|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ธรรมออกตลาด |
|
วันที่ 16 สิงหาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
ธรรมออกตลาด
ที่สัมภาษณ์นั้นเขาก็ยังไม่ได้ออกหรือว่าไงผู้กำกับ (อ๋อ ออกทีวี ยังไม่ออก แต่ทำเป็นหนังสือเป็นเทปออกให้ลูกศิษย์เรียบร้อยแล้วครับ) เหรอ คือถ้าออกเป็นทีวีจริง ๆ แล้วจะน่าดูกว่าอยู่ในเทป ในเทปได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ถ้าเขาออกเป็นทีวีจริง ๆ โอ๋ น่าดูมาก เราได้เห็นแล้วเขาเอามาทดลองเปิด ยังไม่ดีเท่าไร เขาว่างั้นใช่ไหม (อันนั้นเป็นตัวก๊อปปี้ไม่ใช่มาสเตอร์ มาสเตอร์แจ่มกว่านั้น) เออ ว่างั้นแหละ เขาก๊อปปี้มาให้ดู เข้าท่าดีอยู่นะ เราเองเราก็ไม่มีที่ค้านเรา เห็นไหมล่ะ เขาตั้งใจมาให้เราดูวันนั้น อยู่สวนแสงธรรม กุฏิเรานั่นแหละ ที่เขาก๊อปปี้มานะไม่ใช่ตัวจริงที่จะออก แล้วมาเปิดให้เราดู โฮ้ น่าดูอยู่นะ เราจึงได้เห็นหลวงตาบัวดูหลวงตาบัว
อ้าว หลวงตาบัวนั่งดูหลวงตาบัวในทีวี หลวงตาบัวกำลังขึ้นเวทีฟัดกับอะไรก็ไม่รู้อยู่บนเวที น่าดูนะ หาที่ตำหนิไม่ได้ แน่ะเห็นไหมล่ะ ไม่มีที่ตำหนิเลย ลักษณะนี้เรียกว่าออกสนาม เหมือนนักมวยต่อยกันไม่มีใครรอหมัดว่างั้นเถอะ หมัดของใครของเราซัด ดูเข้าท่าดีนะ แล้วเสียงก็เข้ากันด้วยกับกิริยาที่เข้มข้นขึงขังตึงตังกับเสียงที่ออกเป็นอันเดียวกันเลย นี่ละที่ว่าเหมาะสมดี พูดไปเหมือนจะกัดจะฉีก ครั้นแล้วมียิ้ม ๆ ด้วยนะ ทั้งจะกินทั้งจะกัดจะฉีกทั้งยิ้มด้วยนะ ดูเข้าท่าดี นี่เขายังไม่ออก เขายังไม่กำหนดนะ (เขาให้ทางอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์หาเวลาออกช่อง ๑๑ แต่ถ้าไม่มีเวลาว่างจริง ๆ เขาจะเอาไปออกไอทีวีครับ ยังไงก็ต้องออก) เออ ว่างั้นละ
นี่นานแล้วนะตั้งแต่เราไปกรุงเทพ คือเขาหาอะไรมาประกอบหลายอย่างหลายประการมันถึงได้นานใช่ไหม ไม่ใช่เราพูดแล้วเขาออกเลยนะเขามีอะไรมาประกอบ (ประมาณครึ่งชั่วโมงได้) เออ เราก็เห็นเฉพาะวันนั้น น่าดูอยู่ ก่อนที่เขาจะออกวันเวลาเท่าไรเขาจะประกาศมาเสียก่อน แล้วทีนี้ก็ออก จะได้เห็นทั่วประเทศไทย เขามาถามเราถึงเรื่องอะไร ต้นเหตุ ( คือพวกนั้นออกวิทยุว่าหลวงตาต่าง ๆ นานา รวมทั้งลูกศิษย์หลวงตาด้วย หลวงตาก็เฉยไม่ได้โต้ตอบ นี่ข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งก็หาว่า คุณทองก้อนมาเป็นเห็บเกาะหลวงตา แล้วหลวงตาไล่คุณทองก้อนออกจากวัดแล้ว)
อันนี้ที่เขาโจมตี แล้วเขาออกทางทีวีอันนี้ด้วยใช่ไหม (ครับ) เขาพูดมายังไงเราโต้ตอบตามที่เขาว่ามา แต่มันเข้มข้นสมเหตุสมผลที่ว่า เอ้า ถามมาจะตอบ เข้ากันได้เลย ตั้งใจจะตอบเพราะมีเหตุผลสำคัญที่พอจะเป็นประโยชน์ เวลาออกมาแล้วทั้งคำถามคำตอบ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ดีทั้งหลายว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นเราถึงคาดเอาไว้ว่าเป็นประโยชน์แล้วก็บอก เอ้า ถามมาจะตอบ จึงได้ตอบกัน เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
(กราบเรียนข้อสำคัญเกี่ยวกับการเทศน์ เขาว่าหลวงตาเทศน์ดุเทศน์ด่า เผ็ดร้อน เขาอยากให้เทศน์อ่อนหวาน) คือไปที่ไหนเขาอยากให้หลวงตาสะพายเครือกล้วยไปด้วย น้ำตาลอยู่ทางบ่านี้ เครือกล้วยทางบ่านี้ ไปที่ไหน นี่อาตมาได้น้ำตาลมา อาตมาได้เครือกล้วยมา ใครชอบหวาน ๆ อยู่บ่านี้ก็มี ๆ เขาอยากให้เป็นอย่างนั้น เข้าใจเหรอ แล้วตอบเป็นยังไงเวลาตอบ (ตอบก็เหมือนกับที่เขาว่านั่นแหละ เผ็ดร้อน ตอบถึงโคตรเลย) นี่ละท่านทั้งหลายไม่เคยเห็น ดูเอานะ คราวนี้คราวธรรมออกสนาม จะได้รู้กันว่า อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นกิเลส กันอย่างแน่นอน เรื่องกิเลสจะไม่หาความจริงมาพูดมาแสดง จะหาแต่ความล่อลวงต้มตุ๋นทุกอย่างออกมาแสดง ความจริงกิเลสจะไม่เอาออก จะเอาแต่ความจอมปลอมหลอกให้คนเชื่อไปตาม นี้เป็นกลมายาของกิเลส จึงไม่มีของจริงออกมา ส่วนธรรมนั้นไม่มีของปลอม ออกจริงล้วน ๆ เลย นี่ละที่นี่ท่านผู้ฟังทั้งหลายเป็นคราวที่เราจะได้ฟังภาษาธรรม
ที่หลวงตาออกนี้เป็นภาษาธรรมล้วน ๆ เลย ไม่ได้มีภาษาที่ว่า เป็นความเสียหายหรือร้ายแรงสกปรกโสมมตามที่กิเลสหาเรื่องโจมตีนะ ไม่มี การแสดงนั้นมี ๒ อย่าง ๑) น้ำหนัก เช่น นักมวยเขาต่อยกัน คู่ต่อสู้ใครน้ำหนักหมัดดีนั่นละชนะ คือน้ำหนักสำคัญมาก ถ้าน้ำหนักเบาแล้วสู้น้ำหนักหมัดของเขาไม่ได้ นี่กิเลสกับธรรมก็ต่างฝ่ายต่างมีน้ำหนักเหมือนกัน ถ้ากิเลสมีน้ำหนักมากมันจะเอาคู่ต่อสู้แหลกไป ๆ อย่างพวกเราทั้งหลายนี้ จะว่าคู่ต่อสู้หรือเราก็ไม่อยากพูดนะ คือมันไม่ต่อสู้เลยมันหมอบมันคลานไปตามเลย ให้กิเลสเหยียบแหลกไป นี่เรียกว่าน้ำหนักของกิเลส ได้แก่ ความหลอกลวงหวานคมมากทีเดียว มีน้ำหนักมากจนสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ตัวเลย นี่ละภาษาของกิเลสแสดงมาอะไรยิ้มแย้มแจ่มใสประจบประแจงประดับร้าน ๆ นี้คือภาษาของกิเลส ให้ท่านทั้งหลายฟังเอานะ
แต่ที่จะมาออกประดับร้านนี้ไม่ใช่ความจริงทั้งนั้น ความจริงคือสิ่งที่ตรงกันข้าม ได้แก่ความสกปรกโสมม ความโหดร้ายทารุณ ความหลอกลวงต้มตุ๋นมันอยู่ลึก ๆ นั่น มันเอาอันนี้มาหลอกข้างนอกประดับร้าน จึงเรียกว่าภาษาของกิเลส ทีนี้โลกเคยชินกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วไม่เคยเข้าใจไม่เคยสนใจ มีภาษาใดบ้างที่ใช้อยู่ในโลกนี้ ถ้าพูดตามหลักความจริงก็มีธรรมมีกิเลส เพราะกิเลสเป็นสิ่งหลอกลวงไม่มีจริงเลย มีแต่หลอกลวง แต่ธรรมไม่มีหลอกลวงเลย มีแต่จริงล้วน ๆ รับกันตลอดมา ทีนี้เมื่อไม่มีใครนำธรรมของจริงออกมาแสดง กิเลสก็ออกลวดลายมันมาตลอดอย่างนี้ มันไม่ได้คิดเลยว่าจะมีอะไรเหนือกิเลสไป กิเลสถือว่าใหญ่กว่าโลกทั้งหมดเลย ทีนี้เวลาธรรมออกมานี้เหนือกิเลสตลอด ถึงได้รู้เรื่องกัน ทีนี้กิเลสมันก็โจมตี ธรรมพูดออกมาจริงล้วน ๆ นี้ กิเลสจะหาว่าหลอกลวงตลอดเลย เหมือนดังธรรมที่ว่าให้กิเลสหลอกลวง ด้วยความจริงนะธรรม แต่กิเลสมันหาว่าธรรมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือมันหลอกอันนี้ มันเป็นของปลอม
นี่ละท่านทั้งหลายจะได้เริ่มทราบ ภาษาของธรรม เรายกไว้ในเบื้องต้นว่า น้ำหนักหนึ่ง เรายกเอาน้ำหนักออกมาเทียบกันปั๊บเลย ถ้าฝ่ายใดมีน้ำหนักมากเหนือกว่าอันนั้นจมไปเลย ถ้าฝ่ายใดเบาก็หงายไปเลย อันนี้อีกข้อหนึ่งข้อเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบไม่นิยมสูงต่ำ เป็นสายทางเดินประกอบไปด้วยความเปรียบเทียบ เช่น อุปมาฉันใด-อุปมาฉันนั้น นี่ข้อเปรียบเทียบ คืออะไรมาเปรียบเทียบได้ ยกหมู ยกหมา ยกเป็ด ยกไก่ ยกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมมาเปรียบเทียบได้ทั้งนั้น เพื่อเป็นทางเดินของธรรม เพราะฉะนั้นธรรมจึงไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ ว่าหยาบว่าโลน ว่าให้ร้ายต่อผู้ใด เป็นทางเดินที่ราบรื่นด้วย สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น
นี้ซิเวลานำออกมาธรรมต้องเตือนอย่างนี้ ผิดบอกผิดถูกบอกว่าถูก นี้เรียกว่าธรรม ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว เรียกว่าธรรมทั้งนั้น นี่สายธรรม ต่อไปนี้สายธรรมมาอย่างนี้ สายของกิเลสมันอ้อมค้อมมันหลบนั้นหลีกนี้ สายธรรมตรงไปตรงมา จึงขัดต่อสายตาประชาชนทั่วโลกซึ่งเป็นบ๋อยของกิเลส เห็นว่าธรรมนี้เป็นของแปลกประหลาดไปหมด เห็นเป็นของจริงของดิบของดีเป็นความเคยชินจนตายใจมาตั้งแต่เรื่องของกิเลสอย่างเดียว โลกจึงพูดถึงเรื่องของกิเลสโลกจึงไม่ตื่น โลกจึงไม่เห็นโทษของมัน โลกจึงไม่เคยคัดค้านกิเลส มันจะออกแง่ไหนยอมรับทั้งนั้น เรื่องของกิเลส
เช่น รักกันอย่างนี้มันก็พอใจรัก ชังมันก็พอใจชัง เกลียดพอใจเกลียด โกรธพอใจโกรธ ทุกอย่างพอใจหมด ถ้ากิเลสได้แย้มออกมาเท่านั้นวิ่งตาม ๆ ไม่มีอะไรคัดค้านกิเลสได้เลยว่าสิ่งนี้ไม่ถูก อย่างนี้ไม่มี นี่ละกิเลสมันถึงได้กล่อมโลกมานาน นี้เป็นประจำของสัตว์โลกมากี่กัปกี่กัลป์ ธรรมะมาเมื่อไรก็มาค้านกันอย่างที่ว่านี่แหละ ค้านกันก็คือชะล้างสิ่งที่สกปรกมอมแมมเต็มหัวใจสัตว์ เต็มกิริยาอาการความประพฤติของสัตว์ให้สะอาดไป ๆ ด้วยธรรมซึ่งเป็นของจริง เพราะฉะนั้นธรรมจึงออกตรงไปตรงมา แล้วมันก็ขัดต่อกิเลสเพราะกิเลสเคยเป็นข้าศึกต่อธรรมมาแต่กาลไหน ๆ
นี้แหละทีนี้เวลาออกคราวนี้ นี้ยังไม่เต็มเม็ดเม็ดหน่วยนะ หลวงตาพูดเฉย ๆ พอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่ามันต่างกันภาษาธรรมกับภาษากิเลส เราจะพูดว่าภาษาพระบ้านกับภาษาพระป่าผิดกันอย่างนี้ก็ถูกเข้าใจไหม คือพระบ้านท่านไม่ได้เทศน์อย่างเราไม่พูดอย่างเรา เราเวลาเป็นพระบ้านเรียนหนังสืออยู่ เราก็พูดแบบพระบ้านเทศน์แบบพระบ้าน ไปที่ไหนมองเห็นหน้าฟากทุ่งนา เจริญพรขึ้นเลย เข้าใจไหม มีแต่เจริญพร ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าผิดถูกชั่วดีประการใด แต่ภาษาธรรมไม่เป็นอย่างนั้น พอเห็นหน้า เข้าใจ ฟังให้ดีพอเห็นหน้า สูนี่ เข้าใจไหม คือมันมีความผิดเต็มตัวมา เข้าใจเหรอ มองดูใคร ๆ มีแต่ความผิดเต็มตัวมา ไม่ทราบว่าจะพูดอะไรมันถึงจะทั่วถึง ก็มีแต่ว่า สูนี่ เข้าใจไหมนิทานสูนี่ นี่ละข้อเปรียบเทียบ คือธรรมดูไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะ เมื่อดูไม่ได้แล้วก็ชะล้างกันไป พอชะล้างลงไปชำระลงไปนี้ กิเลสมันหาเรื่องใส่ปุ๊บว่าธรรมนี้โหดร้ายทารุณ ตัวมันโหดร้ายทำสัตว์โลกให้ล่มจมมานานแสนนาน มันไม่ได้เอามาพูด เข้าใจเหรอ นี่ละภาษาของธรรมกับภาษาของกิเลส จึงต่างกันอย่างนี้
ที่เราแสดงออกอย่างนี้ ไม่มีคำว่าเจตนาที่จะเป็นหยาบโลน ๆ ดังกิเลสหาเรื่อง ไม่มีสำหรับธรรม เป็นทางก้าวเดิน เป็นข้อเปรียบเทียบเป็นน้ำหนัก การประกอบทางเดินของธรรมเท่านั้นเอง ไอ้เรื่องเจตนาอย่างที่โลกกิเลสหาเรื่องไม่มี สำหรับธรรมท่านไม่มี นี่ก็เริ่มมาตั้งแต่เราออกแล้วแหละ มันก็เริ่มออกมาเรื่อย ภาษาธรรม ออกมาเรื่อยแล้ว ทีนี้มีหนักแน่นเท่าไรมากเท่าไรจะออกเรื่อยนะ จะออกเรื่อย ๆ กิเลสหนักเบาแค่ไหนมันจะออกรับกัน ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ
แบ่งรับแบ่งสู้กับโลกก็แบ่งมานานแล้ว คือไม่ให้ธรรมออกหมด ธรรมออกครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือเพียง ๒๕% นอกนั้นยอมให้กิเลสเสีย ๗๕% นี้ก็ขยับเข้าธรรมเริ่มขึ้น ๕๐% เข้าไปแล้ว ๆ ต่อไปจะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าโลกยังมีสารคุณประโยชน์ที่จะพอรับธรรมไปเป็นสิริมงคลแก่ตัวได้แล้ว ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนน้ำที่สะอาดจะออกเรื่อยชะล้างเรื่อย ๆ ก็เป็นประโยชน์แก่โลกทั่ว ๆ ไป นี่ละเรียกว่า ศาสนาชำระสิ่งสกปรกมอมแมม ซึ่งเป็นผลให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความลำบากลำบน เป็นอย่างนี้เรื่องของกิเลส แล้วก็เป็นอย่างนี้เรื่องของธรรมชะล้างกันมาโดยตลอดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจำเอานะ
เราพูดจริง ๆ เราไม่มีอะไรในหัวใจของเรา เปิดขนาดนี้ละ ใครจะมาตำหนิติเตียนหรือยกยอสรรเสริญเรา เราไม่มีความหมายกับคำเหล่านั้น เราพอทุกอย่าง เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด ธรรมที่นำมานี้เป็นวิมุตติ เอ้า พูดตรง ๆ อย่างนี้นะ มันจะเข้ากันได้อะไร จะไปสนใจอะไร มีความกล้าความกลัวอะไรกับสิ่งสกปรกโสมม ประสาถังขยะไปกล้ากับมันทำไม แล้วตั้งมวยใส่ถังขยะแล้วก็วิ่งเผ่นถังขยะ เป็นอะไรถึงต้องตั้งมวยใส่ถังขยะ จะต่อสู้กับถังขยะ แล้วทำไมวิ่งเผ่นกลัวถังขยะ ใครมีอย่างนั้น ธรรมเหนือทุกอย่าง คำว่ากล้าก็ไม่มี คำว่ากลัวก็ไม่มี ความจริงที่ตรงไหนออก ๆ อย่างนี้แหละ
ที่ออกมาอย่างนี้ยังไม่รุนแรงนะ ที่ซัดกันอยู่บนเวทีฆ่ากิเลสบนหัวใจนี้รุนแรงมากที่สุด อันนี้เอามาสอนโลกไม่ได้ ต้องให้ผู้ปฏิบัติไปรู้เอง บนเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ละอันนี้รู้จากผู้ปฏิบัติบนเวทีคือจิตตภาวนาเท่านั้น อันนี้รู้ ทีนี้ออกมาอันนี้มันขี้ปะติ๋วนะ ภายในของท่านจริง ๆ แล้วไม่ทราบว่าหยาบว่าโลนท่านไม่สนใจ ปั๊บเข้ามานี้คือข้าศึกฟัดเลย ไม่ว่าเล็กว่าใหญ่เป็นข้าศึกทั้งนั้น ๆ ๆ ในสายตาของธรรมดูกิเลส เพราะฉะนั้นจึงชินกันไม่ได้ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน จนกิเลสหงายหมด จ้าหมดแล้ว เป็นยังไงผลแห่งการปฏิบัติโหดร้ายทารุณหรือไม่โหดร้ายทารุณพิจารณาซิ ได้ผลมาพระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยความโหดร้ายทารุณเหรอ โหดร้ายก็โหดร้ายฟัดกับกิเลสนั่นเองจะเป็นอะไร จะโหดร้ายกับความดิบความดีอะไร นั่นฟังซิ
พระพุทธเจ้าพระสาวกฟัดกันมาทั้งนั้น ๆ ส่วนมากเป็นอย่างนี้ ส่วนที่ย่อย ๆ ก็มีท่านที่เป็นขิปปาภิญญา บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ไม่สมบุกสมบันหนักมากนัก แต่ผู้ที่เป็นแบบสมบุกสมบันกว่าจะได้พ้นมานี่ฟัดกับกิเลสขนาดไหน นี้มีจำนวนมากนะ ยิ่งสมัยทุกวันนี้ยิ่งหนักนะ นี่ละมันเป็นรุ่น ๆ อุปนิสัยของสัตว์ อุปนิสัยรุ่นที่หนึ่ง เขาเรียกว่าเหมือนผลไม้รุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่สอง รุ่นที่สาม รุ่นที่หนึ่งเหมาะสมทุกอย่าง บ่มไม่บ่มมันก็รอจะสุกอยู่แล้ว พอแย็บออกไปนี้สุกแล้ว ๆ นี่ผู้ที่รอความพ้นจากทุกข์รออยู่แล้ว ยกตัวอย่าง เช่น พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า นี่ประเภทรออยู่แล้ว คอยประตูเปิดเท่านั้น พอประตูเปิดพับโดดผึง ๆ จากนั้นก็ตามหลังกันไป เป็นรุ่นวิปจิตัญญู
รุ่นที่สามเนยยะ ทั้งห่วงข้างหน้าทั้งห่วงข้างหลัง ทั้งจะไปทั้งจะอยู่ ทั้งจะขึ้นทั้งจะลง แย่งกันระหว่างกิเลสกับสวรรค์ คนหนึ่งจะพาไปสวรรค์ โอ้โห ให้พักสบาย ๆ เสียก่อนวันนี้ไม่มีเวลา วันนี้เหนื่อยมาก ลากคอมันขึ้นสวรรค์ มันไม่อยากไปมันเหนื่อยมาก เข้าใจไหม ไปที่ไหนมันถึงไม่เหนื่อย ลงหมอนดังครอก ๆ มันตายแล้ว เหนื่อยหรือไม่เหนื่อยไม่รู้ นั่นละมันต้องการอย่างนั้นมาก นี่พวกประเภทที่สามแย่งกัน ถ้าฝ่ายใดหนัก สมมุติว่าฝ่ายต่ำหนักดึงลงไปได้เลย ฝ่ายดีหนักขึ้นได้ ท่านเรียกว่าเนยยะ แปลว่า ผู้พอแนะนำสั่งสอนหรือฉุดลากไปได้ ความหมายว่าอย่างนั้น
ส่วน ปทปรมะ มันยังเหลือแต่ลมหายใจ เป็นมนุษย์ชาติชั้นวรรณะใดก็ตามหัวใจมันเป็นปทปรมะ ไม่เอาไหนแล้ว รอแต่ลมหายใจ ตายแล้วก็ผึงเลย อย่างที่คนไข้หนัก เอาเข้าไปโรงพยาบาล คนไข้ทั้งหลายเขาได้รับการเยียวยารักษาจากหมอ พ้นจากโรงพยาบาลไปเยอะ เป็นปกติ หายโรคหายภัย ไอ้คนไข้แหวกแนวไม่เป็นอย่างนั้นนะ ไปนี้ปั๊บเข้าห้อง ไอ ซี ยู มันไม่ได้สนใจกับหมอกับยานะ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลย เพราะตัวมันหมดประโยชน์แล้ว คอยแต่จะไปเท่านั้น นี่ปทปรมะ ให้ดูพวกที่เข้าห้อง ไอ ซี ยู ก็แล้วกัน ให้ดูเอา ประเภทนี้ไม่ยอมฟังเสียงอะไร มีแต่รอลมหายใจ หมอเหมือนหนึ่งว่าไม่มีความหมาย
ก็จะมีความหมายอะไรก็คนไข้มันหมดความหมายแล้ว ยาจะไปรักษาคนตายได้ยังไง หมอรักษาคนตายได้ยังไง ก็รักษาคนเป็นละซิ นี้หมอก็เป็นคนเป็น ยาก็เป็นเครื่องรักษาคนเป็นให้ฟื้น อันนี้มันตายแล้วจะมารักษาอะไรเข้าใจไหม มันหมดราคาแล้ว จะไปตำหนิใครไม่ได้นะ ต้องตำหนิตัวของมันเอง ตำหนิหมอไม่ได้เขารักษาโรคหายมาสักเท่าไรจากโรงพยาบาล แต่คนนี้ทำไมมันแหวกแนวไป ก็เพราะโรคนี้เป็นโรคแหวกแนว ไม่ยอมฟังเสียงอะไร นี่ละประเภทหัวใจของโลก
เราอย่ามาดูเครื่องภายนอกภายใน แล้วการแต่งเนื้อแต่งตัว หรูหราฟู่ฟ่า ตึกรามบ้านช่องถนนหนทางยศถาบรรดาศักดิ์ อย่ามาดู อันนี้เป็นเครื่องหลอกของกิเลสทั้งนั้นทำให้ลืมตัว ดูหัวใจ เอาเครื่องวัดกันตรงนี้เลย หัวใจเรามันเกี่ยวกับบาปกับบุญเหล่านี้ กับที่มันไปตามอัตโนมัติของมัน ไม่สนใจบาปบุญคุณโทษอะไรเลย อะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน ให้ดูหัวใจเรานะ นี่ละปทปรมะก็อยู่ที่นี่ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ อยู่ที่นี่ ไม่อยู่ที่อื่นนะ ถ้าอยากมีแต่ความพ้นทุกข์ ๆ โดยถ่ายเดียว นี่ละพวกจะไปได้อย่างรวดเร็วไม่ขัดไม่ข้อง ถึงไม่เป็นแบบอุคฆฏิตัญญูอย่างครั้งพุทธกาล ก็เป็นแบบอุคฆฏิตัญญูในสมัยปัจจุบันนี้ รวดเร็วได้ เข้าใจไหมล่ะ ไปได้ ๆ หนุนกันไปได้
ถ้าคิดเรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องศีลเรื่องทานนี้จิตใจเหี่ยวห่อ นี้ให้เขียนใบจมให้มันเลย ดูตัวเองนะ อย่าไปดูที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนลงที่นี่นะ ท่านไม่ได้สอนที่ไหน สอนลงที่หัวใจของสัตว์โลก ว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ ลงที่หัวใจโลกทั้งนั้น ไม่ได้ไปขึ้นต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ตึกรามบ้านช่องที่ไหน อยู่ที่หัวใจสัตว์ ให้ดูหัวใจเรานะ ถ้าหัวใจเราไม่เป็นท่าแล้ว ให้รีบแก้ถ้าจะแก้ได้ เรียกว่า เนยยะ เอ้า พอแก้ได้รีบแก้ ถ้าไม่แก้จมถ่ายเดียว ใครจะอวดเก่งกว่าศาสดาองค์เอกไม่มีทาง เก่งก็เก่งที่จะทำลายตัวเองโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
เรื่องธรรมเป็นของเล่นเมื่อไร พูดจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าเป็นลวดเป็นลายแล้วมันผางเลยทันทีนะ อยู่ในนี้น่ะ มันของเล่นเมื่อไร พระพุทธเจ้าน้ำพระเนตรไหล อัศจรรย์ธรรม ๑ แล้วดูสัตวโลกเรียกว่า หนาแน่นเกินประมาณ เกินกว่าที่จะมาฉุดลากได้ ๑ ทรงท้อพระทัย นี่ละเห็นไหม ทั้ง ๆ ที่ตั้งความปรารถนามากี่อสงไขยจนได้ตรัสรู้ ที่จะสอนโลกไปอย่างง่ายดาย ที่ไหนพอตรัสรู้มันจ้าขึ้นซิ จ้านี้มันก็เห็นหมด รายไหนเป็นปทปรมะ รายไหนเป็นเนยยะ รายไหนเป็นอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู มันก็รู้หมดน่ะซี ทีนี้อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู หรือเนยยะ นี้มีจำนวนน้อยมาก ส่วนปทปรมะนี้เกลื่อน ถ้าเป็นโรงพยาบาล คนไข้ธรรมดาไม่มีที่อยู่ มีแต่พวกปทปรมะ คือ ไอ ซี ยู เข้าไปกองอยู่นั้นหมด ในโรงพยาบาล แทนที่จะมีรายสอง มันกลับเป็น ไอ ซี ยู นี้เต็มโรงพยาบาล คนไข้ปกติที่จะหายจากโรคจากภัยจากหมอด้วยยาของหมอนี้มีน้อยมาก ๆ กลับเป็นอย่างนั้นไปแล้วนะ
ผู้ที่จะฝืนบืนลงนรกนี้มันเต็มโลกเต็มสงสารนะ มีแต่พวกอวดดีทั้งนั้นแหละพวกนี้ ครั้นเวลาลงไปนรกแล้วมันไม่เห็นอวดดี เห็นไหมคนติดคุกในเรือนจำ มีแต่มันอวดทั้งนั้น พวกเจ้าของสมบัติทั้งหลายมีเจ้าหน้าที่เป็นต้น ที่จะคอยควบคุมความสงบร่มเย็นของชาติบ้านเมืองมันมาลูบจมูกหมด พวกนี้หูหนวกตาบอด มันเก่งแต่มันคนเดียวที่เป็นนักเลงโต ไปที่ไหนเอาได้ ๆ แล้วสุดท้ายไปติดคุกติดตะราง เป็นยังไงมันมีฤทธิ์ไหมล่ะ มันว่ามันเก่ง ไปติดคุกแล้วมันเก่งอะไรเห็นไหมล่ะ นี้ก็เหมือนกันเวลาเรายังไม่ได้ลงนี้เราก็เก่ง ใครก็เก่ง เอ้า เก่ง แล้วเอาหมอนมาอวดธรรมพระพุทธเจ้า ก็เอามา อยู่ในครัวนี้ยิ่งเยอะหมอนนะ ให้ไปเอามาอวดธรรมพระพุทธเจ้า สู้หมอนข้าไม่ได้ เอาซิ เวลาไฟไหม้หมอนไหม้หัวมันอย่าว่าไม่บอกนะ ไฟนรกนั่นแหละ มันนอนจมอยู่กับหมอน ไหม้อยู่กับหมอน พากันจำเอา
นี่พูดถึงเรื่องธรรมออกสู่ตลาดให้โลกทั้งหลายได้ทราบ ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าเทศน์เพื่อความเป็นธรรมแล้วต้องเทศน์อย่างนี้ เทศน์อย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเทศน์วิ่งตามกิเลส ไปที่ไหนก็เจริญพร ได้กล้วยมาถวายเหรอ อุ๊ย กล้วยอย่างนี้มันหายากนะโยมนะ อยากให้เขาหามาให้มาก ๆ มันหายาก มันเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้พูดตามความสัตย์ความจริง เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ วันไหนก็เทศน์ทุกวัน
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|