ต่างคนต่างมีธรรมแล้วจะสงบร่มเย็น
วันที่ 25 สิงหาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

ต่างคนต่างมีธรรมแล้วจะสงบร่มเย็น

สรุปทองคำและดอลลาร์ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๕ บาท ตอนเย็นมาอีก ๑๐ บาท รวมเป็น ๑๕ บาท ดอลลาร์ ๑๔๐ ดอลล์ กฐินเงินสดได้ ๓๐ กอง ทองคำไม่ได้ กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กอง ทองคำได้แล้ว ๑๐๙ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๒๗ บาท ๑ สลึง เงินสดได้แล้ว ๑,๘๘๔ กอง เท่ากับเงิน ๓,๐๑๔,๔๐๐ บาท รวมกฐินทองคำและเงินสดได้ ๑,๙๖๓ กอง ยังขาดอยู่อีก ๘๒,๐๓๗ กอง

บ้านเมืองของเราและตัวของเราแต่ละคน ๆ ที่จะมีความสงบร่มเย็น มีความแคล้วคลาดปลอดภัย มีใจเย็นสงบสุข ต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับใจของเราตัวของเรา แล้วกระจายออกไปหาส่วนรวม ให้ต่างคนต่างมีธรรมภายในใจ คำว่ามีธรรม ขึ้นต้นก็สติธรรม ให้มีความระลึกรู้ตัวในการเคลื่อนไหวของตัวเป็นยังไง ๆ นี่เรียกว่าธรรม พอตั้งสติลงปั๊บ ความรู้สึกจะมีอยู่รอบตัว ทีนี้ปัญญามาไขก๊อก สติที่รวมตัวอยู่แล้วก็กระจายไปทางด้านปัญญา โดยมีสติควบคุมเป็นแขนง ๆ ของปัญญาไป นี่เรียกว่ามีธรรมประจำตัวประจำใจ ความเคลื่อนไหวไปมาอะไรนี้ จะบ่งบอกอยู่ในสติที่ไขก๊อกมาแล้วกระจายเป็นปัญญา

ปัญญานี้เป็นตาข่าย มันจะมาผ่านตาข่ายของปัญญาให้ได้พินิจพิจารณาผิดถูกชั่วดี ๆ นี่เรียกว่าตาข่ายของปัญญาให้ระลึกรู้ชั่วดี มันจะรู้ได้ทันทีอะไรผิดถูกชั่วดี แล้วมันจะแยกตัวๆ ออกไปจากสิ่งที่เป็นภัย แล้วก้าวเดินตามช่องตามทางที่เป็นคุณไปเรื่อย ๆ ประจำตัว ๆ นี่เรียกว่ามีธรรมประจำตัว แล้วมีความแคล้วคลาดปลอดภัยสงบร่มเย็น ในครอบครัวของเราก็ต้องถือพ่อบ้านแม่บ้านเป็นสำคัญ ลูกมีตั้งแต่จะตามรอยพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เป็นบุพพาจารย์ เป็นผู้พร่ำสอนก่อนอื่นก่อนใครทั้งนั้น ตั้งแต่การเลี้ยงดูมา แล้วพร่ำสอนมาเป็นหลักธรรมชาติ ครอบครัวหนึ่ง ๆ พ่อกับแม่นั้นแลเป็นกระดานดำอันใหญ่โต เด็กจะได้อ่านทุกวี่ทุกวัน จากนั้นก็ผู้เกี่ยวข้องเลี้ยงดูเด็ก ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กในครอบครัว ก็ให้ต่างคนต่างมีข้อสังเกตสอดรู้ตัวเองด้วยความมีธรรมในใจ ตามขั้นภูมิของวัยเป็นลำดับลำดาไป

ทีนี้เด็กก็จะได้ความรู้จากพ่อจากแม่ไปปฏิบัติตนเองทุกครอบครัว ถ้าเรามีความสนใจต่อธรรมอย่างนี้ด้วยกัน เช่นเดียวกับเราสนใจกับกิเลสมาดั้งเดิมแล้ว เราจะเห็นฤทธิ์ของอรรถของธรรมปราบกิเลส คือความรุ่มร้อนวุ่นวายในครอบครัวและตัวของเราลงเป็นลำดับ ๆ กลายเป็นความสงบสุขร่มเย็นขึ้นมา นี่ท่านเรียกว่าธรรม ให้พากันจำเอาไว้ เช่นอย่างงานการบุญการกุศลนี้ก็ออกมาจากจิตใจ การบุญการกุศลนี้เกี่ยวข้องกับทางด้านวัตถุ คือมนุษย์เราอยู่ร่วมกัน ต้องปรับปรุงความรู้สึกคือจิตใจของแต่ละคน ๆ เข้าหากัน ไม่ถือรั้นอย่างเดียว ทิฐิมานะ เย่อหยิ่งจองหองพองตัวด้วยความรู้วิชาฐานะหรือชาติชั้นวรรณะ นี่เป็นเครื่องกระทบกระเทือนกัน ให้ระมัดระวังอย่านำมาใช้ ให้นำแต่เหตุแต่ผลที่จะปฏิบัติคนให้ดีทั่วหน้ากันมาใช้ นี้เป็นมหามงคลแก่ชาติไทยของเรา

เพราะต่างคนต่างคิดเพื่อตัวเองและก็เพื่อชาติของตัวเอง อยู่ในกรอบแห่งความให้อภัยซึ่งกันและกัน เห็นใจกัน มนุษย์แต่ละราย ๆ แม้แต่สัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านของเรา เขาก็ดูกิริยาอาการของเจ้าของเหมือนกัน ถ้าเจ้าของวู่วามเฆี่ยนตีเขา เขารู้สึกไม่สบายใจ จิตใจเหี่ยวห่อเหมือนกัน เราดูซีหมาเราพอถูกเฆี่ยนนี้วิ่งเข้าไปหลบซ่อนอยู่ใต้เตียง เขาไม่ออกมาเพ่นพ่าน จิตใจเขาจะมีระมัดระวังตามฐานะของสัตว์ กิริยาที่แสดงออกต่อกันจึงเป็นของสำคัญ

ถ้าเราต่างคนต่างมีความสนใจในธรรมที่เลิศเลอมาดั้งเดิมแล้ว จะสงบฟืนไฟที่เราเคยนับถือมันมาอย่างฝังใจ โดยไม่มีคำประกาศอะไรแหละ เราถือพุทธนี่ยังมีประกาศบ้างไม่ประกาศบ้างว่าถือพุทธศาสนา เรียกว่าถวายตัวเป็นพุทธมามกะ ถือพระพุทธเจ้าเป็นสมบัติอันล้นค่าของเรา เรามักประกาศกันอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่เรื่องที่ฝังใจเป็นภัยอยู่ในใจของเรานั้นไม่มีใครคิดนะ นี้ละตัวภัยที่แทรกและทำลายศาสนาในตัวของเราเองให้เสียไปในเราทั้งคน คืออันนี้เอง โลกไม่ได้มองเห็น โลกไม่ได้ดู

คราวนี้เป็นคราวที่หลวงตามานำพี่น้องทั้งหลาย จึงเปิดออกให้รู้เรื่องรู้ราว การที่จะเปิดออกนี้เราก็ไปเปิดพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า ที่บรรดาท่านผู้มีความเห็นการณ์ไกลท่านจดจารึกออกมา ให้บรรดาลูกเต้าหลานเหลนได้สืบทอดมา เราก็อ่านตามพระไตรปิฎกนี้แหละมา เรื่องราวจึงค่อยกระจายออกมาถึงดีถึงชั่วเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องกิเลสคือสิ่งเป็นภัยก็อยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ท่านตำหนิเอาไว้ ๆ เป็นขั้น ๆ ของภัย ทางธรรมเครื่องลบล้างสิ่งเหล่านี้ท่านก็บอกไว้เป็นขั้น ๆ ของธรรมเหมือนกัน ธรรมเครื่องลบล้างหรือชะล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในตัวของมนุษย์และสัตว์นั้นแหละ แต่สัตว์ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว จึงทำไปตามประสาก็ไม่มีใครถือสีถือสา จะไปได้รับความทุกข์ความลำบากก็ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์กันเหมือนมนุษย์ มนุษย์เรามีธรรมจึงต้องนำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณา นี่ก็เรียนเข้าไปในพระไตรปิฎก เรียนออกมา ๆ แต่เจตนาก็รู้สึกว่า ไม่ใช่ชมเจ้าของ มีเจตนาดีมาตั้งแต่เริ่มอ่านประวัติของพระพุทธเจ้า

เบื้องต้นไม่รู้เรื่องรู้ราวแหละ ไปบวชก็บวชอย่างนั้นแหละ ท่านว่าให้ทำยังไง ๆ ก็ว่าอย่างนั้น ทีนี้มันมีนิทานแทรกเข้ามาแต่เราไม่พูด มันจะลืมเรื่องราวที่จะพูดต่อไป ถ้ามีนิทานแทรกเข้ามานี้ลืมไปเลยนะ นี่เดี๋ยวนี้มันก็จะเริ่มลืมแล้ว มันเร็วนะความลืมเดี๋ยวนี้ ค่อยอ่านอันนี้เข้าไป ค่อยซึมซาบเข้าไป ๆ เจตนาหรือความรู้สึกของจิตใจนี้ค่อยหมุนเข้าสู่ธรรมเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่าการศึกษาเล่าเรียน การอบรมในทางที่ถูกที่ดีเป็นสิริมงคลแก่เราอย่างนี้ เหมือนเราไปศึกษาในทางชั่วมันก็เป็นมหาภัยต่อเราเป็นลำดับไปเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงให้หมุนเข้าหาคุณ หาหยูกหายาที่ชำระโรค มันเต็มอยู่ทุกคนนั้นแหละโรค ให้เสาะแสวงหายา อย่ากินตั้งแต่ของแสลงนัก ของแสลงคือเรื่องความผิดความพลาดนั้นแหละ สั่งสมไว้ด้วยกันทุกคน ๆ ไม่มีใครสำนึกคิดถึงเลยว่ามันเป็นภัย

ทีนี้เวลาเราได้อ่านอรรถอ่านธรรมศึกษาเล่าเรียนไป ก็ค่อยเริ่มรู้สึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนมีความสนใจหนักแน่นในมรรคในผลเข้าไปเรื่อย ๆ ขึ้นมา อ่านไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นชัดเจน ธรรมพระพุทธเจ้าลงตลอด ๆ ท่านว่าตรงไหนนี่เราผิดมาแล้วนี่ สะดุดเจ้าของ อันนี่เราเคยผิดมาแล้ว ๆ ๆ คำว่าเคยผิดมาแล้วเราจะพยายามแก้เรา ความหมายว่าอย่างนั้นนะ ก็เรื่อยมา จนได้ออกปฏิบัตินี้ ทีนี้ค้นละเรื่องราว ค้นกิเลส ท่านสอนกิเลสอยู่กิเลสอยู่ที่ไหน อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เป็นต้น ที่ประกาศป้างขึ้นมา เราไม่อยากจะพูดว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้นะ ว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลยว่างั้นเถอะ พอเราเข้าไปผางนี้ออกมาทันทีเลย ไม่ทราบเป็นอะไร หรือจะเป็นเทวทัตเข้าไปบุกท่านก็ไม่ทราบ ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายเข้าไปท่านก็ไม่ค่อยอะไรนัก เราเข้าไปนี้ผางทันทีเลย ไม่ว่าอะไรหลวงปู่มั่นกับเรานี้จะไม่อ่อนข้อนะ ถ้าเกี่ยวกับอรรถกับธรรม

แม้ที่สุดคุยกันธรรมดานี้เป็นฐานะพ่อกับลูกนะ คือความรักความสนิทสนมกลมกลืนความเทิดทูนของเราสุดหัวใจทุกอย่าง อยู่กับท่านหมด เวลาท่านคุยออกมาก็รับกันได้เป็นความเมตตาของท่าน นี่คุยกันธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกัน พอหมุนทางด้านธรรมะนี้ผางทันทีเลยทุกครั้ง หลวงปู่มั่นกับเราไม่มีอ่อนข้อ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วผางออกมาทันที นี่ละที่ไปได้ความสะดุดใจอย่างถึงใจออกมา ไปก็ชี้เลยทีเดียว เราไม่ลืมนะ ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ขึ้นเลยนะ ท่านมาหาอะไร ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส แน่ะขึ้นเลยนะ จากนั้นก็กระจายออกไปทั่วโลกดินแดน ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส เรียกว่าไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ย่นเข้ามา ๆ กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ในใจว่าอย่างนี้นะ ไม่ได้อยู่สถานที่นั่น ที่นั่นเขาไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นกิเลสตัณหา มันเป็นขึ้นที่หัวใจของเรานี่แหละ ให้ดูตรงนี้นะ ใส่เปรี้ยง ๆ

ก็คนหนึ่งตั้งใจไปศึกษาอย่างเต็มหัวใจว่างั้นเถอะ พูดคำไหนมันก็เข้าผาง ๆ ๆ เอาให้หนัก ขึ้นเลยเทียว จิตตภาวนาเป็นสำคัญที่จะบุกเบิกเพิกถอนสิ่งที่เป็นภัยและเป็นคุณขึ้นมาให้เห็นประจักษ์ใจ สำคัญคำนี้นะ มันจะบุกเบิกเพิกถอนขึ้นมาจากจิตตภาวนา ท่านขึ้นจิตตภาวนานะ ไม่ขึ้นที่อื่น เอาให้หนักว่างั้นเลย จากนั้นพอเวลาท่านเอาเต็มเหนี่ยวแล้วก็ท่านก็มีลักษณะปลอบโยนนิดหน่อย เราไม่ลืม เรียกว่าเต็มเหนี่ยวแล้ว ถึงใจเราทุกอย่างแล้ว

แล้วท่านก็ปลอบโยนนิดหนึ่ง นี่ท่านมหาก็นับว่าเรียนมาพอสมควรจนได้เป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้ธรรมที่ท่านเรียนมามากน้อยยังไม่เป็นประโยชน์ ให้ท่านยกบูชาไว้เสียก่อน ให้ท่านหมุนเข้าทางภาคปฏิบัติให้หนักแน่น เฉพาะจิตตภาวนาสำคัญมากทีเดียว ในระยะนี้ไม่อยากให้ท่านไปเกี่ยวข้องกับปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อย เพราะตามนิสัยของผู้เคยศึกษามา พอภาคปฏิบัติไปช่องไหน ๆ มันจะวิ่งไปคิดไปเทียบไปเคียงกับปริยัติที่เรียนมาถูกหรือผิด ๆ อะไรเหล่านี้จะทำให้ล่าช้า ให้เป็นความกังวล เวลานี้ให้ท่านพักไว้ทั้งหมด ที่ท่านเรียนมามากน้อย ให้ท่านหมุนใจในภาคปฏิบัติ เอาจิตตภาวนา เวลานี้ไม่ต้องการอะไร ทางปริยัติยกไว้ เรียนมาแล้วไม่สูญหายไปไหนอยู่กับเรานั้นแหละ แต่เวลานี้เราจะเอาภาคความจริงขึ้นเป็นสักขีพยานกันกับปริยัติที่เราเรียนมาให้เป็นที่แน่ใจ ทางด้านจิตตภาวนานะ

เอ้า ทำไงจิตจะสงบเอาลงให้แน่วนะ ทำให้จิตสงบในภาคพื้นเสียก่อน อย่าไปเกี่ยวข้องกับปริยัติที่เรียนมามากน้อย มันจะเป็นข้าศึกคือมาเตะมาถีบมายันกัน ระหว่างความสงสัยกับสิ่งที่เราหาความจริง มันจะไม่ได้ความ ท่านก็เรียนมาพอสมควร นี่ละที่ว่าอย่าว่าผมประมาทนะ ให้พักปริยัติไว้เสียก่อน ให้หมุนเข้าทางนี้ ทีนี้ต่อไปเมื่อภาคปฏิบัติเกิดผลขึ้นมาแล้ว เรื่องปริยัติกับปฏิบัตินั้นเอาไว้ไม่อยู่ นี่เราก็ไม่ลืมนะ มันจะวิ่งถึงกันเลยท่านว่า ภาคปฏิบัติรู้ยังไงเห็นยังไงนี้มันจะวิ่งใส่ปริยัติเอามาเป็นสักขีพยาน ทดสอบซึ่งกันและกันไปโดยลำดับลำดา เมื่อถึงภาคปริยัติจะเกิดประโยชน์กับภาคปฏิบัติบวกกันแล้วจะเป็นอย่างนี้ แต่เวลานี้ยังไม่จำเป็นทางภาคปริยัติ นำเข้ามาก็คละเคล้ากันแล้วก็จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนิน เกิดข้อข้องใจสงสัย ก้าวเดินไม่ได้สะดวก ท่านว่าอย่างนี้นะ เราก็จำไม่ลืม ๆ

ให้เน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา เมื่อจิตมีหลักมีเกณฑ์เข้าไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นปัญญาแล้วระหว่างปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งประสานกันเลยทีเดียวเอาไว้ไม่อยู่ นี่สำคัญเอาไว้ไม่อยู่ เป็นจริง ๆ พอถึงขั้นมันรู้แล้วมันใส่กันจริงๆ โอ๋ย ยอมรับหมด มันวิ่งเองนะ มันรู้ขึ้นมาอย่างนี้ๆ ปริยัติท่านว่ายังไงเอามายืนยันกัน ๆ มันวิ่งประสานกัน นี่ละท่านสอนอย่างนั้นแล้วก็เต็มหัวใจ เรื่องมรรคผลนิพพานแม้กิเลสจะมีเต็มหัวใจก็ตามแต่หายสงสัย ว่ามรรคผลนิพพานในพุทธศาสนาของเรานี้เต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง เป็นปัญหาอยู่แต่ผู้ปฏิบัติตามหรือไม่มากน้อยเพียงไรเท่านั้นเอง จึงได้ลงใจ นี่ละจึงออกปฏิบัติ

ทีนี้ก็สรุปความลงเลย ออกปฏิบัติตามที่ท่านว่านี้ แล้วทีนี้ความรู้ความเห็นมันก็เป็นขึ้นในใจอย่างที่พูดนี้ละ เป็นขึ้น ๆ ความรู้ความเห็นเกิดขึ้นทั้งด้านธรรมะเครื่องสังหารกิเลสก็ปรากฏว่าทำลายกันไปเรื่อย ๆ คุณธรรมอันนี้ก็สูงขึ้นเรื่อย คล่องแคล่วว่องไว สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร คล่องขึ้นโดยลำดับ นี่เครื่องปราบปรามกิเลส กิเลสก็ค่อยอ่อนตัวลง ความรู้นี้ก็กระจ่างออก ๆ มันก็วิ่งใส่ปริยัติ ๆ ประสานกันอย่างนี้ตลอด นี่ที่ท่านพูดผิดไหมล่ะ เวลาเกิดประโยชน์เกิดอย่างนี้แหละท่านว่า จากนั้นจึงว่าเอาเต็มเหนี่ยวเลย ธรรมะที่สอนไว้ด้วยสวากขาตธรรม เปิดโล่งหมดในหัวใจนี่ พุ่งเข้าถึงความจริงดังพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านรู้มา

เราไม่ได้วัดรอย การดำเนินตามร่องรอยอันเดียวกัน จะไม่ถึงจุดหมายปลายทางแห่งเดียวกันจะไปไหน เช่น เราเดินจากบ้านตาดมาวัดป่าบ้านตาด ต่างคนต่างเดินมาขึ้นรถมาก็ตาม ผู้ช้าผู้เร็วมันก็มาถึงวัดป่าบ้านตาดจนได้ด้วยกันนั้นแหละ อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้ช้าผู้เร็วก้าวเดินตามสายทางสวากขาตธรรม ที่จะไปจุดหมายปลายทางมันก็ก้าวเข้าถึง ช้าเร็วต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น ก็เข้าถึง ๆ เวลาเปิดเข้ามานี้ สิ่งที่ไม่เคยรู้มันก็รู้ สิ่งไม่เคยเห็นมันก็เห็นขึ้นมาภายในจิตใจ เพราะอะไรมันถึงไม่เห็นแต่ก่อน กิเลสปิดเอาไว้ ปิดเอาไว้ไม่ให้เห็น สิ่งใดที่มีเต็มโลกเต็มสงสารมันก็ไม่รู้ไม่เห็น เพราะกิเลสปิดเอาไว้ ๆ เวลากิเลสค่อยเปิดออก ๆ ด้วยอำนาจธรรมชะล้าง ๆ ออกไปค่อยสว่างไสวออก ความรู้ความเห็นนี่กว้างขวางลึกซึ้งลงไปเป็นลำดับลำดา สิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้ก็เห็น

คือสิ่งเหล่านั้นมีมาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์จะว่าอะไร ไม่ใช่มีมาขณะที่จิตเปิดออกไปรู้กันนะ อันนั้นมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าจิตไม่เห็น เวลาถูกปิดบังด้วยกิเลสตัณหา ปิดบังอย่างนั้นเองปิดบังจิตใจ ปิดบังบาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก มีแต่กิเลสปิดบัง ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ พระพุทธเจ้าเปิดแล้วถึงได้นำสิ่งเหล่านี้มาแสดงให้พวกเราทั้งหลายฟัง ท่านเห็นแล้วมาเปิด ทีนี้เวลามันเปิดออกมาๆ ก็อย่างนี้แหละ ออกมาจนจ้าหายสงสัย ดังที่เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ นั้นละธรรมนี้ที่ออกมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เห็นโทษของกิเลสก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็ถึงใจเหมือนกัน นำออกมาสอนจึงไม่สงสัยว่าอันไหนจะผิดไป ไม่ว่าฝ่ายต่ำฝ่ายสูง บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่สงสัย สอนด้วยความจริงใจทุกอย่าง

ฉะนั้น ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความจริงใจทุกอย่างนะ ผู้พูดผู้เทศน์นี้ไม่ได้ปฏิบัติมาด้วยความเหลาะแหละ รู้ด้วยความเหลาะแหละ แล้วการเทศน์มาเทศน์ด้วยความเหลาะแหละเราไม่เป็น ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายก็ได้บอกแล้ว รู้เห็นขนาดไหนก็พูดมาเป็นลำดับ จนกระทั่งหายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรที่จะมาข้องหัวใจให้เป็นเสี้ยนเป็นหนามต่อจิตใจต่อไปอีกเลย หมดโดยประการทั้งปวง มีแต่ธรรมเปิดโล่งออกตลอดเวลา นำธรรมที่เปิดโล่ง มาให้พี่น้องทั้งหลายได้ก้าวเดินตาม เพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยของตัวเองเป็นลำดับลำดา ตามกำลังความสามารถที่จะเป็นไปได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

ต่างคนถ้ามีธรรมเข้าไปแทรกในจิตใจแล้วจะระลึกตัวรู้ตัวได้นะ ถ้าไม่มีธรรมแล้วใหญ่ขนาดไหนก็มีแต่กิเลสเสกสรรปั้นยอให้ลืมตัว ๆ หลงตัวไปเรื่อย ๆ ที่จะให้รู้ตัวไม่มีแหละ เรื่องกิเลสจะทำสัตว์โลกให้รู้ตัวไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้นทำให้สัตว์โลกรู้ตัว เมื่อมีธรรมแล้วผู้เรียนมากเรียนน้อยชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม อยู่ในจิตใจ จิตใจมีความรักใคร่ใฝ่ธรรม แล้วจิตใจก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ๆ โดยลำดับลำดา ก็รู้สึกและรู้เรื่องความรับผิดชอบตัวเอง ความรับผิดชอบตัวเองคือระวังตัวละซิ วันหนึ่ง ๆ มีการระมัดระวังตัวจนเป็นความเคยชิน นี่เรียกว่ามีธรรมประจำใจแล้ว ไปที่ไหนก็ไม่ค่อยเดือดร้อน ยิ่งเรามีธรรมในใจแล้ว ความรักใคร่ใฝ่ธรรมนี้ยิ่งหนักขึ้น จิตใจแต่ละคน ๆ จะอยู่กับอรรถกับธรรม สิ่งภายนอกจะค่อยจางไป ๆ เพราะอรรถธรรมนี้เป็นที่พึ่งที่ตายตัวตั้งแต่ขณะที่สัมผัสเข้าไป เป็นที่ตายใจ ๆ โดยลำดับ

สิ่งเหล่านั้นเราไม่ได้ตายใจกับมัน ได้เงินมาเป็นล้าน ๆ วันนี้ดีใจวันหน้าเสียใจ เงินจมไปแล้วด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ไม่รู้ แต่อรรถธรรมที่เข้ามาสู่ใจ ๆ ด้วยความพากเพียรของเราวันนั้นจมไปแล้วนี้ไม่ค่อยมีและไม่มี นอกจากลืมตัวแล้วจะทำให้เสื่อมในทางความพากเพียรนอนใจไปเสียนี้เสื่อมได้นะ ในขั้นเริ่มแรกเสื่อมได้อย่างนี้ และขั้นที่ไม่เสื่อมก็มีอีก แน่ะ เป็นขั้น ๆ ขึ้นไปของธรรม

ธรรมเมื่อได้ค่อยพยายามขึ้นไป ธรรมก็จะมีกำลังแก่กล้า เราก็จะมีหลักมีเกณฑ์ ทั้งภายในใจก็มีที่ยึดที่เกาะคือธรรม ภายนอกก็มีวัตถุสิ่งของเงินทอง ไร่นาสาโท มีบริษัทบริวาร ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทองข้าวของเราก็มี เราก็อาศัยไปตามสภาพนี้เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ภายในเราก็มีจิตใจกับธรรมเป็นเครื่องเกี่ยวเกาะ ยึดพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ คนนั้นไม่เดือดร้อน ดังธรรมที่ท่านสอนว่า

อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ

ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต

ผู้ที่มีปกติทำคุณงามความดีเป็นประจำนิสัยแล้ว อยู่ในโลกนี้ก็ชุ่มเย็น ไปโลกหน้าก็ชุ่มเย็น เขาย่อมมีความชุ่มเย็นด้วยการคิดว่าคุณงามความดีเราได้ทำไว้แล้ว เขามีความชุ่มเย็นตลอดไป แล้วไปสู่สุคติย่อมมีความชุ่มเย็นยิ่งขึ้น นั่น

นี่ละพุทธภาษิตพระพุทธเจ้าแสดงเป็นอย่างนั้น แล้วตรงกันข้ามท่านก็มีอีก ๒ ภาษิต คนทำชั่ว นี่ท่านยกเอาพระเทวทัตมานะ

สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ

ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ.

จากนั้นก็

อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ

ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต.

เอาเรื่องพระเทวทัตออกมา เวลานั้นพระอานนท์เข้ามากราบทูลว่า เวลานี้พระเทวทัตได้แยกตัวจากพวกเราแล้วไปเป็นศาสดาองค์ใหม่ขึ้นมา เรียกว่า สังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกจากกันแล้ว พระเทวทัตได้ประกาศออกมาให้ข้าพระองค์ทราบเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาทูลพระองค์ พระองค์ก็ทรงปลงธรรมสังเวช เอ้อ ขึ้นตรงนี้ละนะภาษิต ท่านว่า เอ้อ สุกรานิ อสาธูนิ ขึ้นเลย กรรมทั้งหลายที่ไม่ดี ทั้งไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย กรรมใดแลที่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย ดีด้วย กรรมนั้นทำได้ยากอย่างยิ่ง นี่เป็นภาษิตวรรคที่หนึ่ง

วรรคที่สอง อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ กรรมชั่วเมื่อทำลงไปแล้วก็จะเกิดตั้งแต่ความเดือดร้อน อยู่ในโลกนี้ก็เดือดร้อน ไปโลกหน้าก็เดือดร้อน เขาย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง คือโลกนี้แลโลกหน้า ด้วยความรู้สึกนั้นมันเตือนเจ้าของว่า กรรมชั่วเราได้ทำไว้แล้ว ละจากโลกนี้แล้วไปสู่ทุคติก็ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้น นี่เป็นภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยถือพระเทวทัตเป็นต้นเหตุ นี่ละคนทำความดีอยู่ที่ไหนก็อบอุ่น อยู่ในโลกนี้ก็อบอุ่น ไปโลกหน้าก็อบอุ่น เพราะความดีได้ทำไว้แล้วในโลกทั้งสอง ทีนี้คนที่เกิดความเดือดร้อนก็เพราะทำความชั่วไว้แล้ว โลกนี้ก็ทำเต็มเหนี่ยว โลกหน้าก็มีแต่ความเสวยทุกข์เวทนา หาความดีไม่มีเลย ยิ่งมีความทุกข์ยิ่งขึ้นท่านว่า

ให้เราจำเอาคำนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แล้วเป็นพระสำคัญเสียด้วย พระเทวทัตมาแสดงเป็นคติตัวอย่าง กระเทือนวงพุทธศาสนาไปหมดเลย แต่นี้พระเทวทัตของเราท่านรู้ตัวนะ พอถึงกาลเวลาแล้วก็มาทูลขอขมาพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิงว่าผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงให้อภัยโทษ พระองค์ก็รับสั่ง เอ้อ มานี้ก็ไม่ได้พบเราแหละ จะมาถูกแผ่นดินสูบที่นั่น มาก็มาถูกแผ่นดินสูบที่หน้าพระเชตวัน ยังเหลือแต่คางกรรไกร ก็เลยเอาคางกรรไกรทูลถวายพระพุทธเจ้า บูชาขอขมา พระองค์ก็ทรงยิ้มรับว่า เอ้อ เธอถึงจะตายในชาตินี้แล้ว เธอก็ยอมรับกรรมของเธอที่ทำแล้วนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เธอยังจะมีเงื่อนต่อในกาลต่อไปถึงคุณมหาศาล

คุณมหาศาลคืออะไร เธอพ้นจากนรกเพราะกรรมชั่วของเธอที่ทำไว้แล้วนี้ แล้วเธอจะได้เกิดต่อไปนั้นจะได้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อ อัฏฐิสาระ อัฐิ กระดูก สาระ กระดูกเป็นแก่นสาร ชื่ออัฏฐิสาระพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นั่นละสุดท้ายเธอก็เป็นธรรมทั้งแท่งเช่นเดียวกัน นี่พระเทวทัตท่านเห็นโทษของท่านนะ แล้วพวกเราได้เห็นโทษของเราหรือไม่ล่ะ หรือวันนี้ได้ดุกับแฟนยังไม่ถึงใจ ไปเตรียมท่ามาอีกวันหลังฟาดมันใหม่อย่างนั้นเหรอ นั่น มันเคียดแค้นแบบนั้นใช้ไม่ได้นะ ให้เห็นโทษนะ ต้องเห็นโทษแก้โทษ เจ้าของผิดตรงไหนให้แก้ตัวเอง ๆ แล้วจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้พระเทวทัตจะตกนรกถึงขั้นมหาอเวจี ยังสามารถขึ้นมาได้ไปเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้โดยสมบูรณ์ การแก้ไขตัวเองเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่แก้ยังจะจมไปอีกไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์

เราก็ให้พยายามแก้ ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นที่รื่นเริงบันเทิงไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็ให้พยายามรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อธรรมแทรกเข้าไปในจิตใจของเราแล้ว ให้นำไปคิดพินิจพิจารณา แล้วก็จะเกิดผลแก่เราขึ้นไปจากการพลิกตัวให้เป็นคนดี จากความชั่วทั้งหลาย เราจะเป็นคนดีไปเรื่อย ๆ

นี่ละธรรมที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายมันได้เปิดกว้างออกแล้ว ไม่มีอะไรสงสัย การสอนโลกเราไม่ได้สอนด้วยความสงสัย ใครจะเชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องของเขาต่างหาก ความเชื่อในทางที่ถูกที่ดีเป็นคุณของเขา ความไม่เชื่อเป็นโทษของเขาเอง เราไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่ได้ไปแบกหามเอาสิ่งดีสิ่งชั่วของเขา เราทำอะไรเราก็เป็นของเราไปเรื่อย ๆ กรรมของใครเป็นของเรา ใครจะว่าอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เพราะฉะนั้นอย่าพากันเดือดร้อนในเรื่องราวทั้งหลาย ให้ดูตัวเองที่จะทำกรรมและขนเอาผลกรรมมาเผาตัวเองนี้สำคัญมากกว่าอื่น ใครจะดีจะชั่วขนาดไหนเราก็ดูเป็นธรรมดาในฐานะมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน แต่อย่าถือเป็นข้อหนักแน่นยิ่งกว่าสังเกตดูตัวของเราในความเคลื่อนไหวไปทางดีทางชั่ว ให้สังเกตตัวนี้ดีกว่าไปสังเกตคนอื่น ให้จำอันนี้เป็นสำคัญมาก

หลวงตาที่ทำประโยชน์ให้โลกอยู่นี้ พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ในท่ามกลางแห่งความนินทาสรรเสริญ แล้วเราก็เท่ากับหนูตัวหนึ่ง จะเก่งกว่าศาสดาไปไหน ถึงจะไม่ถูกตำหนิติฉินนินทา มันต้องถูกโดยดี เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็เชื่อในอรรถธรรมพระพุทธเจ้าโดยไม่หวั่นไหวเหมือนกัน ใครจะว่าอะไร ๆ เราก็ไม่เคยสนใจ การสร้างความดีเป็นความดีตลอดไป ต่อผู้ใดต่อโลกใดก็ตาม จะเป็นประโยชน์แก่โลก เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม จะเป็นทั่วถึงกันไปหมด การทำความดีนะ การทำความชั่วก็แบบเดียวกัน เป็นสมบัติของใครของเรา ใครจะตำหนิติเตียนถ้าไม่เกิดประโยชน์แล้ว โลกนี้ตำหนิเอาชมเอา ไม่ต้องสร้างต้องทำอะไร พอตำหนินี้สิ่งไม่ดีทั้งหลายขาดสะบั้นไปเลย พอชมปั๊บสิ่งที่ดีทั้งหลายเกิดขึ้นมาทันที ครองแต่ความสุขความเจริญตั้งแต่วันเกิด ตายก็ไม่มีด้วย จะว่ายังไง คือเสียดายความสุขไม่ยอมตายมันก็ไม่ตาย เพราะเป่าฟู่ทีเดียวก็ไม่ตายใช่ไหม

แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซิ มันเกิดมันตายได้ด้วยกัน ใครทำดีทำชั่ว ถึงกาลเวลามันตายได้ด้วยกันนั่นแหละ แต่ตายดีตายชั่ว ตายมีหลักไม่มีหลัก ตายเลื่อนลอย ผิดกันตรงนี้ ให้เราพยายามพิจารณานะ เราได้สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลายมา เราก็ไม่ค่อยได้คาดได้คิดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมที่เป็นอยู่ในหัวใจนี้ มาสอนพี่น้องทั้งหลายอย่างไม่สะทกสะท้านเลย เราไม่มี ใครจะตำหนิติเตียนอะไรก็เท่ากับกองถังขยะ พูดให้มันตรง คำว่ากองถังขยะเป็นยังไง ธรรมเหนือกองถังขยะขนาดไหน นั่นฟังซิ นั่นละธรรมที่ศาสดาองค์เอกนำมารื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ จากธรรมประเภทนั้น ไม่ใช่ถังขยะนะ กิเลสมันพาใครไปสวรรค์นิพพานมีไหม ไอ้ถังขยะนั่น มันเต็มอยู่หัวใจทุกคน มีแต่พาเจ้าของให้จม ๆ ยังว่ามันดิบมันดีอยู่เหรอ พิจารณาให้ดีนะ เราไม่สะทกสะท้านแล้ว ใครจะมาตำหนิติเตียนเราไม่มี

การแนะนำสั่งสอนโลก เราไม่มีเรื่องของโลกเข้ามาแทรกในจิตของเรา แม้การพูดการจากิริยาที่จะออกเหมือนโลกก็ตาม แต่เนื้อหาของธรรม เนื้ออรรถเนื้อธรรมนั้นไม่ได้เหมือนโลก ธรรมเป็นธรรมล้วน ๆ การก้าวเดินควรหนักก็หนัก ควรเบา ๆ ไปตามแถวทางของธรรมก้าวเดิน ข้อเปรียบเทียบว่ายังไง อุปมาฉันใด อุปไมยฉันนั้น แม้ที่สุดหมามาเป็นข้อเปรียบเทียบได้ ก็ยกหมาเข้ามา คนเป็นข้อเปรียบเทียบได้ก็ยกเข้ามา โคตรแซ่ของใครก็ตาม ของเขาของเรา เป็นข้อเปรียบเทียบได้หรือเป็นน้ำหนักได้ ที่จะทุ่มสิ่งที่เป็นภัยให้ขาดสะบั้นจมลงไปนั้นก็ยกมาทุ่มกัน นี่เป็นแถวของธรรม ท่านไม่ได้มีคำว่าพูดหยาบพูดโลน พูดดุด่าว่ากล่าว พูดสกปรกโสมมตามกิเลสมันป้องกันตัวของมัน ซึ่งมันเป็นตัวสกปรกที่สุด มันไม่ให้เข้าไปแตะต้องมัน มันกั้นเอาไว้ ๆ มันไม่ให้คำพูดเช่นนี้ขึ้นมา ว่าหยาบว่าโลน

คือตัวของมันหยาบโลนอยู่แล้ว มันถึงต้องปัดป้องไป ให้พูดแต่ไพเราะเพราะพริ้ง ดีนะพ่ออีหนู เมื่อคืนนี้ไปกี่บ้านล่ะ ไปหาอีสาวน่ะ พ่ออีหนูยิ้มแย้มแจ่มใสดีนะ วันพรุ่งนี้พ่ออีหนูให้ไปได้มาสัก ๑๐ คนนะ จะมีผู้หญิงคนไหนพูดอย่างนั้นเข้าใจไหม มีแต่ฟาดปากมันเลย มึงไปไหนขึ้นทันทีเลยเข้าใจไหม นี่ละคำว่ามึงนี้ภาษาของกิเลส เขายังต้องเอาน้ำหนักใส่กันใช่ไหม มึงไปไหนระวังมึงตายนะ นี่เข้าใจไหม ฟาดกิเลสต้องฟาดอย่างนั้น ตั้งแต่เรื่องโลกมันก็มีน้ำหนักใส่กัน แล้วเรื่องธรรมที่จะปราบกิเลสจะไม่มีน้ำหนักได้ยังไง ใช่ไหม มันก็ต้องกูมึงโคตรแซ่ใส่กัน แต่โคตรแซ่ของธรรม โคตรแซ่เพื่อเป็นทางก้าวเดินเพื่อเป็นน้ำหนักเข้าใจไหม แต่โคตรแซ่ของกิเลสที่ด่าทอกันนี้มันเอาฟืนเอาไฟใส่กัน ให้พากันจำเอานะ จำได้ไหมพวกนี้ ไปเจอพ่ออีหนูเข้า หลวงตาท่านสอนว่าวันพรุ่งนี้ให้ได้ ๑๐ คนนะ แล้ววันนี้แกจะเอา ๑๐ หรือจะเอา ๒๐ ล่ะ ฉันอนุโมทนาสาธุการด้วย ฉันจะได้สบายหน่อย จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะ มีไหม มีแต่แอ้ ๆ ๆ

นี่เราพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้ฟัง ให้ท่านทั้งหลายจำเอานะ เรื่องธรรมต้องเป็นภาษาธรรม จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ พูดเรื่องธรรมต้องเป็นธรรม สายเดินของธรรมมีสูงมีต่ำ สูงก้าวเดินไปตามสูง ต่ำก้าวเดินไปตามต่ำ คดโค้งยังไงก็เดินไป ตรงแน่วก็ไปตามตรงแน่ว ทีนี้สายของธรรมไปยังไง ควรหนัก ๆ ควรเบา ๆ ควรคดควรโค้งไปตามสายของธรรมก็ไป ตรงแน่วไปตามสายของธรรมก็ไป นี่เรี่ยกว่าธรรม ที่จะให้มีกิริยาแบบโลกเขาคุยกันด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจของธรรม เพราะคำหยาบโลนอย่างนี้ไม่มี ความสกปรกอย่างนี้ไม่มีในธรรม ท่านพูดเป็นสายทางเดินเท่านั้น ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้

เมื่อวานนี้คุณธเนตรเขาเข้ามา คุณธเนตร (กิมก่าย -หนองคาย) พาแม่บ้านมา แล้วเอาผ้ามาถวายบังสุกุล แล้วเอาทองมาถวาย ๑๐ บาท พร้อมกับเอาเก้าอี้หวายมา แบกเก้าอี้หวายไปหาเรา ขอถวายเก้าอี้ ฟาดเข้าป่านี่ ขึ้นทันทีเลย อู๋ย เร็วมากนะ ปั้วะ ทันทีฟาดเข้าป่านู่นเลย เอามาหาอะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้กับเก้าอี้หวายเหรอ ก็ซัดกันละที่นี่ ไปใหญ่เลยนะ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กับเก้าอี้หวายเหรอ ซัดเข้าไป ๆ จนกระทั่ง อุจฺจาสยน มหาสยนา ฯ ตั้งแต่ที่นอนหมอนมุ้งที่ใหญ่ ยัดด้วยนุ่นและสำลี พระองค์ก็ไม่ให้นอน มันสบายมากเกินไป นี้ทำเพื่อกิเลสต่างหาก ไม่ได้ทำเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่ออรรถเพื่อธรรมพระพุทธเจ้าไม่ให้นอน แม้ที่นอนสูงที่ยัดด้วยนุ่นและสำลีมันจะนอนหลับครอก ๆ ตายเลยนะ พระองค์ปัดออกเพื่อธรรมว่าไง

อันนี้เอาเก้าอี้ที่ไหนมา ฟาดเข้าป่านี้ยังอนุโลมนะ ถ้าใครเก่งให้เอามาวัดนี้ เราบอกอย่างนั้น มันจะหมดแล้วนะวัดนี้จะไม่มีเหลือแล้ว ไปที่ไหนมีแต่เก้าอี้ มีแต่โซฟา เพื่อร่างกาย เพื่อความสุขความสบาย การหลับการนอน การกินอยู่ปูวายของกิเลสทั้งนั้นของธรรมไม่มี นี่ละที่มันสลดสังเวชนะ เดี๋ยวนี้มันรุกล้ำเข้ามามากต่อมากแล้ว มากจนเราอกจะแตกแล้ว เราไม่เคยทำ มันก็เป็นมาอย่างนี้จะให้ว่ายังไง มันรุกล้ำเข้ามา นี่ละกระแสของกิเลสเห็นไหม คลื่นใหญ่ไหม มาทุกแบบทุกทางนะ คุณธเนตรก็เสี่ยใหญ่ที่จังหวัดหนองคายนั่นแหละ เห็นไหมมีเสี่ยใหญ่เสี่ยน้อยที่ไหน บอกปาเข้าป่าทันที ธรรมเหนือโลก มาว่าอะไรเก้าอี้ ธรรมเหนือโลกขนาดไหน เอามาเทียบกันปุ๊บซิ เอาละ

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก