เทศน์เนื่องในโอกาสที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ากราบนมัสการหลวงตาที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ
วันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เย็น]
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : กราบรายงานท่านอาจารย์ครับ พันธบัตรขายหมดจนผมไม่เคยเห็น เหมือนปาฏิหาริย์ พันธบัตรที่ขายคราวนี้สามแสนล้านปาฏิหาริย์ หากขายสามสิบวันหมดผมก็ดีใจแล้ว แต่นี่เพียงแค่สองวันมันจะหมดเอา สามวันหมด
หลวงตา : ขายได้รวดเดียวอย่างนั้นเหรอ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : เริ่มขึ้นเหลือเชื่อครับ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์
ผู้กำกับ : ผู้ว่าบอก ขายภายใน ๓๐ วันก็พอใจแล้ว แต่นี่สองวันก็หมดแล้วครับ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : เขาเคยขายมาครั้งก่อนสองหมื่นล้าน เดือนหนึ่งยังไม่หมดต้องต่ออีกนิดหนึ่ง คราวนี้ผมก็สามแสนล้านเผื่อไว้หากผิดพลาดเข้า ผมก็กะว่าเอาสัก ๔๕ วัน พอขายจริง ๆ สองวันครึ่งก็หมดเลยครับ ผมนี้ตกใจ ขายหมดเลยครับ ธนาคารพาณิชย์ก็ตกใจ เขากลัวขายไม่หมด มันเหลือเชื่อ ทุกคนบอกไม่เคย มันปาฏิหาริย์ ได้อย่างใจนึกทุกอย่าง ท่านอาจารย์ทำอะไรให้ผมหรือเปล่า
หลวงตา : ได้ผลดีเกินคาด เหลือเชื่อ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : แต่วัตถุประสงค์ดี วัตถุประสงค์คือล้างหนี้ที่เป็นขยะให้มันหมดเสียที ก็เลยช่วยกัน หมดแล้วครับตอนนี้ สบายใจ ประเทศชาติดีหมด
หลวงตา : สมกับเจตนาความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าของเราตั้งแต่เริ่มแรกช่วยชาติ ตั้งใจ เรียกว่าจะหาจนสุดความสามารถแล้วหัวใจขาดดิ้นก็ไม่ถอยว่างั้น ทีนี้ก็สมเจตนาแล้ว ก็คิดสิว่าอะไรมาผ่านไม่ได้ ได้ขึ้นเวทีแล้วอะไรผ่านไม่ได้เลย คอเขาไม่ขาดเราก็ต้องขาด ไม่ถอย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : นักวิเคราะห์ฝรั่งต่างชาติมาหาผม ผมก็เล่าให้ฟัง เขาบอกว่าปัญหาหมดแล้ว เขาก็ดีใจที่ทุกอย่างมันหมดแล้ว ปัญหาหนี้ที่หมักหมมหมด ต่อไปนี้ก็เดินหน้าอย่างเดียว โชคช่วยจริง ๆ สงสัยท่านอาจารย์ทำอะไรให้ผม บารมีท่านอาจารย์คงไปทำอะไรให้ถึงได้หมดเร็วอย่างนี้
หลวงตา : บารมีทุกคนแหละ อุดหนุนติ้ว ๆ ไม่บารมียังไง
ผู้กำกับ : ชื่อก็ดี พันธบัตรช่วยชาติ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ขโมยชื่ออาจารย์ไป ชื่อว่า"พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ"ครับ ตกใจนะฮะ ผมทำใจ ๑ เดือน อุตส่าห์ไปจองหนังสือพิมพ์ไว้ตั้งหลายฉบับ กะจะลงหนังสือพิมพ์เรียบสลับทุกวัน ๓๐ วัน คนจะได้เห็นแล้วซื้อ แต่เพียงแค่ ๒ วันก็ขายหมดเลยต้องไปถอนโฆษณา จ่ายเขาครึ่งหนึ่ง ท่านนายกฯทักษิณก็ตกใจ รองนายกฯดร.สมคิดก็ตกใจ บอกไม่เคยเห็นเลยอย่างนี้ ธนาคารพาณิชย์เองที่เป็นคนขายบอกเขาก็ไม่เคยเห็นอย่างนี้เหมือนกัน เมื่อก่อนเวลาเขาขายหุ้นเขา ๒ หมื่นล้านเขาก็เหนื่อยกว่าจะหมด ธนาคาร ๒ เดือนกว่าจะหมด เขาบอกนี่อะไรก็ไม่รู้มันหมดเหมือนขายขนมแย่งกัน
หลวงตา : กี่วันขายหมด
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ๒ วันครึ่งครับ
หลวงตา : ตามคาดหมายธรรมดากับงานประมาณเท่าไร
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ผมตั้งไว้ ๔๕ วัน แต่ใจ ๓๐ วัน แต่นี่ ๒ วันครึ่งครับ ถึงเที่ยงวันหมดแล้วครับ
หลวงตา : มันเป็นวาสนาของชาติไทยเรา
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ชาติไทยเรามีพระคุ้ม ตอนที่ผมออก มีคนเขาบอกว่าผมเอาคอขึ้นเขียง คือถ้าพลาดเหมือนเสียชีพเหมือนถูกตัด เอาคอขึ้นเขียง ผมบอกมันต้องลอง เพราะคราวนี้ถ้ามันทำได้มันหลุดหมดจริง ๆ เขาบอกโอ้โหมันเหลือเชื่อ ผมก็ยังไม่เชื่อ บอกขึ้นเขียงก็ขึ้นเขียง อย่างมากก็ตาย ธนาคารพาณิชย์เองก็ตกใจ โล่ง พอหมดนี่นอนหลับสบาย ไปเมืองนอกฝรั่งมังค่าต้อนรับกันอย่างดี
หลวงตา : แล้วที่เราว่านี้ฝรั่งเขาเชื่อไหม
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : เชื่อแล้วครับ สถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พีที่ให้เครดิตเรามาหา เล่าให้ฟังเขาตกใจ คราวนี้มันเป็นเหมือนกับความร่วมมือกันของประชาชน ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลาง รัฐบาลร่วมมือกันหมด มันเป็นสิ่งที่ร่วมมือกันหมด ประชาชนไม่ซื้อเราก็ไม่ได้ ธนาคารพาณิชย์ไม่ขายก็ไม่ได้ ธนาคารกลางไม่ช่วย รัฐบาลไม่ช่วยก็ไม่ได้ มันเหมือนกับร่วมมือกันจริง ๆ ไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง แล้วก็แปลกเรื่องนี้เข้าสภาฝ่ายค้านก็ไม่ตี ไม่เถียง วุฒิสมาชิกก็ไม่ว่า มันเดินได้หมด เดินสะดวกจนผมตกใจ ตอนนี้หนังสือพิมพ์ช่วย อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ช่วย ส่งคนไปอธิบายเข้าใจ
หลวงตา : ทีนี้ก็ยังตั้งแต่ทองคำ ๑๐ ตันเดี๋ยวนี้ก็ยังเร่งเครื่อง เห็นหน้าใครไหนล่ะทองคำ เขาเลยไม่อยากดูหน้า
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ท่านอาจารย์ทำแบบสบายใจได้ ต่อไปนี้ถือเป็นของแถมครับ ตอนนั้นถือว่าต้องสู้เดี๋ยวนี้เป็นของแถมแล้ว ท่านอาจารย์ทำแบบสบาย
หลวงตา : ไม่ก็ไม่สบาย เราจะต้องได้ต่อยเสียก่อน ตอนนี้ต่อยไปได้ ๕ ตันกว่า ๔ ตันกว่ายังต้องต่อยต่อไปอีก เราก็พอใจ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : นายกฯดีใจ บอกเกิดมาไม่เห็นอะไรอย่างนี้ ผมก็ไม่เคยเห็น มันเหมือนอะไร ช่วยกัน แย่งกัน ถ้าไม่หยุด ถ้าปล่อยไว้หนึ่งสัปดาห์จะถึง ๕ แสนล้าน พวกแบงค์พาณิชย์เขาบอก ถ้าปล่อยอีก ๒ วันอีก ถึง ๕ แสนล้านแต่เราไม่มี ถ้าออกมากเราจะไม่มีดอกเบี้ยจ่าย เพียงงบประมาณดอกเบี้ยใน ๒ ปีหน้าจะไม่พอ ในระยะยาวน่ะพอ ท่านรองนายกฯสมคิดก็บอกเอาเท่านี้ก่อน ธนาคารพาณิชย์คุยครั้งแรกเขาบอกไหวเหรอ บอกไม่รู้สิ ก็คุยด้วย ในที่สุดเขาว่าไหว ยังสนุกเลยฮะวันผมเสนอเรื่องนี้ให้ ค.ร.ม. พอเสนอเสร็จ ค.ร.ม.ก็พอใจก่อนอนุมัติ แต่มีรัฐมนตรีคนหนึ่งถามมาว่า แล้วเรื่องนี้มันเหมือนกับจะไปโดนในบัญชีของหลวงตานะ เดี๋ยวอนุมัติออกมาแล้วลูกศิษย์หลวงตามาประท้วงว่ายังไง ผมก็เลยรายงานใน ค.ร.ม.บอก ผมก็กราบหลวงตาแล้ว หลวงตาอนุญาต เขาถามผมก็ต้องตอบ หลวงตาอนุญาตถึงได้มาเสนอ อนุมัติผ่านแล้วหลวงตาจะเทศน์ให้ด้วย เขาชอบใจกันใหญ่เลยครับ
หลวงตา : ตกลงเขาก็ไม่ค้าน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : เขาไม่ค้านครับ เขาชอบอยู่แล้วแต่เขาเป็นห่วงเพราะออกมามันจะไปโดนดอกผลของบัญชีนิดหนึ่ง เขาห่วงเดี๋ยวคุณทองก้อนยกขบวนมาลุยผมอีก ผมก็บอกไปกราบหลวงตาแล้ว เขาชอบใจกันใหญ่ ไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยตอบตรง ๆ ไปกราบหลวงตาแล้วท่านอนุญาต เขาเลยปรบมือชอบใจ แต่เขาเข้าใจ เขาเข้าใจว่าพระ-เจ้าคืออะไร ตอนนี้เราเดินหน้า หลังไม่ต้องห่วง เดิมผมห่วงหลังมาก ทีนี้หลังไม่ต้องห่วงเดินหน้าอย่างเดียว แล้วทุนสำรองระหว่างประเทศตอนนี้มีสูงถึง ๓ หมื่น ๘ พันกว่าล้าน เกือบเท่าตอนที่สูงสุด ตอนสูงสุดคือตอนตุลาคม ๒๕๔๓ มี ๓ หมื่น ๙ พัน ๙๐๐ ล้าน ตอนนี้ ๓ หมื่น ๘ พันกว่าล้าน สูงมาก เรียกว่าสูงเกินพอแล้วครับ ๓ หมื่นผมก็พอ ก็เลยยิ่งสบายใจ มีสำรองไว้ถ้าเกิดฉุกเฉิน แต่ฉุกเฉินมันมีอีกตัวไว้สู้ศึกได้ ทุกอย่างมันดีหมดนะครับ
หลวงตา : หลวงตาก็พอใจ เบาใจ เพราะจิตเรามันแบกชาติศาสนานี้เต็มหัวอก ประหนึ่งว่าแบกอยู่ทางใต้ดิน ว่างั้น รู้สึกว่าโล่งใจขึ้นชัด ๆ คราวนี้โล่งใจมาก เพราะจิตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะงั้นกิริยาท่าทางที่ออกถอยไม่ได้ใช่ไหม
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ตอนที่ผมอธิบายสื่อมวลชน นักหนังสือพิมพ์ น่ะครับ ผมอธิบายเหมือนที่เอาตัวเลขไปเรียนท่านอาจารย์กับพระ เขาบอกโอ้ยเข้าใจง่าย ที่ผมเรียนท่านอาจารย์ก็แบบนี้ เขาเลยบอกเหมือนกันเข้าใจจบ
หลวงตา :
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : คือเมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจ ผมจำได้ คุณธัญญา (ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.) บอกว่าท่านอาจารย์เคยบอกรัฐมนตรีชุดก่อนไปแล้ว เคยบอกต่อหน้าเลยว่าถ้าตักไปขันสองขันไม่ว่าอะไร แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ไปตีความ ท่านอาจารย์เคยบอกเมื่อตอนราว ๆ กันยายน ๒๕๔๓ บอกรัฐมนตรีที่มาเข้ากราบหลวงตาที่สวนแสงธรรม ตอนนั้นหลวงตาบอกไปว่าไอ้จุดนี้จะเอาไปขันสองขันไม่ว่าอะไร(แต่อย่าไปทุบตุ่มคลังหลวงโดยรวมบัญชี) เขาไม่ได้ไปตีความ ถ้าเขาตีความเขาก็ทำอย่างนี้ได้ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว เขาไปคิดแบบเดียวกับฝรั่ง
หลวงตา : ตอนนั้นรวม(บัญชี)มันกระเทือนจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ถึงขนาดที่ว่า "อย่าแตะคลังหลวง" นั่น ของเล่นเมื่อไหร่ ถ้ามีปัญญาให้ไปหามา แตะไม่ได้ บอกว่าอย่าแตะแล้วยังไม่แล้ว ถ้ามีปัญญาให้ไปหาเข้ามาเพิ่มถึงจะถูกนะ รุนแรงมาก เบาใจทีนี้เบาใจ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ครับ เบาใจทุกคน ตอนนี้ก็ทุกอย่างในประเทศเราเริ่มดีหมด การใช้กำลังผลิต คือเรามีเครื่องจักร เมื่อก่อนเราใช้อยู่ ๕๒-๕๓%เดี๋ยวนี้ขึ้น ๖๐%แล้ว ยอดส่งออกราคาไม่ขึ้นเพราะของมันเหลือทั้งโลก แต่ปริมาณออกมากขึ้น ก็แปลว่ามีการผลิตของมากขึ้น ก็ปรากฏว่าการใช้แรงงานเพิ่มขึ้น คนงานก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ตอนนี้ก็ใช้เงินซื้อของมากขึ้น เพิ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ๔.๔% พอเริ่มใช้เงินซื้อของมากขึ้น มีงานทำมากขึ้นเศรษฐกิจมันเริ่มหมุนแล้วครับ มันยังไม่เร็วจี๋เหมือนเมื่อก่อน แต่มันเริ่มเห็นอย่างชัดเจน มันเริ่มดีขึ้นหมดในประเทศ ตอนนี้ก็คือ จริง ๆ ในประเทศผมไม่มีอะไรห่วง ผมกลับเป็นห่วงที่สหรัฐอเมริกา ที่เขาโกงบัญชีกัน ที่สหรัฐบริษัทโกงบัญชี คือผู้บริหารจะเอากำไรเยอะ ๆ ก็โกงบัญชี มันเริ่มจับกันได้ พอเริ่มจับได้มันก็มีผลให้หุ้นสหรัฐฯหวบตกลง พอราคาหุ้นลง คนสหรัฐอเมริกันประมาณ ๘๐%ลงทุนในหุ้น สมบัติก็เริ่มลดค่าลง ก็เลยใช้จ่ายเงินน้อยลง ไอ้ตรงนี้ลำบากเพราะไอ้ที่เขาจ่ายเงินเขาซื้อของเราด้วย ตอนนี้กลัวว่าเขาจะลดการซื้อของจากเรา แต่ยังไม่เห็นชัด ตอนนี้ภาวนาอย่าให้มันรุนแรงกว่านี้ ภายในก็มีนะครับ รอศึกจากภายนอก แต่ถ้าสหรัฐฯไม่เลวไปกว่านี้ก็ไม่เป็นไร แปลว่าเราจะเดินได้รอด เหลืออันนี้เรื่องเดียวครับ เรื่องอื่นเข้ารูปหมดแล้วครับ ธนาคารก็ยังไม่แข็งแรงเต็มที่เหมือนเมื่อตอนสมัยก่อน แต่ว่ามีกำไรที่ธนาคาร ปีที่แล้วยังมีขาดทุนบ้างกำไรบ้าง ปีนี้กำไรที่ธนาคาร มากบ้างน้อยบ้าง ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ แต่คิดว่าอันนี้ไม่ต้องห่วง พอปีหน้าผมก็ทำให้มันดีขึ้นก็คงจะไปได้ ห่วงอันเดียวคือห่วงฝรั่งมันโกงบัญชีแล้วมันจะหุ้นราคาตก ผมคิดว่าภายในเดือนนี้เรื่องจบได้สวยก็คงหมดปัญหา กำลังตามดูสถานการณ์อยู่
ผู้กำกับ : ประเทศจีนได้ช่วยอะไรไหม
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : จีนไม่ได้ช่วยหรอกครับ จีนเป็นคู่แข่งมากกว่า แต่ว่าเราก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้เพราะเคยจนมา เราต้องเตรียมตัวเอง เราก็ต้องแข่งกับเขาให้ได้ จีนมาตลาดนี้เราก็หนีไปตลาดอื่นซะ เมื่อก่อนเราไปแย่งตลาดเขามา แล้วนี่มันโลกของการแข่งขัน เขาซื้อของเราไม่ได้ แต่ว่าก็อย่าไปว่าอะไรเขา เราต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ เวลาไม่ดีเราว่าใคร ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
เออ ท่านอาจารย์กลับเมื่อไรครับ
หลวงตา : ก็วันพรุ่งนี้แหละ พอฉันเสร็จแล้วก็กลับ
ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนั้นละ มันเทศน์หลงหน้าหลงหลังไปอย่างนี้แหละ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ไม่เป็นไรครับ
หลวงตา : เทศน์อยู่(กรมประชาสัมพันธ์)เมื่อวานนี้ก็ยังได้บอก หลงแล้วนั่น จะว่ายังไง แต่ก่อนไม่เคยมี เมื่อวานยังพูดได้ถึง ๒ หนใช่ไหมละ ลืมแล้วนั่น เอ้า ตั้งใหม่ ต่อไปมันจะเทศน์ไม่ได้คือสัญญาดับปั๊บๆ แต่ก่อนไม่เคยเป็น เดี๋ยวนี้เริ่มมากแล้ว ทีนี้ทองคำยังไม่ได้ถึง ๑๐ ตัน ถ้าทองคำ ๑๐ ตันเมื่อไรมันล้มทันทีนะ คือนี้มันเป็นสายเกี่ยวโยงกันไปหมดหาธรรม เราว่าจะเอาทองคำ ๑๐ ตัน แต่ถ้าสายเกี่ยวโยงไม่มี การเทศนาว่าการก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงได้ตะเกียกตะกาย เอ้า หลงตั้งใหม่จนกว่าทองคำจะได้ ๑๐ ตัน พอ ๑๐ ตันแล้วตูมเลยทันทีไม่ได้บอกแหละ ทีนี้ทองคำก็เร่งขึ้นเรื่อยๆ แหละ ทีนี้ทองคำนะ รู้สึกว่าเร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน นี่มาคราวนี้ได้แล้ว มา ๗ วันนี้ได้เท่าไหร่แล้ว
ผู้กำกับ : ได้ ๑๗ กิโลฯ กว่าแล้วครับ แล้ววันนี้ก็ได้มา ๑ กิโลฯ จากคุณชายปั๋ม
หลวงตา : นั่น ๑๘ กิโลฯ แล้วนะ นับว่ามากคือมาภายใน ๗ วัน ตามธรรมดาหลวงตาไปทางไหนขึ้นไปทางนั้น ๆ อันนี้มาคราวนี้บอกเลยว่านี่มาเร่งทองคำนะ อย่ามองหน้าเฉยๆ นะ ขู่เลย ขู่ด้วย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : มีเรื่องมากราบขอหลวงตาครับ คือปีนี้ วันที่ ๑๐ ธันวาคม นะครับ ปีนี้จะเป็นปีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยอายุครบ ๖๐ ปี ในช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมาดวงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเองได้เรียนถามพระอาจารย์ปิ๋วไว้ว่า ผมอยากจะกราบนิมนต์พระสายวิปัสสนาธุระนะครับ คล้ายๆ กับไปสวดให้เป็นมงคลมหามงคลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสักทีหนึ่ง อย่างที่ท่านอาจารย์เคยทำให้ที่สนามหลวงนะครับ อาจจะไม่ใหญ่แต่ว่าเป็นลักษณะที่เอาพระสายวิปัสสนาธุระที่ปฏิบัติแก่กล้าจริงๆ สวดเป็นมงคล คิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังไงๆ ก็ยังต้องอยู่ต่อไปอีกนานก็อยากให้เป็นมงคล อย่าให้มีอะไรมาทำให้มันเสียได้ ที่ตั้งใจไว้ว่าประมาณ ๙-๑๐ ธันวาคม อันนี้ก็กราบเรียนท่านอาจารย์เสียก่อน จะมีองค์ไหนบ้างแล้วแต่หลวงตาครับ
หลวงตา : แล้วจะเอาประมาณสักกี่องค์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ผมก็แล้วแต่ท่านอาจารย์จะแนะนำ ท่านอาจารย์เป็นหัวเรือ เอา ๖๐ องค์ครับถึงจะเป็นตัวเลขที่เป็นมงคลจริงๆ
หลวงตา : แต่การสวดการอะไรให้เป็นเรื่องของพระนะ ไม่ให้เป็นเรื่องของหลวงตาเลยเถอะนะ ให้เป็นเรื่องของพระทั้งนั้นละ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ท่านอาจารย์ต้องเลือกพระ ท่านอาจารย์ต้องอนุมัติก่อน ตัวผมคงอยู่เดี๋ยวด๋าว แล้วก็ไป แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังอยู่อีกนานครับ ไม่อยากให้เสียหายอะไรเกิดขึ้นอีก ตอนนั้นขาดสติทำอะไรเสียหายกันมาก
หลวงตา : จะเอามากใช่ไหมละ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : แล้วแต่หลวงตาครับ
หลวงตา : เราว่าอยู่ในขนาด ๓๐ ลงมานี้จะเหมาะกว่า ให้พิจารณาติดต่อตามวัดนะ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ยังไงผมจะติดต่อพระอาจารย์ปิ๋วครับ แล้ววันนั้นผมจะได้เรี่ยไรทองคำจากทุกธนาคารด้วย เอาทุกธนาคารเลย ท่านอาจารย์ยังเดินรับบิณฑบาตอยู่ไหมครับ
หลวงตา : เดี๋ยวนี้ไม่ออก อยู่ในวัดก็ไม่ออก เรื่องการบิณฑบาตเรายังบิณฑบาตได้นะ แต่เราคำนวณถึงเหตุถึงผล ผลได้ผลเสียของเรานี้ คือเราไม่บิณฑบาตแต่ถึงเวลาที่พระออกบิณฑบาตเราก็เข้าทางจงกรม เอา ๒ อย่างนี้เทียบนะ เข้าทางจงกรมได้ผล ไม่ใช่เราขี้เกียจนะ คือถ้าเราออกไปบิณฑบาตคนรุมใส่บาตร พอรุมใส่นี้เดี๋ยวเทบาตรไม่นานเดี๋ยวก็เวียนหัว เดี๋ยวเทซัดไปทางอื่นนะ นี้แหละเพราะมันเคยเป็นอยู่แล้ว ทีนี้พอถึงเวลาเราเข้าเดินจงกรม อันนี้พิจารณาโล่งทุกอย่าง ผลประโยชน์ช่วยโลกก็ได้ในขณะที่เดินจงกรม พิจารณาอะไรก็กว้างขวางเบิกบาน ในขณะนั้นก็เป็นขณะสำคัญของเรา เรียนให้ทราบ ไม่เคยพูดนะ ก็มีแต่เพียงว่าเดินจงกรมสะดวกกว่าเท่านั้นแหละ แต่เรื่องราวมันอยู่ลึกลับอยู่ภายในนี้ เวลาเดินจงกรมเป็นเวลาที่ได้ผลมากยิ่งกว่าที่เราไปบิณฑบาต บิณฑบาตดีไม่ดีเสียทั้งธาตุทั้งขันธ์ แล้วก็อาจจะมีเซล้มก็ได้นี่นะ จึงเลือกเอาทางนี้ เราจึงไม่ไป
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : ท่านอาจารย์(อายุ ๘๙ ปีแล้ว) ยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะครับ
หลวงตา : การขับฉันก็เป็นปกติ ธาตุขันธ์เรื่องกำลังวังชาก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : หัวใจเต้นปกติไหมครับ
หลวงตา : ปกติๆ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร : มีคนจะเข้ากราบท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกราบลาท่านอาจารย์เลยครับ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |