พลังของธรรมล้วน ๆ
วันที่ 24 สิงหาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

พลังของธรรมล้วน ๆ

สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๓ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๘ บาท ดอลลาร์ ๑๒ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๒ กอง เงินสดได้ ๑๒ กอง รวมแล้วเป็น ๑๔ กอง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น ทองคำได้แล้ว ๑๐๙ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๒๗ บาท ๑ สลึง เงินสดได้แล้ว ๑,๘๕๔ กอง เท่ากับ ๒,๙๖๖,๔๐๐ บาท รวมกฐินทองคำและเงินสดได้ ๑,๙๖๓ กอง ไม่รวมเช็คกฐินนะ ยังขาดอยู่อีก ๘๒,๐๓๗ กอง นี่ค่อยตัดหางมันเข้าไปเรื่อย ๆ ตัดหาง ๘๔,๐๐๐ นี่ตัดเข้าไป ๆ ตัดเรื่อย ๆ แหละ

เพราะคราวนี้เป็นคราวเข้มข้นของชาติไทยเราต่อทองคำ ๑๐ ตัน นี่แหละหัวใจของชาติ ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ความอ่อนแอล้มเหลวก็จะอยู่จุดนี้ ถ้าหากว่าทองคำเราได้จำนวนที่หัวหน้าออกประกาศแล้วนี้ คือ ๑๐ ตันแล้ว เมืองไทยนี้เชิดขึ้นทันทีเลยเทียว สมชื่อสมนามว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่รักชาติ เมืองรักความสามัคคี พร้อมกันเสียสละ นี่เป็นจุดใหญ่ที่จะเด็ดขาด เรียกว่าแบบเป็นแบบตายกับทองคำ ๑๐ ตันนี้เป็นเครื่องตัดสินความท้อแท้อ่อนแอหรือความรักชาติความเอาจริงเอาจังของพี่น้องชาวไทยเรา จะได้เห็นที่ตรงนี้นะ ให้พากันจับจุดนี้ไว้ให้ดี เพราะจุดนี้จุดที่หลวงตาออกต่อสู้กับสงครามความจน เอาอันนี้ทุ่มกันเลยแล้วผ่านได้สบาย ๆ เราจะได้เห็นกันคราวนี้ เอาให้ได้ทุกคนพี่น้องชาวไทยเรา ถอยไม่ได้คราวนี้ ถ้าถอยทองคำขาดนี้แล้วขายขี้หน้าไปหมดเลย หลวงตาจะมุดดินลงไปเลยนะ

ทองคำเวลานี้ก็ขาดอยู่เพียง ๔ ตันกว่า ที่ว่า ๑๐ ตันนี้หมายถึงเราได้แล้วรวมกันเป็น ๑๐ ตันที่เราต้องการจะให้ได้นะ เวลานี้เราได้แล้ว ๕ ตันกว่า อย่างที่อ่านนี้ รวมทองคำทั้งหมดที่ได้เวลานี้นั้น ๕,๒๖๑ กิโลครึ่ง ก็ยังขาดอยู่อีก ๔ ตันกว่า ๔ ตันกว่านี่แหละยกทัพใส่กันเลยนะ ๕ ตันกว่าเรากลืนแล้ว เราได้ชัยชนะผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ยังเหลืออยู่ ๔ ตันกว่า มันยังท้าทายเราอยู่ เอ้า ท้าทายให้ท้าทาย ๕ ตันเอาไปกินหมดแล้วเมืองไทย ไม่พอกินกันเลย เอาไปเลี้ยงกัน ๕ ตันแล้ว ยัง ๔ ตันจะมาอวดดีอยู่เหรอให้ว่างั้นนะ เอามาก็มา ๔ ตัน ให้ยกโคตร ๔ ตันมา เมืองไทยเป็นเมืองมีโคตรทั้งนั้นให้ถอยไม่ได้ จะยกโคตรใส่กันเลย ตรงนี้จำให้ดีนะ เอาจริงจังตรงนี้แหละ เด็ดขาดอยู่ตรงนี้ ยังไงต้องเอาให้ได้ เวลานี้ยัง ๔ ตันกว่า ไม่วิตกวิจารณ์แหละเรา แน่ใจยังไงต้องได้

ทางภาคอีสานนี้เป็นภาคคนจน การช่วยทางโรงพยาบาลจึงได้ช่วยมากกว่าภาคอื่น ๆ อันนี้พี่น้องทั้งหลายก็คงทราบด้วยดีว่าภาคอีสานจนทุกด้าน คือสิ่งอำนวยประโยชน์โดยหลักธรรมชาติไม่มี เช่นน้ำอย่างนี้ก็ไม่มี จะคัดน้ำมาจากที่ไหน ๆ เมื่อต้นน้ำไม่มีก็คัดไม่ได้ นี่มันจนอยู่โดยหลักธรรมชาติอย่างนี้ อย่างอื่นผลหมากรากไม้ถ้าน้ำไม่มีเสียอย่างเดียวก็ไม่เกิดประโยชน์ ปลูกก็ไม่ขึ้น แน่ะก็ขาดไปอย่างนี้ จึงว่าขาดแคลนมากทางภาคอีสาน

(โยมจากฉะเชิงเทราถวายเงินกฐิน ๖ กอง ร้านหนูอยู่หน้าวัดโสธร ซื้อไหมไทยจากอุดรไปขายค่ะ) พอพูดถึงวัดโสธรแล้ว หลวงตาเจ้าอาวาสวัดโสธรที่นิมนต์เราไปเทศน์ที่ฉะเชิงเทรา หน้าวัดโสธร หลวงตาองค์นี้ท่านก็ไปเป็นหัวหน้า ที่ขบขันคือนิสัยท่านตรงไปตรงมา ท่านเป็นประธานในงานเทศน์ช่วยชาติคราวนั้น เราก็ไปเทศน์ที่หน้าวัดท่านนั้นแหละ ทางฝ่ายพระสงฆ์ก็เยอะ ประชาชนก็เยอะ พอเทศน์จบลงแล้วท่านออกมาเลยนะ ท่านเอาเงินห่อใหญ่ ๆ นี้มาเลยเทียว พอเราเทศน์จบลงท่านก็ปุ๊บปั๊บมายืนอยู่ตรงหน้าที่เขาจะทอดผ้าป่า นี่เงินทอดผ้าป่า ท่านว่างั้นนะ ท่านพูดตรงไปตรงมา นี่เงินทอดผ้าป่า แล้ววางกึ๊กลงไป

พอวางแล้วท่านมองหน้าเรา หลวงตาองค์นี้เทศน์เก่งมาก เราก็ว่า โอ๋ย มันเก่งแต่ความแก่แหละ เทศนาว่าการไม่ได้เรื่อง ความแก่เก่งขึ้นทุกวัน ท่านฟังแล้วไปเลย เราเลยไม่ลืมที่ว่ามองหน้าปุ๊บ คือเอากองเงินมาวางกึ๊ก นี่กองเงินช่วยผ้าป่า ท่านว่ายังงั้น จากนั้นท่านก็มองขึ้น หลวงตาองค์นี้เทศน์เก่งมาก พอเราตอบแล้วก็ปุ๊บออกเลย เลยไม่ลืม ท่านตรงไปตรงมานิสัยของท่าน ว่าเทศน์เก่งมาก เราก็เอาความแก่ออกต้อนรับ สู้ความแก่ไม่ได้ ความแก่เก่งมาก แก่ไปทุกวัน

ไม่ว่าทางไหน ๆ ตั้งแต่หลวงตาออกช่วยชาตินี้ ไปหมดทุกแห่งเลยนะ โอ๋ย สลับซับซ้อนไปหมดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่ว่าได้ไปบ่อย ๆ นะ ไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไปเรื่อย ๆ เฉพาะ กทม.นี้ก็ ๓ หนแล้วนะ สวนลุม จตุจักร สนามหลวง เทศน์ใช้เวลานานเหมือนกันนะ เทศน์สวนลุมชั่วโมง ๑๕ นาที เทศน์ที่จตุจักรในนามของ กทม. อันนั้นชั่วโมง ๑๒ นาที เวลามาเทศน์ที่สนามหลวงนี่ ชั่วโมง ๒๓ นาที เทศน์สำหรับ กทม.โดยเฉพาะ ทีนี้ในวงกรุงเทพไม่ต้องพูด ไม่ทราบมหาวิทยาลัยอะไร ๆ โรงพยาบาลก็ไม่ทราบว่ากี่ครั้ง อย่างศิริราชดูเหมือน ๓ หนมัง จุฬาดูจะเป็น ๓ รามา ๑ หน วชิระ มีแต่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ไปเทศน์นะ มหาวิทยาลัยก็รามคำแหง ๒ เกษตรศาสตร์ ๒ ธรรมศาสตร์หนหนึ่ง

เทศน์คราวนี้เรียกว่ามากจริง ๆ ร่วม ๕ ปีที่เทศน์ออกชุมนุมชนติดต่อกันเรื่อยมาเลย แต่ที่เราเทศน์มาตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น ก็เริ่มตั้งแต่ปี ๙๓ มาเลย หมู่เพื่อนเกาะ ไปไหนไม่รอด เข้าในป่าในเขารุมตามเลย จากนั้นมาก็เลยมาเอาโยมแม่บวช ทีนี้เลยพันกันตั้งแต่นั้นจนกระทั่งป่านนี้ นั่นละเทศน์มาตั้งแต่โน้นนะ แต่ในระยะนั้นเทศน์เฉพาะพระล้วน ๆ มากกว่าที่อื่น ในเทปนี้จึงมีแต่เทศน์สอนพระ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วเรื่อยมา ถ้าผู้ที่ต้องการจะฟังธรรมะประเภทนั้นก็เอาออกจากวัดนี้ไปเลย เพราะวัดนี้อัดที่สำคัญ ๆ ก็คือเทศน์สอนพระ นั่นละตั้งแต่นั้นมาจากนั้นก็เรื่อย

สำหรับเทศน์สอนประชาชนก็พร้อมกันเรื่อย ๆ ไล่กันมาทั่วประเทศไทย มาตั้งแต่โน้นแหละทุกภาค เทศน์มาโดยลำดับลำดา มาเริ่มเทศน์ที่กว้างขวางมากก็คือช่วยชาติคราวนี้ ร่วม ๕ ปีทีเดียวนะเทศน์สอนประชาชน พระเณรมีน้อย ส่วนมาก ๔-๕ ปีนี้เทศน์แกงหม้อใหญ่มากจริง ๆ สอนประชาชน จริตนิสัยหน้าที่การงานทุกอย่างต่าง ๆ กัน แต่เทศน์สอนพระนั้นเทศน์หน้าที่ของพระโดยตรง เพราะฉะนั้นเทศน์จึงพุ่งไปเลยทีเดียว ส่วนเทศน์สอนประชาชนเป็นเวลา ๕ ปี ก็ ๕๑-๕๒ ปีนี้ที่เทศน์มาเรื่อย ๆ มาเทศน์กว้างขวางคราวที่ช่วยชาติ

แต่ก็ดีอย่างหนึ่งเราก็ได้คิดเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ได้ออกช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้ ธรรมเทศนาทั้งหลายนับแต่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วลงมาถึงแกงหม้อใหญ่จะไม่ได้ยินกันนะ จะได้ยินได้ฟังเฉพาะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วเฉพาะพระที่ส่งไปทั่วประเทศไทยทุกภาคเลยเทศน์สอนพระนี้ เพราะกรรมฐานมีอยู่ทั่วไปทุกภาค ทางโน้นขอมาทางนี้ส่งไป ก็จะได้แค่นั้น ส่วนประชาชนจะไม่ค่อยได้ยิน แต่เวลาออกเทศน์สอนประชาชนเกี่ยวกับการช่วยชาติ เรียกว่าหมดเลยทุกจังหวัดในประเทศไทยเราไปหมด ไม่ได้ไปก็แต่ภาคใต้ ก็ได้เรียนให้ทราบแล้ว เพราะไกล ก็ตั้งหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว โปรแกรมนี้เสมอกันไปหมดเลยนะ เราจะสอนให้ทั่วถึงหมด

ไม่ได้คำนึงถึงร่างกายในขั้นแรกนะ เราจะเอาภาคสุดท้ายภาคใต้ให้หมดทีเดียว แล้วก็กลับ จะไม่ลงอีกว่าอย่างนั้นนะ เราจะเทศน์ภาคใต้ให้หมดแล้วเราถึงจะมา เพราะไกลด้วย กว้างขวางด้วย ครั้นแล้วก็ธาตุขันธ์ลงไปไม่ได้ เลยหยุดเลยไม่ได้ไป เรื่องราวทั้งหลายเป็นอย่างนี้ เราจึงรู้สึกเสียใจที่เราไม่ได้เทศน์สอนบรรดาพี่น้องทางภาคใต้โดยลำพังตนเองที่ไปในที่ต่าง ๆ เช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ภาคอื่น ๆ นะ เราเสียใจไม่หยุดนะ ยังเสียใจตลอดเวลา เพราะธาตุขันธ์ไม่อำนวย

เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมืองนอก คือคนไทยเรามานิมนต์ให้ไปเทศน์เมืองนอก เราก็ไปไม่ได้ อันนี้ไกลด้วยก็ยิ่งแล้ว เขาไม่ยอมเขาจะเอาไปให้ได้ เราก็บอกให้เขาเตรียมหีบศพไปพร้อมเลย สุดท้ายก็หยุด คือเขาจะเอาจริง ๆ มีแต่จะเอาท่าเดียว ๆ เหตุเบื้องต้น พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่าเขาบอกเขาหมดหวังเรื่องศาสนา เขาว่าอย่างนั้นเลย เขาพูดกลาง ๆ ว่า ดูอะไร ๆ ก็อย่างนั้นแหละ แล้วหมดหวัง นี่เรื่องราวที่เป็นต้นเหตุจะมานิมนต์เราไปเมืองนอก ทีนี้เพื่อนฝูงเขาก็มาบอก อย่าด่วนหมดหวังนะ ก็เกี่ยวกับเรื่องอินเตอร์เน็ตของเราออกพวกนี้เขาได้ดูได้ชม เขาก็เลยมาเล่ากันฟัง เลยเอามาดูเรื่องราวมันนะ พอมาดูก็เหมือนว่าปลุกใจขึ้นมา เบื้องต้นก็ขึ้น ชอบกล ๆ แล้วหนักเข้า ๆ เลยจากชอบกลก็ เอาละทีนี้ความหวังเต็มหัวใจแล้ว เรื่องมรรคผลนิพพานในพุทธศาสนานี้ ก็มีแต่อันเดียวเราจะต้องไปดูหน้าหลวงตาองค์นี้ให้ได้ แล้วก็ยกทัพกันมาทอดผ้าป่าเสร็จแล้วจะเอาเราไปพร้อมเลย ไปเมืองนอก เราก็เลยไม่ได้ไป เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องกว้างขวาง เมืองนอกกว้างขวางอยู่ เช่น รัฐเทกซัสนี่กว้างขวางกว่าเพื่อน คือรัฐนี้มีทั้งลาว เขมร เวียดนาม ที่เป็นชาวพุทธไปอยู่ที่นั่น แล้วบวกกับคนไทยเราด้วย อยู่ด้วยกันมาก เพราะฉะนั้นอินเตอร์เน็ตจึงไปเต็มอยู่นั้น แล้วก็มีอาจารย์สมานท่านเป็นหัวหน้าควบคุม ท่านจึงมาเล่าให้ฟัง พอเราพูดถึงเรื่องว่าเรื่องราวของอรรถของธรรมที่แสดงในเมืองไทยเรานี้ โอ๊ย เมืองนอกไม่ใช่เล่น ๆ นะ ดังยิ่งกว่าเมืองไทยนี้อีก เขาเอามาคุยโม้เรา ดังยิ่งกว่าเมืองไทย รัฐเทกซัส ก็เลยเล่าให้ฟัง โดยที่ท่านเป็นผู้ควบคุมเองนะ ท่านว่า เขาตั้งอกตั้งใจจริง ๆ ต่อมรรคต่อผล เขาบอกตรง ๆ เขาเชื่อมรรคผลแล้ว ต่างคนต่างเข้มข้นขึ้นในเรื่องอรรถเรื่องธรรม

อันนี้ก็เป็นคติอันหนึ่ง คนเราเมื่อธรรมเจริญที่ตรงไหน เรื่องความเดือดร้อนวุ่นวายจะสงบตัวลง ๆ เพราะเป็นเหมือนน้ำดับไฟ ธรรมเป็นน้ำที่สะอาดดับไฟ ๆ ไฟกิเลสตัณหา ตัวรุ่มตัวร้อนที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลสตัณหา ทีนี้เมื่อธรรมเข้าไปตรงไหนก็เหมือนน้ำแทรกเข้าไปดับไฟ ๆ สงบร่มเย็น ทีนี้เมืองไทยเราก็ควรจะมีแก่จิตแก่ใจ นี้ก็ได้ประกาศให้ทราบแล้ว หลวงตาได้พูดอย่างอาจหาญชาญชัย เลยความอาจหาญของโลกทั่ว ๆ ไปเสียอีก เรื่องความอาจหาญในการเทศนาว่าการ เพราะถอดออกมาจากหัวใจจริง ๆ ไม่ได้มาลูบคลำนั้น พูดแล้วสาธุ เรียนเราก็เรียนมา ดังพี่น้องทั้งหลายทราบ แต่เวลาเอาจริงเอาจังจริง ๆ การเรียนมาชี้เข้ามานี้หมดนะ ปริยัติทั้งหมด พระไตรปิฎกชี้เข้ามาหาหัวใจทั้งนั้น ๆ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระไตรปิฎกก่อนพระไตรปิฎกจะเกิด นั่นฟังซิ พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมก่อนพระไตรปิฎกจะเกิด ๆ ฟังซิ พอเกิดแล้วพระไตรปิฎกก็มาจดจารึกเอาจากพระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายจึงเป็นปิฎก ๓ ประการ ปิฎกแปลว่า ภาชนะ พระวินัยปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระวินัย พระสุตตันตปิฎก ภาชนะ สำหรับบรรจุพระสูตร พระอภิธรรมปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระอภิธรรม ซึ่งเป็นธรรมยอดเยี่ยม ยอดของธรรมอยู่ที่อภิธรรม แล้วพระไตรปิฎกเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเกิดขึ้นตั้งแต่วันตรัสรู้ พระสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกนี้เกิดขึ้นตามภูมิอำนาจวาสนาของท่านแต่ละองค์ ๆ ตั้งแต่วันท่านบรรลุธรรมขึ้นมา ๆ หลังจากนั้นร่วมได้สักสามร้อยปีมั้ง จึงมาจดจารึก มาจดจารึกเอาตอนหลัง ที่มาเป็นคัมภีร์ใบลาน แต่ก่อนท่านฟังด้วยปากเปล่า ๆ เพราะเราดูมานานแล้วมันลืมเดี๋ยวนี้ พอจำได้แต่ว่าตอนท้าย ๆ ท่านถึงได้จดจารึกเพื่อกุลบุตรสุดท้ายภายหลังได้เห็นร่องรอย ถ้าพูดแต่เพียงปากต่อปากพอจบแล้วก็หาย ท่านผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สิ้นไปแล้วก็จะหมด เลยต้องจดจารึกเอาไว้ นี้แหละที่ว่าเป็นพระไตรปิฎกขึ้นมา มาทีหลัง นี่เราพูดถึงเรื่องพระไตรปิฎกนะ

แล้วเวลามันเป็นขึ้นในหัวใจ พูดอย่างอาจหาญขนาดนี้ ใครเชื่อไม่เชื่อเราไม่เคยสนใจกับใครนะ เราจะเอาสักขีพยานจากหัวใจ ที่เราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ตามสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเวลารู้ขึ้นมา ๆ รู้จนกระทั่งถึงขนาดผางขึ้นมาเลยนี้ ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ไม่ประมาทนะ ถามหาอะไรธรรมอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าคืออะไร รู้แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร มีกี่พระองค์รู้หมด เหมือนจ่อลงไปในน้ำมหาสมุทร นิ้วมือนิ้วเดียวนี้จ่อลงไปถูกน้ำมหาสมุทรหมดเลย ผึงขึ้นมานี้เหมือนนิ้วมือนิ้วเดียวจ่อนี้กระจ่างแจ้งไปหมด ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเทียบกับน้ำมหาสมุทร แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้นี้กว้างยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรอีกนะ หากไม่มีอะไรที่จะเทียบ มีน้ำมหาสมุทรที่กว้างขวางมากจึงเอามาเทียบได้

นี่ละจ้าขึ้นเป็นอันเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร พระไตรปิฎกขึ้นจากนี้ละ ขึ้นจากจิตของพระพุทธเจ้าพระสาวกท่าน แล้วจึงไปจดออกเป็นคัมภีร์ใบลานไป นี่เวลาเรียนก็เรียนมา เราก็ไม่คาดไม่คิดไม่ฝันนะ มันจะเป็นขึ้นมาอย่างนี้ เรียนตามตำรา จำตามตำรา เวลาปฏิบัติเข้าไปๆ ความรู้ความเห็นความเป็นค่อยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ๆ เกิดขึ้นในหลักปฏิบัติของตัวเอง คือธรรมะที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัตินี้เป็นธรรมสมบัติของตัวเองโดยแท้ๆ ไม่ได้เป็นความจำ เป็นความจริง ละกิเลสไปในตัว ส่งเสริมธรรมบำรุงธรรมขึ้นไปในตัว ฆ่ากิเลสไปในตัวจากภาคปฏิบัติ เวลารู้ขึ้นที่ไหน ๆ หายสงสัย ๆ ทีนี้ทางคัมภีร์เลยชี้เข้ามานี้เลยนะ เข็มคัมภีร์พระไตรปิฎกชี้เข้ามาหาหัวใจ ๆ หมดเลย

ทีนี้คัมภีร์ทั้งหมดมาอยู่นี้แล้วจะไปหาคัมภีร์ที่ไหนอีก นั่นเป็นอย่างนั้นนะ แต่ก่อนก็ตามคัมภีร์เสียก่อน พอปฏิบัติไป ๆ คัมภีร์ชี้เข้ามาที่นี่ทั้งนั้น ๆ ความรู้ก็รู้ขึ้นที่นี่เป็นที่นี่ มันก็ยอมรับ เวลามันเป็นขึ้นเต็มหัวใจแล้วมันเลยไม่สนใจอะไร คัมภีร์ไหน ๆ ออกจากนี้เลย สอนโลกด้วยความไม่สงสัย เราบอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์ เราพูดจริง ๆ เราปฏิบัติมาด้วยอำนาจแห่งกรรมดีของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วไม่คาดไม่ฝันว่าจะได้รู้เห็นอย่างนี้ขึ้นมา แต่มันก็รู้ขึ้นมาอย่างนี้ ถึงขนาดที่ยกน้ำหนักมาว่า แต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยรู้อย่างนี้ เพราะท่านไม่เคยปฏิบัติ หลวงตาบัวเป็นลูกของโคตรไหนก็ตาม หลวงตาบัวปฏิบัตินี่นะ รู้ขึ้นมาก็พูดได้ละซิ จะให้ว่ายังไง

นี่ละพระชาติพระวงศ์ของพระพุทธเจ้าองค์ไหนเป็นศาสดา ก็ไม่เห็นเป็น ท่านเหล่านั้นก็ไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดา ปฏิญาณตนเฉพาะพระองค์องค์เดียวว่าเป็นศาสดา กับนี้มันก็เทียบกันได้ ผู้ปฏิบัติผู้เป็นศาสดา คือในพระโคตรพระวงศ์นั้นแหละ แต่พระโคตรพระวงศ์ไม่ได้เป็นศาสดา เป็นเฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว อันนี้องค์ไหน ๆ ที่ท่านตรัสรู้ขึ้นมาบรรดาพระอรหันต์ก็เหมือนกัน โคตรแซ่ของท่านไม่ได้เป็น แต่ท่านได้เป็น ทีนี้เวลาเป็นขึ้นมา ผางขึ้นมานี้ แล้วไม่ถามใครแหละ มันจ้าอยู่แล้วนั้นถามอะไร แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทูลถามฟังซิน่ะ ใครจะว่าประมาทได้หรือ พระพุทธเจ้าเป็นยังไง ๆ แต่ก่อนมันก็วาดภาพของมันไปตามเรื่องตามราว

แม้ที่สุดย่นลงมาถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันติดหัวใจมาจนถึงขณะฟ้าดินถล่ม ติดมาอย่างนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ละเอียดขนาดไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ยังเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ พอถึงขั้นฟ้าดินถล่ม พุทโธ ธัมโม สังโฆ มากลืนกลมเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันแล้ว ศาสดาทุก ๆ พระองค์ พระสาวกทั้งหลายพระอรหันต์ทุกพระองค์เป็นอันเดียวกันแล้ว มันจ้าขึ้นมาเท่านั้น ถามอะไรมันเป็นอันเดียวกันแล้ว

นี่ละที่ว่าย่นลงมาว่า เหอ พระพุทธเจ้า ทีแรกก็ขึ้นนี้เสียก่อน เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ถึงใจ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในหัวใจเรานี่ ว่าให้มันชัด ๆ อย่างนี้ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ประมวลเข้ามา เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นมันเป็นแล้วนะ เราคาดเราคิดเมื่อไร เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว จ่อเข้าไปเห็นสะเทือนหมด แล้วทูลถามพระพุทธเจ้าที่ไหน ธรรมที่ไหน สงฆ์ที่ไหน หัวใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว ถามที่ไหนก็เป็นธรรมอันเดียวกันหมดเลย ให้พากันเข้าใจ

เราเอาธรรมอันนี้มาสอนโลกเวลานี้ เราไม่ได้สอนเล่น ๆ นะ อย่างที่เราเทศนาว่าการดุด่าว่ากล่าว เผ็ดร้อนอะไรก็ตาม กิริยาเหล่านั้นเป็นกิริยาของพลังแห่งความเมตตา และเป็นกิริยาพลังของธรรมล้วน ๆ ออกมา ไม่มีกิเลสตัวใดแม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะแทรกออกมาได้เลย ในขณะที่แสดงกิริยาท่าทางทั้งการพูดการจา กิริยาต่าง ๆ ออกมาอย่างเผ็ดร้อนนั้น ไม่มีกิเลสตัวใดแม้เม็ดหินเม็ดทรายแทรกเข้ามาได้เลย ก็เพราะว่ากิเลสมันสิ้นซากไปแล้วจะเอาอะไรมาแสดง ถ้ามันยังมีอยู่ก็เรียกว่ามันมี จะว่าสิ้นกิเลสได้ยังไง นี่ละที่ว่าท่านสิ้นกิเลสท่านสิ้นอย่างนั้น ค้นหาจนกระทั่งวันตายก็ตายเฉย ๆ ท่านจะค้นหาอะไร ใครจะไปฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าศาสดายิ่งกว่าพระอรหันต์ท่าน หมดท่านก็รู้ว่าหมด

กิริยาอาการธาตุขันธ์ของเรานี้เป็นเครื่องใช้ของธรรม แต่ก่อนเป็นเครื่องใช้ ๒ อย่าง เป็นเครื่องมือสำหรับกิเลสด้วย เป็นเครื่องมือของธรรมด้วย แต่กิเลสมีน้ำหนักมาก มีกำลังมากกว่าก็มักจะเป็นเครื่องมือของกิเลสล้วน ๆ ยิ่งเป็นปุถุชนเรานี้เป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น กิริยาอาการแสดงออกกิเลสออกหน้าออกตา เป็นเครื่องมือของกิเลสนำกิริยาของเรานี้ออกไปใช้ ทีนี้เวลาธรรมได้เข้าแทนที่ กิเลสบรรลัยลงไปหมดแล้ว ธรรมเข้าแทนที่ ขันธ์ก็กลายมาเป็นเครื่องมือของธรรมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ทีนี้เวลาการแสดงออกนี้ กิริยาอาการเหมือนกัน กิเลสรุนแรงเพราะพลังของมัน ธรรมะก็รุนแรงเพราะพลังของธรรม เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดเหลือแล้วก็มีแต่พลังของธรรมล้วน ๆ แสดงออกมาเต็มเหนี่ยว มีแต่กิริยาของธรรมอย่างผาดโผนโจนทะยานหรือว่าเผ็ดร้อนมาก ๆ เหล่านี้มีแต่พลังของธรรมพุ่ง ๆ ๆ เลย นี้เป็นน้ำดับไฟเข้าใจไหม กิเลสออกแสดงนี้เป็นไฟไหม้โลก ไฟเผาโลก แสดงออกมากเท่าไรโลกพินาศได้เลย อำนาจของกิเลสพาให้แสดง แต่อำนาจของธรรมพาให้แสดงนี้ แสดงออกไปที่ตรงไหน เป็นน้ำดับไฟ ๆ ทั่วโลกธาตุนี้ไปได้เลย ต่างกันอย่างนี้นะ

เราจึงกล้าพูดทุกอย่าง เวลานี้เราก็จวนจะตายแล้ว พี่น้องทั้งหลายเชื่อไหมว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี ก็มาพูดอยู่อย่างนี้แล้ว สวากขาตธรรมนั้นคือทางเดิน ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่จุดนั้นนะ ให้เดินตามทางของศาสดาที่สอนไว้นั้น จะก้าวเข้าสู่มรรคผลโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติจาก สวากขาตธรรม นี้ทั้งนั้น นี่ก็นำมาปฏิบัติกับตัวเอง ได้ผลเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นยังไงถึงไม่ทูลถาม ประมาทงั้นหรือหลวงตาบัว พิจารณาซิ ให้มันรู้ในหัวใจของใครมันก็รู้เอง ไม่ต้องไปทูลถาม สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาเท่านั้นกระจายไปหมดครอบโลกธาตุ นี่ละที่เรานำมาสอนโลก เราไม่ได้สอนเล่น ๆ นะ สอนจริง ๆ จัง ๆ

การเทศนาว่าการเอาสถานที่อยู่บุคคล กาลเทศะมาเป็นพื้นฐาน เป็นทางก้าวเดินของธรรม สถานที่นี่ บุคคลบริษัทบริวาร เหตุการณ์ขนาดไหน ควรจะแสดงธรรมขนาดไหนมันจะรับกัน ๆ ๆ ออกไป จะเทศนาว่าการตามนั้น ๆ ถ้าควรจะเผ็ดจะร้อนไม่ต้องบอก มันจะเร่งเครื่องเอง ๆ ถ้าควรพุ่ง ๆ เลย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจพอทุกอย่าง เหมือนกับน้ำเต็มถัง ธรรมเต็มหัวใจแล้วเหมือนกับน้ำเต็มถัง เอ้า น้ำเต็มถังเจาะลงไปซิ เราจะให้ออกช่องไหน ทำก๊อกไว้รอบถังนั้น เปิดก๊อกตรงไหนมันก็ไหลออกหมดรอบตัวของก๊อก จะว่ายังไง เพราะน้ำเต็มอยู่ในถังแล้ว ไขตรงไหนก็ออกตรงนั้น ๆ จากถัง

ธรรมเต็มหัวใจก็แบบเดียวกันนั้นเอง ควรจะออกหนักเบามากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ควรจะสงเคราะห์มากน้อยเพียงไรก็สงเคราะห์ไปตามเรื่อง ถ้าควรที่จะทุ่มหมดทั้งถังเลยก็ออกทันทีเลย ถ้าไม่ควรออกเปิดเท่าไรก็ไม่ออก พวกปทปรมะ เปิดเท่าไรก็ไม่ออก จนกระทั่งตายทั้งเขาทั้งเราก็ไม่ออก ถ้าควรจะออกไม่ต้องว่า ผางเลย ๆ ดังพระพุทธเจ้าจนกระทั่งจะปรินิพพานแล้วยัง อามนฺตยามิ โว ภิกฺขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนเธอทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลายมีเจริญและเสื่อมเป็นหลักธรรมชาติของมัน เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ของตน ขึ้นเลย ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่วางความเมตตาไว้สุดท้ายตรงนี้ จากพระวาจาของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ปรินิพพาน นี่พระองค์เมตตาต่อสัตว์โลกขนาดไหน

นี่ก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงจะตัวเท่าหนู ความเมตตาก็เต็มภูมิของหนู สอนพี่น้องชาวไทยเรา เราไม่เอาอะไรเลยก็ฟังซิ พี่น้องทั้งหลายเคยได้ยินไหม ที่ว่าช่วยโลกช่วยสงสาร เราไม่เอาอะไรจากโลกจากสงสารเลย เราพูดจริง ๆ คือเราว่างั้นเลย เราไม่เอาอะไร สมบัติเงินทองข้าวของพี่น้องที่มาบริจาคมากน้อยนี้ มีเท่าไรเราทุ่มลงนั้นหมด สำหรับเราเองไม่เอา เราพอ พอ ๆ ตลอดเวลา นี่ละช่วยโลกทางด้านวัตถุช่วยด้วยความเพียงพอทุกอย่าง และทางด้านธรรมะก็ทุ่มลงเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านผู้ใดจะเอาก็เอา ไม่เอาก็จะจม ศาสนาที่เป็นเครื่องฉุดลากขึ้นจากหล่มลึกมีอยู่แต่ไม่สนใจ วิ่งตามกิเลสก็จะจมไปด้วยกันไม่มีอัดมีอั้นจมตลอด เราอย่าเข้าใจว่านรกนี้จะอัดจะแน่น สัตว์นรกจะตกหลุมนรกไม่ได้ จะขึ้นมาอยู่เมืองมนุษย์ครองเทวบุตรเทวดาเป็นความสุขความเจริญอย่างนั้นอย่าไปคิดหวังนะ

เพราะไปตกนรก นรกแน่นเข้าไม่ได้ ต้องมาขึ้นสวรรค์อย่างนี้ไม่เคยมีนะ เอ้า ตกลงไป เท่าไรก็ตกลงไป สัตว์โลกทำกรรมทำไมทำได้ ไม่เห็นว่ามันหนามันแน่นมันคับมันแคบที่ไหน ทำไมสัตว์โลกจึงทำได้ กรรมของสัตว์โลกจึงมีได้ เมื่อสัตว์โลกทำได้ กรรมของสัตว์โลกมีได้ สัตว์โลกทำไมจะตกนรกไม่ได้ นรกจะจนตรอกจนมุมต่อสัตว์โลกไม่เคยมีในแดนโลกธาตุนี้ ถ้าเราไม่จนตรอกของเราเสียเองแล้วตกนรกเท่านั้น จะให้นรกอัดแน่น ให้ผู้ไปตกนรกกลับคืนมาสู่บ้านสู่เรือน สนุกสบายรื่นเริงบันเทิงไม่เคยมี อย่าพากันคิด อย่าพากันด้นเดาเกาหมัดนะ มันจะเป็นหมาขี้เรื้อน ด้นเดาเกาหมัดเกาไปเกามามันก็เป็นหมาขี้เรื้อนละซิ เข้าใจ นี่ละเราสอนโลกเราสอนอย่างนี้นะ เราไม่ได้เอาอะไร

ใครจะมาโฆษณาโจมตีเราขนาดไหน โจมตีเท่าไรก็ยิ่งผิดไป ๆ ยิ่งเห็นความเลวร้ายของผู้มีเจตนาร้ายมาโจมตีเรา มันก็ขนกองกรรมเข้าสู่หัวใจมันจะไปไหน เราทำกรรมดีกรรมชั่ว ทำที่ไหน เอ้า ทำลงไปซิ มันเป็นดีเป็นชั่วขึ้นมาจากผู้ทำ ๆ ทั้งนั้น ทำในที่มืดที่แจ้ง เช้าสายบ่ายเย็นที่ไหนมันก็ทำขึ้นจากเจ้าของ เจ้าของไม่ครึไม่ล้าสมัยในการกระทำ แล้วผลจะครึล้าสมัยมาจากไหน มันก็ทันกัน ๆ ตลอดเวลา สัตว์โลกจึงต้องได้บาปได้บุญตลอดเวลาที่เจ้าของทำ ไม่นิยมว่าที่มืดที่แจ้ง ศาสนาสอนอย่างนี้ ให้ดูเจ้าของอย่าไปดูที่มืดที่แจ้ง ให้ดูเจ้าของ มันมืดมันมืดที่หัวใจเอาสติจับเข้าไปดูให้มันรู้ คนมีสติจะเริ่มรู้ตัวเองนะ

นี่ละธรรมะที่สอนพี่น้องทั้งหลาย ใครจะมาโจมตีเราขนาดไหนก็มา เราไม่เคยสนใจ ยิ่งเห็นความเลวร้ายของผู้มาโจมตีหนักเข้า ๆ ทุกวัน เพราะเราไม่มีจะหาเรื่องให้มีกับเรามันจะมีได้ยังไง ก็ผู้หาเรื่องผู้สร้างเรื่องความชั่วช้าลามกนั้นแหละผู้มีเรื่อง ผู้จะได้แต่ความชั่วช้าลามกเต็มหัวอก เวลาตายแล้วเรื่องนรกไม่ต้องบอก ก็เจ้าของสร้างตลอดเวลา นรกจะเป็นโมฆะไปที่ไหน ให้พากันระวังนะ เรื่องกรรมเป็นสำคัญมาก กรรมดีกรรมชั่ว บาปบุญอยู่กับทุกคนที่ทำ ไม่มีคำว่ามืดว่าแจ้ง อยู่กับทุกคน จำให้ดีวันนี้เอาเท่านั้นละพอ เหนื่อยแล้ว วันนี้ก็ให้พากันจำเอานะ ตอนบ่ายโมงครึ่งเขาจะออกสัมภาษณ์วันนี้ จะเอามาตั้งที่นี่ก็ได้ ให้มาฟังกัน ให้ดูเสีย นี่ละเรื่องความเมตตาความสงสารพี่น้องชาวไทยทั้งชาติถึงได้ออกมาอย่างที่พี่น้องทั้งหลายจะได้เห็นวันนี้ จะมีเผ็ดร้อนอยู่ไม่น้อยนะวันนี้ นี่ละการป้องกันการรักษาสมบัติของชาติไทยเรา รักษาด้วยวิธีใดดูเอา เข้าใจเหรอ เอาละที่นี่จะให้พร

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก