โรงงานใหญ่ของหลวงตา
วันที่ 11 มิถุนายน 2542
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒

โรงงานใหญ่ของหลวงตา

        เมื่อวานนี้ก็ไปกราบหลวงปู่มั่นที่พิพิธภัณฑ์ เราไปเป็นประจำ เช่น จะไปกรุงเทพฯก็ไปกราบท่าน เวลาขากลับมาก็ไปกราบท่าน ไปที่ไหนนาน ๆ ไปกราบ เป็นที่อบอุ่นเป็นที่ซาบซึ้ง ในโลกทั้งหลายนี้รู้สึกว่าผู้ที่ให้กำเนิดแห่งธรรมที่เลิศเลอนี้ หลวงปู่มั่นนั่งอยู่บนหัวใจเราตลอด ไม่มีใครจะสอนได้อย่างท่าน เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด เราไม่ได้สนิทติดพันกับท่านเหล่านั้นบรรดาที่เป็นครูบาอาจารย์ แต่หลวงปู่มั่นนี้ติดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ไม่มีถอน และอนันตกาลไปเลย  ไม่มีถอน  อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้ามายุ่งไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ จะให้เคลื่อนนี้ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นจึงไปกราบท่านด้วยความซาบซึ้ง

        เราไม่ลืมนะ แหม ท่านจี้ลงจุดไหนนี้เป็นจุดมหาภัย ๆ เราไม่รู้ เราเพลินอยู่กับมหาภัย เช่นอย่างสมาธินี่ พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น ท่านสอนเพื่อการก้าวไปต่างหาก ท่านไม่ได้สอนเพื่อให้นอนจมติดอยู่นั้น ถ้าติดอยู่นั้น นั้นก็คือมหาภัย นี่สำคัญนะ ท่านไม่ได้ให้นอนจมอยู่ เช่น ในศีล ศีลเพื่อสมาธินี่ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติหลุดพ้น พอถึงนั้นแล้วท่านไม่พูดอะไรต่อไป ในธรรมท่านสอนไว้อย่างนั้น

เราก็ไปติดอยู่ในสมาธิ เพลินอยู่นั้น ไม่ลืมนะ ท่านถามเรื่อย นาน ๆ ถามที เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ อู๋ย ตอบทันทีเลย สงบดีอยู่ ว่างั้นเลย ก็มันแน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูก นี่ละสมาธิทำความอบอุ่น ให้ความร่มเย็นแก่ผู้ปฏิบัติเป็นอย่างนั้น เย็น ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดเลย อะไร ๆ ทางนอกมันปล่อยเข้ามาหมด แต่มันมาอยู่ที่นี่ เรียกว่ากิเลสรวมตัวมาอยู่ที่นี่ไม่ออกเพ่นพ่าน ก็ไม่ก่อฟืนก่อไฟเผาตัวเอง เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบสบายดีอยู่เหรอ สบายดีอยู่ ว่าอย่างนี้เลย ทีนี้ท่านก็คงว่า โอ๋ นี่มันจะเป็นบ้าอยู่ในมหาภัยนี่คงว่าอย่างนั้น การติดสมาธินั้นแลเป็นมหาภัย ไม่ใช่สมาธิเป็นมหาภัย การติดของตัวเองนั้นละเป็นมหาภัย โห เราซึ้งขนาดนี้นะ ซึ้ง ๆ อย่างไม่มีวันถอนเลย

พอนานเข้า ๆ นี่ไม่ได้การ ใครจะไปเผาศพมัน มันตายอยู่ในสมาธินี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปเผาศพแหละ เราจะไปเผาให้ ความหมายว่าอย่างนั้นนะ ไปเผาศพคนตายในสมาธิให้ อยู่ ๆ ก็เป็นยังไงท่านมหา จิตสบายดีอยู่เหรอ สบายดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั้นเหรอ ทันทีเลยนะ หือ ท่านจะนอนตายอยู่ในนั้นเหรอ ท่านรู้ไหมว่าความสุขในสมาธินี่เท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมีความสุขยังไงบ้าง เอ้าว่ามา นั่นน่ะเห็นไหมบทเวลาจะเอา คือเนื้อติดฟันเราจะถือเป็นความสุขได้ยังไง มีแต่จิ้มมันออกใช่ไหมล่ะ อันนี้เรายังเอาเป็นเนื้อเป็นหนังเสียเอง..สมาธิ สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟันท่านรู้ไหม หือ ๆ เข้านะ

สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม หือ ๆ เอาละจ้อเข้า ตรงนี้เถียงท่านบ้าง ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่งแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน เราก็ว่าอย่างนั้นซิ สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า สัมมาสมาธิคือความชอบด้วยปัญญา สมาธิต้องเป็นสมาธิด้วยสติด้วยปัญญา นี่สมาธินอนจมอยู่เหมือนหมู นี้เหรอสมาธิที่เป็นมรรคผลนิพพาน ท่านว่า ทีนี้ถอย ๆ นะหมอบ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิแบบหมูขึ้นเขียงเหมือนท่านนี่นะ นี่เป็นจุดใหญ่นะนี่ ใครจะไปสอนให้ออกจากสมาธิได้ ขนาดฟาดมันหมดทั้งรังโยนเข้าป่าหมดให้มันหาใหม่ ความหมายว่างั้น ถ้าพูดธรรมดาแบบแบ่งรับแบ่งสู้ มันจะกว้านเอามาติดหมด ต้องเอาออกหมดทั้งรังของสมาธินี้ โยนเข้าป่าให้มันหาใหม่ถ้ามันมีปัญญา ความหมายว่างั้น นี่จุดสำคัญมากนะ

สมาธิก็เป็นคุณธรรมเป็นทางก้าวเดินเพื่อปัญญา วิมุตติหลุดพ้น แต่ไปติดในสมาธินี่ซิมันเป็นภัย ถ้าติดยังไม่ยอมถอนตัว ติดไปเลยนี้เรียกมหาภัยในการติดสมาธิ นี้จุดหนึ่ง ท่านว่าจุดไหนนี้ แหม หาที่ค้านไม่ได้นะ นี่จุดสำคัญจุดแรก โถ ติดเพลินในสมาธินี่มันไม่มีวันจืดจางหนา เพียงสมาธิเท่านั้นก็พออยู่พอกินแล้วแหละ ไปอยู่ที่ไหนสบายไม่มีอะไรกวนใจ  เพราะใจไม่ออกไปยุ่ง  ใจมีอาหารดื่มคือความสงบ   เรียกว่าสมถธรรม สงบเพลินอยู่ที่นั่นสบาย อยู่ที่ไหน ๆ เพลินอยู่คนเดียว ๆ ไปอยู่ในป่าในเขาก็เพลินอยู่อย่างนั้น ไม่ได้สนใจอะไร

ท่านมาลากออกนั่นซิ เหอ ๆ เข้าเลยนะ สุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมันสุขอย่างไรบ้าง เอ้าว่ามา ประสาเนื้อติดฟันมันจะเอาสุขมาจากไหนใช่ไหม นั่นละสุขในสมาธิก็เป็นแบบเดียวกันนี้ความหมาย นั่นละเวลาท่านจะรื้อท่านเอาอย่างนั้นนะ นอกจากนั้นแล้วยังว่า สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม เอาเข้าอีก ก็เราไม่เคยได้ยินนี่สมาธิมาเป็นสมุทัย ก็เห็นแต่สัมมาสมาธิเพื่อมรรคผลนิพพาน เอานั้นมาสู้กับท่านซิ ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน เราก็ว่าอย่างนั้น

อ๋อ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือนสมาธิของท่านนี่นะ ทีนี้ชักหมอบ ๆ นะ สมาธิต้องเป็นสมาธิมีปัญญาเข้าแทรก มีสติปัญญาเข้าแทรก ไม่ได้นอนจมอยู่เหมือนสมาธิหมูขึ้นเขียงของท่านนี่น่ะ อู๋ย ชักยอมนะ หมอบ ๆ แต่มันก็ติดของมันอยู่นั้นแหละ เพราะมันไม่มีธรรมที่ยิ่งกว่านี้ยึดมันก็ติดเสียก่อน แต่ยึดอันนี้ไว้ ถ้าธรรมดาถกกับท่านนี้ โถ ครูบาอาจารย์เท่าที่ผ่านมาเราพูดตรง ๆ นะ บรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเท่าที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีลูกศิษย์คนไหนที่จะหัวดื้อเหมือนหลวงตาบัวนะ อู๋ย ขึ้นเวทีฟัดกับท่านจนพระแตกมาทั้งวัดนะ เงียบ ๆ ขึ้นไปก็ฟัดกันเลย

ว่าจะไปพูด กินเฉพาะเรากับท่านเท่านั้นนะ แกงหม้อเล็ก ๆ กิน เข้าไปฟัดกันนี้ โอ๋ย ซัดกันใหญ่ เสียงท่านลั่น พระอยู่ในป่าในที่ไหน ๆ เดินจงกรมอยู่ กลางคืนเงียบ ๆ นี่นะ โอ๋ย แตกมานี้เต็มอยู่ใต้ถุนกุฏิแน่นหมดเลย มาฟังเสียงลูกศิษย์กับอาจารย์ขึ้นเวทีต่อยกัน ขนาดนั้นนะเรากับท่าน ถ้าพูดถึงเรื่องว่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาครูบาอาจารย์ที่ผ่าน ๆ มาเหล่านั้น ท่านก็เรียบ ๆ นี่นะ ท่านไม่ผาดโผนเหมือนเรา เรานี้ โห ขออภัยพูดจะว่าเป็นตามความจริงก็ได้ และมีตลกอยู่ด้วยก็ได้ว่า   ท่านไม่ได้เป็นลูกศิษย์แบบเทวทัตเหมือนเราว่างั้นเถอะ ฟัดกับครู เทวทัตมันฟัดกับครู

นี้จุดหนึ่งจุดที่เราถึงใจมาก ติดสมาธิ ถ้าท่านไม่ลากออกนั้นมันจะไม่มีทางไปเลย มันจะติดอยู่ตลอดไปเลย นี่ละเรียกว่ามหาภัย ความติดในสมาธิ ไม่ใช่สมาธิเป็นภัยเป็นมหาภัยนะ ความติดในสมาธินี่ ปิดทางก้าวเดินเพื่อความพ้นทุกข์ นี่แหละคือมหาภัย พอท่านลากจากนั้นแล้วออกนะที่นี่ ลงมา เพราะเอากันอย่างหนักนี่ไม่ใช่ธรรมดานะ เสียงลั่นหมด พระเณรอยู่ที่ไหนแตกตื่นกันมาเต็มใต้ถุน หมดวัดว่างั้นเถอะนะ คอยฟังเสียงหมากัดเจ้าของ หมาต่อสู้เจ้าของ เอาเต็มเหนี่ยวนะที่นี่

มันยังติดอยู่นั่นนะ แต่เพราะครูบาอาจารย์มันยกไว้แล้วว่าสูงขนาดไหน นี่ละยอม รสชาติแห่งสมาธินี่เป็นขนาดนั้นนะ มันติดมันไม่ยอมถอนตัว นั่งภาวนานี้เอากี่ชั่วโมงว่างั้นเลยนะ คือมันอยู่กับธรรมชาตินี้มีความสงบเย็นแน่นหนามั่นคง ความสุขประหนึ่งว่ารวมอยู่ในสมาธินี้หมด นิพพานสู้ไม่ได้ ว่างั้นเถอะพูดง่าย ๆ เวลามันติด ๆ ขนาดนั้นนะ นิพพานสู้ไม่ได้ สู้สมาธิหมูขึ้นเขียงนี้ไม่ได้

พอท่านลากออกเท่านั้นแหละ ลงจากกุฏิท่านแล้ว โถ นี่เราก็มาหวังพึ่งท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแนะนำสั่งสอน แล้ววันนี้มันยังไงถึงได้ไปต่อสู้กับท่านจนเลยเถิดเลยแดนว่างั้นนะ มาตำหนิเจ้าของพิจารณาเจ้าของ ทั้ง ๆ ที่เราก็มีเจตนาดีเจตนาเป็นธรรมแหละ แต่ที่ต่อสู้กับครูขนาดนี้ ลูกศิษย์ลูกหาองค์ไหนไม่มีเหมือนเราว่างั้นเถอะน่ะ เราก็ไม่เคยกับใครนี่ ซัดกันขนาดนั้นนะ

อันนี้หมายถึงว่าโต้กันหาเหตุหาผล คือครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านก็ไม่ทำอย่างเรา แต่เรามันทำนี่ ซัดกันลงมา นี่เรามันเฉลียวฉลาดเก่งมาจากไหน มาตำหนิเจ้าของ ท่านว่ายังไงมันก็ต่อสู้ท่าน ๆ ท่านเก่งขนาดไหน เรายังจะอวดเก่งของเราอยู่เหรอ ความเก่งของเรากับความเก่งของท่านต่างกันยังไงบ้าง เอามาวินิจฉัยนะ คือท่านแก้เรา ๆ คือความเก่งของท่าน ไอ้เราสู้ท่านคือความเก่งของเราว่างั้นเถอะ

        ออกจากนั้นก็ไป ทีนี้สมาธิมันพอตัวแล้วนี่ เราพูดจริง ๆ ในเทปก็มีในหนังสือก็มี เราติดอยู่ในสมาธินี้ถึง ๕ ปี ท่านก็ถามเรื่อยอย่างนั้นแหละ เป็นยังไงจิตสบายดีอยู่เหรอสงบอยู่เหรอ สงบดีอยู่ว่างั้นเลย กล้าเต็มที่นะ มันยังไม่ได้เจอไม้ตีหน้าผากว่างั้นเถอะ มันกล้าเต็มที่หมาตัวนี้น่ะ พอถูกไม้ตีหน้าผากยังจะกัดเจ้าของอีก ขบขันดีนะ เราเอาเรื่องของเรามาเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นนี้ที่ซึ้งที่สุดเลยนะ คือจุดไหนที่ท่านว่านั้นเป็นจุดที่ไม่มีใครสอนว่างั้นเลยนะ ไม่มีใครสอน ติดตรงนี้ไม่มีใครลาก ท่านเอาขนาดนั้น ไม่ถึงอย่างนั้นมันไม่ขึ้นนะ มันจะจม ท่านต้องเอาขนาดถึงสมาธิหมูขึ้นเขียง แล้วยกสมาธิที่ว่าเป็นส่วนความดีสัมมาสมาธิ ความติดในสมาธินี้มันเป็นสัมมาสมาธิได้ที่ไหน ท่านจึงลากออกจากนี้

พอออกจากท่านไปวินิจฉัยตัวเองแล้ว ทีนี้ออกทางด้านปัญญา ท่านสอนให้ออกด้านปัญญาแต่เราไม่ยอมออก สมาธิคือเครื่องหนุนปัญญาให้เดินคล่องตัว ๆ ให้มีกำลัง เมื่อก้าวจากสมาธิเข้าทางด้านปัญญา เพราะสมาธิเครื่องหนุนมันพอแล้วนี่ โอ๋ย ไม่ได้รอเวล่ำเวลาเลยนะ ก็มันอยากออกอยู่แล้ว แต่ว่าหมูขึ้นเขียงมันแรงกว่ามันไม่ยอมออก พอออกทางด้านปัญญาพิจารณา คลี่คลายออกไป เพียงเราเรียนมาในตำราเฉย ๆ  เราพูดจริง ๆ มันไม่มีคุณค่าสำหรับเรานะ ต้องมีครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้จริงเห็นจริงสด ๆ ร้อน ๆ มาลากออกมันถึงออกนะ

เรียนจำมาเราก็จำมา แต่ไม่เห็นมีคุณค่าอะไรสำหรับเราที่เป็นโมฆะ พอครูบาอาจารย์มาเด็ดเอาสด ๆ ร้อน ๆ นี้มันตื่นตัวนะ นี่ละครูบาอาจารย์จึงเป็นของสำคัญมากนะ พอท่านลากขนาดนั้นแล้ว ทีนี้ออกทางด้านปัญญานี้กระจายออก ๆ อ๋อ อย่างนี้นะ ๆ มันรู้สึกในใจนะ อ๋อ ๆ เป็นอย่างนี้เหรอ พิจารณาไปยังไงมันค่อยรู้ค่อยเห็นกระจ่างออก ๆ เรื่อย ๆ ทีนี้ก็ซัดใหญ่เลย หมุนติ้ว ๆ ย้อนเข้ามาเห็นโทษของสมาธิ โห สมาธินี่มานอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ฆ่ากิเลสไม่ได้

ก็จริงเรื่องสมาธิฆ่ากิเลสไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าตีกิเลสให้รวมตัวเข้ามา ไม่ไปส่ายแส่หาฟืนหาไฟมาเผาเจ้าของด้วยอารมณ์ความคิดต่าง ๆ เพราะอารมณ์เหล่านั้นเมื่อมีสมาธิแล้วมันก็ไม่ออกไปยุ่งนะ ไม่ออกไปยุ่งมันก็ไม่ไปหาไฟมาเผาเจ้าของ เจ้าของก็เย็น เย็นก็ติดอยู่ในนั้นแหละไม่ยอมออก ทีนี้พอท่านมาลากออกถึงออกทางด้านปัญญา กระจายออกไปทางไหนมันรู้มันเห็น แล้วฆ่ากิเลสเป็นลำดับ ๆ หนักเข้า ๆ ปัญญาก็ยิ่งหมุนตัวเข้าไปกระจ่างแจ้งเข้าไปเห็นเข้าไป ก็มาตำหนิสมาธิล่ะซิ โอ๋ย สมาธินี่มานอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ฆ่ากิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส มันก็ยิ่งหนักทางด้านปัญญา นี่ก็อีกจุดหนึ่งนะ ทีนี้ท่านจะเอานะ อย่างนั้นซิผู้รู้เหนือกันมันเป็นอย่างนั้นนะ ต่างกันมากนะ

พอออกทางด้านปัญญามันเพลินในการฆ่ากิเลส ความเห็นโทษของกิเลสนี้เห็นเป็นลำดับ สุดท้ายก็มาเห็นโทษของสมาธิตัวเองมันพาให้ล่าช้า เสียเวล่ำเวลา นอนตายอยู่เฉย ๆ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส จากนั้นมันก็พุ่งทางด้านปัญญา ซัดเสียจนไม่นอน กลางคืนนอนไม่หลับหมุนเป็นธรรมจักร กลางวันก็นอนไม่หลับ อ้าว สองคืนสามคืนมันจะตายแล้วนะที่นี่ โห ทำไมเป็นอย่างนี้ เวลาออกก็ออกพิลึกพิลั่น ออกเลยเถิดไม่มีการยับยั้ง ยังไงกันนี่ มันจะตายจริง ๆ ธาตุขันธ์มันอ่อน สติปัญญาที่หมุนกันมันไม่ถอยนี่

ธาตุขันธ์ที่เป็นเครื่องมือ ความคิดความปรุงนี้ก็เป็นสังขาร แต่สังขารทางด้านปัญญา เมื่อเราใช้ไม่รู้จักประมาณ สังขารทางด้านปัญญามันก็มากลายเป็นสมุทัยโดยเราไม่รู้สึกนะ นั่นเห็นไหมล่ะ เราไม่รู้นะ พอเราไปกราบเรียนท่าน นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ ว่าอย่างนี้แล้วเราพูดตรง ๆ มันออกยังไง โอ๊ย มันออกถึงขนาดไม่ได้หลับได้นอนนะ กลางคืนสองคืนสามคืนแล้วยังไม่ได้หลับได้นอน กลางวันมันก็ไม่ยอมนอน นั่นละมันหลงสังขาร คือสังขารที่ใช้ไม่รู้จักประมาณ นี่เรียกว่าหลงสังขารอย่างนี้นะ สังขารที่เป็นปัญญาแต่มันกลายมาเป็นสมุทัยแทรกอยู่ในนั้นเราไม่รู้ เห็นไหมท่านจับปั๊บเลย

นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เอาอีกนะ เราว่าถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ๆ ใหญ่เลยนะ ซัดใหญ่เลย บ้าหลงสังขาร คราวนี้ไม่ตอบ ต่อไปนี้ไม่ตอบ นิ่ง คงจะเป็นเหมือนสมาธินั่นแหละที่ท่านลากออก คิด แต่ยังไม่ลงนะหากไม่ฝืน เพราะเห็นคุณค่ามาแล้วตั้งแต่ท่านลากออกจากสมาธิ พอมาก้าวทางด้านปัญญามันก็เลยเถิด เลยเถิดก็เลยเถียงท่านบ้างทีแรก ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้นี่นะ นั่นละบ้าหลงสังขาร ซัดเรา

คือท่านพูดกับเราท่านจะไม่พูดธรรมดานะ ถ้าคุยกันธรรมดานี้เหมือนพ่อกับลูก ความสนิทกับท่านขนาดนั้นแหละ คุยกันธรรมดานี้เหมือนพ่อกับลูกเลย พอออกทางด้านธรรมะนี้ผางเข้ามาเลยนะ ไม่ว่าเวลาไหนก็ตามพูดกับเราเรื่องทางด้านธรรมะนี้จะไม่มีอ่อนข้อเลย ผึง ๆ ทันทีเลย นี่ก็พอออกทางด้านปัญญา บ้าหลงสังขาร ๆ ท่านขนาบเข้าไปเลยนะ คือให้รู้โทษของมัน ที่ท่านจี้ จี้ให้รู้อันนี้นะ ถ้าพูดทางโลกเขาว่าดุ ท่านดุตรงนี้ตรงมันติด ลากอย่างแรง ๆ ความหมายว่าอย่างนั้น

ถึงจะหมอบก็จริงแต่ความเพลินทางด้านปัญญามันก็ไม่ถอย ทีนี้พอมันจะตายจริง ๆ แล้วก็รั้งเข้ามาสู่สมาธิ สมาธิเป็นที่พักงาน เวลาทำงานเพลินรายได้จริง ได้ก็ได้ แต่เจ้าของตายแล้วรายได้มีความหมายอะไร ต้องพักผ่อนเพื่อผลประโยชน์ต่อไป เพื่องานต่อไป ไม่มีพักผ่อนไม่ได้ ต้องรับประทานอาหารพักผ่อนนอนหลับสบาย ตื่นขึ้นมาแล้วทำงานต่อไปอีกนั่นถึงถูก เราจะว่างานเป็นผลเป็นประโยชน์ การพักไม่มีประโยชน์อะไร ตายได้ งานก็หมดปัญหาไปเลย หมดคุณค่าไม่มีราคา

เวลามันจะตายจริง ๆ มันก็ย้อนเข้ามาหาสมาธิพัก บังคับให้เข้าสู่สมาธินะ สมาธิมันเต็มภูมิอยู่แล้วอย่างนั้นแหละ แต่ทีนี้เวลาอำนาจของปัญญามีกำลังมากกว่ามันไม่ยอมจะเข้าสมาธิ มันจะเพลินทางด้านปัญญาแก้กิเลสโดยถ่ายเดียว ต้องรั้งเข้ามา ๆ มาพักสมาธิ บีบบังคับเข้า คือคำว่าออกนี้ ออกเพื่อปัญญานะ ไม่ได้ออกแบบโลกแบบสงสาร มันออกเพื่อปัญญาแก้กิเลส คือมันไม่ยอมอยู่สมาธินี่นะ เราก็รั้งเข้ามา ๆ

เหมือนกับคนไม่เคยภาวนา สุดท้ายก็ต้องเอาพุทโธ พุทโธบริกรรมให้มันเข้าสู่สมาธิ ไม่บริกรรมมันจะออกทำงานปัญญา ต้องบริกรรมพุทโธ ๆ ถี่ยิบเลยไม่ยอมให้มันออก บังคับเข้า ๆ จิตค่อยสงบลง ๆ แน่ว ๆ พอจิตลงสู่ฐานแห่งสมาธิเต็มที่ พักงานความคิดความปรุงทั้งหมดแล้ว โห มันเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ สงบเย็นสบาย แต่บังคับอยู่นะ ไม่ใช่ว่าสบายแล้วมันจะอยู่กับสบายนะ อำนาจของทางปัญญายังมีกำลังมากกว่ามันยังจะออก ต้องบังคับเอาไว้ จนกระทั่งจิตมีความสบาย มีกำลังวังชาหนาแน่นสบายแล้วก็ถอย พอจิตปล่อยนี้มันก็พุ่งใส่ปัญญาเลยแหละ นี่ละเรียกว่าสมาธิเป็นฐานพักแห่งการเดินทางทางด้านปัญญา

นี่ละตอนหลงสังขารนี่ก็จุดหนึ่งจุดสำคัญนะ ท่านจี้ตรงไหนเราไม่ลืม เบื้องต้นก็เหมือนกัน ที่หักโหมกันเบื้องต้นเอาจิตเข้าสู่สมาธิให้ได้มันไม่ได้ พอได้หลักก็ฟัดใหญ่เลย ที่ไปกราบเรียนท่านอย่างอาจหาญชาญชัย แต่ก่อนกิริยามารยาทอย่างนั้นเราไม่มีกับครูบาอาจารย์นะ แต่เวลามันได้รู้ได้เห็นขึ้นภายในใจนี้ โอ้โห ทุกอย่างมันอาจหาญชาญชัย ก็มันรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ  ขึ้นกิริยามารยาทนี้เหมือนนักมวยแชมเปี้ยน ฟัดกันเลย ซัดกับครูบาอาจารย์นะ ผาง ๆ พอขึ้นไปเรื่องสมาธิ นี่ฝึกเบื้องต้นที่จิตได้หลักนะ

หลักฐานใหญ่โตก็คือนั่งตลอดรุ่ง มันได้ความอัศจรรย์ขึ้นมาอย่างเต็มที่ประจักษ์ใจแล้วก็ไปกราบเรียนท่าน กราบเรียนก็ตามเรื่องที่เรารู้เราเห็นเราได้ปฏิบัติมาอย่างไร ออกหมดเต็มที่ ผาง ๆ เลย ท่านไม่เคยเห็นกิริยาอย่างนั้น ท่านก็คงนึกในใจ เอาละที่นี่บ้ามันเริ่มแล้วละ ความหมายว่างั้น บ้าเริ่มแล้ว คือเริ่มได้หลักแล้ว บ้ามันเริ่มแล้วถึงได้แสดงอย่างนี้ ท่านรู้ ทางนี้ก็ใส่เปรี้ยง ๆ ท่านนั่งนิ่งเฉยนะ ฟังเราพูดทุกกิทุกกีนั่นแหละ เราพูดพอเต็มเหนี่ยวแล้วหมดแล้ว ทีนี้นั่งหมอบฟัง ท่านก็ขึ้นละที่นี่ เอาละที่นี่ได้การได้หลักฐานแล้ว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะ อัตภาพร่างกายนี้มันตายเพียงหนเดียว มันไม่ได้ตายถึงห้าหนละ ร่างกายนี้ตายเพียงหนเดียว เวลานี้ได้หลักแล้วเอาเต็มเหนี่ยวนะ ท่านยุใส่ ทีนี้หมาตัวนี้ก็ทั้งจะกัดจะเห่า

ออกไปก็ซัดใหญ่เลย เว้นสองคืนสามคืนมากราบเรียนท่านแบบนั้นละ วันไหนที่นั่งตลอดรุ่ง วันนั้นได้วันอัศจรรย์ ความรู้ความเห็นแปลก ๆ ไม่เคยเห็นเห็นในวันที่จนตรอกจนมุม คือนั่งสมาธินี่ความทุกข์แสนสาหัส เราจนได้เทียบดูเจ้าของเองนะ คือเวลาความทุกข์มันแสนสาหัส ร่างกายของเรานี้เหมือนกับท่อนฟืน ทุกขเวทนาเหมือนกับไฟเผาร่างกายนี้ มันเหมือนขนาดนั้นนะ ทุกข์หนักขนาดนั้น แล้วก็เอามาเทียบ เราเคยเห็นตั้งแต่คนตายแล้วเขาเอาไฟเผาว่างั้นนะ อันนี้คนยังไม่ตายนี้ ไฟทุกขเวทนาเผานี้ให้เห็นมันต่างกันกับไฟเผาศพคนตายอย่างไรบ้าง นี่ไฟคือความทุกขเวทนาแสนสาหัสนี้มันเป็นไฟทั้งกองกำลังเผาร่างกายนี้ เอ้า มันจะเผาไหม้แบบเดียวกันก็ให้เห็น แน่ะมันยังเทียบนะ

เอ้า ดูตรงไหนจะตายก่อนตายหลัง จิตผู้รู้นี้จะดูจนวาระสุดท้ายว่าอันไหนจะตายก่อนตายหลัง อะไรจะสิ้นเสร็จเวลาไหนให้รู้ ผู้รู้นี้ไม่ถอย ซัดกันไปซัดกันมา ทุกขเวทนาที่เป็นไฟเผาตัวนี้มันก็ดับวูบเลย ความอัศจรรย์ก็ผึงขึ้นเลย อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง นั่นละที่ว่ามันได้ความอัศจรรย์ จิตลงขณะนั้นลงเวลานั้นมันลงอัศจรรย์นี่นะ ขึ้นหาท่านอีก เว้นสองหรือสามคืนขึ้นอีก ขึ้นอีกอยู่เรื่อยล่ะซี ท่านก็คงว่าไม่ได้การมันจะเลยเถิดแล้วนี่ คงว่าอย่างนั้นนะ เอาเรื่อย ๆ ไม่ถอยล่ะซี

ครั้นต่อไปที่ท่านยุนี่ท่านสงบนะ ไม่ยุนะที่นี่ เอ้าเอา ๆ นั่น ทีนี้ไม่ยุนะ ปล่อยให้ทางนี้มันกัดมันเห่าไปตัวเดียว ปล่อยให้หมาตัวนี้มันกัดมันเห่าไปตัวเดียว พอสุดท้ายก็ โถ นั่งนี่มันเก้าคืนสิบคืนนะตลอดรุ่ง ๆ แต่ไม่ติดกัน เว้นสองคืนสามคืนบ้าง เอาเรื่อย ๆ จนกระทั่งก้นแตกว่างั้นเถอะน่ะ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ นั่งทีแรกมันออกร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากนั้นมาก็พอง ก้นพอง หลังจากนั้นมาก็แตก หลังจากแตกเลอะหมด ก้นเลอะหมดเลย กลางวี่กลางวันนี้ต้องนุ่งผ้าอาบน้ำขนาดนั้นนะ เลอะหมดจริง ๆ  แต่จิตใจมันไม่ได้สนใจกับก้นเลอะ มันสนใจกับธรรม เพราะฉะนั้นมันถึงทำได้ทุกอย่าง นี่ละกำลังใจ พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ

กำลังใจนี้รุนแรงมาก เหนือทุกอย่าง ร่างกายแตกไม่สนใจ ฟังซิว่าทุกขเวทนาเผาเราอยู่นั้นยังเอาไฟเผาศพมาเทียบกับไฟทุกขเวทนาเผาเราทั้งเป็นนี้มันต่างกันอย่างไรบ้าง เอ้าจะดู ฟังซิน่ะ มันไม่ได้ถอยนะ จนกระทั่งไปเต็มเหนี่ยวแล้วท่านเห็นว่าไม่ได้การ มันผาดโผนเกินไป พอขึ้นนั่งปั๊บขึ้นแล้วนะ กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ นั่นขึ้นแล้ว มันอยู่กับจิตนะ ท่านว่าอย่างนั้นแหละ กิเลสไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับจิต ท่านจะว่าอย่างอื่นท่านก็ไม่ว่านะ อู๊ย ฉลาดจริง ๆ นะ

ท่านก็ยกปั๊บมาเลย สารถีฝึกหัดม้าเขาฝึกหัดยังไง ม้าตัวไหนที่มันผาดโผนโจนทะยานมาก ๆ เขาต้องฝึกทรมานอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้มันกิน ฝึกเสียจนกระทั่งม้าลดพยศลงไป ๆ หายพยศลงไป แล้วเขาจะค่อยผ่อนเรื่องการฝึกทรมาน พอให้กินหญ้าก็ให้กิน พอให้กินน้ำก็ให้กิน ลดลำดับของการทรมานมันลงไป ท่านพูดเพียงเท่านี้แหละ ท่านไม่ได้พูดถึงว่า เธอนี้มันเลยม้าไปนะมันกลายเป็นหมาไปนะ ท่านยังไม่ได้พูดขนาดนั้นเข้าใจไหม เธอนี้มันเลยม้าไปเป็นหมาไปแล้ว แต่ท่านไม่ว่า เราเข้าใจว่า โอ เรานี่ถึงขั้นหมา ม้าสู้ไม่ได้แล้วนะ ตั้งแต่นั้นมาเราก็หยุด ที่นั่งตลอดรุ่งไม่นั่งอีกเลย แต่ทางจิตนี่หากไม่ถอย นี่ละท่านพูดเพียงเท่านั้น

ทีนี้ที่ว่าเขาฝึกทรมานม้านี้ เราก็เห็นแล้วในชาดก ก็เราเรียนมาแล้วนี่ เขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น เวลาม้าผาดโผนโจนทะยานมากนี่เขาจะฝึกอย่างหนัก ไม่ให้กินน้ำไม่ให้กินหญ้าเลย เอากันอย่างหนัก จนกระทั่งม้าลดพยศลงไปโดยลำดับ เขาจะค่อยผ่อนลงไป ๆ จนเห็นม้าปกติแล้วก็ใช้กันตามธรรมดา นั่นท่านพูดเพียงเท่านั้น ไม่ได้บอกเราเป็นยังไง ๆ เพราะเรามันเลยม้าไปแล้วกลายเป็นหมาไปแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะให้ท่านสอนว่ายังไงนะ นี่เราก็ลดตั้งแต่นั้นมา

นี่เห็นไหมจุดนี้ คือกิเลสมันอยู่ในจิต การทรมานร่างกายนี้มันมากเกินไปความหมาย ถ้าหากว่าให้ลดหย่อนผ่อนผันบ้างกลัวเราจะอ่อนเปียกซิ ท่านถึงไม่บอก นั่นเห็นไหมท่านมีแง่เอาไว้ ๆ เราค่อยฝึกเราเอง อย่างสมาธิที่ท่านว่า สมาธิหมูขึ้นเขียงนี้ คำว่าสมาธินั้นก็ไม่ใช่อันนั้น คือมันติดในสมาธินั้น ให้ออกทางด้านปัญญาบ้าง ถ้าว่าอย่างนั้นเราจะไม่ออกนี่ ท่านต้องเอาสมาธิโยนเข้าป่าให้หมดให้มันหาใหม่ ความหมายว่างั้น ท่านพูดถึงด้านปัญญาก็เหมือนกัน บ้าสังขาร ๆ ให้รั้งเข้าสู่สมาธิบ้างอะไรอย่างนี้ มันจะไม่เข้านะ เพราะม้าตัวนี้มันเลยม้าเป็นหมาไปแล้วว่างั้นเถอะ ฝึกแบบไหนต้องฝึกแบบหมาว่างั้นนะ

นี่ที่เราสรุปความมานี้ จุดไหน ๆ เราจับมาประมวลหมด เป็นจุดที่เฉียบขาด ๆ ในการฆ่ากิเลสทั้งนั้น เราจึงซึ้ง ความหมายว่างั้นนะ มีจุดไหน ๆ ซึ้งทีเดียว จุดที่ว่าม้าผาดโผนก็คือว่าเราฝึกทรมานเรามากเกินไป มันหนักมากไป จิตใจเมื่อมันพออยู่พอเป็นพอไปไม่ดิ้นไม่ดีดมากแล้ว การทรมานทางร่างกายก็ไม่ควรจะหักโหมจนเกินไป ความหมายว่างั้นนะ แต่ท่านไม่บอก เพราะเวลานี้มันเป็นหมาอยู่แล้ว มันจะเลยกลายเป็นหมาขี้เรื้อนไปอีกนั่น ท่านไม่อยากให้ถึงขั้นหมาขี้เรื้อน เอาแค่หมาก็พอแล้ว

พูดถึงติดสมาธิ ท่านก็ลากออก นี่จุดสำคัญนะ แล้วปัญญาเลยเถิดท่านก็รั้งเข้ามา ไม่มีใครเหมือนนะสอน มันถึงได้ซึ้ง ๆ เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นเวลาที่จิตเรานี้หมุนเป็นธรรมจักรอยู่แล้วระยะนั้นนะ ระยะที่ท่านป่วยหนักทางธาตุทางขันธ์ เราก็ป่วยหนักทางด้านจิตใจ ต่างคนต่างหนักด้วยกัน ท่านหนักทางสังขารเพียบ เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็หนักทางด้านความเพียร สติปัญญาหนักทางด้านนี้ไม่มีเวลา ตลอดเลย และก็เป็นเวลาสบเหมาะ ๆ กันเสียด้วยนะ เหมือนกับว่าท่านจะเป็นเครื่องวัดตวงกับความเอาใจใส่ครูบาอาจารย์หนักเบามากน้อยเพียงไร ก็เหมือนว่าเป็นเครื่องวัดตวงกัน เพราะของเรามันหมุนตลอดหนักตลอด ของท่านก็หนักตลอด เราต้องแบ่งทั้งทางเรา แบ่งทั้งทางท่านตลอด

เวลาท่านหนักเท่าไรเราก็หนีจากท่านไม่ได้ เอาตลอดเลยนะ ยิ่งหนักเท่าไร ท่านป่วยหนัก คือการอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน เราไม่ปล่อยมือให้ใครเข้าไปยุ่งท่านได้ง่าย ๆ นะ แต่เวลาจำเป็นมามีแต่เรากับท่านอยู่ในมุ้งสององค์เท่านั้น ใครมายุ่งไม่ได้ นอกนั้นอยู่นอกมุ้งทั้งหมดถ้าเป็นกลางคืนนะ ก็มีแต่เราเท่านั้นอยู่กับท่าน ไม่ให้ใครไปแตะอวัยวะทุกส่วนของท่านได้เลย เราจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจเรา ถ้าองค์อื่นองค์ใดเข้าไปนี้ความรู้สึกในแง่แห่งธรรมภายในใจนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน บางทีไปจับไปทำอะไรท่านแล้วอาจจะคิดในแง่อกุศลขึ้นมาเกี่ยวกับท่านก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ยอมให้ใครเข้าไป เราเป็นผู้รับผิดชอบผู้เดียว

การถ่ายไม่ว่าถ่ายหนักถ่ายเบา เราเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ถ่ายเบาก็มีกระป๋องเท่านั้นละ เราเป็นคนจัดการเอง เสร็จแล้วยื่นมา เพราะหมู่เพื่อนก็เต็มอยู่แล้ว ยื่นมาปั๊บนี้เอาไปเลย ๆ ถ่ายหนักนี้ก็เหมือนกัน ท่านถ่ายหนัก แต่ก่อนไม่มีถุงพลาสติกนะ มามีทีหลัง เราเอามือเลย ให้ท่านถ่ายใส่กับมือเรา แล้วเทลงกระโถน แล้วรับเทลงกระโถน ทุกอย่างเราจัดการเองหมดไม่ให้ใครเข้าไปแตะต้อง ไม่ให้ใครไปเห็นเลยนะเราทำคนเดียว ๆ ทีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง เราทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วเราก็ยกอันนี้ออกไปเท่านั้นเอง ไม่ให้ใครยุ่ง เพราะฉะนั้นเวลาท่านป่วยหนักมานี้จึงใครเข้ายุ่งไม่ได้

นี่ละที่ว่าเป็นก็เป็นตายก็ตายว่างั้นเถอะนะ เราไม่สนใจกับความทุกข์ความทรมานทางจิตใจและร่างกายของเรา ยิ่งกว่าที่เราจะทำความสะดวกให้แก่ท่านโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าเวลาท่านหลับนะ เราก็ให้พระองค์ใดองค์หนึ่งที่จะพอปล่อยมือได้บ้างเข้าไปแทน เราก็ออกไปเดินจงกรม ไม่ได้ไปนอนนะ เพราะทางจิตนี้ก็หมุน แล้วนั่งตลอด มันต้องมียืนมีเดินเปลี่ยนอิริยาบถซิ พอออกจากนี้ไปปั๊บ นี่ผมจะไปอยู่ทางจงกรมตรงนั้นนะ บอก เวลาท่านถามถึงแล้วให้รีบไปหาผมทันที คือบอกจุดไว้เลย เดินจงกรมอยู่ที่ไหน ๆ ต้องบอกไว้เลย ผมจะเดินจงกรมอยู่ตรงนั้น บอกอย่างนั้น หากว่าท่านตื่นนอนขึ้นมาท่านถามถึงแล้ว ให้รีบไปบอกผม ไปจุดนั้นเลย เพราะบอกจุดไว้

ตามธรรมดาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใครไปยุ่งเราได้เมื่อไร ก็มีแต่ท่านอาจารย์หลุยเข้าไปลากแขนเรามา มีองค์เดียว คนอื่น โอ๋ย ไปยุ่งไม่ได้ กลัวเรากลัวมากนะ ในวัดหนองผือพระเณรกลัวเรารองท่านลงมา เพราะใครมาทะลึ่งไม่ได้ ดูพระเณรก็รู้ พระเณรดูเราก็รู้เราเป็นยังไง ๆ บ้าง พระเณรจะมาทะลึ่งได้ง่าย ๆ ยังไง ก็มีแต่หลวงปู่หลุยไป กึ๊กกั๊ก ๆ ด้นเข้าไปในป่า นี่ละความสนิทกันเห็นไหมล่ะ เดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ เสียงกุบกับ ๆ ท่านก็ไม่จุดไฟเราก็ไม่จุดไฟ แต่ท่านทราบจากพระว่าเราเดินจงกรมอยู่ในป่า ท่านก็ตามเข้าไปในป่า

เสียงกุบกับ ๆ เอ๊ ใครมานา ก็มันมืด ๆ นี่ กุบกับ ๆ เข้าไป เข้าไปหาทางจงกรม ใครมานี่น่ะ ผมเอง พอว่าอย่างนั้นปั๊บคว้าแขนปั๊บลากออกมาเลย โอ๊ย จะเอาไปไหนนี่ ทั้งจูงทั้งลากไปเลย พูดกันไปจูงกันมาจนกระทั่งออกมาถึงนอกทางจงกรมมาเรียบร้อยแล้วถึงเดินตามท่าน ก็มีแต่ท่านอาจารย์หลุยเท่านั้นเอาได้ นอกนั้นไม่มีใครไปยุ่งเราได้ เราเดินจงกรมก็บอกพระให้ไปเอาเราอยู่ที่นั่น เพราะปกติพอท่านตื่นขึ้นมาท่านมีหลับบ้าง นั่นละตอนที่ท่านหลับบ้างเราออกตอนนั้นนะ ทีนี้พอตื่นแล้วเราก็เข้าประจำที่

นี่เวลาท่านป่วยหนักแล้วนะ พอตื่นขึ้นมาท่านมักจะถามทันทีเลย ท่านมหาไปไหน แน่ะเอาตรงนี้นะ พอว่าอย่างนั้นทางนี้ปุ๊บไปเลย เรามาก็เข้ามุ้งปั๊บเลย จากนั้นมีอะไรก็ทำ นี่เป็นปกติ รู้สึกท่านจะเมตตามากกับเรา เวลาจำเป็นจำใจจริง ๆ เราจึงติดตลอดเวลาไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง จนกระทั่งวาระสุดท้าย นี่เราพูดถึงเรื่องคุณค่ามหาคุณของท่านมีต่อเรามีขนาดไหนว่างั้นเถอะ ฝังลึกนะ ไม่มีคำว่าอ่อนลง ตายไปด้วยกันเลย นี่ละเราจะไปไหนมาไหนเราจึงไปกราบท่านด้วยความสนิทซึ้งใจ แล้วเราก็ไป มาก็ไปกราบท่านเป็นประจำ

เรื่องความฉลาดในการสั่งสอนนี้ยกให้เลย เท่าที่เราผ่านมาแล้วไม่มีว่างั้นเลย เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดนะ เพราะเราไม่ได้ไปสนิทสนมกับท่านทั้งภายนอกภายใน แต่กับหลวงปู่มั่นเรามอบถวายหมดเลย ถึงได้รู้เรื่องทุกอย่าง นี่พูดถึงความซาบซึ้งในครูบาอาจารย์ การเทศนาว่าการนี้พูดได้ชี้นิ้วได้เลยว่า ไม่มีใครเหมือนว่างั้นเลย เทศน์พุ่ง ๆ ธรรมะ โห เทศน์สอนพระนี้มีแต่ธรรมะแบบจรวดดาวเทียม พุ่ง ๆ เท่าที่เราฟังมาแล้วนี้เราไม่เห็นที่ไหนจะแซงท่านไปได้ว่างั้นเลยการเทศนาว่าการ อย่างที่ท่านลากเรานั่นซิ มาพิจารณาย้อนหลังหาที่แซงไม่ได้เลย ลากตรงไหนนั้นคือมหาภัยอยู่ตรงนั้น รั้งตรงไหนคือมหาภัยอยู่ตรงนั้น ใครไปรู้ได้ ท่านรู้ได้ นั่นเห็นไหม

หลวงปู่มั่นท่านพร้อมทุกอย่าง ภายนอกก็พร้อม ภายในก็พร้อม เกี่ยวข้องกับผู้คนอะไร สังคมต่าง ๆ ประเภทไหนมาเกี่ยวข้องกับท่าน รอบหมด ย่นเข้ามาหาบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านเข้ามาหาท่านท่านรอบหมด รอบยังไง อาจารย์องค์นี้มาซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาหาท่าน ท่านจะปฏิบัติต่อลูกศิษย์องค์นี้อย่างไรบ้าง เราจะไม่หนีไปไหนนะ ถ้ามีครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาหาท่าน เราจะคอยจับ ท่านจะปฏิบัติยังไงกับองค์นี้กับองค์นั้น ๆ อยู่นี้นะ แล้วกิริยาที่ท่านแสดงการต้อนรับไม่ได้เหมือนกันเลย องค์นี้มาเป็นอย่างนี้ เราคอยจ้อง องค์นี้มาเป็นอย่างนี้ ๆ กิริยาไม่เหมือนกันนะ การต้อนรับด้วยอรรถด้วยธรรมทุกอย่างไม่เหมือนเลย ไม่มีซ้ำกัน

ไม่รอบจะทำอย่างนั้นได้เหรอคนเรา แสดงว่าพอมองมาปั๊บเหมือนว่าเรดาร์ท่านจับไว้เรียบร้อยแล้ว ๆ ออกพอเหมาะพอดี ๆ ไอ้เราที่ฟังก็อ้าปากฟังนะ คือฟังด้วยความเผลอ มันอ้าปากไม่รู้ตัวแหละ กว่าจะงับปากนี้อีแร้งอีกามันเอาตับไปกินหมดแล้ว มีแต่อ้าปากเข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ละในศาสนาที่วงปฏิบัติของเราจะได้พอเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นเกาะเป็นดอน ให้พี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราได้ยินนี้ หลักใหญ่ออกมาจากหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นเป็นผู้ผลิตครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์เหล่านั้นเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านไม่ได้ออกมาสู่ประชาชนนะ ท่านอยู่ในป่าในเขา ลูกศิษย์ลูกหาไปอยู่กับท่าน ๆ ได้ความรู้ออกมา ๆ จากมหาวิทยาลัยของท่านเอง มหาวิทยาลัยป่า

ออกมาก็ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นยังไง ๆ ดังที่เราเห็นนี้ มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ นับมาตั้งแต่หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี หลวงปู่พรหม ที่เด่น ๆ นี่เพชรน้ำหนึ่ง ๆ แล้วครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ นี้ทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากขนาดไหน ๆ เราดูเอา นี่ออกมาจากหลักใหญ่คือหลวงปู่มั่นเราทั้งนั้น ใครจะทำประโยชน์ได้มากยิ่งกว่าหลวงปู่มั่นมีเหรอ หลวงตาบัวเทศน์ว้อก ๆ อยู่ทุกวันนี้ก็ท่านเป่ากระหม่อมให้เอามาเทศน์ ได้แค่นี้ว้อก ๆ เท่านั้นละ ผู้ท่านไม่ว้อก ๆ ท่านประสาทให้ขนาดไหน เราไม่สมความเมตตาของท่านเลย

หลวงปู่มั่นจึงเป็นหลวงปู่ที่เด่นดวงมากในประเทศไทยของเราสมัยปัจจุบัน ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย อย่างไม่มีใครค่อยมองนะ เช่นอย่างหลวงตาบัวไปเทศนาว่าการนี้ หลวงตาบัวเทศน์อย่างนั้นเทศน์อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ออกทั่วประเทศไทย หลวงตาบัวออกมาจากไหนเขาไม่ได้ถามนี่นะ โรงงานใหญ่ของหลวงตาบัวอยู่ที่ไหนเขาไม่รู้นี่ เขาก็มีแต่หลวงตาบัวดีอย่างนั้น ดุอย่างนี้ไปอย่างนั้น เวลานี้ก็ออกทั่วประเทศไทย มีแต่หลวงตาบัว ๆ ผู้ผลิตหลวงตาบัวให้ออกมาว้อก ๆ เป็นหมาเห่าบ้านเห่าเมืองอยู่เวลานี้ เห่าบ้านเห่าเมืองคือดุนั้นดุนี้ นี้คือใครเป็นผู้ผลิตให้มา โรงงานใหญ่อยู่ที่ไหน เขาไม่ได้มองนะโรงงานใหญ่ คือหลวงปู่มั่นเรา

วันนี้ก็ดีอันหนึ่ง นำหลวงปู่มั่นมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเสียบ้างว่าเป็นยังไง รากฐานใหญ่แห่งวงกรรมฐานของเรา คือหลวงปู่มั่นว่างั้นเลย ทุกอย่างอยู่นั้นหมดทีเดียว

        เมื่อวานนี้ก็ไปเจอพี่น้องทางสุโขทัยมาเยอะนะ ไปวัดสุทธาวาส แล้วก็พวกคณะครูเขาบวชชีเป็นตาปะขาว จากจังหวัดสุรินทร์บ้าง บุรีรัมย์บ้างที่ไหนบ้าง มากันสี่สิบห้าสิบ เป็นจังหวะที่เราไปนั้นพอดี กับทางสุโขทัยมากันเต็มคันรถใหญ่เลย มาพบเราพอดี ก็ได้นั่งคุยกับเขาบ้างพอประมาณ ประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ละมั้ง พวกสุโขทัยยิ้มแย้มแจ่มใส ได้เคยฟังเทศน์หลวงตาที่โน่น แล้วก็ดูทีวีทุกวัน นี่ละใครก็มีแต่ดูทีวีทุกวัน ดังทางเวียงจันทน์เขามานิมนต์เราไปเวียงจันทน์ นิมนต์หลวงตาไปโปรดที่เวียงจันทน์ เราก็ถามรู้ได้ยังไงถึงจะนิมนต์หลวงตาไปโปรดที่เวียงจันทน์

ที่นี่พอเวลาเขาตอบเราหงายเลยนะ รู้ได้ยังไงเรื่องของหลวงตาถึงได้นิมนต์ไปทางเวียงจันทน์ ดูทีวีทุกวัน หมดท่าเลย ก็ดูทีวีทุกวัน ดูเราทุกวัน นี้เราก็รับปากแล้วเป็นแต่เพียงยังไม่กำหนดวันเวลาให้ ว่างเมื่อไรค่อยพิจารณากันทีหลัง เพราะเวียงจันทน์ไม่ไกลนัก

        วันนี้ไม่พูดละเรื่องชาติบ้านเมือง ใครให้เร่งนะทองคำกับดอลลาร์ ดอลลาร์ซบเซามากนะเวลานี้ ดอลลาร์ไม่โผล่หัวเลย ทองคำก็มีมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ วันนี้ไม่ได้สักกี่สลึงละมั้ง ไม่มีเลย เห็นไหมหลวงตาเทศน์จนจะตายทองคำติดมือมาแย็บหนึ่งไม่มีเลย เหอ มาแล้วเหรอ นั่นมาแล้วนั่น เท่าไร หนึ่งบาทเหรอ ก็อย่างนั้นซีอย่าให้มันเสีย ทั้งวันไม่มีลวดลายเลยใช้ไม่ได้นะ เอาละวันนี้ได้บาทหนึ่ง เวลามีคนถามก็จะตอบ ทองคำได้ไหม บอกว่าได้ซีว่างั้น ได้เท่าไรไม่บอก

เอาละให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก