลาบิณฑบาตหลวงตาเข้าทางจงกรม เอ้าสองอย่างนี้เทียบนะ ทางจงกรมได้ผล ไม่ใช่ว่าหลวงตาขี้เกียจนะ คือถ้าว่าหลวงตาออกไปบิณฑบาตคนรุมใส่ ตอนรุมใส่นี่บิณฑบาตไม่นานเดี๋ยวก็เวียนหัวแล้วก็เซซัดไปทางอื่นนะ นี่แหละเพราะมันเคยเป็นอยู่แล้ว ทีนี้พอถึงเวลาหลวงตาเข้าเดินจงกรม อันนี้พิจารณาโล่งทุกอย่าง ผลประโยชน์ช่วยโลกก็ได้ในขณะที่เดินจงกรม พิจารณาอะไรก็กว้างขวางเบิกบาน ในขณะนั้นก็เป็นขณะสำคัญของหลวงตา เรียนให้ทราบ ไม่เคยพูดนะ ก็มีว่าเพียงเดินจงกรมสะดวกเท่านั้นแหละ แต่เรื่องราวมันอยู่ลึกลับอยู่ภายในนี้ เวลาเดินจงกรมเป็นเวลาที่ได้ผลมากยิ่งกว่าหลวงตาไปบิณฑบาต บิณฑบาตดีไม่ดีเสียทั้งธาตุทั้งขันธ์ แล้วก็อาจจะเซล้มก็ได้นะ จึงอยู่เอาทางนี้ หลวงตาจึงไม่ไป
ผู้ว่าฯ : ท่านอาจารย์ยังดูแข็งแรงอยู่
หลวงตา : การขบฉันก็เป็นปรกติ ธาตุขันธ์กำลังวังชาก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้
ผู้ว่า : หัวใจเต้นปรกติไหมครับ
หลวงตา : ปรกติๆ
ผู้กำกับ : จบครับ
หลวงตา : นี่แหละพระทั้งหลายที่มานี้ เวลานี้ก็กำหนดไม่ต่ำกว่า ๖๑ องค์แหละนะ กำหนดไว้แล้ว ๖๑ องค์ ซ้ำเข้าอีก เพราะเราบอกว่า ๓๐ นี้เราไม่ได้บอกตายตัวนะ บอกตั้งเอาไว้เพื่อพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังเท่านั้นเอง ทีนี้ก็ไปทางหน้าแล้ว จะเป็น ๖๐ กว่าละมั้ง ประมาณ ๖๑ เรากะไว้อย่างนั้น เอาสายกรรมฐานวิปัสสนาธุระ เราเป็นผู้สั่งเป็นผู้นิมนต์เอง ใครจะว่าเอียงนั้นเอียงนี้เราไม่สนใจ เรามุ่งต่ออรรถต่อธรรมต่องานนี้เป็นอย่างมากทีเดียว อะไรที่จะเป็นมงคลเรามุ่งต่ออันนั้น ๆ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พระที่ท่านอยู่ในป่าในเขานี้เราพูดได้เต็มปาก ท่านเหล่านี้เป็นผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่างแท้จริง อยู่ที่ไหน ๆ สงบงบเงียบ มีแต่ระงับดับกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวใจ ดับอยู่อย่างนั้นตลอด ๆ เพราะฉะนั้นท่านเหล่านี้ จึงเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลได้โดยไม่สงสัย เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลที่ท่านพาดำเนินมา ผลก็ได้มาอย่างเดียวกัน
เพราะธรรมนี้เป็นธรรม อกาลิโก เสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีคำว่าเรียวว่าแหลม ตามกิเลสมันปลุกปั่นและลบล้าง ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ศาสนาสิ้นไปเท่านั้นเท่านี้มรรคผลนิพพานจะสิ้นไปหมดไป มันเป็นเรื่องของกิเลสโจมตีธรรม หากว่าธรรมจะโจมตีกิเลสบ้างก็มี ถ้าท่านทั้งหลายอยากฟังก็จะออกมาย่อ ๆ ให้ฟัง กิเลสโจมตีว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ มรรคผลนิพพานจะหมดไป ๆ สุดท้ายมรรคผลนิพพานไม่มี นี่คือความโจมตีของกิเลส ที่นี่ธรรมก็สอดรับหมัดกันบ้างว่า กิเลสนั่นน่ะ ทั้งโคตรทั้งแซ่มันเป็นกิเลสสังหารศาสนธรรมมานมนาน แล้วเมื่อไรมันจะหมดเขตหมดสมัย นี่เอาตรงนี้ ถ้ากิเลสยังไม่หมดเขตหมดสมัย การฟัดการเหวี่ยงระหว่างกิเลสกับธรรมต้องฟัดกันไปเรื่อย เอาอย่างนี้แหละ เราเอาย่อ ๆ นะ
กิเลสมันเป็นกิเลสมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มันไม่เห็นสิ้นเขตสิ้นสมัย มันไม่เห็นพูดถึงเลย แล้วทำไมมันมาโจมตีกับธรรมะซึ่งทำคนให้ดีมามากต่อมาก มันทำไมไม่ว่าตัวของมันที่ทำลายสัตว์โลกมากต่อมากมานมนาน ควรจะสิ้นเขตสิ้นสมัยไปแล้ว ต่อไปเราจะได้อยู่สะดวกสบาย ไอ้พวกเย็บเสื่อเย็บหมอนจะได้พักเข็มเสียบ้าง จะได้สบาย เพราะกิเลสตัวรบกวนมันตายไปหมดแล้ว มันสิ้นเขตสิ้นสมัยแล้ว อันนี้เมื่อกิเลสยังไม่สิ้นธรรมะก็ยังไม่สิ้น ยังฟัดกันตลอดไป
นี่ละพระที่ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านอยู่เงียบ ๆ ท่านผู้หาของดีท่านอยู่เงียบ ๆ อยู่ในป่าในเขา ๆ อย่างนั้นนะ การขบการฉันการอยู่การกิน ถ้าพูดถึงเรื่องความขาดแคลนนั้น ท่านเหล่านี้ขาดแคลนมาก แต่ท่านไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านี้ ที่หนักก็คือธรรมของท่าน หนักในธรรม จะอดอยากขาดแคลนท่านไม่สนใจ แต่สนใจในความพากเพียรที่จะให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เห็นเหมาะสมที่ตรงไหนท่านก็ไปที่ตรงนั้น ๆ ท่านบำเพ็ญมา
ด้วยเหตุนี้เอง เวลากาลอันควรที่จะเป็นมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา เราจึงเป็นหัวหน้าเอง สั่งให้ไปนิมนต์ท่านตามที่ต่าง ๆ ให้มาในงานนี้เพื่อพี่น้องชาวไทยเราจะได้เห็นความเป็นมงคลของท่านด้วย และความเป็นมงคลของเรา เวลาประสับประสานคือได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังท่านก็จะเป็นมหามงคลทั้งนั้น ๆ แก่พี่น้องชาวไทยเรา ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้นิมนต์ท่านมา ส่วนพระทั้งหลายนั้นท่านก็อยู่กลางกรุงเทพฯ แล้วแหละ ท่านเหล่านี้ท่านยังไม่เคยไป ให้ท่านมากรุงเทพฯเสียบ้าง เราเป็นคนนิมนต์เองให้ท่านมาในงานนี้ วัดไหน ๆ เราเป็นคนสั่งเสียทั้งหมด
เราได้เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริงจังในอรรถในธรรมทั้งหลายเป็นมงคลมากนะ ไม่ใช่ธรรมดา อันใดที่ไม่เป็นมงคลเราก็ทราบทั่วหน้ากันแล้ว นี้เป็นมงคลมาก ในเวลาเช่นนี้จึงสมควรที่จะนิมนต์ท่านมาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเราในงานธนาคารชาติ ซึ่งเป็นงานใหญ่โตและเป็นงานหัวใจของชาติเราด้วย จึงต้องนิมนต์ท่านมา คงไม่ต่ำกว่า ๖๑ องค์แหละ กะไว้แล้ว เพราะเราบอกไว้ ๓๐ นั้นเรากะไว้จุดศูนย์กลาง ควรจะเขยิบยังไงเราไม่ได้ผูกขาด เวลานี้เราก็พิจารณาตามเหตุผล ก็ค่อยเขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ
พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในป่าในเขาเวลานี้มีมากอยู่นะ ไม่ใช่น้อย ๆ ทางภาคอีสานมีมากก็เพราะว่า ต้นลำอันสำคัญอยู่ทางภาคอีสาน หลวงปู่เสาร์,หลวงปู่มั่น อันนี้แหละต้นลำ หรือร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่จุดนี้ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านแล้วล่วงลับไปแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการอบรมศึกษาปฏิบัติกับท่านมาตลอด เวลาล่วงไปแล้วก็เห็นประจักษ์พยาน เป็นยังไงมรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยแล้วเหรอ องค์นั้น ๆ อัฐิธาตุท่านกลายเป็นพระธาตุ ๆ นั่นฟังซิ อัฐิกลายเป็นพระธาตุนี้เรียกว่าตีตราเลย ไม่มีใครมาค้านได้ ในตำราท่านก็บอกชัดเจนว่า อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้คืออัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น นี่ก็ประกาศออกมาอัฐิกลายเป็นพระธาตุนี้คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง ๆ แล้ว นั่นสิ้นแล้วหรือสิ้นเขตสิ้นสมัย
มันนอนจมอยู่ในหมอนมันก็สิ้นเขตสิ้นสมัยละซิ มรรคผลนิพพาน มันไม่ได้สนใจ แล้วผู้ท่านสนใจท่านมีอยู่ท่านปฏิบัติก็เห็นอยู่อย่างนี้จะว่ายังไง ธรรมท่านก็บอกแล้วว่า อกาลิโก ๆ มีต้นมีปลายที่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ทำ ทั้งกิเลสทั้งธรรมเป็น อกาลิโก ด้วยกัน ใครหมุนไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟตลอดไปเลย ใครหมุนไปทางธรรมก็เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นความสงบร่มเย็นทางผลไปเรื่อย ๆ เสมอกันทั้งสอง เพราะเป็นคู่เคียงกันมาแต่ต้นแล้ว กิเลสก็มีมาดั้งเดิม ธรรมะก็มีมาดั้งเดิม ได้ชะได้ล้างกันเรื่อยมาอย่างนี้ จึงไม่มีอะไรที่จะว่าหนักกว่ากัน นอกจากผู้จะนำมาปฏิบัติตัวเองจะหนักไปทางไหน ถ้าหนักไปทางกิเลสผลของมันก็เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ถ้าหนักไปทางธรรม ผลของธรรมก็เป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมาทั่วหน้ากันไม่ว่าหญิงว่าชาย นักบวชและฆราวาส เหมือนกันหมด เพราะธรรมท่านไม่ลำเอียง นี่ละให้พากันจำเอาไว้นะ
เรื่องมรรคผลนิพพานอย่าไปถาม อย่าให้กิเลสหลอกนะ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ใครไม่ประดิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ เพราะธรรมเป็นหลักธรรมชาติ กิเลสก็เป็นหลักธรรมชาติ มันเกี่ยวข้องกับจิตใจของผู้ใด ๆ ผู้นั้นจะแก้หรือถอดถอนหรือส่งเสริมทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ก็เป็นเรื่องของผู้นั้นเอง ผลก็จะปรากฏขึ้นตามนั้น จะให้อันใดอันหนึ่งกาลสถานที่เวล่ำเวลามาบีบมาบังคับให้หมดเขตหมดสมัยทั้ง ๆ ที่คนทำดีทำชั่วมีอยู่อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ การทำนั้นเป็นการผลิตผลขึ้นมา ทางชั่วก็ผลิตผลทางชั่วขึ้นมา ทางดีก็ผลิตผลทางดีขึ้นมา การทำของโลกยังมีอยู่ ผลดีผลชั่วต้องมีตามการกระทำดีชั่วนั้นแหละ
เราอย่าให้กิเลสหลอกนะ เวลานี้กิเลสกำลังเป็นศาสดาองค์เอกเต็มหัวใจสัตว์โลกไม่มองดูธรรมเลยนะ เห็นอรรถเห็นธรรมเหมือนผ้าขี้ริ้ว ไม่มีคุณค่ามีราคา ถ้าเห็นกิเลสแล้วเหมือนทองคำทั้งแท่ง ๆ กว้านเข้ามาแล้วก็มาเผาเราเสีย ๆ อย่างนี้ละมากนะเวลานี้ ศาสนาห่างไปเท่าไร ห่างจากหัวใจคน หัวใจคนเข้าใกล้ชิดติดพันกับฟืนกับไฟคือกิเลสตัณหามากเข้า ไปที่ไหนมันมีแต่ความเดือดร้อนนะ นี้พูดจริง ๆ เราไม่ได้ประมาทโลก หัวใจดวงนี้มันก็เคยมายังไง ก็เห็นกันอยู่ตั้งแต่ต้นนั้น เวลามันเปิดออก ๆ ด้วยการบำรุงรักษาในทางที่ถูกที่ดี ผลก็ค่อยปรากฏขึ้นมา ๆ จนกระทุกวันนี้หายสงสัยหมดแล้ว เรื่องบาป เรื่องบุญ นรกสวรรค์ เราไม่มีแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย หมอบกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบอย่างนี้เอง
สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบคือรับรองหมดเลย ตั้งแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน เรื่องบาป เรื่องนรกก็ดี ฟาดลงถึง นรกอเวจี จริงตลอด พูดฝ่ายชั่วจริงตามนั้น พูดฝ่ายดีจริงตามนั้น ตามที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้แล้วด้วยพระญาณของพระองค์ จึงไม่มีที่คัดค้านต้านทาน มีแต่หน้าที่ของเราจะพยายามแก้ไขดัดแปลง ไอ้เรื่องความทุกข์ความทรมาน เพราะความดีดความดิ้นของกิเลสฉุดลากไปนี้ เป็นมานานนะ ควรจะเข็ดหลาบบ้าง ควรจะเอาธรรมเข้ามาเทียบเคียง มาแก้มาไขดัดแปลงกันบ้าง จะได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ความหวังของเราก็จะเริ่มมีขึ้น
เดี๋ยวนี้ไม่มีนะ หวังเฉย ๆ แต่สิ่งที่จะสมหวังไม่เห็นมันมีนะ มีแต่ความผิดหวัง ๆ โลกทั้งโลก โลกอยู่ด้วยความผิดหวัง เพราะกิเลสสร้างความผิดหวังทั้งนั้นให้สัตว์โลก ที่จะสร้างความสมหวังให้โลกนี้ไม่มี นอกจากธรรมอย่างเดียว สร้างแต่ความสมหวัง ทำมากทำน้อยได้ตามความมุ่งหมาย ๆ สมหวังเป็นลำดับลำดาไป คือธรรม กิเลสทำให้หมดหวังไปเรื่อย ๆ ใครดิ้นมากเท่าไร หวังมากเท่าไรผู้นั้นยิ่งจะจมมากกว่าเขา อย่าเข้าใจผู้นั้นจะครองบ้านครองเมืองด้วยบรมสุข เอาไปแข่งพระพุทธเจ้าในพระนิพพานเลย อย่าไปคิดนะ ไม่มีอะไรจะแข่งละ มีแต่ไฟนรกที่จะเผาหัวมัน
ระยะนี้เป็นระยะที่พวกเราทั้งหลายจะได้รู้เนื้อรู้ตัว เรื่องอรรถเรื่องธรรมเกิดขึ้นมาในย่านนี้แหละ เราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ได้ร่วม ๕ ปีนี้แล้วนะ จะเต็ม ๕ ปีแล้ว พอถึงเดือนมกราคม เต็มแล้วนะ ๕ ปี เพราะเราเริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราฯ จนกระทั่งเมษาฯ ถึงประกาศออกมาว่า เป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายนะ มันเริ่มไปตั้งแต่เดือนมกราฯ แล้ว นี่ก็จวนจะถึงเดือนมกราฯ จะถึง ๕ ปี เราก็ได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไม่สงสัยในธรรมทั้งหลายที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย
แล้วไม่มีการทบการทวน เทศนาว่าการหนักเบามากน้อยเพียงไร จะพูดเด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ ขนาดไหนหรือนิ่มนวลขนาดไหนก็ตาม เป็นสิ่งสำเร็จรูปออกมาพอดี ๆ ๆ ผู้ทำขนาดไหนพอดีขนาดนั้น ไม่มีการทบการทวนว่า นี่เห็นจะหนักไปเห็นจะเบาไป หรือว่ากว้างไปแคบไป ไม่มีในหัวใจเรา ออกอันไหนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เป็นที่แน่ใจ ๆ ตลอดในธรรมทุกขั้น
การสอนพี่น้องทั้งหลายเราไม่ได้สอนแบบงู ๆ ปลา ๆ เราปฏิบัติมาก็อย่างนั้น เอาแบบเอาแผนตำรับตำราและ ครูบาอาจารย์กางแล้วก้าวเดิน ๆ เห็นผลประจักษ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งประจักษ์หัวใจแล้ว ทีนี้แผนเป็นแผน ธรรมเป็นธรรม บ้านเป็นบ้าน แปลนเป็นแปลนแล้วที่นี่ แปลนก็อยู่แปลน บ้านก็อยู่บ้าน ธรรมเป็นแบบแปลนแผนผัง ความดิบความดีทั้งหลาย จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ออกจากแปลนคือธรรมที่สอนไว้แล้วทั้งนั้น เมื่อปฏิบัติเต็มหัวใจแล้ว ธรรมท่านก็เป็นธรรมตามตำรับตำรา ธรรมแท้อยู่ที่ใจ หมดปัญหาอยู่ที่ใจ เมื่อธรรมได้เข้าถึงใจแล้วหมดปัญหาไปโดยลำดับ ถ้าอยู่ตามแบบแปลนแผนผังยังไม่หมดปัญหานะ ยังทำให้สงสัย ๆ พอดึงธรรมนั้นเข้ามาในภาคปฏิบัติเข้าสู่หัวใจแล้ว ปรากฏเป็นผลขึ้นมาหายสงสัยเป็นลำดับ ๆ เอาจนกระทั่งหายสงสัยเต็มที่หมดปัญหา
นี่ละธรรมที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้สอนด้วยความสงสัยสนเท่ห์ ลูบ ๆ คลำ ๆ นะ เราสอนด้วยความแน่ใจทุกอย่าง แล้วไม่มีคำว่าการทบทวน อย่างที่เราเทศน์นี้ เขามาอ่านให้ฟัง อ่านให้ฟังเราก็ฟังไป เราไม่เคยแก้แม้ตัวเดียวไม่เคยมีนอกจากว่าผู้ฟังจากเสียงเทศน์หรืออะไรนั้น ฟังผิดไปอย่างนี้นะ ว่าคำนั้นผิดมันก็สะดุดกึ๊กทันที คือฟังเสียงนี้ผิดไปอย่างนี้ เช่น สมมุติเราว่าบอกพูดว่ากลับไป มันพลิกไปว่ากลับมาเสียอย่างนี้ มันไม่ใช่กลับมา กลับไป นี่แก้อย่างนี้เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ผิด ผู้ฟังไปเข้าใจเสียงผิดไป เช่นว่า ให้ไป ทางนั้นมาเขียนบอกว่า ให้มา อย่างนี้เข้าใจไหม มันก็รู้ชัดเจน ไม่ได้เขียนบอกว่าให้มา ให้ไปนะ ก็รีบแก้ทันทีเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มี
เราไม่มีการทบทวน ไม่ว่าจะเทศนาว่าการต่าง ๆ ไม่ว่าการโต้ตอบประเภทใดก็ตาม เราไม่เคยไปทบทวน ดีใจเสียใจเป็นกังวลกับคำโต้คำตอบเทศนาว่าการว่าหนักไปเบาไป เราไม่มี พูดออกไปไม่ว่าธรรมะขั้นใดพูดไปพร้อมหายไปพร้อม ๆ สมบูรณ์ไปพร้อมแล้ว ๆ แล้วการปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน เราก็ไม่ได้มาทบทวน เมื่อถึงขั้นเต็มที่ของมันแล้วทบทวนหาอะไร ก็มันเต็มอยู่ในนั้นแล้ว ก็อย่างนั้นแหละ ธรรมที่ออกมาจากหัวใจที่เต็มอยู่ด้วยธรรมอยู่ในนั้นแล้วก็เป็นแบบเดียวกัน ออกมาในธรรมขั้นใดก็เต็มเปี่ยม ๆ ด้วยความจริงทั้งนั้น ไม่มีหลอกมีลวง เจ้าของไม่สงสัย
นี่ก็ได้สอนพี่น้องทั้งหลายได้ ๕ ปี แล้วนะ เป็นแกงหม้อใหญ่สอนตลอดมา ท่านทั้งหลายหาศาสนาหาที่ไหนอยากถามอีกทีหนึ่งนะ ตั้งปัญหาถาม ให้ท่านทั้งหลายไปถามเจ้าของอีกนะ นี่หลวงตาตั้งปัญหาขึ้นให้ตอบ ศาสนานี้หลวงตาบัวตัดคอรองพี่น้องทั้งหลาย ตัดคอรองพระพุทธเจ้ามาเป็นอันดับแรกแล้ว ด้วยความเชื่อความเคารพสุดยอดแล้วกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สุดยอดแล้ว นี่ก็มาสอนพี่น้องทั้งหลายอีกด้วยความเชื่อมั่น มาสอนด้วยความแน่ใจ แล้วทีนี้ผู้ฟังเป็นยังไง หรืออะไรก็สู้ถังมูตรถังคูถไม่ได้เหรอ อยู่ที่ไหนเวลาไหนก็อยู่ในถังมูตรถังคูถ เป็นยังไงถังมูตรถังคูถ มันก็มีแต่หนอนอยู่ในนั้น มีของวิเศษวิโสที่ไหน ฟังซิ เราคิดบ้างซิ ตายทิ้งเปล่า ๆ เกิดประโยชน์อะไร
ใครรับรองเราทุกคนที่เกิดมาอยู่ด้วยกันนี้ มีมากมีน้อยทั่วโลกดินแดน แม้แต่สัตว์เขาก็รับรองตัวของเขาเอง ทีนี้เรารับรองเราเราจะรับรองแบบไหน สร้างความชั่วช้าลามกไว้เผาตัวเองให้จมลงไปอย่างงั้นเหรอ การรับรองรับรองอย่างนี้เหรอ หรือเราจะรับรองหาคุณงามความดีแก้ไขดัดแปลงสิ่งไม่ดีให้ดีขึ้นๆ จนเป็นที่พอใจแล้ว ไปเมื่อไรไปเถอะ นี่คำรับรองมี ๒ ประเภท ให้เลือกพินิจพิจารณาเสียแต่บัดนี้นะ เราอย่าเป็นคนยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าศาสดา กิเลสมันตัวยิ่งใหญ่ มันยกทัพไปตีหัวพระพุทธเจ้าตลอดเวลา อยู่ในหัวใจเรานี้แหละ มันออกจากหัวใจมันก็ไปลบล้างธรรม ๆ ท่านว่าให้ขยันมันก็ขี้เกียจเสีย มันก็ลบล้างกันอย่างนี้ ให้มีความขยันหมั่นเพียร ก็ขี้เกียจเสีย ท่านบอกให้ไปทำบุญ โอ๊ย.ไปหาตกปลาดีกว่า นั่นมันก็ไปอย่างนั้นเสีย นี่ละมันลบล้างธรรม มันอยู่ในหัวใจของเรานะ เราต้องแก้ก็ได้พูดแล้ว
เมื่อวานหรือวันไหนเรายังไม่ลืม คำว่าธรรมกับกิเลสอยู่ในใจดวงเดียว เป็นอารมณ์ขึ้นมาเหมือนกัน อารมณ์หนึ่งมันรบเร้าเราเป็นลำดับลำดาจนกระทั่งฉุดกระชากเราไปตามอำนาจของมัน เป็นอารมณ์ของใจที่อยากทำนั้นอยากทำนี้ อยากดูอยากเห็นอยากได้ยินได้ฟังอยากทำ ซึ่งเป็นสายทางของกิเลสทั้งนั้นๆ เราก็ทำไปตามมัน นี่เรียกว่าอารมณ์ของกิเลส กิเลสเป็นอารมณ์ออกมาผลักดันออกมา ให้อยากรู้อยากเห็น อยากได้ยินได้ฟัง อยากทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย แต่เป็นทางของกิเลสมันก็อยากทำ นี่เรียกว่าอารมณ์ อันนี้เรียกว่ากิเลส มันอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน อีกอารมณ์หนึ่งพลิกกันนะ อยากสร้างคุณงามความดี อยากทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ละชั่วทำดี นี้คืออารมณ์อันหนึ่งภายในใจ มันเกิดขึ้น นี่เรียกว่าธรรม
ทีแรกได้บังคับนะ อารมณ์ของธรรมโงหัวไม่ขึ้น กิเลสเหยียบเอาไว้ ๆ เราต้องพยายามปลุกขึ้นมาเรื่อย ๆ พอปลุกขึ้นมาหลายครั้งหลายหน ทีนี้โงเง ลุกขึ้นได้ตั้งไข่ได้ ตั้งไข่ได้ก็นั่งได้เหมือนเด็ก จากนั้นก็คลานได้ จากคลานก็ลุกเดินได้ เด็กก็วิ่งได้ นี่ฝึกหัดอยู่ตลอดเวลา จิตใจเราฝึกอย่างนี้แบบเดียวกัน อย่าให้มันดีดผึงเป็นจรวดดาวเทียมทีเดียวไม่ได้นะ ต้องดีดต้องดิ้นเสียก่อน นี่เรียกว่าธรรม อารมณ์อันหนึ่งอยู่ในใจ ทีนี้เวลาเรานำภาวนาเข้ามากำกับใจ เช่น พุทโธ หรือ ธัมโม เป็นต้น นี่ก็เรียกว่าอารมณ์ของธรรมเข้าแนบกับใจ รักษาใจ เมื่อใจได้รับอารมณ์ของธรรมอยู่ตลอดไปแล้ว ใจจะค่อยฟื้นตัวขึ้นมา ๆ สงบร่มเย็น เพราะอารมณ์ของธรรมเข้ากล่อมจิตใจ ไม่ได้เหมือนอารมณ์ของกิเลสกล่อมแล้วเป็นฟืนเป็นไฟ นั่นผิดกัน นี่เรียกว่า ธรรม
เมื่อเวลาอบรมหนักเข้า ๆ มันก็มีความซึมซาบ มีความดูดดื่ม มีความเย็นภายในใจ แล้วประจักษ์อยู่ภายในตัวเองว่าจิตนี้สงบ จากสงบแล้วมีความสว่างไสว นี่รู้อยู่ในใจนะ ไม่ต้องหาใครมาถาม จิตเป็นนักรู้อยู่ในใจของเรา แต่เวลากิเลสมันปิดไว้รู้ก็รู้ไปทางกิเลสเสีย เวลาธรรมเปิดขึ้นมาแล้วมันก็รู้ไปทางธรรมดูดดื่มไปทางธรรม ทีนี้ก้าวเดินเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าธรรม อารมณ์ของธรรมเป็นอย่างนี้ ทีนี้อยากทำตั้งแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี อยากแก้กิเลสตัณหา อยากหลุดพ้นจากทุกข์ อยากเรื่อย ๆ ความอยากนี้เป็นมรรค ไม่ได้เหมือนกิเลสพาอยาก กิเลสพาอยาก อยากเพื่อจม นี่เป็นความอยากของกิเลส จำเอานะ
คำว่าธรรม ๆ มีอยู่ที่ไหน ให้สังเกตดูหัวใจของเรา มันมีอารมณ์กล่อมใจขึ้นมา ๒ อย่าง อารมณ์กล่อมไปทางกิเลส ท่านเรียกว่ากิเลส อารมณ์กล่อมไปทางด้านธรรมะเพื่อจะพาเราให้ดี เรียกว่าอารมณ์ของธรรม กล่อมใจไปทางชั่วช้าลามกให้ล่มให้จม นั้นเป็นอารมณ์ของกิเลส ๒ อย่างให้เลือกเอา ดูในหัวใจของเรา เอาละ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละนะ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|